เทศน์วันมาฆบูชา วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 กุมภาพันธ์ 2025 at 18:25.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เทศน์วันมาฆบูชา วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘

    https://www.youtube.com/live/vGIvbAImS4Y
    เทศน์เริ่มนาทีที่ ๒๗.๐๐

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    สติมโต สทา ภทฺทํ ติฯ

    ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิปัสสนาในสติกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมีของบรรดาธนิสราทานบดีทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

    ญาติโยมทั้งหลาย วันมาฆบูชานั้นจัดเป็นวันสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนาของเราวันหนึ่ง เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในพระพุทธศาสนา ต่อพระสงฆ์สาวกของพระองค์ท่านว่า..

    เมื่อถึงเวลาออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ว่ากล่าวไปในแนวทางเดียวกันดังนี้ ซึ่งภาษาบาลีนั้นท่านได้ใช้คำว่า..
    "สพฺพปาปสฺส อกรณํ" คือ การละเว้นจากความชั่วทั้งปวง

    "กุสลสฺสูปสมฺปทา" คือ การยังกุศลให้ถึงพร้อม
    "สจิตฺตปริโยทปนํ" ขอให้ชำระจิตของตนให้สะอาด หมดจดจากกิเลสทั้งปวง
    โดยที่ยืนยันว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ" ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สั่งสอนกันอย่างนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 111111.jpg
      111111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.4 KB
      เปิดดู:
      10
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    โดยที่..หลักการที่จะให้เข้าถึงทั้งหลายเหล่านี้นั้น ท่านกล่าวว่า..
    "อนูปวาโท" คือ ไม่ว่าร้ายใคร
    "อนูปฆาโต" ไม่ทำร้ายใคร
    "ปาติโมกฺเข จ สํวโร" ให้สำรวมในศีลตามสภาพของตน
    "มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ" คือ รับประทานอาหารแต่พอสมควรที่จะยังชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่กินล้น กินเกิน กินตามใจตัวเอง
    "ปนฺตญฺจ สยนาสนํ" ให้อยู่อาศัยในที่อันสงัด เหมาะแก่การปฏิบัติสมาธิภาวนา
    "อธิจิตฺเต จ อาโยโค" ให้ยังสภาพจิตของตนให้ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่านส่งส่ายไปตามอำนาจรัก โลภ โกรธ หลง


    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราทำได้ เราก็จะเป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น 'พุทธสาวก' อย่างแท้จริง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    โดยที่การประกาศศาสนานั้น พระองค์ท่านตรัสว่า..
    "ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา"
    "ขันติ" คือ ความอดทนอดกลั้นนั่นแหละ เป็น "ตบะ" หรือว่าแนวทางการปฏิบัติอย่างยิ่งของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของเรา

    "นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทธา"
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักตรัสถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ "พระนิพพาน" ไว้เสมอ

    "สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต"
    "สมณะ" คือ ผู้มีบาปอันลอยแล้ว ย่อมไม่ใช่ผู้ที่เบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ


    ดังนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศอุดมการณ์ไปแล้วว่า เราทั้งหลายมีที่สุดแห่งทุกข์เป็นที่ไป โดยที่ต้องอดกลั้นอดทน ไม่ว่าร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร ต้องเป็นผู้ที่สำรวมตนอยู่ในศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ รู้จักบริโภคอาหารแต่พอดี และพยายามอยู่ในที่สงัด สร้างสมาธิจิตให้เกิด

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดไม่ได้เลย..ถ้าเราขาดสติ
    ดังที่ยกบาลีขึ้นเป็นนิกเขปบทเมื่อครู่นี้ว่า "สติมโต สทา ภทฺทํ" ผู้มีสติย่อมเข้าถึงความเจริญได้ทุกเมื่อ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    การที่เราท่านทั้งหลายจะมีสตินั้น..เราจะต้องมีสมาธิก่อน ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะตั้งมั่น
    แล้วสมาธิของเรามาจากไหน ? สมาธิของเรามาจากศีลเป็นเครื่องหนุนเสริม


    ในขณะที่เราตั้งใจรักษาศีล ๕ หรือว่าศีล ๘ สำหรับอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ศีล ๑๐ สำหรับสามเณรก็ดี หรือว่าศีล ๒๒๗ สำหรับพระก็ดี ความที่เราต้องระมัดระวังไม่ให้ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่เผลอยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เท่ากับว่าเรากำลังสร้างสมาธิให้เกิด เพราะสภาพจิตที่จดจ่อระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

    ก็แปลว่า..เราท่านทั้งหลาย ถ้าจะปฏิบัติตามโอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ต้องเริ่มจากศีลก่อน ถึงจะเป็น "สพฺพปาปสฺส อกรณํ" ได้ ก็คือ การละเว้นจากความชั่วทั้งปวง คือ..
    การคิดชั่ว เราก็พยายามไม่คิด
    การพูดชั่ว เป็นการละเมิดศีล เราก็พยายามไม่พูด
    การทำชั่ว ที่เป็นการละเมิดศีล เราก็พยายามไม่ทำ

    ถ้าหากว่าเราทำอย่างนี้ได้จึงได้ชื่อว่า 'ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง' แต่เราจะละเว้นไม่ได้เลยถ้าหากว่า 'ขาดสติ' เพราะว่าบุคคลที่ไม่รู้ตัว..บางทีละเมิดศีลไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองทำผิด..! การที่เราจะหักห้ามใจตนเองไม่ให้ละเมิดศีลทั้งที่รู้ตัว ก็แปลว่า เราต้องมีกำลังสมาธิด้วย ถ้ากำลังสมาธิไม่เพียงพอก็เหมือนกับรถไม่มีเบรค ไม่สามารถที่จะหยุดรถให้ไหลลงที่ต่ำได้

