เรื่องเด่น หลวงพ่อกัสสปมุนี พระอภิญญา ผู้มีญาณหยั่งรู้อันแจ่มใส

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 14 ธันวาคม 2024 at 04:39.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
    ?temp_hash=f95ff317c2ce2bed0e69cc091265fed5.jpg



    #รูปถ่ายนิโรธสมาบัติ #หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

    รูปถ่ายของหลวงพ่อกัสสปมุนีที่อินเดียมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?

    ตอบ :เมื่อปี พ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้งจึงถูกต้อง แต่การที่หลวงพ่อห่มดองตลอดรายการนั้น ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินของพระองค์ที่ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น ‘เขตพุทธาวาส’ ทั้งสิ้น ท่านจึงไม่ห่มคลุม

    และทุกแห่งที่ท่านไปนมัสการ ตามพุทธประวัติก็ดี ตามโบราณาจารย์กล่าวอ้างก็ดี ตามที่แขกอินเดียเล่าให้ฟังก็ดี ว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อท่านยังไม่เชื่อทีเดียว หากท่านลงมือนั่งภาวนา ‘ตรวจสอบ’ ด้วยองค์ท่านเองในที่ทุกแห่ง

    กระทั่งจิตท่านเห็นชัดว่า ณ สถานที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงทำกิจดังกล่าวอ้างมาแล้วจริง ๆ ท่านจึงปลงใจเชื่อ และเป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อท่าน ‘พิจารณา’ ด้วยอำนาจฌาน-ญาณ อันสูงยิ่งของท่านแล้ว ปรากฏว่าในทุกสถานที่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ทุกแห่งแฝงเร้นด้วยพระพุทธบารมีที่ยังคงอบอวลแผ่รัศมีอยู่ทุก ๆ เวลา รอคอยผู้มีบุญญาธิการมานมัสการให้เกิดมหาบุณย์-มหากุศล

    ดังนั้นท่านใดที่คิดจะไปหรือไปมาแล้ว...

    ก็จงสบายใจและจงอิ่มบุญในใจให้เต็มที่เถิด

    ดังภาพถ่ายหน้าสถูปที่ถาม หลวงพ่อท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ที่ถ้ำอจันตา ขณะที่ใช้อำนาจจิต ‘ตรวจสอบ’ อยู่นั้น ก็มีฝรั่งคนหนึ่งผ่านมาเห็นท่านเข้า เวลานั้นท่านเปลื้องจีวรและสังฆาฏิออกแล้วคงเหลือเพียงสบงและอังสะ อีกทั้งยังพาดลูกประคำเส้นเบ้อเริ่ม ทำให้ฝรั่งนายนั้นนึกว่าท่านเป็นเณร จึงเกิดความเอ็นดูและทำการบันทึกภาพท่านไว้

    ภายหลังฝรั่งก็ได้นำรูปนั้นมาให้ท่านดู ปรากฏว่าท่านไม่พอใจมาก คงเพราะแอบถ่ายโดยไม่ขออนุญาตท่านก่อนประการหนึ่ง และคงเพราะท่านแต่งตัวไม่เรียบร้อยประการหนึ่ง ท่านจึงดุเขา(เพราะท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม) และยึดทั้งรูปทั้งฟิล์มกลับมา

    ครั้นกลับเมืองไทยแล้ว คณะศิษย์อยากได้ของที่ระลึกจากท่าน ท่านจึงให้นำฟิล์มนี้ไปอัดออกมาเป็นรูปใบน้อย และยังเมตตาเขียนยันต์วิเศษที่ชื่อว่า ‘ยันต์พุทธเกษตร’ มอบให้ด้วยลายมือท่านเอง (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปเที่ยววิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา)

    ศิษย์ได้นำยันต์พุทธเกษตรลายมือท่านไปบันทึกเป็นภาพถ่ายใบน้อยออกมาอีก 1 ใบ จากนั้นก็นำรูปหลวงพ่อกับรูปยันต์พุทธเกษตรนี้ประกบเข้าด้วยกัน แล้วนำมาถวายให้ท่านอธิษฐานจิตแจกผู้ศรัทธาในราวปี พ.ศ. 2508 –2509

    ต่อมาเมื่อท่านประสงค์จะตอบแทนคุณของเสี่ยไซ โยมอุปการะเป็นที่ยิ่ง ท่านก็ดำริเข้า ‘สัญญาเวทยิตนิโรธ’ เป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2510 เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน

    และรูปนี้ก็อยู่ในวาระนิโรธสมาบัติด้วย

    หลวงพ่อเคยบอกว่า นิโรธสมาบัตินี้มีอานุภาพมากนัก มิใช่แต่กุฏิของท่านเท่านั้น แต่กำลังแห่งนิโรธยังครอบคลุมไปทั่วภูเขา ‘สุนทรีบรรพต’ อันเป็นที่ตั้งวัด อย่าว่าแต่ของในกุฏิท่านเลย แม้กรวดหินหน้าวัดหากจะหยิบขึ้นมาแล้วตั้งจิตระลึกถึงท่านก็ยังมีอานุภาพได้

    อะไรจะขนาดนั้น

    เชื่อท่านไหม ?

    ถ้าเชื่อ....! รูปใบน้อยและพระเครื่องต่าง ๆ ที่ผ่านการเข้านิโรธจากท่านมาตั้งแต่ปี 2510 กระทั่งท่านละสังขารจากไปในวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2531

    จะขลังเพียงไหน !?

