หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. ตาแก่

    ตาแก่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมข้อตั้งกระทู้บ้างครับ คือเกิดสงสัยหลังจากการนิพพานแล้ว ท่านยังมีอยู่หรือที่แดนนิพพาน และนิพพานมีอยู่จริงไหม หากคนที่ยังสำเร็จอรหันต์หรือถึงเป็นอรหันต์แล้วแต่ยังไม่ดับขันต์จะไปเที่ยวแดนนิพพานได้หรือไหมครับ....หากใครมีความรู้และมีเหตุผลประกอบได้ดี ช่วยอธิบายด้วยเพื่อให้หายสงสัย คือความเข้าใจผมเองนั้นเมื่อก่อนก็คิดว่า นิพพานเป็นดินแดนหนึ่งที่มีอยู่เป็นสภาวะหนึ่งของดวงจิตของพระอริยะเจ้าที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจก หรือพระอรหันต์ทั้งหลายเขาอยู่กันหรือดินแดนที่อาศัยของดวงจิตที่ไม่ต้องเวียนไว้ใน วัฏฏะอีกต่อไป คนที่จะไปได้ต้องสำเร็จอรหันต์แล้วจะต้องดับขันต์แล้วเท่านั้น แต่อย่างหากมีบางคนหรือพระบางท่านสำเร็จแล้วแต่ยังไม่ดับขันต์จะไปได้หรือไม่ ก็สงสัย...เกิดสับสน พระบางสำนักหรือผู้ปฏิบัตธรรมบางสำนักหรือบางแห่งก็สอนกันไปคนละแบบ บางก็บอกพุทธเข้าไม่มีแล้วคืนขันต์ทั้งหลายไปหมดแล้ว นั้นก็แสดงว่าการดับขันต์ของพระพุทธเจ้าหรืออริยะเจ้า ทั้งหลายเหล่านั้นก็คงเป็นไปเพื่อความไม่มีอะไรเลยหรือ ......หากเป็นเหตุผลว่าหากเข้าแดนนิพพานแล้วไม่มีความรู้สึกใดๆ คงเหลือ แล้วเขาจะไปกันทำไมครับ บ้างท่านก็บอกเป็นดินแดนบรมสุข บางคนก็บอกไม่มีนิพพาน ไม่ต้องไปคิดว่าจะไป เพราะไม่ใช่ดินแดนแห่งไหนแล้วจะไปได้ยังไง ..
    ***อยากให้แสดงความคิดเห็นเข้ามากันเยอะ จะได้อ่านเพื่อเป็นกรณีศึกษา**
    รับรู้ไว้ ผมจะได้ตั้งความหวังบ้างว่าจะไปไหนดี ....
     
  2. อาหลี_99

    อาหลี_99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    744
    ค่าพลัง:
    +2,992
    ปัจจัตตัง
     
  3. เทพอัสนี

    เทพอัสนี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +2
    หากเป็นแดน ก็ย่อมเป็นภพภูมิ มีอายตนะเสวยภพภูมินั้น
    ทำให้สงสัยได้ว่า ในวันหนึ่งๆ ผู้ที่อยู่ในแดนนิพพาน ทำอะไรกัน จึงไม่มีความทุกข์อยู่เลย
    หากดับสูญ ไม่เหลืออะไรเลย แล้วมันจะดีกว่าการเวียนว่ายตายเกิดที่มีสุขทุกข์สลับกันไป หรือไม่

    ที่เราต้องการชี้คือ อย่าใช้ปัญญาโลกียะ หาข้อสรุปของสิ่งที่เป็นโลกุตตระ เพราะมันไม่อาจเป็นไปได้เลย เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นปัจจัตตัง
    คิดมาก ก็ฟุ้งมาก ไม่เกิดประโยชน์อันใด นอกจากสนองตัณหาในความอยากรู้ของตนเอง โดยการหาคำตอบ ในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ ด้วยสมมติบัญญัติ...
     
