อารมณ์เป็นสุขเพราะกำลังสมาธิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 20 กันยายน 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    อารมณ์เป็นสุขเพราะกำลังสมาธิ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๐ ก็อยากจะจบเรื่องพุทธานุสสติกรรมฐานในตอนที่ ๑๐ นี้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเกรงว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะเบื่อ แต่ก่อนที่จะจบพุทธานุสสติ คือความจริงเรื่องไม่จบแต่ขอหยุดพุทธานุสสตินี่พูดเท่าไรก็ไม่จบ เพราะความดีของพระพุทธเจ้ามหาศาลมากยากที่จะพรรนาให้จบได้ แต่ก่อนที่จะพูดถึงท้องเรื่องจริง ๆ ก็ขอเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายไว้ก่อน ว่าจงอย่าลืมคิดว่าชีวิตนี้มันมีความตายไปในที่สุด และก็จงอย่าคิดว่าความตายนี้จะมีมาถึงเราในเมื่อเราแก่หรือว่าแก่มาก โปรดอย่าคิดอย่างนั้น จงคิดว่าความตายอาจจะถึงเราในวันนี้ก็ได้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในการทำความดี
    และประการที่ ๒ จงคิดว่า ก่อนจะตายขอยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือ ไม่สงสันในความดีของท่าน
    และข้อที่ ๓ ตั้งใจว่าเราจะรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะเข้าถึงความตายมาถึง เพราะว่าศีลห้าจะเป็นแดนกั้นอบายภูมิ คือไม่ให้เราตกนรกไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นคนก็เป็นคนดี แต่รายละเอียดเรื่องนี้เอาไว้พูดกันตอนถึงศีลห้า ถ้าตั้งใจไว้แบบนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการหนีบาป ท่านจะหนีบาปอกุศลได้แน่นอน หนีนรกได้แน่นอน ถ้าหนีบาปได้ก็หนีนรกได้ คือคนจะตกนรกก็ต้องเป็นคนมีบาป
    ต่อนี้ไปก็ขอเข้าเรื่อง พุทธานุสสติกรรมฐาน
    สำหรับพุทธานุสสติกรรมฐาน วิธีการปฏิบัติบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็พูดมาแล้วรู้สึกว่ามากพอสมควร ถ้าจะพูดไปอีกญาติโยมพุทธบริษัทจะเบื่อ เพราะว่าการตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ขั้นต้น คือสังโยชน์ ๓ ประการมี ๓ ขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดแต่ว่าการตัดจริง ๆ ของสังโยชน์ ๓ ประการนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีสมาธิไม่มากใช้สมาธิไม่สูง แค่ปฐมฌานก็ได้ ท่านบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ ฉะนั้นกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเรื่องสมาธิมากเกินไป ทำกำลังใจให้สบาย ๆ นี่เป็นสุขแล้ว ใช้ได้แล้ว
    ต่อนี้ไปก็จะขอคุยกับบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือว่ามีคนมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี มาบอกว่ามีท่านเจ้าคุณองค์หนึ่ง ขอประทานอภัย อย่าออกชื่อท่านเลย ชื่อของพระราชาคณะนี่ไม่แน่นัก ชื่อน่ะชื่อเดียวกันแต่การแต่งตั้ง ถ้าองค์นั้นเลื่อนไปองค์ใหม่มาใช้ชื่อนั้น ถ้าไปใช้ชื่อตรงกันเข้าแต่คนละองค์มันจะบาป