    ผมยังเดาไม่ถูกเลย

    ดังนั้น ท่านจึงไม่ใคร่แจกรูปนี้ให้ใครง่าย ๆ แม้มีคนขอกันมาก ท่านก็ยังเลือกคนให้ ท่านบอกว่า ของดีต้องให้กับคนดีและนับถือเราจริงเท่านั้น

    หากจะมีคนขอเหรียญรุ่นแรกของท่านที่สร้างในปี พ.ศ. 2518 บางทีท่านก็มอบรูปนี้ให้ ครั้นคนนั้นบ่นว่าอยากได้เหรียญต่างหากเล่า ท่านจะบอกดุ ๆ ทันทีว่า

    “อะไร ให้ของดีแล้วยังไม่รู้จัก รูปนี่เก่งกว่าเหรียญอีกนะ”

    คือคนโบราณเมื่อจะกล่าวชมมงคลวัตถุใด ๆ ว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์เหลือกำลัง ท่านมักใช้วลีว่า ‘เก่ง’ ก็เป็นอันรู้กัน

    ฉะนั้น รูปนี้จึงเหลือตกค้างมาจนทุกวันนี้ และมีคนได้รับประสบการณ์มากมายยิ่งกว่าเหรียญเสียอีก ถ้าจะให้เล่า คงต้องนัดเจอกันดีกว่าเพราะยาวมากจนไม่อยากพิมพ์

    เล่ามาเสียยืดยาว หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจ ใครที่มีอยู่แล้วก็รีบเอามาใส่ซะ คนที่ยังไม่มีก็ค้นคว้าหาเอาเถิด ของดีสุดยอดอย่างนี้ อย่าให้หลุดมือเลยครับ.

    ที่มาของข้อมูล : จากคุณ "รณธรรม ธาราพันธุ์" แห่ง "นานาสาระและพระเครื่อง" นิตยสารศักดิ์สิทธิ์

    ………………………………………………………………………………………

    @@หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง@@

    ท่านเป็นชาวกรุงเทพฯ ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนฝรั่ง พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว
    ทำงานกรมสรรพสามิต จนได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดี แต่ท่านไม่ขอรับ
    เพราะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย จนลาออกจากราชการ

    ต่อมาท่านได้บวชเพื่อแสวงธรรม เมื่ออายุ 52 ปีในสำนักสมเด็จพระวันรัต วัดโพธิ์ ท่าเตียน

    ท่านจึงได้อุปสมบทที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน โดยมีสมเด็จพระวันรัต (ต่อมาสมเด็จพระวันรัตได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชสังวราภิมนฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ตลอดชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ ท่านได้สมาทานธุดงควัตร ๔ ข้อมาตลอด

    ท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ในการบำเพ็ญภาวนา
    ผลแห่งการเจริญสมาธิภานาอยู่เนืองนิตย์ ทำให้ท่านระลึกอดีตชาติได้
    ว่าเป็นท่านจุลกัสสปะ (1 ใน 7 ดาบส สกุลกัสสปะ สมัยพุทธกาล),
    เป็นเม่งตี่ฮ่องเต้ กษัตริย์ผู้ริเริ่มนำพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีนราว พ.ศ.600
    ที่สุด ท่านได้ละสังขารไป เมื่อ วันพฤหัสที่ 11 สิงหาคม 2531

    หลวงพ่อกัสสปมุนีเกิดที่กรุงเทพมหานคร มีนามก่อนบวชเป็นพระภิกษุว่า “ประจงวาศ” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ประยุทธิ วรวุธิ” นามสกุล “อาภรณ์ศิริ” บิดาของหลวงพ่อคือ “พระยาหิรรัชฏพิบูลย์ (ประวัติ อาภรณ์ศิริ) มารดานาม “นางพาหิรรัชฏพิบูลย์ (เผื่อน อาภรณ์ศิริ)”

    หลวงพ่อมีพี่น้องสามคนครับ คนโตชื่อ“ประไพวงศ์” คนเล็กชื่อ “ประสาทศิลป์” ส่วนหลวงพ่อเป็นคนกลาง ในชีวิตของหลวงพ่อก่อนบวชท่านสมรส “นางประชุมศรี อาภรณ์ศิริ” มีบุตรชาย ๒ คนและบุตรี ๒ คน

    เรื่องราวในชีวิตของหลวงพ่อเป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ

    ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความเป็นอยู่สุขสบายและมีตำแหน่งหน้าที่การงานชั้นสูงแต่กลับละทิ้งอย่างไม่ยี่หระ โดยเดินทางเข้าสู่ถนนชีวิตสายพระพุทธศาสนา การฝึกปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและมั่นคง ได้สร้างศรัทธาให้กับผู้ที่ได้พบเห็น

    นอกจากนี้ในชีวิตของท่านที่น่าแปลกใจคือท่านไม่เคยเข้าศึกษาวิชาอาคมจากสำนักใดๆเลย แต่ก็สามารถเรียกศรัทธาได้จากผู้คนด้วยวัตถุมงคลที่มีความขลังแบบไม่จำกัด และที่สร้างศรัทธาได้แบบคาตาชาวต่างชาติคือ

    “การใช้พลังจิตช่วยขบวนรถไฟให้เคลื่อนที่ไปจอดยังสถานีที่มีความชันในประเทศอินเดีย”

    ย้อนหลังไปในสมัยที่หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย คุณเอื้อ บัวสรวง หนึ่งในผู้ติดตามได้เล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ว่า...

    ในการเดินทางครั้งนั้นมีอุปสรรคเกิดขึ้นกับคณะของเรา ในตอนเช้ามืดวันหนึ่งตู้นอนรถไฟที่เราเช่าไว้สำหรับคณะของเรา ณ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ถูกจอดทิ้งไว้อยู่ห่างจากตัวสถานี ๒๐ เส้นและเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข็นมาไว้ที่ใกล้ๆสถานีเพื่อใช้ประกอบกิจส่วนตัว เมื่อไปขอร้องให้เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟช่วยเข็นก็พบว่าทั้งสถานีมีเจ้าหน้าที่อยู่เพียงสองคน

    หมู่คณะจึงลงมติว่า”ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ด้วยการระดมแรงงานคนหนุ่มและแรงงานพระสงฆ์ที่ร่วมคณะอีก ๕-๖ รูปเพื่อช่วยกันเข็นรถไฟตู้นอนไปไว้ในสถานี แต่เนื่องจากสถานีตั้งอยู่บนเนิน การใช้แรงงานดังกล่าวจึงไม่ประสบความสำเร็จ เข็นเท่าไรก็ไม่ขยับ

    คุณเอื้อจึงได้ลองอาราธนาหลวงพ่อกัสสปมุนีด้วยสำเนียงที่เป็นเชิงเล่นว่า

    “ช่วยที หลวงพ่อ ช่วยที หลวงพ่อ”

    หลวงพ่อท่านตอบว่า

    “ก็ลองดูยังได้”