  4. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    หากเป็นแดน ก็ย่อมเป็นภพภูมิ มีอายตนะเสวยภพภูมินั้น
    ทำให้สงสัยได้ว่า ในวันหนึ่งๆ ผู้ที่อยู่ในแดนนิพพาน ทำอะไรกัน จึงไม่มีความทุกข์อยู่เลย


    ขึ้นชื่อว่าพระอรหันต์ท่านก็ไม่มีทุกข์ตั้งแต่ก่อนจะเข้านิพพานแล้วนี่ครับ ดังนั้นอยู่ที่ไหนก็ตาม คำว่า "ทุกข์" ไม่เกิดกับท่านแล้วครับ

    -----------------------------------------------------------------------
    ที่เราต้องการชี้คือ อย่าใช้ปัญญาโลกียะ หาข้อสรุปของสิ่งที่เป็นโลกุตตระ เพราะมันไม่อาจเป็นไปได้เลย เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นปัจจัตตัง
    คิดมาก ก็ฟุ้งมาก ไม่เกิดประโยชน์อันใด นอกจากสนองตัณหาในความอยากรู้ของตนเอง โดยการหาคำตอบ ในสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ ด้วยสมมติบัญญัติ...


    เห็นด้วยครับกับข้อความด้านบน
    เสริมนิดนึงนะครับว่า ธรรมะนั้นเป็นปัจจัตตัง ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็สงสัย เมื่อสงสัยก็คิดไปต่างๆ นาๆ ทางที่ดีต้องปฏิบัติตนเองให้ถึงเอง (ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องนะครับ) เมื่อนั้นความสงสัยก็จะหมดไปเองครับ
     
  5. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ไม่ได้รู้โดยการปฏิบัติเอง
    แต่อาศัยวิจัยจากตำราและผู้รู้
    แดนนิพพาน หมายถึง"จิต"นั้นต้องผ่าน "วิปัสสนากรรมฐาน"จากขณิกสมาธิ ไต่ไปจนผ่านรูปฌาณ4 อรูปฌาณ 4 เรียกเป็นผ่านฌาณสมาบัติ8 แต่ยังไม่พ้น ต้องเข้า ฌาณที่9 คือ นิโรธสมาบัติด้วยจึงจะผ่านไปได้
    ในจำนวนนี้จะมี"ญาน ทั้งหมด 20 ญาน" เมื่อข้ามได้ ก็คือได้"ญานที่21"แล้ว
    เข้าได้ ออกได้แล้ว แม้ทรงขันธ์อยู่หรือไม่ทรงขันธ์ ก็ได้ คือ พร้อมไปอยู่แดนนิพพาน
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มาตามคำเชิญ อะนะ

    ความเห็นส่วนตัว ยังไม่รู้ค่ะ นิพพาน ก็ ไม่รู้

    คนส่วนใหญ่ เมื่อตั้ง โจทย์ ผิด ก็ ทำผิด คำตอบ ก็ ผิด

    แสวงหา คำตอบ ต่อโจทย์ ที่ ผิด ก็ย่อมได้ คำตอบ ที่ ผิด

    แล้วยังไงดีล่ะ ส่วนตัวของเรานั้น ไม่ได้แสวงหา นิพพาน ไม่ได้แสวงหา ที่ตั้งของนิพพาน

    เราหาคำตอบของการดับทุกข์ การหลุดพ้นจากทุกข์ การรู้แจ้ง อริยสัจ เข้าถึง ทุกขสัจ

    การอยู่อย่างไม่ทุกข์ การไม่ยึดมั่นถือมั่น ต่อ สิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง เรียนรู้ความจริง ของ กาย ของ ใจ

    คือ หนทางปฏิบัติ ของเรา

    การ เจริญสติ เพื่อระลึกรู้ ให้เท่าทัน การเกิด ทุกข์ เพื่อให้ ใจ ละวาง ทุกข์ ด้วย ตนเอง

