หลวงพ่อตอบปัญหาเรื่องอุปสมบทบรรพชา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff colSpan=2 height=65>[​IMG]

    ปัญหาการอุปสมบทบรรพชา [​IMG]




    </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=61 bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top width=435 bgColor=#ffffff>ถ้าหากว่าบวชไม่ครบพรรษา จะบวช ๑ เดือน หรือ ๒ เดือน ได้ไหมคะ.....?

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>จะบวช ๑ เดือน ๒ เดือน หรือ ๗ วัน ก็ได้ ถ้าหากปฏิบัติดี บวช ๒-๓ วันมันก็ดี ถ้าบวชเลว นานเท่าไรก็ยิ่งลงอเวจีลึกเท่านั้น ก็ไม่มีความหมาย
    การบวชพระพุทธเจ้าทรงวางแบบไว้ดี แต่พระที่เขาถือว่ามีศักดิ์ศรีกลับปฏิบัติเลว เมื่อพระพุทธ เจ้าทรงมอบอำนาจให้แก่สงฆ์ ทรงมีกฎไว้ว่า คนที่จะบวชจะต้องอยู่
    ติตถิยปริวาส ๓ เดือน ก่อน ในฐานะที่เป็นคนภายนอกจะต้องมาศึกษาพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติ ถ้า ๓ เดือน ยังไม่ดี ยังไม่ให้บวช ถ้าอยู่ต่อไปอีก ๓ เดือน ถ้ายังไม่มี ก็ยังไม่ให้บวช ถ้าอยู่ต่อไปอีก ๓ เดือน ถ้า ๓ เดือน ๓ วาระ ยังไม่ดี ห้ามบวชตลอดชีวิต


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเขาเข้าวัดกันเลยค่ะ เวลาขานนาคพระคู่สวดก็สอนเสียทั้งหมด</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ถ้าเป็นที่วัดฉัน ไม่ให้บวชเลย</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>คนเดี๋ยวนี้ต้องทำมาหากิน ถึงเวลาจะบวช ก็บวช ไปตามประเพณี ไม่ได้มีเวลาศึกษาระเบียบ วินัยข้อวัตรปฏิบัติเสียก่อน บวชอย่างนี้จะได้ไหมคะ........? </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ได้.....โยม ได้อเวจี บวชวันแรกก็หมดจากความเป็นพระแล้ว พระไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง และพระก็ไม่ได้อยู่ที่การโกนผม
    คำว่า พระจริง ๆ อันดับแรก เป็นพระปลอมก่อน ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ นั่นก็คือ พระที่ปฏิบัติตามวินัยครบถ้วนทุกสิกขาบท พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกพระนะ
    ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ พลาดนิดเดียวก็ไปนรกและการที่จะบวชเข้าไป ถ้าในคณะสงฆ์ที่นั่งอยู่ในวงการอุปสมบท ถ้าเป็น อาบัตติปาราชิก หรือ สังฆาทิเลส องค์หนึ่ง สังฆกรรมนั้นเสีย คนที่บวชนั้นไม่เป็นพระหรอกเป็นเณร เสร็จอีก ถ้าไปนั่งรวมฉัน ร่วมกับพระก็บาปกินตลอด แล้วก็มาอีกระดับหนึ่ง ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามพระธรรมวินัย เขาเรียกว่า สาธุภิกขุ คือนักบวช ชั้นดี ถ้าได้ฌานสมาบัติเป็นฌานโลกีย์ ก็ยังเรียกว่าสมมติสงฆ์ ถือว่าเป็นกัลยาณชนจะเป็นพระจริง ๆ ได้ก็ต่อเมื่อ ท่านผู้นั้นเป็น พระโสดาบัน