    ว่าแล้วหลวงพ่อกัสสปมุนีจึงได้ใช้ไม้เท้ายาวราว ๑.๕๐ เมตรยกชูขึ้นไปในอากาศแล้วก็ส่งหัวไม้เท้ามาที่คุณเอื้อ จากนั้นท่านจึงได้ตั้งท่าเดินนำหน้า คุณเอื้อจึงรีบคว้าไม้เท้าที่ท่านส่งมาทันที คุณเอื้อได้บันทึกถึงเรื่องราวตอนนี้ไว้ว่า

    “ทันใดนั้น ผมรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าดูด หรือเหมือนผมไปจับสายไฟฟ้าแบตเตอรี่รถยนต์ แล้วรถไฟก็เคลื่อนตามหลวงพ่อกัสสปมุนีไป ผมยังได้ร้องขอให้พระอาจารย์วิริยังค์ช่วยด้วย ท่านอาจารย์วิริยังค์ตอบว่าไม่ได้ศึกษามาทางนี้”

    เหตุการณ์ดังกล่าวจบลงตรงที่รถตู้นอนได้มาจอดที่ชานชาลาสถานีอย่างเรียบร้อย ซึ่งการที่หลวงพ่อกัสสปมุนีสามารถทำให้ตู้นอนรถไฟเคลื่อนที่จากที่ต่ำผ่านเนินสูงได้นั้น หลายความเห็นมีความเชื่อตรงกันว่า

    “เป็นผลมาจากอำนาจฌานสมาบัติที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญเพียรมา”

    และเมื่อมีลูกศิษย์ถามว่าหลวงพ่อสามารถทำได้อย่างไร ท่านตอบว่าคือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองจีวรชุดเดียว (จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเก่าหรือชำรุด) เป็นวัตร รับบิณฑบาตเป็นวัตรและอยู่ป่าเป็นวัตร จนกระทั่งท่านมรณภาพครับ

    “ใช้การรวมพลังเข้ามาเป็นหนึ่งและออกเดินนำหน้าทันทีไม่เหลียวหลัง ไม่ใช่ อิทธิวิธี (อภิญญา)หากแต่เป็นการใช้ อาโลกกสิณ (ความว่าง) “

    ครับนี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงบารมีของหลวงพ่อ อันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความศรัทธาขึ้นในหมู่คณะ โดยมีความมหัศจรรย์ของพลังจิตเป็นแรงหนุน ซึ่งผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันก็เป็นการบอกให้เพื่อนๆทราบว่า

    “ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่จะได้มันมาโดยง่าย”

    ในชีวิตของหลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านได้อนุโลมให้สร้างวัตถุมงคลเพื่อเป็นอนุสติน้อมนำคนที่ยังต้องการสิ่งยึดมั่นทางจิตใจ

    สิ่งที่น่าสังเกตุคือ “ตัวยันต์” ที่ท่านได้นำมาไว้ด้านหลังขององค์พระ

    จะว่าไปแล้ว ตัวยันต์ดังกล่าวถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหลวงพ่อเลยครับ พบเห็นที่ไหนไม่ผิดฝาผิดตัวแน่นอน

    จากความรู้ส่วนตัวที่ได้สะสมมาพบว่าในรูปแบบของตัวยันต์ดูอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ครับ เมื่อสอบถามจากบรรดาลูกศิษย์จึงทราบว่าตัวยันต์ดังกล่าวหลวงพ่อท่านได้จากนิมิตในขณะที่ท่านนั่งสมาธิ คุณสมบัติทราบเพียงแต่ว่า “ครอบจักรวาล”

    พระยันต์นี้ชื่อว่า “พุทธเกษตร”

    พุทธะ หมายถึง ผู้รู้

    เกษตร เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ที่อยู่ ที่ตั้ง

    ชะรอยหรือว่านี่คือ “ปริศนาธรรม” ด้วยเหตุผลที่ว่าจักรวาลนี้ไม่ว่ามันจะกว้างใหญ่แค่ไหน มันก็ยังมีที่ตั้งของมัน แน่นอนครับเมื่อมีที่ตั้ง มันก็ต้องดำรงอยู่ และดับไปในที่สุด เพียงแต่คนที่จะทราบก็คือ “พุทธะ” เท่านั้น

    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ากับพระภิกษุทั้งหลายกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงกอบใบไม้ที่มีมากมายเกลื่อนกลาดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่งและทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

    “ใบไม้ในกำมือนี้มากหรือน้อยเมื่อเทียบกับใบไม้หมดทั้งป่า”

    ภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่า

    “ใบไม้ทั้งป่ามีอยู่มากกว่ากันมากจนมิอาจนำมาเปรียบเทียบได้”

    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

    “เรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัติ อันได้แก่ "เรื่องการดับทุกข์" นั้น เท่ากับใบไม้กำมือเดียว”

    …………………………………………………………………………

    เหรียญหลวงพ่อกัสสปมุนี เนื้อทองแดง วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง ปี 2518 พระผู้ทรงอภิญญา

    #เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง ปี 2518 นิยมมีตอกโค๊ด กส กันปลอม หลวงพ่อปลุกเสกถึง 1 พรรษา พุทธคุณหายห่วง ท่านเป็นพระที่น่าเลื่อมใสและทรงอภิญญา ใครได้บูชาเหรียญท่านติดตัวแขวนองค์เดียวโดดๆก็ไม่กลัวถึงไหนถึงกันครับ

    #หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม จ.ระยอง เป็นพระสงฆ์ไทยเพียงรูปเดียวที่บังเอิญมีฉายาทางพระตรงกับ พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกในสมัยพุทธกาล พระมหากัสสปะ มีความสำคัญมากในสมัยพุทธกาลเพราะเป็นประธานสงฆ์ที่ทำสังคยานาพระไตรปิฏกครั้งแรก เป็นพระอรหันต์สาวกผู้ใหญ่ที่มีอายุยืนยาวถึง 120 ปี ท่านเปรียบเสมือนสังฆนายกรูปแรกของพุทธศาสนา ในพระไตรปิฏกกล่าวว่าพระมหากัสสปะ ได้นิพพานอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งท่านอธิษฐานจิตทิ้งสังขารไว้ เพื่อรอพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตตรัย จะเป็นผู้ที่มาเผาสรีระสังขารของท่าน