    คือ หนทางปฏิบัติ ของเรา
     
  7. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    ถ้ามนุษย์ทุกคนรู้ว่าตัวเองมาเพื่อชำระกิเลศ กิเลศก็เกิดจากความอยาก อยากจึงเป็นทุกข์ แล้วถามว่า แม้แต่ปราถนาทุกอย่าง ก็เกิดจากความอยากเช่นกัน ถ้าชำระกิเลศ แล้วจิตย่อมบริสุทธิ์และละเอียด เราย่อมสัมผัสถึงความละเอียดได้เช่นกัน ยิ่งจิตละเอียดบริสุทธิ์ไร้ซึ่งกิเลศ แล้วปลายทางหล่ะ จะอยู่ที่ใด เราขอพูดเพียงเท่านี้ค่ะ ความอยากก็ไม่มี ภพชาติก็สิ้น เพราะเราไม่ยึด ที่เรายึดเพราะอวิชชา และกิเลศ เมื่อไม่ยึด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2008
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอ เจือก หน่อยนะ ถ้าผิด ก็ขออภัย ละ กัน

    คนที่ปฏิบัติ แล้ว ถามหา ปลายทาง มัก จะ หลง ทาง นะ

    เรา ก็มีหวัง มีอยาก เหมือนกัน แต่เราเลือกที่จะ รู้ทัน แล้ว วาง ซะ

    แล้ว เดินหน้า ลูกเดียว ถึงเมื่อไร ก็ รู้เอง

    เพราะ ถ้า ไป หลง ซะก่อน คนส่วนใหญ่ จะหยุดเดิน เพราะ รู้แล้ว ขี้เกียจ

    แต่ไอ้สิ่งที่รู้นะ มันรู้ไม่จริง ของจริง ต้อง เดิน ถึง ก่อน ถึงจะ รู้ จริง

    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จึงเป็น อมตะ วาจา อกาลิโก

    ส่วนใครจะเลือกเดินทางฉล๊าด ฉลาด ก็เดินไป ละกัน เพราะ ของมันเคย ไม่ยอมเปลี่ยน นิสัย

    ก็ย่อมต้องอยู่ในวังวน กะลามังเดิม นั่นแล สำนวนโบราณเขาว่า ร้อยก้นไว้ใช้
     
  9. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    คนที่ปฏิบัตินะคะ ปลายทางไม่หลง เพราะต้นทาง เราทำการชำระล้างกิเลศให้เบาบางแล้ว เมื่อกิเลศเบาบาง ความอยากไม่มี จิตละเอียดเพราะไม่มีความคิดที่จะอยากได้ อยากมี อยากเป็น จิตละเอียดเท่าไหร่ ก็ถึงความละเอียดได้เท่านั้น ยิ่งละเอียด ก็ไม่หลงทาง เพราะรู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควรทำ สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก จิตตัวเองย่อมรู้ เพราะรู้ตัว ถึงจะละเอียดก็ต้องรู้ตัว และไม่ยินดีในความละเอียด เพราะเมื่อยินดี ก็ยึดเป็นอัตตาอยู่ดี เพราะเราพอใจ และยินดีมัน แค่ให้รู้ถึงความละเอียดของจิตเท่านั้น เมื่อรู้ก็ปล่อยวาง ดูอยู่อย่างเดียว แล้วมันจะไปเหลืออะไรให้ยึดหล่ะคะ คำว่าไม่ยึด กับคำว่าหยุดนั้นต่างกัน เราก็ทำไปเพื่อชำระกิเลศไปเรื่อย ๆ ยิ่งเบาบาง ก็รู้ว่าไม่ควรที่จะยึดอะไรเลย
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ก็ไม่รู้ เพราะ เคยรู้มาว่า