    เขาบอกว่าได้ยินท่านเทศน์ ท่านจะเทศน์ทางสถานีวิทยุ หรือว่าเทศน์ตามศาลาก็ไม่ทราบ แต่ขอบอกก่อนว่าท่านเจ้าคุณองค์นี้ไม่ได้อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี อันนี้ไม่ได้กลบเกลื่อน ท่านเจ้าคุณองค์นี้อยู่ที่จังหวัดอื่น อันนี้ไม่ได้กบลนะโยมนะเป็นความจริงเขาบอกว่าท่านมาเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านบอกว่าการเจริญสมาธิต้องระมัดระวังให้มาก ถ้าพลาดพลั้งไปแล้วจะกลายเป็นคนบ้า ทางที่ดีจงอย่าทำเลย หรือว่าทำก็ทำแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้อย่างหนึ่ง
    และอีกอย่างหนึ่งก็มีท่านครูบาอาจารย์ชั้นสูง พระเหมือนกับ อาตมาได้รับบัตรของท่าน ท่านส่งบัตรมาให้ นามบัตรชื่อของท่านเป็นครูสอนหลายแห่ง และสอนในมหาวิทยาลัยเสียด้วย เวลานั้นหลายปีมาแล้วไปเทศน์ด้วยกัน ในสำนักที่ไปเทศน์นั้นเป็นสำนักเจริญพระกรรมฐาน ท่านเป็นคนสรุปพระธรรมเทศนา ท่านบอกว่า ญาติโยมพุทธบริษัทเรื่องกรรมฐาน อย่าไปเจริญกันเลย ไม่จำเป็น เราช่วยกันสำรอกกิเลสให้หมดไปน่ะพอแล้ว
    พอฟังเท่านี้อาตมาก็ตกใจ การเจริญพระกรรมฐานเป็นปัจจัยให้คนเป็นบ้านี่ก็แปลกใจเหมือนกัน และการสำรอกกิเลสให้หมดไปแล้ว จึงเจริญพระกรรมฐานนี่ก็แปลกมาก เพราะการเจริญพระกรรมฐานนั่นแหละบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นการคลายหรือสำรอกกิเลสให้หมดไป ค่อย ๆ เคาะ กิเลสไม่ใช่น้ำในขวด หรือกิเลสไม่ใช่น้ำในกระบอก จับแล้วก็เทพรวดให้หมดไป กิเลสมันเกาะใจเกาะแน่นเกาะนาน เกาะลึกแกะมันยากแสนยาก จึงค่อย ๆ แกะค่อย ๆ ทำ
    อันดับแรกต้องมีศีลบริสุทธิ์
    ประการที่ ๒ ต้องมีจิตตั่งมั่น มั่นคงแน่นอน ค่อย ๆ ทำ
    ประการที่ ๓ มีปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถค่อย ๆ ตัดกิเลสออกไปได้ทีละเล็กละน้อยในที่สุดมันก็จะหมดไปเอง
    แล้วมาการเจริญกรรมฐานทำให้เป็นคนบ้า และการมีศีลบริสุทธิ์ การมีจิตตั่งมั่นในสมาธิ สามารถระงับนิวรณ์ได้ และการที่มีปัญญาสามารถตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ ถ้า ๓ ประการนี้เป็นปัจจัยให้เป็นคนบ้า ก็ขอประทานอภัย อาตมาไม่ก้าวร้าวพระผู้สูงมาก นั่นคือพระพุทธเจ้า ถ้าเขาหาว่า การทำอย่างนี้บ้า เขาก็ต้องหาว่าพระพุทธเจ้าบ้าไปด้วย อาตมาขอพูดตามที่เขาคิดนะ อาตมาไม่คิดว่าพระพุทธเจ้าบ้าแน่ เพราะอาตมาอยู่ได้เพราะอาศัยพระพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่นมีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก สามารถตัดกิเลสให้สิ้นไป ถ้าคิดว่าคนเจริญพระกรรมฐานต้องบ้าทุกคน ก็ต้องถือว่า บ้าตามพระพุทธเจ้า และอาตมาไม่ได้คิดว่าพระพุทธเจ้าบ้าท่านผู้เทศน์คงจะคิดว่าพระพุทธเจ้าบ้า กระมัง หรือใครบ้ากันแน่


    ถ้าคนที่เจริญสมาธิบ้าจริง ๆ เวลานี้ก็บ้ากันนับล้านแล้ว เวลานี้คนนิยมเจริญสมาธิกันมาก ขอประทานอภัยเถอะ คนที่ห่มผ้าเหมือนศากยบุตรพุทธชิโนรส ไม่น่าจะคิดอย่างนั้นและก็ไม่น่าจะพูดอย่างนั้น ถ้าเป็นความจริง อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่าพระท่านเทศน์จริงหรือว่าญาติโยมชายหญิงที่มาบอกฟังผิดไปก็อาจจะเป็นได้
    ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงว่าสมาธิที่เราทำ ถ้าพลาดเป็นบ้าได้ไหม ก็ต้องตอบว่าได้ ต้องพลาดนะ ไม่ใช่ทำดี การทำสมาธิดีเขารักษาโรคให้หายบ้า คนที่มีสติฟั่นเฟือนบ้างพอสมควร พอทำสมาธิเข้าพักเดียวอารมณ์จะกลายเป็นความเยือกเย็น เอาแค่คนที่มีความเร่าร้อนของจิต โมโหโทโสร้ายนี่แหละ ไม่ต้องมากนัก เจริญสมาธิจริง ๆ ไม่ช้าประมาณเดือนเศษ ๆ จะเห็นผลทันทีว่ากำลังใจของเราเยือกเย็นไปมาก ความโกรธยังมีอยู่แต่มันน้อยลงไป และก็ช้าลงไป ถ้าเจริญสมาธินาน ๆ เข้า ความโกรธอาจจะไม่หมดไปแต่เหลือน้อยมีกำลังเบา อย่างนี้กำลังใจของเรามีอารมณ์เป็นสุข เพราะกำลังสมาธิ
    ความสำคัญในการเจริญกรรมฐานมีตอนหนึ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทต้องระมัดระวังเหมือนกัน แต่อาการแบบนี้จะมีขึ้นเมื่อกำลังใจของเราดีแล้ว เมื่อคราวมั่นคงในศีลปรากฏชัดมั่นคงแน่แล้ว การมั่นคงในสมาธิก็ดี การมีปัญญารู้เท่าทันกิเลสก็มากขึ้นมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้าในพระธรรมในพระอริยสงฆ์จริง อย่างนี้ถือว่าคนนั้นมีอารมณ์ใจดิ่ง จะเข้าเขตเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น พระอริยเจ้าเบื้องต้นคือพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ถ้ามีความมั่นคงในการเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ และก็สามารถทรงศีลบริสุทธิ์จริง มีปีติ่ความอิ่มใจในการเจริญสมาธิและวิปัสสนาญาณใจรักพระนิพพานเป็นที่สุด อย่างนี้ถือว่าจะถึงหรืออาจจะถึงแล้วก็ได้ซึ่งพระโสดาบัน อาตมาไม่ขอยืนยัน เพราะว่าอารมณ์แน่นบางทีก็เป็นกำลังฌานกำลังฌานโลกีย์มีอารมณ์แน่นมากหรือมีอารมณ์หนักหนักแล้วก็แน่นที่เรียวกว่าหนักแน่น ๆ การเคลื่อนไหวจะมีได้น้อย แต่กำลังใจเพราะอาศัยกำลังฌานโลกีย์โดยเฉพาะมีอารมณ์หนัก ๆ อย่างนี้มั่นใจว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่ แต่ว่าไม่ฆ่าตัวตาย มีความหนักแน่นในการเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ หนักแน่นในการทรงศีล มีปิติเป็นปกติความรู้สึกประเภทนี้เป็นความรู้สึกของผู้ทรงฌานโลกีย์ ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ ถ้าพลาดหน่อยเดียว สมาธิไหลจ๊วก หล่นไปหมด ศีลก็จะไหลไปง่าย ปัญญาก็ไหลง่าย
    ทีนี้ถ้าหากอารมณ์ที่ทรงจริง ๆ แต่เป็นอารมณ์เบา ๆ อารมณ์ใจเยือกเย็นสบาย ๆ ความหนักน้อยแต่ทรงตัว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเชื่องช้า ในด้านความชั่วเกิดขึ้นเหมือนกัน ช้ามาก ความรักในระหว่างเพศจะเกิดก็เกิดแบบช้า ๆ เบา ๆ ไม่รุนแรง โมโหโทโสจะเกิดขึ้นบ้างก็เกิดเบา ๆ ไม่รุนแรง หายง่าย อารมณ์ฟุ้งซ่าน มีเหมือนกันแต่ก็ซ่านไม่นานหันเข้ามาจับด้านของความดี การสงสัยในคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ สงสัยในผลของศีล สงสัยในทางไปนิพพานไม่มีอีกแล้วอย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์ที่ข้ามจากโลกียวิสัย เข้าไปใกล้ความเป็นพระอริยเจ้า หรืออาจจะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น คือพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีแล้วก็ได้ อาตมาก็มีความรู้เล็กน้อยไม่กล้าพยากรณ์ กำลังใจตอนนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนหลังนี่ไม่สำคัญ สำคัญตอนต้น ตอนที่มีความหนักแน่น ในความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตายหนักแน่นมาก ๆ ในการเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ หนักแน่นในการทรงตัว หนักแน่นในการคิดว่าจะไปนิพพาน ตอนนี้เป็นฌานโลกีย์ ตอนนี้ถ้าเต็มอัตราแล้วก็จะก้าวเข้าสู่โลกุตตระ คือจะเป็นพระอริยเจ้า ตอนนี้ระวังบรรดาท่านพุทธบริษัท ปิติมีอาการเกิดมาก ความปลื้มใจเกิดมาก ความชุ่มชื่นเกิดมาก บางคนก็เจริญกรรมฐานไม่หยุดไม่หย่อน กลางคืนไม่ละ กลางวันไม่เว้น ทำหามรุ่งหามค่ำไม่มีการพักผ่อนแน่นอนไม่ช้าโรคประสาทก็เข้ามารบกวน ในที่สุดโรคประสาทก็เกิดและก็ต้องไปโรงพยาบาลรักษาคนบ้า อย่างนี้ไม่ใช่ถือว่าสมาธิทำให้บ้า การปฏิบัติเครียดเกินไปทำให้บ้า พระพุทธเจ้าทรงแนะนำแล้ว ขอให้ทุกคนจงจำ ว่าการจะปฏิบัติให้ได้ผลในฌานโลกีย์ก็ดี โลกุตตระก็ดี จะต้องละส่วนสุด ๒ อย่าง คือ
    ประการที่ ๑ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติเครียดเกินไป ไม่พักไม่ผ่อน ไม่หลับ ไม่นอน ตึงเกินไป อย่างนี้จะเป็นโรคประสาท ไม่มีผลในการปฏิบัติในด้านความดี คือจะไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า
    ประการที่ ๒ กามสุขัลลิกานุโยค ย่อหย่อนเกินไป หรืออยากได้เกินไป อย่างนี้ก็ไม่มีโอกาสได้เป็น เพราะจิตฟุ้งซ่าน ต้องใช้ มัชฌิมาปฏิปทา คืออารมณ์กลาง ๆ
    ในเมื่อเข้าถึงจุดอารมณ์เครียด ตอนนี้ก็ต้องถูกพิสูจน์ แต่การถูกพิสูจน์นี่มีน้อยคนไม่ใช่ทุกคน ท่านที่จะถูกพิสูจน์อย่างหนักแน่นจริง ๆ หนักมาก ก็ต้องเป็นพวกที่มากจากพระโพธิสัตว์ ก็หมายความว่า อดีตเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน อยากจะเป็นพระพุทธเจ้า การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ถือว่าเป็นจอมทัพ ท่านที่จะเป็นจอมทัพปราบฆ่าศึก คือกิเลส ต้องมีความเข้มแข็งมาก ท่านพวกนี้จะถูกพิสูจน์ด้วยเทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดาชั้นจาตุมหาราช เป็นเทวดาผู้ทรงฌาน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านได้ฌาน ๑, ๒ หรือ ๓ ใน ๓ ณานนี้ ณานใดณานหนึ่งก็ได้ ทรงณาน อย่างแล้ว ถ้าเวลาจะตายเข้าณานตาย การเข้าณานไม่ได้หมายความว่าต้องนั่ง อาจจะนอน หรือยืน หรือยืน หรือเดิน นอนตะแคงซ้าย ตะแคงขวา ทำอะไรอยู่ก็ได้ พอตายปุ๊บปั๊บ แต่ว่าก่อนที่จะตายจิตเข้าน้อมนึกพระไตรสรณคมน์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น หรือว่านึกถึงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เขาทำ อารมณ์ทรงตัว อารมณ์ทรงตัวนี่ไม่ใช่นั่งนิ่ง ต้องนั่งหลับตาปี๋ ไม่ใช่อย่างนั่น อาการทรงของสมาธิพูดกันอย่างนี้ก็ทรงตัวได้ ฌานก็ตั้งอยู่ได้ ฌาน ๑ กับ ฌาน ๒ ยังคุยกันสบาย ไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตาปี๋ ถ้าจิตเข้าถึงฌาณ ๔ พูดมีแต่เหตุและผลพูดไร้เหตุไร้ผลไม่มี