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>การบวชให้อยู่วัดก่อนบวช คือการท่องบ่นสวดมนต์แล้วก็ปฏิบัติพระ ใช่ไหมคะ.......? </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>การอยู่วัดก่อนบวช เขาไม่ได้สวดมนต์เฉย ๆ เขาจะ ต้องเจริญพระกรรมฐาน และต้องปฏิบัติ ให้อารมณ์จิตดีด้วย คือ เข้าถึงธรรมพอไหม ถ้าไม่พอไม่ให้บวช
    พระพุทธเจ้าทรงสั่งไว้แบบนี้นะถ้ารู้สึกว่ายาก ก็ตัดสินใจไม่ให้บวชเลยก็หมดเรื่อง
    ถ้าพิจารณาแล้วว่าควรจึงให้บวช ขึ้นชื่อว่าบวช นี้มีความหมายมากเหลือเกิน ใครมีลูกชายก็อยากจะให้บวช แต่ถ้าบวชแล้วไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยก็น่า
    หนักใจเหมือนกัน แทนที่จะได้บุญกุศลมหาศาล ก็จะพาลให้ลงนรก มันไม่คุ้มกันเลย และอีกประการหนึ่งการจะบวชลูกหลานเข้าไว้ในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจจะเอาบุญ คือทำกันตามพระเพณีเป็นสำคัญ พอเริ่มจัดงานก็มีการฆ่าไก่บ้าง ฆ่าปลาบ้าง ฆ่าหมูบ้าง ฆ่าวัว ฆ่าควายบ้าง เอาสุราเมรัยมาเลี้ยงกันบ้าง ถ้าท่านทั้งหลายจัดการอุปสมบทบรรพชา หรือว่า บำเพ็ญกุศลส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี ทำกันตามประเพณีแบบนี้
    ก็จะได้ชื่อว่าไม่มีอานิสงส์อะไรเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมีเจตนาชั่ว คือเริ่มต้นก็ ทำบาปก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า
    "ถ้าจิตเป็นอกุศล กุศลใด ๆ ที่ตนคิดว่าจะทำ มันก็ไม่ปรากฏ"
    "ในการใด ถ้าเราจะบำเพ็ญกุศลบุญราศรีให้ปรากฏเป็นผลดีก็ขอให้การนั้น เป็นการที่บำเพ็ญ บุญกุศลจริง ๆ"
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงเว้นกรรมที่เป็นกุศลเสียให้หมด งดสิ่งที่เป็นกรรมชั่วทุกประการ อย่าให้ปรากฏมี เวลาเริ่มงานขึ้นมาสักที่ กรรมใดที่เป็นอกุศล เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ดี การเลี้ยงสุรา ก็ดี อย่างนี้จงงดไว้ ตั้งใจเฉพาะบำเพ็ญกุศลอย่างนี้ จึงเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
    ทีนี้สมมติว่าลูกหลายที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ยินดีในการปฏิบัติความดีในด้านพระธรรม วินัยยินดีในการเจริญพระกรรมฐาน เกิดความชุ่มชื่นในการปฏิบัตินั้น อานิสงส์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้น องค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ว่า
    "ท่านผู้ใดก็ดี อุปสมบทบรรพชาเข้ามาแล้ว ในพระพุทธศาสนาวันหนึ่งทำจิตใจว่างจากกิเลส เพียงวันหนึ่งชั่วขณะจิตเดียว"
    นี่หมายความว่า วันหนึ่งมีเวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลานอกนั้นจิตก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่าง ๆ แต่ว่า ตอนปฏิบัติพยายามควบคุมกำลังใจ ไม่พลั้งพลาดจากพระธรรมวินับหรือเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม ในวันนั้นทำ สมาธิจิตให้เกิดขึ้น จะเป็นทรงอารมณ์สมาธิก็ตาม หรือจิตผ่องใสทางด้านวิปัสสนาญาณก็ตาม วันหนึ่งเพียงชั่ว ขณะจิตเดียว จิตโปร่งจริง ๆ ขณะนิดเดียว นาทีหนึ่งหรือสองนาทีก็ตาม แต่ว่าทำได้ทุกวัน ไม่จำกัดเวลา อย่าง นี้พระพุทธเจ้ากล่าว่า
    "ท่านผู้นั้นบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา แม้แต่เพียง ๑ วันก็ย่อมมีอานิสงส์ดีกว่าพระที่บวช เข้ามาในพระพุทธศาสนาตั้ง ๑๐๐ ปี มีศีลบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง แต่ก็ไม่ได้เคยเจริญสมาธิจิตเลย" ท่านบอกว่า "อานิสงส์อันนี้ จะคูณด้วยกำลังของแสน" เพราะอาศัยอารมณ์ที่มีความชื่นบาน มีความผ่องใส มีความพอใจ มีะรรมปิติ
    อาศัยลุกชายของ ตนประพฤติดี ประพฤติชอบ ในระบอบพระธรรมวินัย ทุกคนจะมีอานิสงส์มากขึ้น หมายความว่า ถ้าเป็นเทวดา หรือพรหม ก็มีรัศมีกายผ่องใสขึ้น จะเพิ่มความสุขยิ่งขึ้น

