เชื้อสายครุฑหรืออดีตสัตว์ในหิมพานต์ มาแลกเปลี่ยนเรื่องป่าหิมพานต์กันคะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ม่อนดอยด์, 11 มกราคม 2011.

  1. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    1234773915.gif
    ข้าพเจ้าขออัญเชิญรูปพญาครุฑองค์นี้ไว้ที่หน้าเเรกของห้อง
    เพื่อจะให้บารมีพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่ในป่าหิมพานต์ได้ปกปักรักษาให้มีแต่สิ่งดีเข้ามา
    มิให้เกิดความขัดแย้ง เคืองใจ อาฆาต พยาบาทใดๆ ในห้องนี้
    และขอให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนทุกท่านจงมีแต่ความสุขกายสุขใจ พ้นทุกข์จากเคราะห์ภัยใดๆ ตลอดเทิอญ

    อะหังครุฑโธ อาคะ โตอัสสะมิ นาคะราเช อัปเปหิ อุทธังนาโค
    เหฏโฐ ครุฑ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังอิติ


    [​IMG]

    index.php?action=dlattach;topic=3022.jpg

    บทเกริ่นนำ
    ข้าพเจ้าได้ตั้งกระทู้ห้อง เชื้อสายครุฑ สัตว์หิมพานต์ และ ป่าหิมพานต์ ในห้องนี้เพื่อเป็นวิทยาทานเเก่ทุกบุคคลที่เข้ามาเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เพื่อนำไปศึกษาและเป็นวิทยาทาน ในห้องนี้มีทั้งบทความและข้อความที่ได้นำมาจากแหล่งอ้างอิงหลากหลายทั้ง เว็ปไซค์ หนังสือ วีดีโอ คลิปเสียง และอื่นๆอีกมากมาย ในห้องกระทู้นี้ความตั้งใจของข้าพเจ้าต้องการในทุกท่านเข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ผู้ใดรู้มาก ก็แบ่ง มาก ผู้ใดรู้น้อยก็แบ่งน้อย ผู้ใดต้องการเขามาศึกษาก็สามารถนำความรู้ไปเป็นวิทยาทาน ผู้ใดต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือสอบถามข้อสงสัย ก็สามารถทำได้ ซึ่งบ้านหลังนี้ข้าพเจ้าได้ต้อนรับทุกเพศทุกวัย ทุกภพภูมิ ด้วยความเต็มใจเปรียบเสมือนกัลยาณมิตร ต้อนรับ เนื่องจากในห้องนี้เป็นห้องที่เปิดเสรี ผู้คนสามารถวนเวียนหลากหลาย อาจจะมีการกระทบกระทั่งหรือความเห็นที่เเตกต่างเป็นเรื่งธรรมดาในสังคมใหญ่ ควรใช้ สติ สัมปัชชัญญะ พิจรณา และ วิจรณญาณในการ เสพ วิทยาทาน เพื่อเป็นการดีต่อตัวท่านเอง และ บ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับกัลยาณมิตรทุกท่าน

    หญิงทิพย์คะ

    [MUSIC]http://audio.palungjit.org/attachment.php?attachmentid=49876[/MUSIC]​

    .........................................................................................................



    ประวัติป่าหิมพานต์
    ความกว้างโดยเฉลี่ยของเทือกเขาหิมาลัยอยู่ที่ประ มาณ ๒๐๐ กิโลเมตร เทือกเขาพาดเป็นแนวจากทิศ ตะวันออกไป ทิศตะวันตกถึงตอนกลางของประเทศ เนปาล และเป็นแนวจาก ทิศตะวันออก เฉียงใต้ไปทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือครอบคลุม อาณาบริเวณหลายประเทศจากอาฟกานิสถาน ปากีสถาน จีน อินเดีย เนปาล ภูฏาณ บังคลาเทศ และสหภาพพม่า

    ภูมิอากาศของเทือกเขาหิมาลัยนั้นค่อนข้างจะคาดคะเนลำบาก แต่โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับระดับความสูง อุณหภูมิจะอยู่ในระดับต่ำ ในเขตภูเขาสูงและในเขต เนินเขาจะมีความชื้นสูง

    ตำนานป่าหิมพานต์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์

    ในสมัยเด็ก เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ในเรื่องของ " กินรี " พญาครุฑ ตลอดจนป่าหิมพานต์ และเชื่อว่าทุกคนจะต้องหลงมนต์ชื่นชอบ อยากค้นหา ดินแดนมหัศจรรย์นี้ เหมือนกับฉัน ...ฉัน คิดเสมอว่า เรื่องนี้ " ต้องเป็นเรื่องจริง " ไม่ใช่ แค่เรื่องในตำนานอย่างที่ผู้ใหญ่บอกอย่างแน่นอน แต่อะไรล่ะ? ที่จะนำมาใช้ประกอบเป็นเหตุผล ในข้อสันนิษฐาน ของเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง


    จะตะโกนป่าวร้องบอกใครก็ไม่ได้ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเรา ” เพ้อเจ้อ ” แต่ถ้าใครจะคิดอย่างนั้น ก็คงจะไม่ผิดนัก จะว่าไป..ก็ไม่ใช่เพราะความเพ้อเจ้อนี้หรอกเหรอ? ที่ทำให้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ ” ป่าหิมพานต์ “ มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญ วรรณกรรมต่างๆในอดีต ก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของป่าหิมพานต์มาเกี่ยวโยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พระสุทน มโนรา ตลอดจน ละครจักรๆ วงศ์ ที่กำลังฉายผ่านทางจอแก้ว แม้จะพิสูจน์เป็นตุเป็นตะไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง..มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..รู้ไว้ใช่ว่า เผื่อวันหน้า มีโอกาสข้ามผ่านมิติไปถึงแดนทิพย์นี้จริงๆก็เป็นได้

    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในป่าหิมพานต์นี้ ไม่ว่าพืช หรือสัตว์ จะมีรูปร่างที่แปลกไปจากเมืองมนุษย์เรา โดยตำนาน กล่าวไว้ว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย (ประเทศอินเดีย)ทอดตัวต่ำลงมาใน แดนมนุษย์ ทับซ้อนมิติกันอยู่กับโลกมนุษย์ ในหลายประเทศ และแถบสุวรรณภูมิทั้งหมด หลายคนเคยสงสัยบ้างมั้ย? เมื่อเรา ได้ยิน ได้ฟัง คนโบราณพูดถึงแดนลับแล แดนสนธยา ป่าหิมพานต์ โลกทิพย์ เหล่านี้ ผู้รู้ได้กล่าวว่าดินแดนทั้งหลายเหล่านี้นั้น ก็คือ เป็นดินแดนที่อยู่บนโลกใบเดียวกันกับมนุษย์เรา เพียงแต่อยู่ต่างมิติกัน หรือ อยู่กันคนละคลื่นความถี่เท่านั้นเอง
    ซึ่งหากมนุษย์คนใดสามารถปรับจูนให้คลื่นความถี่ ของจิตตรงกันได้ เขาคนนั้นก็สามารถพบเห็นดินแดนต่างๆที่อยู่ซ้อนกันกับเราได้ ซึ่งบางพวก บางเหล่าก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา มีเลือดเนื้อ มีชีวิตจิตใจเหมือนเราทุกประการ เช่น มนุษย์ที่อยู่ในเมืองลับแล เขาเหล่านี้มีการใช้ชีวิตที่คล้ายคลึงเราทุกอย่าง จะต่างกันก็ตรงทุกคนในเมืองลับแลอยู่แบบธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกัน และกันเคร่งครัดในศีล 5 มากกว่ามนุษย์โลก แดนหิมพานต์ ถือเป็นดินแดนที่ศักสิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ที่มีรูปร่าง แปลกประหลาดมีอิทธิฤทธิ์
    ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ ตลอดจนแร่ธาตุต่างๆ ล้วนมีพลังอำนาจมหัศจรรย์ อีกทั้งยังเป็นที่อยู่ของบรรดานักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ยักษ์ ฤษี ชีไพร ผู้ทรงอภิญญาทางจิตกล้าแข็งทั้งหลาย อยู่กันอย่างสันติภาพไม่เบียดเบียนกัน ในบ้านเรานั้นมีอยู่หลายจังหวัดที่เป็นรอยต่อเชื่อม ซึ่งเรียกว่า ประตูผ่านมิติ บางคนอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนพลัดหลงเข้าไปยังดินแดนต่างมิติกับเรา เช่น หนองคายเป็นรอยต่อกับเมืองบาดาล อุตรดิษฐ์เป็นรอยต่อกับเมืองลับแล บริเวณป่าแถบกาญจนบุรีเป็นรอยต่อกับป่าหิมพานต์ เป็นต้น
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในศิลปะและวรรณกรรมของ ประเทศอินเดียและประเทศไทยอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์ ป่านี้ มีที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตประเทศอินเดีย และเนปาล เหนือป่าหิมพานต์ขึ้นไป เป็นสวรรค์ ในตำนานของชาวพุทธ ว่ากันว่าคนสามัญธรรมดาไม่ สามารถมองเห็นและ ย่างกรายเข้ามายังป่าแห่งนี้ได้ สัตว์หิมพานต์เหล่านี้นี่เอง ที่ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็น ลวดลายงดงามไม่ว่า จะเป็นรูปปั้น รูปวาด รูปแกะสลัก หรือ เครื่องประดับต่างๆ
    ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมาลายาหรือหิมาลัย คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ ีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางด้านภูมิศาสตร์หิมาลัยเป็น เทือกเขาในทวีปเอเชีย ประกอบไปด้วยเขาแนว ขนานหลายๆลูก และเป็นเทือกเขาที่มียอดเขาสูง ชัน กว่า ๓๐ ยอดเขามีความสูงเกิน ๗,๖๒๐ เมตร (๒๕,๐๐๐ ฟุต) โดยมียอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งสูงถึง ๘,๕๓๕ เมตร (๒๙,๐๒๙ ฟุต) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก.




