อภินิหารพระพินิจอักษร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    อานิสงส์การให้ทาน

    [​IMG]<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    บรรดาท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่ามีอานิสงส์เป็นประการใด ทั้งนี้ก็ขอให้ดูเรื่องราวของ อังกุรเทพบุตร ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชมน์อยู่ ในขณะนั้นที่องค์สมเด็จพระบรมครูขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา เมื่อไปถึงดาวดึงส์ครั้งแรก แรกไปถึงก็ปรากฏว่ามีเทวดา ๒ องค์ คือ อินทกเทพบุตร กับ อังกุรเทพบุตร ทั้ง ๒ ท่านมาก่อนเทวดาอื่น ทั้งนี้ พระอินทร์ท่านรับอยู่ก่อนนะ เมื่อพระอินทร์ท่านรับอยู่ก่อน แต่ว่า ๒ องค์นี่อยู่ใกล้ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไป ก็มาก่อนเทวดาอื่น ท่านอังกุรเทพบุตร นั่งข้างพระบาทข้างซ้าย อินทกเทพบุตร นั่งข้างพระบาทข้างขวา
    ต่อมาเมื่อเทวดาองค์อื่นมา อังกุรเทพบุตรก็ถอย อินทกเทพบุตรนั่งที่เดิม เมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ ปรากฏว่า อังกุรเทพบุตรอยู่ท้ายสุด เป็นเทวดาหางแถว อินทกเทพบุตรเป็นเทวดาหัวแถวตามเดิม พระพุทธเจ้าหวังประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทราบ จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ด้วย เสียงของเทวดาด้วยที่สนทนากัน ให้ดังถึงเมืองมนุษย์ให้คนที่อยู่ที่เมืองพาราณสีทั้งหมด คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิได้ยินได้ฟังทั้งหมด
    สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถว นั่งไกลที่สุด อยากจะถามว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้"
    อังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ท้ายใกล้จะตาย ให้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ ตั้ง ๑ แห่ง ๑ โยชน์ ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีลไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด แต่ว่าก็มี วิมานทองคำเกลี้ยง มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร"<o:p></o:p>
    นี่แหละบรรดาท่านผู้รับฟัง แม้แต่การบำเพ็ญกุศลแจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ มีวิมานทองคำเกลี้ยง มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร
    แต่ทว่า สำหรับเด็กที่ท่านแจก เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา วัดท่าซุง เด็กทั้งหมดที่จะเข้าโรงเรียน จะต้องสอบการฝึกกรรมฐานให้ได้ก่อน ถ้าได้กำลังมโนมยิทธิได้พอสมควรจึงจะเข้าได้ และก็ต้องมีการซักซ้อมกันทุกกึ่งเดือน ครึ่งเดือนจะมีการซ้อมกรรมฐานกันครั้งหนึ่ง และกฎระเบียบของโรงเรียนนี้
    อันดับแรก นักเรียนทุกคนต้องปฏิบัติอยู่ใน สังคหวัตถุ ๔ ได้ คือ
    ๑. รู้จักการสงเคราะห์<o:p></o:p>
    ๒. พูดดี<o:p></o:p>
    ๓. ช่วยเหลือการงาน <o:p></o:p>
    ๔. ไม่ถือตัว
    และก็ต้องพยายามทรงใน พรหมวิหาร ๔ คือ
    ๑. เมตตา ความรัก<o:p></o:p>
    ๒. กรุณา ความสงสาร<o:p></o:p>
    ๓. มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดีพลอยยินดีด้วย<o:p></o:p>
    ๔. อุเบกขา วางเฉยเมื่อเคราะห์กรรมเข้ามาถึง<o:p></o:p>
    และก็ต้องมี กรรมบถ ๑๐ ปฏิบัติ คือ
    ทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และไม่ดื่มสุราเมรัย<o:p></o:p>
    ทางวาจา ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ยุให้เขาแตกกัน ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล<o:p></o:p>
    ทางใจ ไม่อยากได้ทรัพย์สินของใครโดยไม่ชอบธรรม ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใคร และมีความเห็นตรงตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<o:p></o:p>
    นี่เป็น คุณธรรมของนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา วัดท่าซุง ก็รวมความว่าเด็กทั้งหมดมีศีล มีธรรม มีสมาธิ พอสมควร การพลั้งพลาดไปบ้าง เป็นของธรรมดาของปุถุชน ฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลของบรรดาท่านพุทธบริษัทถึงแม้ว่าบิดามารดาของเธอจะบกพร่องบ้าง แต่ว่าเด็กก็ตั้งอยู่ในเกณฑ์มีความประพฤติดี มีศีล มีธรรมพอสมควร ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้รับจากการแจกเด็ก ก็เห็นจะเป็นอย่างน้อยที่สุดท่านต้องได้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แน่นอน
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงหรือลูกหลานทุกคนที่บำเพ็ญกุศลมา สงเคราะห์มา ก็เป็นคนมีศีลธรรมอยู่แล้ว มีศีลเป็นปกติ มีสมาธิเป็นปกติ มีการให้ทานเป็นปกติ เจริญภาวนาเป็นปกติ ตนเองมีอานิสงส์ใหญ่อยู่แล้ว ครั้นมาเสริมด้วยการให้ทานอย่างนี้ ผลแห่งความดีก็จะยิ่ง ๆ ขึ้น ไป ก็รวมความว่า การให้ทานกับเด็กที่ทรงศีล ทรงธรรม ทรงสมาธิ ตามสมควร ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าผลของ อังกุรเทพบุตร
    ทีนี้เมื่อพูดถึง อังกุรเทพบุตร ก็ขอพูดถึง อินทกเทพบุตร ด้วย เป็นเทวดาที่สมัยพระพุทธเจ้าพบ ท่านอินทกเทพบุตรนั่นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ เข้าไปถึงใหม่ ๆ เธอนั่งข้างขวามือ ใกล้พระบาทของพระพุทธเจ้า ในเมื่อเทวดามาทั้งหมดดาวดึงส์ ท่านอินทกเทพบุตรก็ไม่ถอยให้ใคร ก็ถือว่าเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ในดาวดึงส์ ถ้ายกพระอินทร์เสียแล้วไม่มีใครใหญ่กว่า ไม่มีใครมีบุญมากกว่า
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใคร่จะประกาศ อานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ จึงถามอินทกเทพบุตรว่า "อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ว่าเมื่อตถาคตนั่งอยู่นานเข้า เทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือ มีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากพระอินทร์แล้วไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธอ อยากจะถามว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้"
    อินทกะได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ ว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้าในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่
    คำว่า เลี้ยงแม่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก
    ต่อมา พระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เดินเฉียดบ้านเข้าไปก่อนเพล ได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูป มาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ในชีวิตของท่าน ท่านบอว่าท่านจนมาก โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี มีโอกาสคราวเดียว การบำเพ็ญสังฆทานคราวนี้คราวเดียวและก็เลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะ เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๗ ประการเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑ แสน เป็นบริวาร และก็มีวิมานสวยสดงดงามมีความสุขมาก
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าการบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกศาสนามาก อย่างอินทกเทพบุตร การที่กล่าวมาอย่างนี้ก็เพราะว่า ในกาลต่อไปก็จะได้พูดถึงบุคคลที่บำเพ็ญกุศลในพุทธศาสนาที่กล่าวมานี้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า เทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง อันนี้เป็นหนังสืออ่านเล่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...