    สำหรับพระสงฆ์ไทยคือหลวงพ่อกัสสปมุนี เป็นพระสงฆ์ที่น่าเคารพเลื่อมใส ในการสอนด้านวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อกัสสปมุนี ก็ได้ฝากผลงานเป็นหนังสือไว้ให้ได้ศึกษา เมื่ออ่านธรรมะที่ท่านเขียนไว้ก็เข้าใจได้ว่าหลวงพ่อกัสสปมุนี บวชเข้าในพุทธศาสนาเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง มีเรื่องสำคัญที่ลูกศิษย์เล่าขานกันมากก็คือตอนที่หลวงพ่อกัสสปมุนี เดินทางไปจาริกแดนพุทธภูมิที่อินเดีย บังเอิญหลวงพ่อได้ถูกลองวิชาโดยฤาษีที่เชี่ยวชาญด้านกสิณไฟ แต่หลวงพ่อก็ผ่านการทดสอบและทำให้เหล่าฤาษีที่อินเดียยอมรับความสามารถของพระสงฆ์ไทย มีเหตุการณ์อีกเรื่องคือหลวงพ่อแสดงอภินิหารผลักลากขบวนรถไฟที่เสียก่อนเข้าสู่ชานชลาสถานี ซึ่งท่านสามารถดันรถไฟทั้งขบวนเพียงคนเดียว มีพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก ในการเดินทางไปแสวงบุญครั้งนั้นมีหลวงพ่อทิม วัดช้างไห้ หลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล ร่วมคณะไปด้วยครับ

    #ประวัติคร่าวๆ หลวงพ่อกัสสปมุนี เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2452 ที่กรุงเทพมหานคร ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในเพศฆราวาสพอสมควรจนอายุ 52 ปีได้เข้าอุปสมบทเป็นพระเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2504 ที่พระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ท่าเตียน กรุงเทพฯ โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระวันรัตน์เจ้าอาวาสวัด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อบวชแล้วหลวงพ่อได้สมาทานธุดงควัตร 4 ข้อ คือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ครองจีวรชุดเดียว (จะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเก่าหรือชำรุด) เป็นวัตร รับบิณฑบาตเป็นวัตร และอยู่ป่าเป็นวัตร ในด้านวิชาอาคมหรือการปฏิบัติกรรมฐาน ท่านได้เคยศึกษามามากตั้งแต่เป็นฆราวาส
    หลวงพ่อกัสสปมุนี มรณภาพวันที่ 11 สังหาคม 2531 ด้วยสิริมายุ 78 ปีเศษ เมื่อมรณภาพแล้วสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ตั้งไว้ที่วัดให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้เคารพบูชา โดยท่านกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาอันควร สรีระของท่านจะลุกไหม้ขึ้นเองด้วยอำนาจเตโชธาตุ ในด้านวัตถุมงคลของท่านที่นิยมเป็นสากลก็คือเหรียญรุ่นแรก สร้างปี 2518 และรูปถ่ายห้อยคอด้านหลังเป็นสถูปถ่ายที่อินเดีย

    #เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อกัสสปมุณี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เป็นเหรียญรูป ตราโล่ตำรวจ ตอกโค๊ดด้านหน้า... ด้านหลังเป็นยันพุทธเกษตร (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปเที่ยววิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา ท่านเป็นพระสายปฏิบัติที่มีอภิญญาสูงมาก(อภิญญาใหญ่)ครับลองหาศึกษาประวัติท่านดูนะครับ เป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มาก เชื่อกันว่า เหรียญนี้หลวงพ่อท่านอธิษฐานจิตโดยเข้านิโรธสมาบัติ เป็นระยะเวลานาน ผลของนิโรธสมาบัตินั้นหลวงพ่อเคยบอกว่า " มีอานุภาพมากนัก มิใช่แต่กุฏิของท่านเท่านั้น แต่กำลังแห่งนิโรธยังครอบคลุมไปทั่วภูเขา " สุนทรีบรรพต " อันเป็นที่ตั้งวัด อย่าว่าแต่ของในกุฏิท่านเลย แม้กรวดหินหน้าวัดหากจะหยิบขึ้นมาแล้วตั้งจิตระลึกถึงท่านก็ยังมีอานุภาพได้ " เพราะฉะนั้น พุทธคุณจึงครอบคลุมได้กว้างไกลมาก และจะอวยผลได้ทุกประการตามปรารถนา (แต่ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจของกรรมด้วย) โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครอง ป้องกันภัยร้ายแรงต่างๆ และเป็นมหาโภคทรัพย์ ความเจริญรุ่งเรือง

    พ.ต.อ.ประวิทย์ อินทุลักษณ์ เป็นผู้ขออนุญาตสร้างเหรียญขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมงานสร้างพระอุโบสถบนยอดเขาในวาระนั้น *เนื่องจากท่านผู้พันเคยถูกหลวงพ่อเตือนในวันหนึ่งของต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2516 ว่า"ให้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นจำนวนหนึ่งและฝึกฝนไว้ เพราะบ้านเมืองจะมีเหตุร้ายแรงในเร็ววันนี้" *เมือ่ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2516 กลุ่มนักศึกษาก็พากันประท้วงและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ท่านผู้พันจึงได้นำกำลังที่ตระเตรียมไว้โดยการบอกล่วงหน้าของหลวงพ่อเข้าปฏิบัติภารกิจ และตัวผู้พันเองพร้อมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เลย จากเรื่องนี้ทำให้ท่านผู้พันมีความเลื่อมใสในหลวงพ่อเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตทำเหรียญรุ่นแรกขึ้น และหลวงพ่อก็อนุญาตอย่างเป็นทางการ *ท่านประวิทย์ได้นำปลอกกระสุนปืนเนื้อทองเหลืองไปให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตจำนวนถึง 10,000 ปลอกเศษ หลวงพ่อทำการเสกอยู่นานเป็นอาทิตย์ก่อนจะมอบให้นำไปหลอมเป็นชนวนทำเหรียญ *ท่านประวิทย์เล่าว่าปกติโรงหล่อจะไม่รับหลอมปลอกกระสุนปืน เพราะเกรงว่าจะมีดินปืนตกค้างอยู่ในกระสุนและเป็นเหตุให้เบ้าหลอมระเบิด แต่มารดาเจ้าของโรงหล่อได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อกัสสปมุนี ขอบารมีท่านให้งานลุล่วงโดยปลอดภัย ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ เลย *เมื่อได้ชนวนทองเหลืองมาแล้วก็นำไปปั๊มเป็นเหรียญทว่าเนื้อชนวนที่จำกัดจึงทำเหรียญทองเหลืองได้เพียง 1,000 เหรียญเศษ ท่านผู้พันเลยสั่งให้ช่างปั๊มเหรียญทองแดงขึ้นอีก 10,000 เหรียญ และทำการตอกโค้ดกันปลอมไว้ทุกองค์