    ดังนั้น..เราท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นศีลก็ดี เป็นสมาธิก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนของเราจักต้องมีเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะไหลตามกระแสโลกไปอย่างเดียว โดยไม่อาจจะที่ระงับยับยั้งตนเองเอาไว้ได้ เพราะว่าขาดสติ ขาดสมาธิ ดีไม่ดีก็ขาดปัญญาด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อถึงเวลา..เว้นจากความชั่วทั้งปวงแล้ว เราจะต้องทำความดีให้ถึงพร้อมด้วย ก็คือ ทำดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เป็น กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ รวมแล้ว ๑๐ ประการด้วยกัน ถ้าหากว่าสามารถละเว้นได้ทั้งหมด ก็ถือว่า 'เราทำความดีให้ถึงพร้อม'

    ละเว้นจากกายกรรม ๓ คืออะไร ? ก็คือ การไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดในกาม

    วจีกรรม ๔ คืออะไร ? ก็คือ ไม่โกหก ๑, ไม่พูดคำหยาบ ๑, ไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ๑ และไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ ๑

    มโนกรรม ๓ คืออะไร ? คือ..
    ไม่โลภ อยากได้ของคนอื่นจนเกินพอดี อยากได้อะไรให้หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม
    ไม่อาฆาตพยาบาทผู้อื่น จนเป็นการเอาไฟมาเผาใจตนเอง โกรธได้..แต่ว่าโกรธแล้วให้ลืม อย่าไปผูกโกรธเอาไว้
    และท้ายที่สุด..มีสภาพจิตที่ "รู้ดี รู้ชั่ว" เรียกว่า มี "สัมมาทิฏฐิ" ก็คือ สิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าสอนมานั่นเป็นสิ่งดี เราพร้อมที่จะปฏิบัติตาม

    ถ้าท่านทั้งหลายสามารถที่จะรักษาความดีอย่างนี้เอาไว้ได้ ถึงจะได้ชื่อว่า ท่านยังกุศลให้ถึงพร้อม แล้วท้ายที่สุดก็เหลือการชำระจิตของตนให้สะอาดปราศจากกิเลส ซึ่งโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยมาก แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เนื่องเพราะว่า..การชำระจิตของเราก็มีทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย..

    เบื้องต้นของเรานั้นชำระด้วยศีล หักห้ามตัวเอง ไม่ให้กิเลสไหลไปกระทบผู้อื่น โกรธ..แต่ว่าไม่ทำร้ายใคร โลภ ไม่ลักขโมยของใคร ถ้าหากว่าโกรธก็ไม่ด่าว่าใคร..ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ของเรา เราก็อยู่ในลักษณะของบุคคลที่เพียรพยายามหักห้ามตนเอง ซึ่งการหักห้ามนั้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อสมาธิของเราทรงตัว

    การที่จะมีสมาธิทรงตัวได้..ศีลทุกข้อของเรานอกจากบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ยังต้องหาเวลาในการภาวนาอย่างเป็นทางการเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเช้า ๆ เย็น ๆ สักครั้งละ ๕ นาที ๑๐ นาที หรือถ้าใครทำได้สัก ๓๐ นาทีหรือ ๑ ชั่วโมงก็ยิ่งดี..!

    โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด หรือว่าสภาวะสงครามต่าง ๆ เกิดขึ้น ภัยธรรมชาติเกิดขึ้น เราจะภาวนาก็ขอให้เกิดผลพิเศษด้วย..ก็ภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเลย ถ้าอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกเมื่อล่าสุดมา..ก็พยายามว่าให้ได้สักวันละ ๑๐๘ จบ ก็คือ ใช้ภาวนาเป็นกรรมฐาน ไม่ใช่สักแต่ท่องให้ได้ครบทั้ง ๑๐๘ จบ ถ้าทำอยู่ในลักษณะอย่างนี้ นอกจากเราทรงสมาธิแล้ว ยังมีผลพิเศษให้เกิดความคล่องตัว สามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    ในเบื้องต้นของเรา..เราใช้ศีลเป็นเครื่องป้องกันตนเอง ไม่ให้ตกไปอยู่ในที่ชั่ว เบื้องกลาง..ใช้สมาธิในการยับยั้งชั่งใจตน ไม่ให้คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว แล้วท้ายที่สุด..ยังต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมาแต่ละชาติของเรานั้นมีแต่ความทุกข์..

    ในปัจจุบันของเรานี้ สภาวะสงครามทำให้เดือดร้อนไปทั้งโลก ดีไม่ดีผลกระทบก็จะมาถึงเรา อยู่กับบ้านเฉย ๆ ก็มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลอกเราจนหมดเนื้อหมดตัว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีก เราก็ตั้งกำลังใจไว้ว่า ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

    ถ้าท่านทั้งหลายสามารถวางกำลังใจแบบนี้ ประพฤติปฏิบัติแบบนี้ได้ทุกวัน ถึงจะได้ชื่อว่าท่านทั้งหลายละเว้นจากอกุศลทั้งปวง กระทำกุศลให้ถึงพร้อม และพยายามชำระจิตของตนให้ผ่องใสจากกิเลส จึงจะสมกับพุทโธวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสไว้เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ให้แก่พวกเรา และในส่วนสำคัญก็คือ ต้องมีสติ ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา เราถึงจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในโลกที่วุ่นวายเร่าร้อนนี้ไปได้อย่างไม่ทุกข์ยากมากนัก
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,560
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนทั้งหลาย มีหลวงปู่สาย อคฺควํโส เป็นที่สุด

    ขอได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายอยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ แม้ว่าประสงค์จำนงหมายสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลายจงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรสทุกประการ

    รับหน้าที่วิสัชนามาในสติกถา เนื่องในวันมาฆบูชาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...