    ยิ่ง สูง ยิ่ง หนาว

    ยิ่งละเอียด ยิ่งหลอกเก่ง หลอกแบบ เนียน เนียน

    สุดยอดของความหลอกลวง คือ นามว่าง

    ก็แค่นั้น หลงว่า รู้ หลงว่า ไม่รู้ หลงว่า หลง หลงว่า ไม่หลง หลงแบบ เนียน เนียน

    แบบว่า เรารู้ตัว ว่า หลง อยู่ และก็ รู้ว่า ไม่รู้ เรา ก็ จะ ระวังตัว แค่นั้น

    คนอื่น จะยังไง เราก็ไม่รู้ หรอก คงต้อง วางแล้ว

    เพราะ ตน เป็น ที่ พึ่ง แห่ง ตน
     
  11. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    การระวังตัว คือการชำระล้างกิเลศ และความอยากออกจากจิตนั่นแหล่ะ เพราะความอยากทำให้เกิดทุกข์ เมื่อรู้ว่าควรชำระล้างกิเลศ และความอยาก แค่นั้นเองจุดหมายเราไม่สนใจ ระวังตัวก็คือ ชำระกิเลศ
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    และ แล้ว หวย ที่ ออก ก็ คือ 11

    แหะ แหะ ขออภัย ติดมาจากกระทู้ ข้างบ้าน อะนะ มะมี อะไร ใน กอไผ่

    หวย ก็ ออก ไป แล้ว อะ นะ
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปาท่องโก๋ อร่อย ป่าว

    กินเยอะ มีโอกาส เป็น มะเร็ง สูง นะ

    น้ำมันที่ใช้ทอด ก็ ดำ ปิ๊ดปี๋ ทอดแล้ว ทอด อีก

    ก็ เค้า ลด ต้น ทุน อะ จิ พวกค้ากำไร เกินควร เป็นนิสัย ที่แก้ ไม่หาย ของ คน
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มาอธิบายมั่ง ไม่รู้จะฟังได้ง่ายหรือเปล่า

    ก่อนอื่น เอาที่พอเข้าใจง่ายๆ คือ หนทางปฏิบัติของพุทธ
    ก็เพื่อการสิ้นภพสิ้นชาติ

    ที่นี้ ธรรมสุดท้ายของพุทธ รู้จักกันในนามคำว่า นิพพาน

    หากสรุปโดยตรรก ก็ย่อมชัดเจนในตัวว่า นิพพาน ไม่ใช่ ภพชาติ

    และเมื่อนิพพานไม่ใช่ภพชาติ จึงไม่ใช่สถานที่ จึงไม่มีการไป ไม่มีการมา
    ไม่มีการไปอยู่ ไม่มีเสด็จออกมา ไม่มีเสด็จเข้าไป ยิ่งเข้าออกไปๆมาๆ
    ได้ทุกวี่ทุกวันที่สงสัยมีโมหะครอบงำแต่ไม่เห็นมันก็ยิ่งตาบอด

    แต่เรื่องการเห็นพระ เห็นสถานที่ เห็นชฏา เห็นมงกุฏ เห็นแก้ว มันใช่นิพพาน
    ไหมอันนั้นจริงๆแล้ว เขาก็ไม่สนใจกัน เพราะว่าการได้เห็นแบบนั้นก็คือการ
    เห็นที่ไม่ได้เสียหายอะไร เรียกว่า เห็นแล้วทำให้รักศีล การมีศีลก็คือบารมี
    ลำดับต้นๆที่ต้องทำให้มาก ทำให้เต็ม ทำให้มีกำลังเสียก่อน หากคนไหนปฏิบัติ
    ธรรมเพื่อเห็นเมืองนิพพาน เห็นพระพุทธเจ้า แล้วทำให้จิตตั้งมั่นในการรักษาศีล
    ก็แปลว่ายังสาระวนอยู่ในการทำสิกขาปฐมบท ยังไม่ได้เดินไปสู่ระดับจิตสิกขา
    และปัญญาสิกขา กำลังของศีลยังส่งไม่พอให้เห็นบทศึกษาจิตสิกขา ปัญญา
    สิกขาได้ แต่การที่คนๆหนึ่งจะง้วนอยู่กับการรักษาศีล กุศลกรรมบท บารมี10ทัศนะ
    มันเป็นเรื่องประเสริฐอยู่แล้วในตัว