    ………………………………………………………………………………………………

    หลวงปู่ดู่ "“หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านเก่ง ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้”

    ในราวปี ๒๕๓๐ มีคณะมากราบนมัสการหลวงปู่ หลวงปู่ท่านถามว่า “นั่งสมาธิหรือภาวนาหรือเปล่า”

    เขาตอบว่า “ผมนั่งสมาธิกับหลวงพ่อกัสสปมุนี จังหวัดระยองครับ"

    หลวงปู่ท่านให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อกัสสปมุนีสอนอย่างไร หลวงปู่ท่านรับรองว่า “ดี” พร้อมกับบอกว่า

    “หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านเก่ง ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้”

    เขาถามต่อไปถึงหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแคและหลวงปู่ชื้น พุทธสโร วัดญาณเสนว่าเป็นอย่างไร ท่านก็รับรองว่า “ดี” แล้วท่านก็บอกเองเลยว่า

    “หลวงพ่อเกษม พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน เป็นพระอรหันต์ และที่ปราจีนบุรีก็มีพระอรหันต์อีก ๓ องค์ “

    หลังจากนั้น เขาได้ไปกราบหลวงพ่อกัสสปมุนีที่บ้านศาลาแดงที่ท่านมาพำนักเวลามาโปรดศิษย์ในกรุงเทพ ฯ เขาได้เล่าให้หลวงพ่อกัสสปมุนีฟังว่าไปกราบหลวงปู่ดู่และท่านพูดถึงองค์หลวงพ่อว่าอย่างไร ท่านก็ยิ้ม

    เขาก็เลยถามท่านว่า “หลวงพ่อรู้จักหลวงปู่ดู่ไหมครับ” ท่านก็ตอบว่า “รู้จัก” เขาถามต่อว่า "แล้วหลวงพ่อเคยเจอกับหลวงปู่ดู่ไหมครับ" ท่านกลับตอบว่า “ไม่เคยเจอ” เขาจึงเข้าใจเอาเองว่า ท่านคงพบเจอกันในทางจิต

    เขาได้เล่าถวายหลวงพ่อไปอีกว่า “หลวงปู่ดู่ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายครับ” ตอนหลังไปกราบท่านอีกทีก็ทราบว่า หลวงพ่อท่านไปเยี่ยมหลวงปู่ดู่มาแล้ว

    นี้เป็นเรื่องราวเพิ่มเติมเพื่อให้พวกเราได้รับทราบว่าครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ ท่านถึงกัน ท่านล้วนแล้วแต่เป็นแบบอย่างของผู้ไม่มีทิฏฐิมานะ

    ไม่เหมือนอย่างทางโลก ๆ ที่เมื่อโด่งดังแล้ว ก็มักมีการสงวนท่าทีกันอย่างเต็มที่ โลกกับธรรมจึงห่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดิน

    …………………………………………………………………………………

    1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png "หลวงปู่บุญส่ง" 1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png
    วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี

    ในอดีต #หลวงปู่บุญส่ง กับ #หลวงปู่กัสสปมุนี ท่านเคยพบกันบ่อยครั้ง นับถือในคุณธรรมกัน ปัจจุบันหากวัดปิปผลิฯ มีงานสำคัญๆ มักจะมานิมนต์หลวงปู่บุญส่งท่านไปโปรดเสมอ

    หลวงปู่กัสสปะ พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พลังจิตท่านสามารถที่จะลากรถไฟได้ทั้งขบวนสบายๆเลยทีเดียว..

    (ยันต์พุทธเกษตร ยันต์ศักดิ์สิทธิ์ อันเกิดจากนิมิตของหลวงปู่กัสสปมุนี วัดปลิผลิวนาราม อานุภาพครอบจักวาล)

    #ยันต์พุทธเกษตร’ ลายมือหลวงปู่กัสสปมุนี (ท่านได้มาเมื่อครั้งไปเที่ยววิเวกภาวนาใน จ.ลพบุรี ยันต์พุทธเกษตรได้ปรากฏขึ้นในนิมิตท่าน ท่านบอกว่ายันต์นี้มีอานุภาพครอบจักรวาล ตามแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานให้เป็นไปดังปรารถนา
    แม้จะจัดทำขึ้นใหม่ อานุภาพก็ยังเหมือนสมัยหลวงปู่กัสสปะมุนีทำเอง

    หลวงปู่บุญส่งได้พิจารณาดูพระยันต์
    ท่านเมตตากล่าวว่า "ยันต์นี้เป็นของดีมากๆ ผู้ใดนำไปใช้จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ติดหน้าบ้านก็ดีมาก"

    อาจารย์กัสสปมุนีมีบารมีมาก
    ยันต์ท่านดีอยู่แล้วไม่ต้องเสกก็ได้

    ถือเป็นวัตถุมงคลอีกรุ่นนึงที่หลวงปู่บุญส่งได้เดินทางไปอธิฐานจิตให้อย่างเต็มที่ องค์เดียวแบบเดี่ยวๆ

    ……………………………………………………………
    ตอน อานิสงส์ของลมหายใจ

    ในพระพุทธศาสนาเชื่อว่า “ผู้ที่บรรลุแล้วสามารถอธิษฐานอยู่อีกโดยยังไม่เข้านิพพานและสามารถปรากฏกายให้ผู้อื่นได้พบเห็นได้”

    คำถามจึงมีต่อไปว่า “ใครล่ะจึงจะเหมาะสมให้พบเห็น”