    ในป่าหิมพานต์ จึงมีพืชพันธุ์แปลกๆ มากมาย สัตว์พันธุ์แปลกๆ มากมาย ทั้งสัตว์กึ่งเทพ สัตว์กายสิทธิ์ ก็อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ นี่เอง

    ป่าหิมพานต์ ความจริงเป็นภูเขา เรียกว่าภูเขาหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต เมื่อมองลักษณะรูปร่างแล้ว เรียกภูเขาหิมพานต์ แต่เมื่อมองในลักษณะมีต้นไม้มากแล้ว ก็คือป่าหิมพานต์

    เขาหิมพานต์ ยังประกอบด้วยยอดเขาย่อยๆ อีกมากมาย
    เขาหิมพานต์ มีสระสำคัญๆ อยู่ ๗ สระ คือ

    ๑. สระอโนดาต
    ๒. สระกรรณมุณฑะ
    ๓. สระรถการะ
    ๔. สระฉัททันต์
    ๕. สระกุณาละ
    ๖. สระมันทากินี
    ๗. สระสีหปปาตะ
    สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น
    รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ ๕ ยอดเขาได้แก่

    ยอดเขาสุทัสสนะ (สุทัสสนกูฏ)
    ยอดเขาจิตตะ (จิตรกูฎ )
    ยอดเขากาฬะ (กาฬกูฎ)
    ยอดเขาคันธมาทน์ (คันธมาทนกูฏ)
    ยอดเขาไกรลาส (ไกรลาสกูฏ)

    ยอดเขาสุทัสสนะ เป็นทองคำ รูปทรงโค้งตามแนวสระอโนดาต และปลายยอดเขา มีสัณฐานโค้งงุ้มดังปากกา โอบปิดด้านบนสระอโนดาตไว้ ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ตรงๆ

    ยอดเขาจิตตะ เป็นรัตนะ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

    ยอดเขากาฬะ เป็นแร่พลวง หินแห่งยอดเขาสีนีล รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

    ยอดเขาคันธมาทน์ รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ (เหมือนภูกระดึง) อุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์ ทั้งไม้รากหอม ไม้แก่นหอม ไม้กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ไม้ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ทั้งยังอุดมไปด้วย ไม้อันเป็นโอสถนานาประการ ในวันอุโบสถ(วันพระ) ข้างแรม ยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ ข้างขึ้น แสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม... ภายในเขาคันธมาทน์ มีถ้ำบนยอดเขาชื่อว่าถ้ำนันทมูล เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และถ้ำเงิน
    ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงิน รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ วิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้

    ยอดเขาทั้ง๕ ตั้งตระหง่านรายล้อมสระอโนดาตไว้ และมีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา ธารน้ำทั้งหลาย จากเขาหิมพานต์ ทุกสารทิศ จะไหลมาผ่านยอดเขา๕ลูกนี้ (ลูกใดลูกหนึ่ง) จากนั้น ก็จะไหลรวมลงสู่สระอโนดาต
    (เหตุที่ได้ชื่อว่าอโนดาต ก็เพราะ มีเงื้อมผาโค้งงุ้มดังปากกา โอบบังแสงไว้ด้านบน ทำให้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ไม่สามารถส่องผ่านไปโดนน้ำตรงๆ ได้ แสงเพียงลอดเข้าด้านข้าง ในแนวเหนือใต้ ตรงระหว่างรอยต่อยอดเขากับยอดเขา เท่านั้น สระนี้ จึงได้ชื่อว่า “อโนดาต”...แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน..)
    จากสระอโนดาต... จะมีปากทางให้น้ำไหลระบายออกอยู่สี่แห่ง ทิศละแห่ง คือ

    สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก)
    หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง (เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก)
    อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า (เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก)
    อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ (เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก)

    เกิดเป็นแม่น้ำใหญ่สี่สาย ไหลล่อเลี้ยงรอบนอกของเขาหิมพานต์ ก่อนลงสู่มหาสมุทร...

    ด้านทิศตะวันออก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันออก ลงสู่มหาสมุทร

    ด้านทิศตะวันตก จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศตะวันตก ลงสู่มหาสมุทร

    ด้านทิศเหนือ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว ไม่ข้องแวะกับแม่น้ำอีกสามสาย ไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ทางภูเขาหิมพานต์ ด้านทิศเหนือ ลงสู่มหาสมุทร
    (ที่แม่น้ำทุกสาย ไหลวนรอบสระอโนดาตเหมือนกัน แต่ไม่ข้องแวะกัน เพราะ ไหลลอดอุโมงค์หิน ไหลลอดภูเขา ออกไป)

    ด้านทิศใต้ จากสระอโนดาต เลี้ยวขวาสระอโนดาตสามเลี้ยว แล้วไหลตรงไปทางใต้ประมาณ ๖๐ โยชน์ โผล่ออกมาใต้แผ่นหิน ตรงบริเวณหน้าผา กลายเป็นน้ำตกสูงใหญ่ยิ่ง ความสูงสายน้ำตกประมาณ ๖๐ โยชน์ สายน้ำตกอันรุนแรงนั้น ตกกระทบแผ่นหินเบื้องล่าง จนหินแตกกระจายออก ในที่สุดกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ รองรับสายน้ำตกนั้น แอ่งน้ำนี้มีชื่อเรียกว่า “ติยัคคฬา” เมื่อน้ำมากขึ้น ได้พังทำลายหินอันโอบล้อมอยู่ออกไปได้ทางหนึ่ง เจาะกระแทกหินที่ไม่แข็ง เป็นอุโมงค์ ไหลไป จนถึงส่วนที่เป็นดิน ก็เจาะทะลุดิน เป็นอุโมงค์ และไหลลอดตามอุโมงค์ดินนั้นไป จนถึงภูเขาหินขวางอยู่ (ติรัจฉานบรรพต=ภูเขาขวาง) ภูเขานี้เรียกว่า วิชฌะ เมื่อน้ำกระทบหินเข้า ก็ไปต่อไม่ได้โดยง่าย แรงน้ำได้ดันจุดที่อ่อนแอที่สุดออกไปได้ ๕ จุด เกิดเป็นทางแยก ๕ แยก และกลายเป็นต้นน้ำสำคัญแห่งมนุษย์ ๕ สาย ด้วยกัน คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมุนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ และแม่น้ำทั้ง๕ นี้ นอกจากผู้ตาทิพย์แล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่า ของจริงอยู่ที่ไหน ...