    ดังนั้น การที่ใครก็ตามพูดว่าฉันเห็นพระพุทธเจ้า ฉันเห็นเมืองนิพพาน ฉันมีสงสัย
    ครอบงำแล้วเข้าไปถามพระ ทุกอย่างคือ บารมีของตัวเขาเองที่เคยทำไว้ผุดมาให้
    รู้ หรือเข้าไปควานของเก่า(บางคนหนักแน่นไปในอนาคต)จนรู้ ก็ต้องถือว่าเขาเก็บ
    บารมีมาดี มาได้อย่างประเสริฐ

    ตรงจุดที่เขาพูด เขาอ้างนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่การปฏิปทาหลังจากที่
    ได้พูด ที่ถือว่าได้เห็น ว่าจะสำคัญผิดจนไปเสริมอัตตา แทนการละวาง เบื่อหน่าย
    คลายกำหนัดหรือไม่ อย่างเช่น เข้านิพพานไปถามพระ ถามแล้วก็สงสัยก็เข้า
    ไปถามอีก ถามได้ทุกวี่ทุกวัน กิเลสก็ยังไม่หายไป แบบนี้จะมองเห็นหรือไม่ในความ
    ไม่เที่ยง อนิจจัง อนัตตา รู้ลงเป็นไตรลักษณ์ได้หรือไม่ในธรรมชาติของรูปนาม(โลก)
    ที่เข้าไปเห็นในแบบต่างๆ

    ถ้าทำได้ก็จะเริ่มเข้าสู่บทจิตสิกขาอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ใช่แค่พอทำได้ก็ดีใจว่า
    ทำได้ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องจิตเลย เพราะเผลอไปเห็นจิตเป็นเรื่องของภพ ของ
    พลังงาน ของอะไรสักอย่างที่ยึดว่ามี แถมยังรู้สึกลึกๆรักใคร่หวงแหนตัวจิต(อุปทานว่ามีตน)

    พอเห็นจิตได้ตามความเป็นจริงว่ามันไม่ใช่ภพ ไม่ใช่อะไรที่เทียวไปเทียวมา มัน
    เป็นเพียงธรรมชาติรู้อะไรสักอย่าง ถึงจุดนี้ก็จะมีบารมีพอที่จะยกปัญญา

    ถ้าทำได้สักรอบก็ค่อยบอกว่าตัวเองเป็นโสดาบัน เห็นสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน จริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2008
  15. ttii01591

    ttii01591 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +15
    คนต่างจังหวัดจะเดินทางเข้ากรุงเทพ คนภาคใต้ก้อบอกว่าต้องเดินทางไปทางทิศเหนือ คนภาคเหนือก้อบอกว่าต้องเดินทางไปทางใต้ ระหว่างทางมีป้ายบอกทางตลอดบังเอิญถึงสามแยกป้ายนั้นหายไปถามคนผ่านทางที่ไม่เคยไปกรุงเทพว่าไปทางไหนเค้าก้อจะตอบว่าไม่รู้สิไปทางนี้มั้ง ตกลงก้อหลงทาง
    อยากรู้เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่ามีจริงเป็นจริงมั้ยต้องปฎิบัติตามแบบฝึกที่มีอยู่มากมายหลายสิบแบบแล้วเราเองจะเห็นผลเอง ให้ทานก้อสุขใจ รักษาศีลก้อมีความสุข ภาวนาก้อมีปัญญา มีคนมากมายอยากมีอยากเป็นอยากได้ แต่ไม่อยากทำ
     