    ย้อนหลังไปในสมัยที่หลวงพ่อยังไม่ได้บวชแต่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นผ้าขาว ท่านเล่าว่าท่านได้พบ “ท่านอริยวังโส” ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่บรรลุอรหันต์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแต่ได้อธิษฐานขอให้ตนเองมีอายุอยู่ถึงห้าพันปีจึงจะเข้าสู่ปรินิพพาน

    พระอริยวังโสได้มาพบท่านในสมาธิและบอกกับท่านว่า “เธอชื่อกัสสปมุนี” (ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ใช้ชื่อนี้มาตลอดจนกระทั่งอุปสมบท ซึ่งสมเด็จพระอุปัชฌาย์ก็ทรงอนุญาตให้ใช้ชื่อนี้โดยมิได้ตั้งฉายาให้ใหม่)

    หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเป็นหนึ่งใน “กัสสปโคตร” ในสมัยพุทธกาล เป็นน้องเล็กสุดท้องมีชื่อว่า “จุลกัสสปะ” พี่ชายทั้งหกของท่านที่ได้บรรลุเป็นอรหันต์ทั้งหมดแล้ว คือ มหากัสสปะ อุรุเวลกัสสปะ คยากัสสปะ นทีกัสสปะ กุมารกัสสปะ และอเจลกัสสปะ ส่วนที่ว่าทำไมท่านยังคงอยู่ ท่านเคยเล่าว่า ท่านเคยบวชในสมัยพุทธกาลแต่สึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาสเสียก่อนครับ

    โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เคยพบกับหลวงพ่อกัสสปะมุนีครับ ดังนั้นธรรมะหรือคำสอนของท่านจึงรับทราบเพียงจากหนังสือที่ท่านเคยเขียนไว้หลายๆ เรื่อง เช่น หมื่นโลกธาตุและอนันตจักรวาล ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาวะสังขารธรรมในฝ่ายสรรพสัตว์ สังโยชน์ ว่าด้วยเรื่องของกิเลสที่ผูกใจผู้ที่เป็นกิเลสชนให้ติดอยู่กับทุกข์ ฯลฯ

    ซึ่งก็นั่นแหละครับกระบวนการรับรู้เข้าสู่สมองน้อยมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องอภินิหาริย์ คงกระพัน หนังเหนียว ข้ามภพ ข้ามชาติ พรหมลิขิต ฯลฯละก็ พอเอ่ยปากอยากรู้เท่านั้น หลั่งไหลมาดั่งอุทกภัยดีๆนี่เอง

    เคยมีคนบอกผมว่า “การที่เราได้ยินเพียงแค่เสียงเดินแล้วสามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงเดินของอะไร นั่นย่อมหมายถึงสัญญาหรือความผูกพันที่เราเคยมีต่อกัน เฉพาะเพียงเราเท่านั้น”

    หลวงพ่อเล่าว่าหลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อย ท่านได้ขออนุญาตต่อสมเด็จพระอุปัชฌาย์เพื่อขอออกเดินธุดงค์ไปยัง “ภูกระดึง” ซึ่งในช่วงระยะเวลาหกเดือนบนภูกระดึงได้เกิดประสบการณ์ประหลาดๆขึ้นกับท่านมากมาย

    โดยเฉพาะท่านได้พบกับนางฟ้าที่ชื่อ “เจ้าแม่วิสาขา” ซึ่งเป็นเจ้าที่เจ้าทางอยู่บนภูกระดึงและเป็นพี่สาวของนางฟ้าชื่อ “เจ้าแม่จำปากะสุนทรี” ได้เข้ามาอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือท่านจากเหล่าสัตว์ร้ายต่างๆ

    ซึ่งเจ้าแม่วิสาขานี่แหละครับที่เปิดเผยความลับสวรรค์และนำท่านมาสู่ภาคตะวันออก ณ เขาสุนทรีบรรพต ที่มี “เจ้าแม่จำปากะสุนทรี” เป็นผู้ปกครองและได้เข้ามาช่วยเหลือท่านในการสร้างวัด

    เรื่องราวเหล่านี้หลวงพ่อได้เขียนบันทึกไว้ในเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่” ครับ เรื่องมีอยู่ว่า..

    ตอนค่ำของวันหนึ่งหลังจากได้ยกพระประธานเข้าที่เข้าทางแล้ว หลวงพ่อท่านได้ปิดกุฏิและนั่งสมาธิ พร้อมกับน้อมจิตถึงเจ้าแม่ที่มาช่วยท่าน หลังจากที่ท่านได้อุทิศส่วนกุศลผลบุญแล้ว

    ทันใดนั้นท่านก็ได้ยินเสียงตอบรับที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน ท่านจึงหันไปมองดูตามเสียงนั้นก็พบเจ้าแม่จำปากะสุนทรีนั่งพับเข่า คะเนว่าเจ้าแม่องค์นี้เหมือนหญิงสาวในวัย ๑๘-๑๙ ปี หลังจากที่ท่านได้นั่งพิจารณาพักใหญ่ ท่านจึงได้เอ่ยถามว่า

    “อาตมาขอโอกาส อาตมาจะเรียกคุณโยมว่าอย่างไร”

    เจ้าแม่ได้ตอบว่า....

    “เรียกโยมว่า จำปากะสุนทรี เจ้าค่ะ”

    “ขอให้ท่านจงสถิตย์อยู่ ณ เขาสุนทรีบรรพตนี้ จนตลอดชนมายุของท่าน”

    หลวงพ่อจึงตอบไปว่า ท่านควรจะปฏิบัติอย่างไร ซึ่งเจ้าแม่ได้ขอให้ท่านสร้างสำนักสงฆ์แห่งนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ท่านก็บอกว่าท่านไม่มีเงิน ไม่มีปัจจัย เจ้าแม่จำปากะสุนทรีจึงได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนจะหายตัวไปว่า

    “ท่านคอยดูไป แล้วจะเห็นเอง”

    ครับเรื่องราวในการสร้างสำนักสงฆ์บนยอดเขาแห่งนี้ เต็มไปด้วยปัญหาและมีอุปสรรค์ต่างๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ด้วยบารมีของหลวงพ่อกัสสปมุนีที่มีเจ้าแม่จำปากะสุนทรีคอยสนับสนุนข้ามมิติแห่งกาลเวลา สำนักสงฆ์แห่งนี้จึงแล้วเสร็จในที่สุด หลวงพ่อกัสสปมุนีได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์แห่งนี้ว่า

    “สำนักสงฆ์มหากัสสปภพพนาวันอรัญญิกาวาส”

    ต่อมาสมเด็จพระอุปัชฌาย์ได้เดินทางมาเยี่ยมและหลังจากนั้นจึงได้ทรงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “ปิปผลิวนาราม”

    “ขอตั้งชื่อสำนักสงฆ์ที่พระกัสสปมุนีสร้างว่า “ปิปผลิวนาราม” ขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อพระศาสนาตลอดไปชั่วกาลนาน”

    เรื่องราวที่เป็นเหมือนนิทาน ถูกตอกย้ำว่ามันคือเรื่องจริงมีอยู่หลายเรื่องครับ ดังเช่นเหตุการณ์นี้...