    <CITE>www.himmapan.com </CITE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กุมภาพันธ์ 2011
  2. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    มักกะรีผล นารีผล หรือ มัคคะรีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่…
    หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็น อาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก
    ก่อน จะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้น มาเก็บเอาไป สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในศิลปะและวรรณกรรมของ ประเทศอินเดียและประเทศไทยอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์ ป่านี้ มีที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตประเทศอินเดีย และเนปาล เหนือป่าหิมพานต์ขึ้นไป เป็นสวรรค์ ในตำนานของชาวพุทธ ว่ากันว่าคนสามัญธรรมดาไม่ สามารถมองเห็นและ ย่างกรายเข้ามายังป่าแห่งนี้ได้ สัตว์หิมพานต์เหล่านี้นี่เอง ที่ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็น ลวดลายงดงามไม่ว่า จะเป็นรูปปั้น รูปวาด รูปแกะสลัก หรือ เครื่องประดับต่างๆ
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    มักกะรีผล จากป่าหิมพานต์สู่วัดอัมพวัน
    เบื้อง หลังมายาภาพของมวลมนุษย์ ที่ยึดถือรูปธรรมเป็นสรณะ ยังมีภาวะเร้นลับอันซับซ้อนซ่อนอยู่อีกหลายมิติ…ดังนั้นสิ่งที่เราไม่เคย เห็นไม่เคยได้ยิน ไม่เคยจับต้อง อาจไม่ได้แปลว่า…ไม่มีอยู่จริง ดังเช่น มักกะลีผล ผลไม้อัศจรรย์ ซึ่งมาเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมตั้งแต่ท่านยังอยู่ในวัยเด็กที่จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป
    คุณยายเล่าให้ฟัง คุณยายของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม เป็นอุบาสิกา ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง คุณยายได้เล่าให้ท่านฟังว่า ตอนที่คุณยายเป็นสาว ทุกๆวันจะทำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายหลวงพ่อช้าง เจ้าอาวาสวัดตึกราชา วันหนึ่งคุณยายก็ไปนำอาหารไปถวายหลวงพ่อช้างตามปกติ แต่กลับได้พบกับแขกอินเดียมีหนวดเครา ผมเผ้ารุงรัง ใส่เครื่องนุ่งห่มที่ไม่เหมือนพระสงฆ์ในพุทธศาสนา นั่งสงบเสงี่ยมอยู่กับหลวงพ่อช้าง คุณยายจึงถามด้วยความสงสัย หลวงพ่อช้างได้อธิบายให้ยายฟังว่า แขกผู้นี้เป็นโยคีที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ มีโยคีอีกตนซึ่งเป็นเพื่อนกันชวนเหาะไปเที่ยว
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    โยคี ตนนั้นได้ฌานสมาบัติเหาะได้ แต่โยคีที่นั่งอยู่กับหลวงพ่อช้าง ยังเหาะไม่ได้ โยคีเพื่อนกันจึงทำปรอทให้อม จนสำเร็จปรอทจึงเหาะมาด้วยกัน ระหว่างทางเกิดมีเรื่องเถียงกัน เผลอตัวอ้าปากพูด ปรอทร่วงออกจากปาก ก็เลยหมดฤทธิ์และหล่นลงมา โยคีแขกอยากกลับไปป่าหิมพานต์แต่เหาะไม่ได้ จึงอ้อนวอนให้หลวงพ่อช้าง ซึ่งสำเร็จฌาณสมาบัติแล้วพาไปส่ง และบอกว่าในป่าหิมพานต์สวยงามมาก มีต้นมักกะรี ที่ออกผลมีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา และถ้าหลวงพ่อช้างไปถึงป่าหิมพานต์จะฉันอะไรไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะออกจากป่าหิมพานต์ไม่ได้
    หลวง พ่อช้างได้ซัดปรอทและพาโยคีแขกเหาะไปป่าหิมพานต์ ได้เห็นต้นมักกะรีผลจริงๆ เมื่อกลับมา หลวงพ่อช้างได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณยายฟัง เวลานั้นหลวงพ่อจรัญ ยังเด็ก รับฟังเรื่องนี้อย่างฝังใจจำ เพราะเป็นเรื่องแปลก ต่อมาเมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว จิตสำนึกเดิมๆ ในเรื่องมักกะรีผลก็ยังค้างคาใจอยู่ พระสิงหลเจ้าของมักกะรีผล ปีพ.ศ.2515 หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (พระครูภาวนาวิสุทธิ) ได้รับนิมนต์ให้ไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ประเทศศรีลังกา ท่านได้ไปในสถานที่สำคัญหลายแห่ง รวมทั้ง เขาสีคิริยา ที่พวกทมิฬ หินชาติจับพระมหากษัตริย์กังขังไว้ และฆ่าพระเณรตายหมด
    ระหว่าง ที่ท่านเดินไปตามทางที่เป็นป่า ได้พบถ้ำแห่งหนึ่ง ภายในถ้ำมีกลิ่นหอมประหลาดล้ำอบอวลไปทั่ว ที่นั่น หลวงพ่อจรัญได้พบกับพระชาวสิงหล นุ่งห่มผ้าสีดำ ปล่อยหนวดเครารุงรัง นั่งเจริญกรรมฐานอยู่ หลวงพ่อจรัญได้มนัสการก่อนในฐานะผู้มาเยือนประกอบกับท่าทางจะมีอาวุโสกว่า ท่าน พระชาวสิงหลได้พูดกับหลวงพ่อจรัญและชี้ไปที่มุมถ้ำด้านหนึ่ง ตรงนั้นมีสตรีเพศซึ่งงดงามมาก ทอดกายนอนอยู่โดยปราศจากอาภรณ์ใดๆปิดบัง หลวงพ่อจรัญคิดตำหนิอยู่ในใจว่า พระรูปนี้แย่มาก เอาสีกามาไว้ในถ้ำในชุดวันเกิด มองรอบๆถ้ำพบแต่ความเงียบสงัด ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมอีก
    พระชาวสิงหลพูดว่า “พระคุณเจ้าพิจารณาด้วยวรญานเถิด” หลวงพ่อได้พิจารณาดูด้วยวรญาน จึงได้รู้ว่าสีกาที่นอนเปลือยกายอยู่นั้นมิใช่มนุษยธรรมดา หากเป็นผลไม้ ชื่อ… “มักกะรีผล !!” คราวนี้หลวงพ่อจึงกล้าพิจารณาโดยละเอียดและเข้าไปดูใกล้ๆ เพราะเป็นเรื่องอัศจรรย์เหลือล้ำเกินคำกล่าวใดๆ ที่ได้มีวาสนามาพบเห็นภาวะเหนือโลกเช่นนี้
    “มักกะรีผล” มีขนาดสัดส่วนเท่ากับหญิงสาวอายุ 16 ปี ใบหน้ารูปไข่ มีเส้นผมยาวสยายเป็นสีทองเหมือนผู้หญิงฝรั่ง ตรงกลางกระหม่อมมีลักษณะเหมือนขั้วผลไม้เทียบได้กับมังคุด นัยน์ตาใหญ่ได้รูป ส่วนที่เป็นนัยน์ตาดำมีประกายระยิบระยับคล้ายเจือเกร็ดทอง นัยน์ตาขาวเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่งรับกับปาก ช่วงลำคอ เป็นปล้อง 3 ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า ดูอิ่มเต็มเนียนไปหมด ผิวพรรณหรือผิวหนังตึงเต่งเหมือนผิวมะปรางสุก นิ้วมือเรียวลงไปเหมือนนิ้วมนุษย์ แต่ปลายนิ้วทั้ง 4 ยาวเสมอกัน เว้นหัวแม่มือ หลังมือก็อิ่มเต็มเกลี้ยงเกลา ข้อมือข้อเท้ากลมกลึงไม่มีปุ่มกระดูกเหมือนคนทั่วไป
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellSpacing=1 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD align=middle></TD><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    และ กลิ่นหอมที่อวลตลบอยู่ในถ้ำ แท้จริงเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ระเหยมาจากมักกะรีผลนี่เอง เมื่อพระสิงหลเห็นหลวงพ่อจรัญ พิจารณาจนพอใจแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่า ท่านได้มักกะรีผลนี้มาจากป่าหิมพานต์ มักกะรีผล เป็นต้นไม้ที่ออกดอกมาเป็นพวงๆหนึ่งมี 5 ผล รูปร่างเป็นผู้หญิงสาวทั้งนั้น พอ 7 วันจะหมดอายุร่วงหล่นพร้อมๆกัน
    นี่คือความ มหัศจรรย์เหนือโลก ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญานมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ไปพบเห็นมักกะลีผล ด้วยตาเนื้อของท่านที่ประเทศศรีลังกา เมื่อหลวงพ่อจรัญพบเห็นมักกะลีผลที่ประเทศศรีลังกาแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตขอพบมักกะรีผลในประเทศไทย “เหตุมหัศจรรย์” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดอัมพวัน

    [​IMG]
    ผู้ครอบครอง “มักกะรีผล” ในไทย ที่จังหวัดลพบุรี…
    มี วัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนที่ดอนกลางท้องทุ่ง เจ้าอาวาสเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบ มีศีลาจารวัตรงดงาม เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในละแวกนั้น ชายชราผู้หนึ่งแต่งกายคร่ำคร่า ค่อนไปทางสกปรกสะพายย่ามใบใหญ่ใส่ของไว้จนโป่ง เดินเข้ามาหามนัสการเจ้าอาวาส และพูดว่า “กระผมเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ยังอยู่ไกลเหลือเกิน อยากจะขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าพักทีวัดนี้สัก 7 วัน พอให้มีเรี่ยวแรงก็จะเดินทางต่อไป”
    ท่านเจ้า อาวาสมีจิตเมตตาจึงเอ่ยปากอนุญาตให้พักที่ศาลา ให้ทายกวัดจัดสำรับกับข้าวมาให้คนจรสูงอายุกินด้วย แต่ทายกทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเห็นเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่อยากต้อนรับ เจ้าอาวาสจึงเป็นผู้จัดการเสียเอง เมื่อครบกำหนด 7 วัน ชายชราก็มาหาเจ้าอาวาสบอกว่าขอนมัสการกราบลา และ ขอบพระคุณที่ท่านเจ้าอาวาสมีเมตตาให้กินอยู่หลับนอนตลอด 7 วัน
    ท่าน เจ้าอาวาสก็ยิ้มแย้มไม่ว่ากระไร และมีน้ำใจเดินไปส่งจนถึงประตูหลังวัด ก่อนจะออกนอกเขตวัด ชายชราคนจรได้มนัสการท่านเจ้าอาวาส แล้วกล่าวว่า “พระ คุณเจ้าเป็นผู้มีเมตตา กระผมอยากจะทดแทนพระคุณของท่าน ก่อนอื่นกระผมขอเตือนพระคุณเจ้าว่า หากมีความต้องการจะทำอะไรเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้รีบลงมือทำทันทีให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี หลังจากนี้พระคุณเจ้าจะไม่ได้อยู่ทีวัดนี้แล้ว ประการต่อมากระผมขอถวายสิ่งที่อยู่ในย่ามนี้ให้พระคุณเจ้าเก็บรักษาไว้ ถือว่าเป็นสิ่งแทนน้ำใจของกระผมก็แล้วกัน”
    ชาย ชราคนจรปล่อยย่ามจากหัวไหล่ และมอบให้ท่านเจ้าอาวาส แล้วก็กราบลาไป สมภารเจ้าอาวาสเปิดย่ามดูเห็นของประหลาดอยู่ในย่าม มีกระดาษเขียนข้อความว่า “มักกะรีผล 2 ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์ เป็นของฝากของขวัญมอบให้สมภารไว้ที่นี่”

    นอก จากนั้นยังทำนายเหตุการณ์ และสั่งความไว้อีกพอควร เมื่อท่านสมภารเห็นมักกะรีผลและข้อความที่เขียนไว้เป็นอัศจรรย์ จึงตะโกนเรียกคนในวัดให้วิ่งไปตามชายชราคนจรกลับมาโดยเร็ว ลูกศิษย์วัดก็รีบลนลานออกประตูหลังวัดไปทันที ทั้งที่ชายชราผู้นั้นเดินจากไปไม่นานและบริเวณหลังวัดก็เป็นทุ่งนาโล่งไป ตลอดสุดสายตา แต่ลูกศิษย์ที่วิ่งไปตามชรากลับไม่เห็นใครเลย ราวกับชายชราผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้ว
    เมื่อท่านสมภารกลับมาดูยังที่พักของชายชรา เสื่อหมอนที่ใช้นอน ใช้หนุน แทนที่จะเหม็นสาบ เพราะผู้ใช้สกปรกซอมซ่อเหลือกำลัง กลับระเหยกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นธูปเทียนและน้ำมันจันทน์ตลบอบอวล ท่าน เจ้าอาวาสได้เก็บรักษามักกะรีผลไว้อย่างมิดชิด แล้วเร่งสร้างกุฏิกรรมฐานจนแล้วเสร็จ เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีสำหรับท่าน เมื่อครบเวลา 4 ปี เจ้าอาวาสก็ถึงแก่มรณภาพ เป็นไปตามคำของชายชราคนจรซึ่งเคยเตือนไว้
    เจ้าอาวาสรูป นี้บวช 2 ครั้ง บวชครั้งแรกตามประเพณี แล้วก็สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวลูกเมียไปตามปกติ ครั้นอายุมากขึ้นเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตทางโลก จึงได้กลับมาบวชอีก กระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ลูกชายของท่านเจ้าอาวาสองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญตั้งแต่เล็กๆ หลวงพ่อได้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือและบวชให้ เมื่อเป็นพระภิกษุก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดอัมพวัน จนกระทั่งสึกไป
    เมื่อ ท่านสมภารมรณภาพ ลูกชายก็ไปทำศพ ไปได้มักกะรีผล 2 ผล ของหลวงพ่อสมภารกลับมา แล้วนำมาถวายให้หลวงพ่อจรัญ อธิษฐานจิตที่หลวงพ่อจรัญได้กำหนดไว้ที่ภูเขาสีคิริยา ได้ปรากฏเป็นอัศจรรย์ขึ้นแล้วที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญได้เก็บรักษามักกะรีผลนี้ไว้เงียบๆ
    ขณะเดียวกัน ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมักกะรีผลตามกฎอนิจจังเป็นลำดับ ธรรมชาติของมักกะรีผลเป็นพืชผล แม้จะอุบัติขึ้นด้วยความมหัศจรรย์เหนือโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นความเสื่อมไปได้ คราวแรกที่หลวงพ่อจรัญได้รับมักกะรีผลทั้งสองผลมานั้น ยังมีขนาดใหญ่พอควร ต่อมาก็ค่อยๆ แห้งเฉาลดขนาดลงไปเรี่อยๆ จนกระทั่งเหลือความสูงประมาณ 10 นิ้วฟุต และเมื่อแห้งเฉาถึงสุดแล้ว ก็เหลือเพียงรูปถ่ายซึ่งได้บันทึกเก็บไว้เท่านั้น


    <CITE>www.himmapan.com </CITE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2011
  3. mmie

    mmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,986
    ผลไม้มหัศจรรย์...ยุคสมัยนี้คงจะพาพบได้ยากแล้ว
     