เพราะจิตสะอาดมาก จิตที่ทรงฌานอยู่พูดได้ คุยกันก็ได้ อยากจะรู้อะไร ในขณะที่คุยกับเพื่อน ปากก็คุยอยู่กับเพื่อน แต่จิตส่วนหนึ่งสามารถไปรู้เรื่องต่าง ๆ ที่ต้องการได้ อย่างนั่งคุยกันอยู่ ๒ คน เพื่อนก็คุยว่าบ้านของฉันดีอย่างนั้น มีไอ้นั่น มีไอ้นี่ หรือประวัติความเป็นมาของฉันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเราอยากจะรู้จริง ๆ ก็เอาจิตตามเสียปากก็พูดกับเขาตามกิจที่จะต้องพูด ใจเราก็อยากจะรู้ความจริงไปค้นคว้าหาอดีตจากความจริงที่เขาเล่ามา เราจะพบว่าจริงหรือไม่จริง จะพบได้ทันทีว่าท่านผู้นี้จริงหรือโกหก อย่างนี้มันหลอกกันไม่ได้ <!--MsgFile=1-->

    ทีนี้สำหรับการถูกล้อ ถูกทดลองจากเทวดาชั้นจาตุมหาราชนี่ ระหว่างที่พูด วันนี้ เป็นวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๒๘ เมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมา พระที่วัดท่าซุงชื่อ พระสามารถ เป็นช่าง เคยทำงานกรมศิลปากรมาก่อน และก็มาบวชอยู่ สละบ้านสละเรือนมีลูกมีเต้าแล้ว มีภรรยา ภรรยารูปร่างหน้าตาก็ดี ลูกทั้งสองคนหรือ ๓ คนก็ไม่ทราบเห็น ๒ คน ทั้งหมดทั้งบ้านทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งลูก ทรงทิพจักขุณาณได้ดีมาก สามารถพูดกับผี เทวดาคุยกันได้สบาย ๆ ฌานโลกีย์บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะพลาดได้นะต้องระมัดระวัง ท่านเกิดมีความเต็มกำลังใจว่างานทางนี้ขอละ ภรรยาสามารถเลี้ยงลูกได้ ก็มาบวช กำลังใจท่านเข้มแข็ง ก็ถูกพิสูจน์ตลอดมา พิสูจน์ด้วยกำลังของเทวดาเทวดาเขาจะพิสูจน์เราต่อเมื่อเราไม่กลัว
    พอพูดอย่างนี้แล้วขอบรรดาญาติโยมพพุทธบริษัที่ยังมีความกลัวอยู่ ถ้ายังมีความกลัวอยู่เขาไม่มาหรอก เขาเสียเวลาเขา ต้องคนที่มีความรู้สึกว่าไม่กลัวจริง ๆ และท่านพวกนี้ต้องมาจากสายพุทธภูมิ สายสาวกภูมิเขาไม่ลองมาก ถ้าขืนลองมากเดี๋ยวเป็นบ้าไปเลย ดีไม่ดีเดี๋ยวก็เลิก เพราะมีกำลังใจอ่อน ถ้าเดิมมาจากพุทธภูมิพวกนี้มีความเข้มแข็งมากเขาก็ต้องลองหนัก เมื่อลองหนัก ลองแล้วไม่มีอะไร อาจจะมีการหวั่นไหวบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ มีอย่างเดียวใครจะชนะใคร ไอ้การทดลองของเขาไม่มีการซ้ำแบบ ถ้าเราคิดว่าเขาจะมาไม้นี้เขาไม่มาหรอก เขาก็มาไม้โน้น เราคิดว่าจะมาท่านั้นเขาไม่มาเขาจะมาอีกท่าหนึ่งเป็นอย่างนี้ ถ้าบังเอิญเรากลัว เขาก็เลิก ถ้ารู้สึกว่ากลัวมีความหวาดหวั่นมากขึ้น เขาก็เลิก ไม่รบกวนต่อไป ถ้าบังเอิญเราไม่รู่จักกลัวไม่กลัวเสียจริง ๆ เขาก็เลิกเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเขาไม่กล้าเล่นกับคนที่เรียวว่าเลยบาทเลยสลึง คนที่ไม่กลัวไม่ใช่ไม่เต็มบาทนะ ญาติโยมพุทธบริษัท คนที่เต็มบาทก็ยังหวาดหวั่นอยู่ ถ้าไม่กลัวจริง ๆ นี่เลยบาท อาจจะถึงหกสลึงก็ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากำลังใจของคน ทุกคนอาจจะสู้กันไปสู้กันมา สู้ให้พ้นจากความตายเหมือนกับสู้กับข้าศึก ไม่มีใครสู้กับข้าศึก สู้เพื่อให้ตัวตายอย่างนี้ไม่มี มีแต่เพียงคิดว่าการสู้กันคราวนี้เราจะต้องฆ่าข้าศึกหรือศัตรูให้ได้ ศัตรูจะต้องตาย เราจะต้องไม่ตายเขาคิดกันอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าคนเต็มบาท ถ้าคนเลยบาทคิดสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันว่า ร่างกายนี่จะตายก็ช่างมัน แต่ความดีส่วนหนึ่งต้องเอาให้ได้ ถ้าความดีส่วนนี้เอาไม่ได้เพียงใดเราจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด มันจะตายก็ตาย ยอมพลี เรียกว่า "รักธรรมะยิ่งกว่ารักชีวิต" อย่างนี้เขาเรียกว่า "คนเกินบาท" แต่ความจริงจะคิดว่าหกสลึงก็ไม่ถูก อาจจะถึง ๘ สลึง หรือ ๒ บาทเลยก็ได้ เพราะอะไร เพราะมีกำลังใจเข้มข้นมาก
    ฉะนั้นก็ขอเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัทว่าการพิสูจน์ของเทวดา เขาจะพิสูจน์ต่อเมื่อเราไม่มีความกลัว และมีความเข้มข้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พิสูจน์หนัก จะเป็นเฉพาะพวกพุทธภูมิเท่านั้น หรือว่าเวลานี้ปฏิบัติ คือปรารถนาสาวกภูมิ แต่ว่าเดิมมาจากพุทธภูมิด้วยกำลังเข้มข้น อย่างนี้เขาจึงจะพิสูจน์ ถ้าเราไม่กลัวก็ต้องพิสูจน์กันหนักจนกว่าจะรู้สึกว่ากลัว แต่ในที่สุดเราไม่กลัวจริง ๆ เทวดาก็กลัว เทวดาก็เลิก หรือว่าถ้าพิสูจน์แล้วเราเกิดมีความกลัวขึ้นมีความหวาดหวั่นเขาก็เลิกเหมือนกัน
    รวมความว่า ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านทราบตามความเป็นจริงว่าขอบรรดาพุทธบริษัทชายหญิงอย่าหวาดหวั่นในการพิสูจน์การทดลอง คือว่าการพิสูจน์ของเขาเพื่อให้ทราบกำลังใจของเรา ทุกอย่างน่ะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทต้องมีการพิสูจน์ความจริงจึงจะรู้
    อย่างที่เราตัดราคะ คือความรัก เราไปนั่งตัดในป่ามันก็ได้จะเป็นไรไป มันไม่มีอะไร ในป่าไม่มีราคะให้เราคิด ไม่มีราคะให้เราเห็น สมมุติว่าท่านเป็นชาย ท่านจะไปนั่งวาดภาพว่า ผู้หญิงแบบนั้นผู้หญิงแบบนี้สวยแบบนั้นแบบนี้ ที่ว่าต้องการ มันก็ไม่มีอะไรเกิดประโยชน์ มันนั่งแต่คิดทั้งนั้น ได้แต่คิด แต่การสัมผัสจริง ๆ ไม่มี ถ้าเป็นผู้หญิงนั่งอยู่คนเดียวในป่า คิดถึงผู้ชายแบบนั้น ท่าทางแบบนี้ มีความดีแบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เราจะชนะหรือเราจะแพ้มีนก็ไม่แน่นัก มีความดีแบบนั้นมันก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เราจะชนะหรือเราจะแพ้มันก็ไม่แน่นัก เราคิดว่าถ้าคนแบบนั้นมาเราจะตัดด้วยอารมณ์แบบนี้ การจะตัดราคะก็ต้องอาศัย อสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง กับกายคตานุสสติ ๑ อย่าง ตัดโทสะด้วยพรหมวิหาร ๔ หรือกสิณ ๔ มีกสิณ สีเหลือง สีเขียว สีขาว สีแดง ตัดโมหะกับวิตกจริงด้วย อานาปานุสสติ สนับสนุนกำลังใจในด้านศรัทธา ด้วย ด้วยอนุสสติ ๖ ประการ คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ สนับสนุนความฉลาดด้วย อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ มรณานุสสติ กับ อุปสมานุสสติ ที่พูดมาไม่แปล เพราะอะไร เพราะว่าเวลามันจะหมด ถ้าเราไปนั่งฝึกจะตัดแบบนั้นแบบนี้ ใช้กรรมฐานแบบนั้นแบบนี้ โดยไม่มีการพิสูจน์ มันก็นึกได้ นึกไปนึกมาเดี๋ยวก็แพ้โครม ดีไม่ดีแพ้โดยไม่รู้สึกตัว มันต้องพิสูจน์กัน