    คณะปฏิบัติธรรมคณะหนึ่งได้เข้าฝึกปฏิบัติ ณ วัดปิปผลิวนารามแห่งนี้ ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในคณะต้องถูกรบกวนจากภรรยาของตนซึ่งไม่ชอบภารกิจนี้ จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่มีใครทราบ

    วันหนึ่งโทรศัพท์ที่เคยกระหน่ำโทรอยู่ทุกวันได้เงียบเสียงลงไป หลังจากการปฏิบัติธรรมเสร็จสิ้น เมื่อเขาเดินทางกลับถึงบ้านจึงได้ทราบว่า

    ในวันหนึ่งภรรยาของเขานอนหลับและฝันเห็นนางฟ้าองค์หนึ่งทรงชุดสีชมพูได้มาบอกว่าท่านคือใครและต่อว่าเรื่องที่เธอเข้าไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมของสามี พร้อมกำชับว่าต่อไปนี้ห้ามไปยุ่ง ด้วยความกลัวเมื่อตื่นขึ้นจึงไม่ได้โทรไปรบกวน

    หลังจากที่ชายผู้นี้ลำดับเหตุการณ์และสอบถามจากผู้รู้ทั้งหลายแล้ว พบว่านางฟ้าที่ภรรยาของเขาพูดถึงมีชื่อและลักษณะตรงกับ “เจ้าแม่จำปากะสุนทรี” ตามที่หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยเล่าไว้ทุกประการ

    ครับฟังจบแล้ว เพื่อนๆนึกถึงอะไรบ้าง

    เจ้าที่เจ้าทาง จำปากะสุนทรี นางฟ้า ฯลฯ หรือทุกข้อถูกต้อง

    ไม่ว่าจะเป็นคำตอบข้อใด หรือจะเป็นคำตอบแบบไหน หรือไม่ว่าเพื่อนๆจะคิดอย่างไร สิ่งที่ภรรยาของชายผู้นี้พบเห็น มันก็เป็นการบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่หญิงผู้นี้ยังไม่รู้เลยว่า “จำปากะสุนทรี” คือใคร

    พระมหาสำรวม เอกจิตโต ได้เคยเขียนบันทึกไว้ว่า เดิมทีท่านเคยมีความคิดว่า พระอริยบุคคลไม่มีในโลกแล้ว คุณวิเศษหรืออิทธิฤทธิ์เป็นแต่เพียงมายากลที่หลอกคนดูให้หลงเชื่อเท่านั้น เพื่อเรียกร้องลาภสักการะ จนท่านได้ประสบกับเหตุการณ์ในครั้งหนึ่งซึ่งทำให้ท่านหมดความสงสัยในเรื่องดังกล่าว

    ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะมาอยู่วัดปิปผลิวนาราม ในเวลาที่ท่านทำสมาธิ ท่านก็จะภาวนา “พุทโธ” ในใจตลอดจนติดเป็นนิสัย และเมื่อท่านมาอยู่ที่วัดปิปผลิวนารามท่านก็ยังคงภาวนาแบบเดิม

    โดยปกติแล้วในเวลาปฏิบัติกัมมัฏฐาน นั่งสมาธิ หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านจะพูดทางไมค์เพื่อคอยเตือนให้ผู้นั่งสมาธิ มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

    “ให้มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ไม่ต้องภาวนาพุทโธหรือภาวนาอย่างอื่น ให้มีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อม ดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว....”

    ท่านเล่าว่าหลวงพ่อกัสสปมุนีพูดสอนอย่างนี้ถึงสองวัน แต่ท่านก็ยังภาวนาพุทโธอยู่เหมือนเดิม เพราะท่านคิดว่า

    “ไม่มีใครสามารถรู้ถึงความนึกคิดของบุคคลอื่นได้”

    เหตุผลที่คิดอย่างนี้ท่านว่าเพราะเป็นการคิดในใจ ไม่มีเสียง..

    จนวันที่สามหลังจากนั่งสมาธิเสร็จ ในวันนั้นมีหมู่คณะของพระเณร ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกาอยู่เป็นจำนวนมาก หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านได้พูดออกไมค์เสียงดังลั่นศาลา

    “เณรสำรวม หลวงพ่อบอกเณรว่า ไม่ต้องภาวนาพุทโธ เณรไม่ได้ยินรึ ทำไมไม่เชื่อหลวงพ่อ”

    ท่านว่านี่คือตัวอย่างบางตอนของคำต่อว่า ซึ่งแน่นอนครับมีต่อมาอีกมากมาย นับไม่ถ้วนถ้าจะถามต่ออีกว่าความรุนแรงขนาดไหน ท่านตอบว่า

    “ถ้าท่านดำดินได้ คงดำดินหายไปจากโลกนี้แล้ว”

    จะว่าไปแล้วเรื่องของการรับรู้หรือล่วงรู้วาระจิตใจของคน เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเอกอุและสำเร็จในเรื่องฌาณสมาบัติหรืออภิญญา ผมเองก็ไม่บรรลุในเรื่องแบบนี้อะไรมากนักแต่เท่าที่สอบถามผู้รู้ทั้งหลายพอจะสรุปได้ความว่า ในการรับรู้ด้วยวาระจิตมีสองลักษณะ ซึ่งทั้งสองลักษณะมีความเหมือนกันคือสามารถ “รู้” ได้ แต่ที่แตกต่างกันคือ “วิธีการรู้” อธิบายแบบกระชับระดับตั้งไข่ครับว่า