  4. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    กินรี
    ในเทวะประวัติของพระพุธ<O:p></O:p>
    เมื่อครั้งท้าวอิลราชประพาสป่าแล้วหลงเข้าไปในเขตหวงห้ามของพระศิวะนั้น ท้าวอิลราช และข้าราชบริพารผู้ติดตาม ล้วนถูกพระศิวะสาปให้แปลงเพศกลายเป็นหญิงไปทั้งหมด ต่อมานางอิลา (ชื่อของท้าวอิลราชขณะมีเพศเป็นหญิง) และบริวารได้มาเล่นน้ำที่สระ ใกล้ ๆ กับอาศรมของพระพุธ พระพุธเห็นนางอิลาเข้าก็นึกชอบ จึงรับนางไว้เป็นชายา แล้วเสกให้บริวารของนางกลายเป็นกินรี ท่องเที่ยวหาผลไม้กินอยู่ในป่าหิมพานต์ แล้วพระพุธก็ตรัสแก่นางกินรีเหล่านั้นว่า . . . เจ้าทั้งหลายจงเป็นกินนรี (กินรี) และอาศัยอยู่ในเขานี้เถิด กูจะหามูลผลาหารให้กินมิให้อดอยาก และกูจะหากิมบุรุษให้เป็นสามีเจ้าทั้งหลาย
    จากข้อความข้างต้นนี้ก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่า “กิมบุรุษ” ที่ว่านี้มีอยู่ก่อนแล้ว และพระพุธจะนำพวกกิมบุรุษมาอยู่คู่กับพวกนางกินรีที่ทรงเสกไว้ หรือพระพุธจะเสกกิมบุรุษขึ้นใหม่ให้มาเป็นคู่กับนางกินรีที่เสกเอา ไว้ก่อน คำว่า “กิมบุรุษ” นี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายไว้ว่า… “กิมบุรุษ” หรือ “กินนร” มาจากมูลอันเดียวกันคือ “กึ” แปลว่า อะไร เพราะฉะนั้นคำว่ากิมบุรุษ ก็แปลว่า ชายอะไร และกินนร แปลว่า คนอะไร ถ้าเป็นอิตถีลึงค์ (เพศหญิง) ก็เรียกว่า กินนรี
    ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า “กินนร” นั้นชอบกล ทางบาลีสันสกฤตเป็นตัวผู้ ว่าหน้าเป็นม้าตัวเป็นคน เป็นบริวารของท้าวเวสสุวัณ นัยหนึ่งว่าเป็นคนธรรพ์ พวกเล่นเพลงของเทวดา โดยลักษณะนี้เรียกว่า “อัศวมุขี” ก็เรียก เลือนมาทางไทยกลายเป็น “อัคขมูขี” เพราะฟังไม่สรรพจับมากระเดียด… กินนรผู้หญิงต้องเป็น “กินนรี” ทางบาลีสันสกฤตแปลว่า นางฟ้า หรือถัดมาก็เป็นอัปสร คือละครของเทวดา ตามที่ว่านี้เข้าเรื่องนางมโนห์รา ที่ว่าใส่ปีกหาง ที่แท้ “กินนร” หรือ “กินนรี” ไม่มีกล่าวถึงปีกหางเลย แต่ทำไมจึงทำเกี่ยวกับนกไปไม่ทราบ รูปที่พบเป็นครึ่งคนครึ่งนกก็มีที่เป็นคนติดปีก ติดหางอย่างนางมโนห์ราก็มิ ล้วนแต่เป็นนางทั้งนั้น ที่ทำรูปกินนรผู้ชายก็มี แต่มีน้อย
    ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง
    กล่าวถึงพวกกินนรว่า…ในเหมเขาไกรลาศนั้นแล ว่ามีเมืองอันหนึ่งเทียรย่อมเงินแลทอง และมีฝูงกินนรีอยู่แห่งนั้น บ้านเมืองแห่งนั้นสนุกนักหนาดังเมืองไตรตรึงษาสวรรค์ และเมืองนั้นพระปรเมศวรธอยู่นั้นแล… พระปรเมศวรคืออีกนามหนึ่งของพระศิวะ…ตามข้อความข้างต้นก็หมายถึงว่าพวกกินนรเป็นบริวารของพระศิวะ ซึ่งผิดกับตำราของจอห์น เดาสัน ที่ว่าพวกกินนรเป็นบริวารของท้าวกุเวร
    ในหนังสือของ พี.ธอมัส
    กล่าวว่า…ที่เชิงเขาพระเมรุเป็นที่อยู่ของคนธรรพ์ กินนรและสิทธ… และว่าคนธรรพ์กับกินนรเป็นเชื้อสายเดียวกัน จึงมีรูปกายคล้ายคลึงกัน…ความข้อนี้ตรงกับเรื่องราวในเรื่องพระสุธน ที่พราหมณ์ปุโรหิ่ตและให้เอาคนธรรพ์มาบูชายัญแก้ลางร้าย ถ้าหาคนธรรพ์ไม่ได้ ก็ให้จับนางมโนห์รามาบูชายัญแทนก็ได้ เพราะเป็นเชื้อสายคนธรรพ์ มาแต่ป่าหิมพานต์เหมือนกัน บ้างก็เรียกรวม ๆ กันไปก็มี เช่น นางเทพคนธัพ-กินรี หรือนางกินรเทพคนธัพ
    ในคัมภีร์ปรมัตถโชติกะ
    กินนร มีรูปร่างเหมือนคน แต่แตกต่างไปบางอย่าง เช่น แขนทั้งสองเหมือนคน แต่ฝ่ามือทั้งสองเหมือนนก ศีรษะ ใบหน้า จมูก ตา เหมือนคน ส่วนริมฝีปากกว้างจดคอ และปากยาวยื่นออกมาเหมือนม้า ขา ฝ่าเท้า และนิ้วเหมือนนก ตามตำรานี้ กินนรก็เป็นคนครึ่งนกปนม้า
    ในภัลลาติยชาดก
    ธรรมดากินนรนั้นย่อมมีความกลัวน้ำมากที่สุด ซึ่งเป็นข้อความที่ขัดแย้งกับอุปนิสัยของกินนรในเรื่องพระสุธนที่สุด… เพราะในเรื่องพระสุธนนั้น นางมโนห์ราชอบไปเล่นน้ำที่สระกลางป่าหิมพานต์พร้อมกับที่สาวอีกหกนางเสมอ จึงได้ถูกพนานบุณฑริก (หรือพรานบุญ) ดักจับตัวมาถวายพระสุธนและในภัลลาติยชาดกยังได้จัดแบ่งพวกกินนรออกเป็น
    1. เทวกินนรา
    2. จันทถินนรา
    - ทุมกินนรา
    - ทัณฑมาณกินนรา
    - โกนตกินนรา
    - สกุณกินนรา
    -กัณณปาวุรณกินนรา
    นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนางกินรีในวรรณคดีไทย ซึ่งไม่ค่อยได้พูดถึงกินนร (เพศชาย) เลย จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ



    <CITE>www.himmapan.com </CITE>[​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2011
  5. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    เคยได้ยินว่าคนทีเข้าป่าหิมพานต์ไปแล้วออกยากนะ
     
  6. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    เขาสามร้อยยอด ในจังหวัดประจวบฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์ครับ
     
  7. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    สระอโนดาต เป็นสระที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุด ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต พื้นสระอโนดาต เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อมโนศิลา บริเวณที่เป็นดิน ก็เป็นดินกายสิทธิ์ชื่อหรดาล (ใช้ถูตัวได้ดี) น้ำใสแจ๋วสะอาด ท่าอาบน้ำ มีมากมาย เป็นที่สรงสนานแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมถึงเหล่าผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เช่น ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค เทวดา เป็นต้น
    สระอโนดาด<!--colorc--><!--/colorc--><!--coloro:#9932cc--><!--/coloro--> ยาว กว้าง ลึก 50 โยชน์ กลม 250 โยชน์เท่า ๆกันทั้ง 7 สระ น้ำใสเย็นตลอดเวลา ที่สระอโนดาดและสระนี้จะแวดล้อมด้วยภูเขา 5ลูก และ1 ในจำนวนนั้นคือ<!--colorc--><!--/colorc--><!--coloro:#ff0000--><!--/coloro--> ภูเขาคันธมาทน์ ที่เงื้อมเขานันทมูลกะ
    <!--colorc-->
    <!--/colorc-->[​IMG]
    <!--coloro:#9932cc--><!--/coloro-->มีถ้ำ 3ถ้ำคือ สุวรรณคูหา มณีคูหา และรัชตคูหา(ถ้ำทอง, แก้วมณี,และถ้ำเงิน) สวยงามสว่างไสวมาก ไม่มีถ้ำใด ๆจะสวยไปกว่านี้อีกแล้ว ในสระอโนดาดนั้น ธรรมชาติจัดไว้ดีเยี่ยม มีแผ่นศิลา ท่าลงสรงน้ำ น้ำใสแจ๋วเหมือนแก้วผลึก...ธารน้ำทั้งหลาย ย่อมไหลลงมาที่สระอโนดาต
    [​IMG]
    <CITE>www.himmapan.com </CITE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2011
  8. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    เขาสามร้อยยอด ในจังหวัดประจวบฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งของป่าหิมพานต์ครับ
    จริงหรอคะ อยากไปจัง ว่าแต่ว่าหนูออกหาข้อมูลในกูเกิลไปๆมาๆ :boo:มาโผล่ที่นี้อีกแหละ แถมพี่Ong ดันเป็นคนตอบคำถามที่กำลังถามอยู่ในใจอีกต่างหาก น่าตลกจัง ขอโทษพี่หญิงทิพย์ด้วยนะคะ ภาพซ้ำกันเลยอะ ภาพมีจำกัดอิอิ ขอบคุณพี่ญทิพย์นะคะที่นำเรื่องน่าสนใจอย่างนี้มาลง
     
  9. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    I been there before samroiyod moutain...beautiful!!!!