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ดิฉันมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ก็อยากจะให้บวช แต่เมื่อได้ฟังหลวงพ่อพูดถึงพระไปนรกกันเยอะ เลยคิดว่าไม่ต้องบวชก็ได้ เอาแค่เจริญกรรมฐานดีกว่า แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายที่ไม่ได้เป็นญาติ ของพระศาสนา </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>โอ้ย.....อย่า อย่า ถ้าไม่ได้บวชเป็นญาติของพระศาสนาง่ายกว่า ถ้าบวชเป็นญาติกับนรกง่าย"
    "คำว่า บวช บวชนี่มันหนัก พระพุทธเจ้าบอกว่า "บรรพชาเป็นของหนัก" พระโผล่ปุ๊บ เข้ามาแล้ว อันดังแรก ศีล สมาธิ ปัญญา เริ่มต้นเลย จะไปรออีก ๓ วันน่ะ มันไม่ได้
    เขาเรียก ปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านต้องบูชาต้องกราบไหว้ไอ้ลูกเวลาไม่ได้บวช ก็ไหว้พ่อไหว้แม่ ไหว้ปู่ ย่า ตา ยาย ใช่ไหม..... พอบวชวันนั้น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาไหว้ทันที
    นี่มันจะตกนรกกันก็ตรงนี้และ ที่หนักกว่ากันก็ตรงนี้แหละ เห็นชัด ๆ พระพุทธเจ้าเรียก "สามัญผล" ฉะนั้นนักบวชสมัยนี้ลงนรกง่ายกว่าสมัยก่อน และอีกประการหนึ่ง พระนี่กินข้าวง่ายเมื่อไรล่ะ ต้องพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา ก่อนจะเกิดนั้นมาจากไหน ไม่กินเพื่อติดในรส ติดในกลิ่น ติดในสี จะไม่กินเพื่อความอ้วนพี จะไม่กินเพื่อความ ผ่องใส จะกินเพื่อทรงชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ต้องปฏิบัติตามนี้นะ