    เจโตปริยญาณ คือการรู้ความคิดของบุคคลอื่น เป็นการรับรู้ที่เป็นอัตโนมัติ เปิดปิดการรับรู้ได้ตามใจหมาย ซึ่งผู้ที่จะทำได้ขนาดนี้ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขนาดหนัก

    ฌาณสมาบัติ คือการรู้ความคิดของผู้อื่นเหมือนกันครับ เพียงแต่หากต้องการจะรู้ต้องใช้วิธีเพ่งดู และก็ไม่อัตโนมัติครับ เปิดปิดเป็นเวลาและต้องลงทะเบียนก่อน

    แต่ถ้าจะถามผมว่าหลวงพ่อกัสสปมุนีท่านอยู่ในขั้นไหน

    ผมคงจะตอบไม่ได้ครับ เพราะไม่อาจทราบ”วาระจิตของท่าน”

    หากแต่ถ้าเราพิจารณาด้าน “จิตใจและคุณธรรม” จากปฏิปทาทางกายกรรมและวจีกรรม เราก็จะเห็นความเป็นคนจริง คนเด็ดเดี่ยว มั่นคง ฯลฯ การสั่งสมบารมีของท่าน เช่น วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี ฯลฯ การสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติ ตลอดจนการปฏิบัติแบบ “มอบกายถวายชีวิต” ก็คงจะเป็นแนวทางให้ทราบเป็นนัยๆได้ครับว่า

    “ชั้นอ๋องหัวเมืองใหญ่เป็นอย่างน้อย”

    หลวงพ่อกัสสปมุนี มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๑ อายุ ๗๙ ปี จากวันนั้นจนถึงวันนี้หากหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะต้องมีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี

    ปัจจุบันทางวัดยังคงเก็บสรีระของหลวงพ่อเอาไว้ เพราะหลวงพ่อได้เคยกล่าววาจาไว้ว่า

    “หลวงพ่อจะอยู่จนอายุ ๑๓๐ ปี แต่ต้องเปลี่ยนธาตุขันธ์”

    จะว่าไปแล้วก็มีแรงจูงใจหลายอย่างครับ ที่ทำให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคนมั่นใจว่าทุกวันนี้หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านยังอยู่และคอยดูแลคุ้มครองพวกเขาตลอดเวลา...

    โดยเฉพาะกับคนๆนี้ครับ “ป้าเตียง”
    บ้านของป้าเตียงเป็นร้านขายของชำเล็กอยู่หน้าวัด ในชีวิตของป้าเตียงเคารพนับถือหลวงพ่อกัสสปมุนีมากๆ ชนิดเข้าขั้นแฟนพันธ์แท้

    เรื่องแบบนี้มีที่มาที่ไปครับ....

    หลังจากที่หลวงพ่อกัสสปมุนีได้มรณภาพลง คืนหนึ่งป้าเตียงฝันว่าหลวงพ่อได้มาบอกให้ป้าเตียงเตรียมตัวเอาไว้เพราะจะมีไฟไหม้ ในวันนั้น เวลานั้น ซึ่งในความฝันป้าเตียงขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเหลือ

    หลวงพ่อตอบว่า ”จะพยายามเต็มที แต่มันเป็นวิบากกรรมไม่สามารถห้ามกันได้ ยังไงเสียป้าเตียงต้องได้รับผลแน่นอน”

    ครั้นพอตื่นจากความฝัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องที่หลวงพ่อมาบอกคือความจริง ป้าเตียงจึงได้ระดมน้ำสำรองเตรียมตัวไว้เต็มที และในวันดังกล่าวป้าเตียงได้เกณฑ์บรรดาญาติพี่น้องมาคอยเฝ้าบ้าน เฝ้าสวนเต็มอัตราศึก

    ผลปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าวได้เกิดไฟไหม้สวนข้างเคียงและได้ลุกลามเข้ามาถึงสวนของป้าเตียง ชะรอยว่าป้าเตียงเตรียมความพร้อมตลอดเวลา จึงสามารถสยบพระเพลิงได้อย่างสงบราบคาบ แต่กระนั้นก็ตามต้นไม้ในสวนก็ถูกไฟไหม้ไปบ้างแต่เสียหายไม่มากนัก

    คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า พอรุ่งเช้าพบว่ารอบๆบ้านของป้าเตียงหายไปเรียบเหลือแต่บ้านของป้าเตียงเท่านั้นที่ยังยืนเด่นเป็นสง่ามาตราบจนถึงทุกวันนี้.....

    “สังโฆอัปปมาโณ” คุณของพระสงฆ์หาประมาณมิได้

    “เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ”

    นี่แหละคือสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

    หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยกล่าวไว้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า...

    “หลวงพ่อมาอยู่ที่นี่ด้วยมือเปล่าและบาตรเปล่า สร้างวัดนี้ได้ทั้งหมดก็ด้วยอานิสงฆ์ของลมหายใจเท่านั้น....”

    “นะโม อโห โอม กัสสโปมุนิ อะราธะนัง”

    ขออภิวาทต่อหลวงพ่อกัสสปมุนี ผู้สงบระงับด้วยความนอบน้อม….สวัสดีครับ

    ขอบขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจากพี่ "ศิษย์กวง"
    หรือพี่กุ้ง : Sitthi Sutthiamporn


    ที่มา : https://goo.gl/C1uFVb
    https://goo.gl/3tgKN9



    ขอบคุณ https://web.facebook.com/naputtakhu...nPEduRkQIgulN3Amdej7V44jznd3jU8Q&__tn__=-UC*F
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498


    ประสบการณ์รูปนิโรธสมาบัติของพระอาจารย์กัสสปมุนี ขณะเข้านิโรธสมาบัติ


    อนุโมทนา และขอบคุณที่มา https://www.youtube.com/@GeorgeeK.
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
    ?temp_hash=d9c5fa4bb1cd6976f16cf7e328ca32dc.jpg



    ?temp_hash=9f4906549f5d5bf1b988e5359a4e27ae.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,611
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,498
    ?temp_hash=9f4906549f5d5bf1b988e5359a4e27ae.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images-3.jpg
      images-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.7 KB
      เปิดดู:
      10
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...