    I love it ^_^
     
  10. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349

    ม่ายเป็นไร เป็นกินรีเหมือนกัล นี่น่า ... อิอิ ^^
     
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    มีกุมารองค์หนึ่งชอบมาแฝงภรรยาผม ได้ความว่าเป็นลูกของพญาครุฑ เคยอ่านว่ามีลงคนนึงเป็นลูกศิษย์หลวงปู่โลกอุดร ท่าให้เกาะบ่าหลับตา แล้วเหาะไป เห็นดินแดนมีหิมะ เป็นช่องเขา มีไอน้ำพุ่งขึ้นมา แสดงว่ามีความร้อน เห็นต้นไม้ใบเหมือนมะม่วงแต่ยาวกว่า แกตกตะลึง เพราะออกลูกเป็นผู้หญิงสาวห้วยระย้าอยู่ สอบถามเบื้องบนท่านว่า มีทั้งเป็นมิติในโลก และเป็นมิติลับแล อย่างโลกลับแลก็มีตั้งแต่แถว อ.ลาดยาว นครสวรรค์ จนถึงบางส่วนทางใต้ของประเทศจีน ยูนนาน แถวนั้น คือพวกนี้เขาจะเห็นเรา แต่เราไม่เห็นพวกเขา ถ้าพบพระที่ท่านเคร่ง ชาวลับแลก็จะเปิดมิติให้เข้าได้ เพราะต้องการทำบุญ แถวอีสานชาวลับแลก็มายืมถ้วยชามของวัดบ่อยๆ แสดงว่า ชาวลับแลไม่ใช่วิญญาณ มีกายเนื้อเหมือนกัน แต่ต่างมิติกับเรา
    คือมันมีการซ้อนเหลื่อมมิติอยู่ บางคนว่ามิติซ้อน แค่มิลลิเมตรเดียว ก็มองไม่เห็นกันแล้ว ทางวิทยาศาตร์ ก็คำนวณ ได้ ถึง 10 มิติ แต่โลกเรามีแค่ 3 มิติ บวกเวลาอีก 1 มิติ
    ----ในบางครั้ง บางกลุ่ม อาจมีคนที่ศีลธรรมต่ำ ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งพากันไปทำบุญ แล้วอธิษฐาน ด้วยพลังจิตที่แรงกล้า อาจจะเป็นภพนั้น หรืออีกภพที่เขาเกิด ได้ไปอยู่อีกมิติ อีกภพภูมิที่ไม่ต้องร่วมโลกกัน อย่างเช่นเมืองแม่หม้าย ซึ่งบางครั้งก็ต้องมาหลอกผู้ชายให้ไปในกลุ่มเขา เพื่อการสืบต่อของชาติพันธุ์ ประตูมิติ 20 ปี เปิดขึ้นครั้งหนึ่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ลับตา หรือที่คนไม่เข้าไป เช่น กลางกอไผ่หนาม เห็นภรรยาเล่าให้ฟังว่า ทีนครสวรรค์ ก็มีเรื่องแบบในนิยายแบบนั้น ผู้ชายคนนั้นขอกลับมา ก็โผล่มากลางกอไผ่ ตามหาคนที่รู้จักก็ตายไปนานแล้ว ไม่ได้มีการบันทึกไว้เพราะนานๆจะเกิดครั้งหนึ่งและมีน้อยรายมาก
    ---ภรรยาเคยฝันว่าได้ไปบ้านของชาวลับแล อาหารที่มีมากมาย ก็คือกล้วยไข่เชื่อม แม้ตอนตื่น เธอเรอออกมา ก็เป็นกลิ่นกล้วยไข่ แปลกแต่จริง
    -----หิมาลัย หรือเขาไกรลาส เธอได้ไปมาเช่นกัน ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของพระศิวะ แต่จะเป็นอบ่างไร เบื้องบนห้ามบอกกว่า ไปก็เจอนายด่านหลายชั้น ส่วนใหญ่คือ งู ที่อยู่ของครุฑ ก็คือสุดขอบกาแลกซี เหมือนหนองน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า บึงพิมาน มีจระเข้ ปลา มากมาย แต่สัตว์พวกนี้จะพูดได้ มีศาลาไทยที่เกาะกลางน้ำ ส่วนใหญ่ผู้ที่จะไปถึงก็มีแต่พระที่เก่งๆ เหมือนกับนรกที่มี 250 กว่าประตูที่เหมือนๆกัน(เขาวงกต) วิญญานหลงเข้าไปแล้วมักจะกลับออกมาไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2011
  12. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    ความจริงแล้ว ตอนที่ยังอยู่ประมาณประถมเคยฝันว่าได้ไปที่แห่งหนึ่ง ที่นั้นอากาศบริสุทธิ์มากมากแบบว่าไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน จนถึงตอนนี้ยังจำกลิ่นได้เลยคะ ที่นั่นมีต้นสนสูงใหญ่มากแต่ก็ยังมีเเสงแดดรำไรผ่านรอดมาถึงพื้นดิน น้องพัชรจำได้แม่นเลย ว่าป่านั้นอุดมสมบูรณ์มาก อากาศเย็นแบบสบายๆ น้องก็เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆแต่ไม่รู้ว่านานเเค่ไหน จากนั้นก็เจอบ่อน้ำเล็กๆ น้ำใสเย็นเหมือนกระจก รอบๆบ่อก็มีต้นไม้เล็กๆเลื้อยอยู่รอบๆ และมีเหมือนกับไข่จำไม่ได้ว่ากี่ฟอง แต่ตอนที่น้องกำลังมองน้ำอย่างเพลินๆและกำลังสงสัยว่านี้มันไข่อะไร เต่าตัวเล็กๆน่าจะประมาณ สองสามตัวก็ออกมาจากไข่ น้องก็ลองเอานิ้วชี้ไปเเตะที่กระดองเล็กกระจิดริดเพราะเห็นว่ามันใสๆเหมือนวุ้นของเต่าตัวสุดท้ายที่กำลังจะลงน้ำ ไปเล่นน้ำกับตัวอื่นๆที่กำลัง ว่ายท่าทางแปลกๆแล้วหัวเราะเสียงเล็กๆปรากฏว่ามันนุ่มนิ่มน่ารัก แล้วน้องก็ถามตัวเองออกมาว่า "ที่นี้มันที่ไหนกันเนี้ย" เพราะจำได้เลยว่าตอนนั้นเรามีความสุขมาก ไม่มีความกลัวอยู่เลย แม้จะเป็นเด็กตัวเล็กๆใส่ชุดนอนนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำเล็กๆกับเต่าตัวเล็กๆท่าทางแต่ละตัวซ่าๆไม่น้อยไปกว่ากันเลยอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่ แต่ถามไปไม่ทันไร เจ้าเต่าน้อยตัวนึงที่กำลังว่ายท่ากันเชียงก็หันมาทางน้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงใสปนแปลกใจว่า "ที่นี้ก็สวรรค์ไงละ" เท่านั้นเองตัวน้องเหมือนโดนกระชากอย่างเร็ว เหมือนฉากในหนังเวลารถวิ่งเร็วๆอะคะ แล้วมารู้สึกตัวตื่นตอนประมาณตี1หรือ2หรือ3เนี้ยแหละ ไม่รู้ว่าเพ้อไปเองรึเปล่า แต่ตอนเด็กๆถ้าจะฝันอะไรอะไรก็จะเป็นช่วงนี้เสมอ นี้เป็นเรื่องหนึ่งที่น้องคิดว่าเกี่ยวกับกระทู้นี้มากที่สุดเลยตัดสินใจเล่าให้กันฟัง
    ปล.ถึงคุณพี่หญิงทิพย์ น้องก็อยากเป็นกินรีเหมือนพี่นะคะแต่ปัญหาคือว่า กลัวความสูงมากกก อิอิ แต่ชอบกินรีเพราะสวย อยากบินได้ แล้วก็รู้สึกว่ารูปกินรี อย่างเช่นรูปที่ใช้อยู่สามารถเป็นตัวแทนของความเป็นตัวตนของตัวน้องได้มากที่สุดเท่านั้นเองคะ
     
  13. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    มีคำถามคะ ว่าแต่ว่า กินรีมีธรรมชาตินิสัยยังไงเหรอคะ อยากรู้จัง
     
  14. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    กินรีเหรอ ที่รู้จัก นิสัยออกแนวลูกสาวกำนัน ห้าวเล็กๆ เปิดเผย ร่่าเริง สนุกสนาน
    ชอบทานผลไม้ เครื่องดื่มบางทีก็เป็นน้ำผลไม้(หมัก)

    เคยถามว่า แบบนี้ก็มีแอลกอฮอล์สิ เค้าบอกเอาไว้เพิ่มพลัง
    ถามต่อแล้ว ไม่เมาเหรอ ตอบเมาก็นอน

    รู้สึกว่าเค้าเคราพรักพญาครุฑมาก กลุ่มพญาครุฑก็มีทั้งทีเป็นสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ และที่ปราถนาโพธิฯในหมู่พญาครุฑก็มี
     
  15. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    เค้าเองก็กลัวความสูงมากมายคะเคยไปยืนที่สะพานขายังสั่นเลย กินรีคงบินไม่สู้ขนาดนั้นมั้งคะ 555 +
    เค้าว่าอะไรก็ตามที่เราฝันบ่อยๆ หรือเราคลั่งไคล้เอามาก อาจจะเป็นเนื่องจาก สัญญาเก่าของเรา คะ ตอนแรกที่ยังไม่รู้อดีตชาติของตัวเอง พี่(รึเปล่า 25 คะ)ชอบกินรีมากไม่รู้ทำไมแค่่รู้สึกว่ากินรีสตรีที่มีความสง่างามมีพลังอำนาจเสน่ห์สวยงาม ชอบมากอยากจะมีรอยสักกลางหลังใหญ่ๆเป็นรูปกินรีไปเทียวเสาะหารูปกินรีในวรรณคดีตามห้องสมุดใหญ่ๆมากมายคะ จนมีพี่ชายคนหนึ่งมาถามว่าแน่ใจเหรอจะสักลองนึกดูดีๆนะว่าทำไมเราถึงมาเป็นเอามากกะกินรี เขาบอกให้พี่ให้เวลานานๆมองดูรูปนนี้จนแน่ใจว่าเราชอบจริงๆ แล้วค่อยตัดสินใจจะสักแต่ก็ไม่เคยชอบน้อยลงเลยคะ แต่ก็ไม่ได้สักแล้ว พอรู้แล้วว่าทำไมเราถึงชอบมากมายก็ลืมเรื่องอยากจะสักไปเลย ตอนแรกนี้ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องอดีตชาติภพภูมิใดๆเลยคะ แต่แล้วก็มาเจอแฟนพี่ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญมากคะ พอเจอปุ๊ปเขาก็ถามเราแปลกๆมากมายซึ่งเเต่เดิมเป็นคนเฉยๆกับเรื่องภพภูมิอดีตชาติเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างแต่ตอนนี้เชื่อ เต็มหัวจิตหัวใจเลยคระ เพราะทุกอย่างที่เขาพูดมามันสอดคล้องกับความเป็นจิงในปัจจุบันเลย แล้วสิ่งที่เห็นจิตที่สัมผัสมา มันคือความจริงคะ สรุปแล้วก็คือเรามีอดีตที่เคยเป็นกินรีมาก่อน แล้วไป พบรักกับพญานาค ซึ่งมันยากคะที่จะเป็นไปได้... เรื่องนี้ยาว 555