    ฉะนั้นถ้าจะตัดราคจริต ความรักในระหว่างเพศ หน้ามันจะต้องชนกับหน้าเพื่อนระหว่างเพศ คือเพศตรงกันข้าม คนที่เราเห็นว่าสวยว่างามที่เราชอบมาปรากฏ ในเมื่อคุยกันไปคุยกันมาอารมณ์ราคะไม่เกิด อย่างนี้ใช้ได้ เราคิดว่าเราจะตัดโทสะ จะต้องไปสัมผัสกับวาจาที่เราไม่ชอบใจ เมื่อสัมผัสกับอารมณ์นั้นได้จริง ๆ แล้วจิตใจสบายอย่างนี้ใช้ได้ เราชนะ
    ทีนี้การเจริญพระกรรมฐานของบรรดาท่านพุทธบริษัทก็เหมือนกัน บางท่านก็คิดว่าเราเป็นผู้ชนะแล้ว เราต้องการนิพพานแล้ว เราเป็นผู้เลิศแล้ว เวลานี้เราตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั่น เขาก็ต้องลอง ก็ต้องสอบ ก็ต้องพิสูจน์ แต่การลอง การพิสูจน์จะบอกล่วงหน้ากันไม่ได้ อย่างข้อสอบจะออกให้นักเรียนสอบ หรือท่านผู้สอบเลื่อนชั้นก็ตาม ถ้าจะสอบก็บอกว่า ข้อสอบฉันจะออกแบบนั้นแบบนี้นะ จะเขียนมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้จากตำราเล่นไหนบ้าง และก็วิธีตอบต้องตอบแบบนั้น แบบนี้จะจะสอบได้ อย่างนี้ใครก็สอบไม่ตก แล้วก็สอบได้หมด ทีนี้การสอบจิตใจของนักเจริญกรรมฐานเทวดาก็เหมือนกัน เทวดาจะต้องไม่มาตามแนวที่เราคิด เราคิดว่าอาการอาจจะเกิดอย่างนี้เขาจะไม่มาแบบนั้น ต้องหลบกันไปเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริง
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง บทพิสูจน์ของเทวดาไม่เฉพาะพุทธานุสสติอย่างเดียว จะเจริญกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งก็เหมือนกัน ถ้าอารมณ์เข้าถึงขั้นใกล้จะเป็นพระอริยเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงท่านนั้นเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนจึงจะมี ถ้าไม่ปรารถนาพุทธภูมิมาอย่าไปนั่งนึกเรียกก็ไม่มีมา เทวดาไม่พิสูจน์ เพราะเด็กเดินป้อแป้ ชกเขาผิด ฟ อาจจะหลบหลงไปตายก็ได้ ก็ต้องพิสูจน์กับคนที่มีความเข้มแข็งจริง ๆ
    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เรื่องนี้เล่าสูกันฟัง เป็นการตัดท้ายพุทธานุสสติกรรมฐาน เพื่อเป็นการป้องกันไว้ วิธีป้องกันก็คือว่า เราไม่กลัว ก่อนภาวนาหรือพิจารณาคิดว่า "มันจะตายเวลานี้ก็เชิญ ถ้าตายเวลานี้อย่างเลวเราไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหมโลก อย่างสูงสุดเราไปนิพพาน อะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตมเราไม่ยอมหวั่นไหว ไม่ยอมแพ้" เท่านี้ก็พอแล้ว
    เอาละบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เวลาบอกตรงเป๋งเส้นดำพอดีเมื่อเวลานี้ ๓๐ นาทีแล้ว ขอหยุดก่อน ขอสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้าจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านพึงประสงค์สิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปราถนาจงทุกประการ สวัสดี...

    พระราชพรหมญาณ <!--MsgFile=2-->


    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5837014/Y5837014.html

    <!--MsgFile=0-->
     

แชร์หน้านี้

Loading...