  16. เทพอัสนี

    เทพอัสนี สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +2
    มรรค ก็คือ ผล
    เพราะเดินทางสายนี้ ก็เพื่อ มรรค ผล นิพพาน
    มรรค คือ ผล หมายความว่า ระหว่างทาง ก็ต้องมีความสำเร็จ
    ทางสายกลางคือทางเดิน เป็นมรรค บาลีเรียกว่า มัชฉิมาปฏิปทา
    ถ้าไม่ผ่านมรรค ผลจะเกิดได้อย่างไร
    ถ้าไม่เริ่มเดิน จะรู้จักมรรค ได้หรือ
    ได้รู้จักมรรค คือ สำเร็จส่วนหนึ่ง
    ได้รับผลของมรรค คือ สำเร็จอีกส่วนหนึ่ง
    ผ่าน มรรค4 ผล4
    ก็สำเร็จทั้งหมด...
     
  17. ขุนพล.

    ขุนพล. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +162
    เมื่อ อะไรคูณศูนย์ได้ศูนย์

    จิต*กิเลสตัวใด = ภพภูมินั้นๆ
    จิต*นิพพาน = นิพพาน

    18955...*0 = 0 ตรงนี้ถามว่า 18955... นั้นหายไปไหน ทำไมต้องตอบว่าศูนย์
    เช่นกัน..เมื่อ.
    จิต*0 = นิพพาน กิเลสคือ 0 ผลคือนิพพาน ถามว่าจิตยังอยู่ใหม คล้ายกันใหมกับ จำนวนเลข18955..ที่หายไป


    เมื่อจิตอันสัมปยุตย์กับกิเลสที่เป็นศูนย์ผลคือสภาวะนิพพาน อันเดียวกันใหมกับ " จิต*0=0 "

    พระพุทธเจ้าเข้าสู่สภาวะพระนิพพาน จิตนั้นยังอยู่ใหม คงคล้ายกัน
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่อง เหนือ วิสัย ของ ปุถุชน คาดเดา เอาเองไม่ได้

    ต้อง รู้ เอง ด้วย จิต ตน สถาน เดียว

    รู้ โดย วิธี อื่น นั้น รู้ ไม่จริง ก็ อยู่ กับ ความไม่จริง
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าในตัวตน ยังมี อะไร อะไร ที่ก่อภพ ก่อชาติ อยู่ เพราะไม่รู้

    ชาติ ภพ ก็ ยัง ไม่สิ้น ถึงจะคิดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มี๊ ไม่มี ไม่มี ซักกะติ๊ด

    แต่ ตัวตน ก็ ยังหมุน ก่อภพ ก่อชาติ ไม่หยุดหย่อน

    แถมยังฉลาด หนักหนา ปฏิเสธ ตัวตน ที่หมุนอยู่ ว่า ไม่ใช่ตน เข้าไปอีก

    ตัด ญาติ ขาด มิตร ไม่รู้ ไม่สน มึง ไม่ใช่ กุ จบ แระ ง่ายๆ สั้นๆ แต่ไม่ได้ ใจ ความ

    เพราะ ใจ ก็คือ ใจ บ่อรู้ บ่อหัน กุ ไม่ใช่ มึง อีก ตะหาก กุ ก็อยู่ ไป งี้ แหละ (น้านนน... เอา เข้าไป)

    ใช่ ป่าว หว่า (กุ ไม่ รู้ อะ [​IMG])
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เป็นการชักชวนให้ดูนิพพานด้วยวิธีตรรกะ ใช้ความคิดเข้าถึงนิพพาน

    มีแต่จะผิดพลาดพาหลง เห็นจิตเป็นของเที่ยง เห็นผู้รู้เป็นของเที่ยง

    หากเห็นจิตเป็นของเที่ยง เห็นผู้รู้เป็นของเที่ยง เป็น มิจฉาทิฏฐิ
    เป็นภูมิรู้ของผู้ที่ยังไม่เป็นโสดาบัน หรือ ยังไม่อยู่ในมรรค
    ( หลวงปู่เทสก์ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...