    ส่วนที่รักพญาครุฑมากโดยส่วนตัวเเเล้วพญาครุฑก็เพราะเป็นพ่อคะ เชื้อสายกินรีก็มาจากครุฑแหละคะและพญาครุฑเองก็หวงลูกสาวเป็นที่สุดคะ ครุฑเป้นเสมือนเจ้าแห่งท้องฟ้ายิ่งใหญ่ในหิมพานต์ สัตว์ในหิมพานต์ล้วนแต่เคารพเกรงขามพญาครุฑ แต่ที่เหนื่อกว่าพญาครุฑและพญานาคเจ้าแห่งท้องฟ้าและน่านน้ำก็มีนะคะ......เขากินสัตว์ทั้งป่าหิมพานต์ได้ทั้งครุฑและนาค อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์แหละคะ ...แต่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้..ไว้ค่อยเล่า อาหารการกินพวกเราก็กินผักผลไม้ เนื้อสัตว์เล็กทั่วไปคะ บ้างก็กินแต่ผลไม้เพื่อบำเพ็นเพียร ที่อยู่ก็จะเป็นเหมือนวิมานอยู่กลางป่าหิมพานต์ กินรีรักการเล่นน้ำ ร้องรำทำเพลงและจะฃอบอยู่ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้ที่ตลบอบอวนไปหมด ชอบเเต่งองค์ทรงเครื่องรักสวยรักงาม ส่วนที่สงสัยมากที่สุดเคยสงสัยว่ากินรีเวลาหลับยืนหลับเหมือนนกรึเปล่า 55 แต่จริงๆก็นอน คะ นอนหลับเหมือนคน ... กินรีก็เป็นสัตว์ที่อยู่ภพภูมิเดิมต่ำกว่ามนุษย์ นะคะ เเต่เนื่อจากการบำเพ็ญเพียรของเผ่าพันธ์ เกิดการผสมชาติเผ่าพันธ์จึงกำเนิดมาเป็นกินรี ซื้อถือว่าอยู่ในกลุ่มที่สูงกว่ามนุษย์ หรือเทียบเท่ากับมนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรทั่วไป เป็นผู้ที่คอยดูเเลรักษาปกป้องกันสิ่งชั่วร้ายผ่านพ้นจากมนุษย์ภูมิไปสู้สวรรรค์ สัตว์ในป่าหิมพานต์ทุกตนก็เปรียบดัง กันชนจากโลกมนุษย์ สู่ภพภูมิที่เหนือกว่า เขาว่ากันวาคนธรรมดาที่เข้าไปแล้วจะไม่มีทางได้ออกมาคะเพราะไม่รู้วิธี มีแต่สัตว์ในหิมพานต์เท่านั้นที่รู้วิธี..แม้แต่ค้าเองก็ไม่รู้คะ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2011
  16. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    ตัวมอมจะพบเจอมากคะแถวภาคเหนือตอนบนนะคะ ตอนที่เรียนมากเจอเยอะมากแถบวัดในเชียงใหม่
    ตัวมอม เป็นสัตว์ในตำนานเป็นพาหนะของเทพปัชชุนนะเทวบุตร ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งฝนในคติล้านนา ตัวมอมมีรูปร่างคล้ายแมวผสมสิงโต ดังนั้นบุคลิกของมอม จึงดูเหมือนจะน่ากลัวแต่บางครั้งก็ดูขี้เล่น แต่สล่าหรือช่างปั้นบางท่านก็ปั้นมอม ดูคล้ายตุ๊กแก บางกิริยากระเดียดไปทางค่างก็มี
    ล้านนามีวัฒนธรรม ทั้งฮินดู พุทธ ที่กล่าวถึง ป่าหิมพานต์ เชิงเขาพระสุเมรุ ที่เป็นศูนย์กลางจักรวาล มีสัตว์ลูกครึ่ง คนกับเทพ คนกับสัตว์ สัตว์กับเทวดา สัตว์กับสัตว์ เช่น กินรี เงือก คนครึ่งม้า ตัวมอม คนมีคาถาอาคม เช่น คนธรรพ นักสิทธิ์ ทั้งหมดมีฤทธิ์ เหนือมนุษย์ แต่อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ จึงมีการแสดงเป็น ปฎิมากรรมเฝ้าศาสนสถาน ทั้งเหราคาบนาคห้าหัว มีความหมายทางนามธรรมถึงอุปาทาน คือความยึดติด ในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรา ไม่ว่าร่างกาย ความรู้สึก ความรู้ความจำ ความคิดที่ปรุงแต่งทั้งจินตนาการและเหตุผลหากยึดโดยขาดสติดูเราก็ทุกข์ การปั้นได้ความรู้มาจากช่างจีน จึงมีลีลาของจีนผสม กลายเป็นเอกลักษณ์ของล้านนา ฉะนั้นคนเก่งอาจไม่มีความสุขคือไม่อาจอยู่ในสวรรค์ ได้แค่โชว์อยู่ตามประตูสวรรค์ภาพ
    มอมเป็นสัตว์ที่มีอำนาจมาก ดังจะเห็นได้ตามลายสักตามตัว ทั้งไทยวน ไทดำ ผู้ไทย ที่เรียกว่า ลายมอม ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์มากนั้น ทำให้มอมหยิ่งลำพอง จึงไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงเพื่อก้าวล่วงสู่สวรรค์ชั้นฟ้า จึงได้มาเฝ้าอยู่ตามโบสถ์วิหาร หรือตามประตูเท่านั้น

    ลวดลายปูนปั้นรูปมอม สล่าผู้สร้างมักจะออกแบบตามจินตนาการของตัวเอง มอมบางตัวมีลักษณะคล้ายกับลิง บางตัวมองดูก็คล้ายแมว บางตัวก็ดูองอาจ ผึ่งผายราวสีหราช แต่บางตัวอาจมองคล้ายกับกิ้งก่าหรือตุ๊กแกไปก็มี มอมที่ปั้นเต็มตัวประดับตามบันได เช่นที่วัดบุพพาราม วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดป่าดาราภิรมย์ เป็นต้น

    และที่สำคัญ ประดับเป็นลวดลายปูนปั้นประดับที่หอไตรวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ที่นี้ จะมีกรอบปูนปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น มอม กิเลน สิงห์ เงือก ช้าง ฯลฯ ทั้งที่เป็นสัตว์หิมพานต์ และสัตว์ทั่ว ๆ ไป กรอบนี้อยู่ล่างฐานเทวดายืน ที่รายรอบหอไตร

    ในนั้นจะมีกรอบที่เป็นรูปมอมอยู่ ๖ กรอบ หลากหลายอิริยาบท บางกรอบทำเป็นเหมือนมองจากด้านบน บางกรอบเป็นรูปมอมจับงู บางกรอบเป็นมอม ๒ ตัวไล่จับกัน

    เมื่อมองเลยกรอบรูปสัตว์ขึ้นไปจะเห็นเป็นเทวดายืนเรียงรายกันอยู่ ซึ่งทางด้านทิศตะวันตก จะเป็นรูปเทวดายืนอยู่บนหลังมอม ทำท่าตริภังค์ คือเอี้ยวสะโพก ซึ่งคาดว่าเทวดาองค์นี้ น่าจะเป็นปัชชุนนเทวบุตร ที่ประจำอยู่ทิศตะวันตก และมีมอม เป็นสัตว์พาหนะ

    มอม เป็นสัตว์พาหนะของปัชชุนนเทวบุตร เทพแห่งฝน จึงใช้มอม ในการขอฝนต่อปัชชุนนเทวบุตร โดยการ “แห่มอม”

    การแห่มอม มักจะทำในช่วงเข้าฝนต้นฤดูทำนา ราวเดือน ๘, ๙ หรือ ๑๐ เหนือ หากยามนั้นฝนยังไม่มา ก็ไม่สามารถที่จะไถนาหว่านกล้าได้ จึงต้องทำพิธีขอฝน

    การแห่มอม ก็ทำง่าย ๆ คือ นำมอมไม้แกะสลัก มาใส่ไว้ในชองอ้อย หรือกระบะที่บรรจุเครื่องไทยทานต่าง ๆ ก็จะนำมอมไปแห่ไปตามหมู่บ้านด้วยความครื้นเครง เสียงกลองเสียงฆ้องดังเป็นจังหวะสนุกสนาน เมื่อไปถึงบ้านใด ก็จะนำน้ำมาพรมใส่มอมไม้ในชองอ้อยนั้น พร้อมกับรดน้ำผู้ร่วมขบวนแห่ไปด้วย