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ผู้ถาม</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>ถ้าพระทำแบบนี้กันมาก ๆ ก็ตกนรกเยอะซิคะ.... </TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>หลวงพ่อ</TD><TD vAlign=top bgColor=#ffffff>พระนี่ลงนรก ๙๙% ท่านมีบุญมากกว่าฆราวาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารเรปฏิกูลสัญญา สมภารก็ไม่รู้ อุปัชฌาย์ก็ไม่รู้ ลูกศิษย์รู้มากก็ซวย ก็ลงด้วยกันทั้งนั้น
    พระพุทธดำรัส พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุผู้บริโภคอาหาร อันมีผู้ถวายด้วยความเลื่อใสแล้ว ไม่พิจารณาเสียก่อน เมาในรสอาหารนั้น สู้กินก้อนเหล็กที่เขาเผาแดงจนลุกโชนเสียดีกว่า เพราะกินถึงปากปากพัง ถึงคอก็คอพัง ถึงอกก็อกพัง ถึงท้องก็ท้องพัง มันร้อนก็ตาย พอตาย แล้วก็เลิกร้อน ส่วนภิกษุที่ฉันอาหารโดยไม่พิจารณาเป็นอาหารเรปฏิกูลสัญญาตายแล้วลงนรก
    มันร้อนนานแสนนานกว่า" การบวชนี่ไม่แน่นักว่าจะไปสวรรค์ ส่วนใหญ่ลงนรกหมดดีไม่ดีชวนพ่อแม่ลงไปด้วย ถ้าปฏิบัติไม่ดีตามพระวินัย ครูบาอาจารย์ตักเตือนเข้าก็ไม่โกรธ ไปบอกพ่อแม่พี่น้อง ไม่ได้เอาเรื่องที่ถูกทำโทษไปบอก เอาแต่ความดีไปบอก พ่อแม่พี่น้องก็พากันโกรธว่าพระด่าพระ
    อย่าง พระกปิละบวชมาแล้วท่านทรงพระไตรปิฎก แต่ยังไม่ได้ มันเสือกระดาษ ก็มีลูกศิษย์ลูกหามาก ลาถสักการะก็เกิดมาก ความทนงตนเกิดขึ้น ต่อมาสอนไปสอนมากํสอนคัดค้านคำสอนพระพุทธเจ้า เช่น ตายแล้วสูญ นรกสวรรค์ไม่มี เป็นต้น พระตักเตือนเข้าก็โกรธ ทีนี้แม่กับน้องสาวก็พลอยโกรธไปด้วย ตายแล้วต่างคนต่าง ลงอเวจีมหานรก เห็นไหม..
    การบวชนี่กรรมหนักมาก ถ้าพลาดนิดเดียว อาบัติปาราชิก อาบัติปาราชิกมี ๔ สิกขาบท
    ๑. เสพเมถุนกับสตรี
    ๒. ฆ่ามนุษย์ให้ตาย
    ๓. ลักทรัพย์ตั้งแต่ราคา ๑ บาทขึ้นไป
    ๔.อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน
    สิกขาบทที่ขาดง่ายที่สุดคือ ลักของราคา ๑ บาทขึ้นไป ขาดจากความเป็นพระทันที ข้อนี้ระวังให้มาก คนเขาทำบุญเรื่องนี้ แต่เอาไปให้อีกเรื่องหนึ่ง เสร็จ...
    และอีกประการหนึ่ง การแสดงอาบัติ เขาต้องบอกเหตุว่า เราทำอะไรมา ไม่ใช่ว่ากันตามภาษาบาลีเลอะไป จริงๆ แล้วในพุทธกาล เขาต้องบอกจุดที่เป็น คือ เราไปละเมิดอะไรมาบ้างบอกพระด้วยกัน ถ้าอยู่ในคณะสงฆ์ ต้องบอกในคณะสงส์ ที่ทำกันทั่วไป เป็นภาษาบาลีนี่มันไม่ถูก ถ้าไม่ถูก การเปลื้องอาบัติก็ไม่สมประสงค์ และก็ลงท้ายว่า
    "นะปุ เนวัง กะริสสามิ" ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก
    "นะปุ เนวัง กะริสสามิ" ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก
    "นะปุ เนวัง กะริสสามิ" ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีก
    ทีนี้ เวลาที่เราแสดงอาบัติ ต้องตั้งใจจริงว่า ไอ้ความชั่วประเภทนี้ เราจะไม่ทำอีก แราจะไม่คิด อย่างนี้อาบัติที่เป็นมันจึงจะยับยั้ง
    การแสดงอาบัติ อย่าคิดว่าอาบัติหมดไปนะ แผลที่เป็นมันก็เป็นแผลตามเดิม ความชั่วแก้ไขไม่ได้ แต่ว่าเราไม่ทำ มันก็เป็นการยับยั้งความชั่ว ไม่กำเริบหรือมากกว่านั้น เราตั้งใจคิดว่า "เราจะไม่เป็นอาบัติดีกว่า"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และ แดนนิพพาน.คอม
     

แชร์หน้านี้

Loading...