    คล้ายกับเป็นการฝากสาร ฝากฎีกาความทุกข์อยาก ไปกับมอม เพื่อส่งไปยังปัชชุนนเทวบุตร แล้วจะได้ประทานฝนลงมาให้ชุ่มชื่น

    ต่อมา มอมไม้ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกกว้านซื้อไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ หรือคอลเลคชั่นตามบ้านผู้มีเงินหนา กอปรกับฝีมือช่างการทำมอมก็หายไปด้วย ทำให้ไม่มีมอมไม้มาแห่ จึงนำ “แมว” มาแห่แทน มอม



    ตัวมอม ที่วัดดอยสุเทพค่ะ
    [​IMG]

    มอมที่วัดบุปผาราม
    [​IMG]

    ตัวมอมที่วัดแสนฝาง
    [​IMG]

    มอมที่วัดเชตวัน
    [​IMG]

    อ้างอิงจาก : <!--MsgFrom=9-->ศศิศ และ <!--MsgFrom=0-->กระจ้อน เว็ป panthip
     
  17. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    เขากินสัตว์ทั้งป่าหิมพานต์ได้ทั้งครุฑและนาค อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์แหละคะ
    ว๊ายย ตายน่ากลัวมากมากคะ ส่วนให้น้องพัชรเรียกคุณพี่หญิงทิพย์ต่อไปแหละกันคะถูกแล้ว ชอบกินรีมากไม่รู้ทำไมแค่่รู้สึกว่ากินรีสตรีที่มีความสง่างามมีพลังอำนาจเสน่ห์สวยงาม ชอบมากอยากจะมีรอยสักกลางหลังใหญ่ๆเป็นรูปกินรี น้องก็เคยอยากคะ พี่เล่าเรื่องของพี่ให้ฟังหน่อยสิคะ น่าสนใจน้องยังระลึกชาติไม่ได้เลย อยากรู้อยากรู้คะ(smile)
     
  18. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    กินรีเหรอ ที่รู้จัก นิสัยออกแนวลูกสาวกำนัน ห้าวเล็กๆ เปิดเผย ร่่าเริง สนุกสนาน
    ชอบทานผลไม้ เครื่องดื่มบางทีก็เป็นน้ำผลไม้(หมัก) เคยถามว่า แบบนี้ก็มีแอลกอฮอล์สิ เค้าบอกเอาไว้เพิ่มพลัง ถามต่อแล้ว ไม่เมาเหรอ ตอบเมาก็นอน
    อิอิ นิสัยน้องก็ประมาณนั้น แต่ก็รักสวยรักงามอยู่คะ (หนูชอบเล่นน้ำมากมากโดยเฉพาะน้ำตกแต่ไม่ค่อยชอบน้ำทะเล เวลาอาบน้ำก็ชอบเล่นน้ำอยู่นานไม่อยากปิดน้ำเลยคะ เกี่ยวมั้ยเนี้ย^-^ )น้องชอบกินประเภทถั่ว มัน ฝรั่งกรอบๆ ชมพู่สีเขียว เเค่นี้ละมั้งคะ ส่วนเครื่องดื่มชอบน้ำเปล่าเเบบอุณภูมิห้อง แต่ตอนเมาหลังจากหมดฤทธิ์เพราะมัวแต่เเหย่คนโน้นคนนี้แล้วหัวเราะจนไม่ไหวก็หลับ แต่ไม่ว่าจะเมาอย่างไรเดินแทบไม่ไหวก็ต้องล้างหน้าแปรงฟันก่อนตลอด อิอิ แต่ตอนนี้ไม่เเตะแล้วคะ ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศยังคะนอง ตอนนี้พยายามถือศีลห้าอยู่คะ ;)
    ว่าแต่พี่Ongได้คุยกับเค้าหรอคะ เจ๋งสุดๆ แปลว่าพี่นีเจ๋งไม่ใช่ย่อยนะเนี้ย คุยที่ไหนคะ เค้าสวยเหมือนรูปรึเปล่าคะ โหยิ่งอ่านยิ่งรู้ยิ่งอยากเห็นกับตา ขอให้ม๊าพาไปจะดีไหมเนี้ย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เห็นได้เป็นอย่างพวกพี่ แต่จะฝึกให้ถึงที่สุดคะ:dยังไม่ยอมแพ้หรอก รู้สึกตื่นเต้นจัง

     
  19. ThePatzy

    ThePatzy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +63
    I been there before samroiyod moutain...beautiful!!!!

    I love it ^_^<!-- google_ad_section_end -->
    Then why dont u share about ur experince to us. I think we all want to know from u. :)
     
  20. ม่อนดอยด์

    ม่อนดอยด์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +349
    งัั้นเล่าเรื่อดีกว่าคะ
    ก็ประมาณ ว่าสมัยที่เป็นกินรีมีพ่อเป็นครุฑชื่อ....เป็นหนึ่งในพาหนะของเทพ กินรีอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์คะ แล้ววันหนึ่งมีพี่น้องนาคคู่หนึ่งอยู่ในพงพันธ์นาคสีทอง(นาคสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์และไปได้ทุกภพภูมิคะ แต่อย่าให้เจอครุฑเชียว) ประมาณว่าพนันกันน่ะคะ เเข่งขันกันว่าใครจะจีบติดก็แค่เล่นๆ คะแต่นาคผู้น้องนานวันเข้าเขาก็หลงรักจน ละทิ้งบุญบารมีที่บำเพ็ญเพียรมาและอธิฐานจิตร่วมกับกินรี ให้ได้เกิดมาเป็นมนุษญ์ เพราะในภพภูมิเดิม นาคและกินรี รักกันไม่ได้ มันคือศักดิ์ศรีของตระกูลคะเพราะปกติ นาคเป็นอาหารของครุฑไม่ว่าจะพบเจอกันที่ใดต้องมีการสู้รบตบมือเสมอไป หากนาคมีบารมีสูงกว่าก็สามารถต่อสู้ในขั้นเท่าเทียมกัน กับครุฑได้ แต่ส่วนมากนาคมันจะต้องพ่ายแพ้กับครุฑอยู่เสมอไป เราเลยเห็นภาพ ครุฑยุทธนาคในหลายๆที่เนาะ แล้วพอภาวนาจิตก็มีบุพการีมาช่วยไว้มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ใน กายหยาบมนุษย์ แต่จิตเดิมเรายังเป็นกินรีคะได้มาเจอกับผู้ที่เราภาวนาจิตอธิฐานกันไว้แต่ว่าเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันคะเพราะ ผู้ใหญ่เขาไม่พอใจเราคะ ทำให้ต้องตายจากเขา จมน้ำตายหาศพไม่พบด้วย พ่อแม่นาคเขาไม่พอใจเราที่แทนที่ลูกชายเขาจะนิพพานได้แต่เราเหมือนตัวซวย ประมาณนั้น55 เรื่องราวก็วุ่นวายใหญ่เลยทั้งภพภุมิ ครุฑ นาค เพราะ ตามหลักแล้ว ผู้หญิงจะอยู่ต้่ำกว่าสามี กินรีอยู่ต่ำกว่านาค เนอะ....พอพ่อแม่นาคปลงแล้วเขาก็นิพพานแล้ว ก็เลยได้มาเกิดอีกชาติเพราะเรายังมีสัญญาเก่า เรื่องนี้ยาว มาถึงทุกวันนี้ เพิ่งมาได้พบเจอกัน มันก็ยังมีเรื่องราวตลอด .... แต่ว่า ทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเพราะมีครูบาคอยคุ้มครองสิ่งที่เป็นสัญญาใจของกินรีและนาคอยู่ อีกอย่างหนึ่งเรื่องราวนี้มันเกิดขึนได้ เพราะ ทิฐิ ศักดิ์ศรี ของแต่ละคนเท่านั้นคะ ถ้าทุกคนปลงได้มันก็คงจะจบเสียที


    *แต่ก่อนหน้านั้นก็รู้สึกว่ามีอีกคู่นะคะ แล้วเขาก็มีลูกด้วยกันด้วยแหละ แต่ว่าการต่อสู้เพื่อความรักของเขาเป็นการทำร้ายบุพการี ซึ่งก็คืออกตัญญูต่อบุพการีของเขาทำให้ เป็นเวรกรรมหนักคะ แต่ตอนนี้เราสองคนลองเอาความดีชนะคะ เขาจะทำไรก็ปล่อยเขาไปเราอโหสิให้แล้วแผ่เมตตาตลอดแบบนี้สักวันเขาอาจจะยอมคะ เพราะเราใช้สิ่งพิเศษที่สุดที่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ก็คือ การทำบุญและการทำความดีคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...