สุขใจใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ของ"พระแต๊งค์" พงศกร มหาเปารยะ

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย ann, 30 มิถุนายน 2012.

  1. ann

    ann เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    246
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +2,291
    [​IMG]



    อดีต นักแสดงที่เคยแจ้งเกิดในวงการบันเทิง กับบท "ปกป้อง" แห่ง "แก๊งหินกลิ้ง" ในละคร "กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้" ของค่ายโพลีพลัสทางช่อง 7


    วันนี้ "แต๊งค์" พงศกร มหาเปารยะ (บุตรชายของ กฤษณะพงษ์ มหาเปารยะ กับ วรกร จาติกวณิช และเป็นบุตรบุญธรรมของกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เปลี่ยนสถานภาพมาเป็น "พระพุทธิญาโณ" จำพรรษาอยู่ ณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ ภายหลังจากที่ตัดสินใจบวช เมื่อต้นเดือนมกราคมปี 54


    ใน ช่วงแรก "พระแต๊งค์" กำหนดที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เพียง 3 อาทิตย์เท่านั้น แต่ถึงตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาจนครบ 1 ปีแล้ว และยังไม่มีกำหนดที่จะสึก



    • สุขใจใต้ร่มกาสาวพัสตร์

      อะไรทำให้ยังไม่ตัดสินใจพาตัวเองกลับสู่ชีวิตทางโลก พระแต๊งค์ได้เปิดใจว่า

      "ตอน แรก เพราะยังสนุกกับพระธรรม รู้สึกว่าเรายังศึกษาไม่จบ และยังไม่พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เพราะอยู่ในนี้แล้วอาตมารู้สึกดี ถึงแม้จะมีปัญหาที่อาจทำให้ไม่สบายใจจากข้างนอกผ่านเข้ามา แต่มันเหมือนเรามีเข็มขัดนิรภัย หรือ sefty belt รัดเราไว้ หรือมีเบรคติดตัวอยู่ ถ้าเกิดกลับไปอยู่ข้างนอก ชีวิตก็คงจะไปเรื่อยๆ อาจจะไม่มีอะไรมาหยุดเอาไว้ได้

      การอยู่ตรงนี้ มันทำให้ไม่ไปหมกมุ่น หรือคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ กับปัญหา เพราะต้องใช้เวลาไปกับการปฏิบัติธรรม ต้องสวดมนต์ ต้องทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น พูดคุยหรือเจริญศรัทธากับญาติโยม และต้องศึกษาธรรมะ

      และ ตอนนี้อาตมายังมีความสนใจศึกษาภาษาขอมด้วย เพราะอยากรู้ว่าอักษรที่เขียนในยันต์ ทำไมคนเขาเขียนกันแบบนี้ อยากอ่านได้ จึงไปขอยืมหนังสือเก่าๆของพระอาจารย์มาศึกษา อ่านได้หมดทุกตัวแล้ว แต่ถ้าเป็นคำๆบางคำอาจจะยังแปลไม่ได้

      พอมีอะไรให้ทำ ให้มันยุ่งๆเข้าไว้ ก็จะทำให้ลืมปัญหา เป็นวิธีที่ดีกว่าการพาชีวิตไปพึ่งพาสิ่งมึนเมา โดยเฉพาะ ถ้าเราได้พึ่งพาธรรมะ มันดีที่สุดเลย เพราะการปฏิบัติธรรมมันเป็นการทำงานของจิต ไม่ใช่การทำงานของร่างกายเพียงอย่างเดียว"

      พระแต๊งค์ยอมรับว่า ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกในช่วงแรกของการบวชและทำให้ไม่คิดอยากจะสึก ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว และส่วนสำคัญคือเรื่องของ " ความรัก" นั่นเอง (ซึ่งก่อนบวช พระแต๊งค์เคยมีข่าว คบหาอยู่กับดาราสาว "แตงโม" ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ กระทั่งบวชมาได้ระยะหนึ่ง ท่านได้ออกมายอมรับว่า ได้เลิกลากับนางเอกสาวคนนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะบวชแล้ว)

      เมื่อ รู้สึกพอใจกับการศึกษาพระธรรม และปัญหาส่วนตัวเริ่มเบาบางลง พอย่างเข้าสู่วันวิสาขบูชา พระแต๊งค์ ก็เกือบจะตัดสินใจสึก แต่สุดท้ายท่านก็ล้มเลิกความคิดนั้น เหตุผลหลักที่ทำให้ไม่สึก ไม่ใช่เพราะเหตุผลเดิมๆเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเริ่มเบื่อชีวิตทางโลก แม้ไม่ถึงขั้นจะทำให้คิดบวชไปตลอดชีวิตก็ตาม

      "รู้สึกว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่กำลังจะมีการยุบสภา และกำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่ เหมือนว่าเราเบื่อ เพราะชีวิตอาตมาไปมาทุกวงการแล้ว ทั้งวงการบันเทิง ธุรกิจ และการเมืองก็เข้าไปแป๊ปนึง เรื่องการเรียน ก็เคยเรียนมาทั้งโรงเรียนในเมืองไทยและเมืองนอก เคยเรียนวิศวะในมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย) แล้วกลับมา เรียนด้านศิลปกรรมที่เมืองไทย (สาขาออกแบบจิวเวลรี่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มศว.ประสานมิตร)

      เคยเจอคนมาแล้วทุกแบบ ทำงานมาแล้วทุกประเภท เหลือแค่พระกับทหารเท่านั้น ที่ไม่เคยเป็น และตอนนี้ก็ได้เป็นพระแล้ว พอมองออกไปข้างนอก มันเบื่อ

      มีอยู่วันหนึ่ง นั่งรถไปงานศพของพระผู้ใหญ่ที่อยุธยาไปกับพระอาจารย์ (พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา) ขาไปรถติดมาก รถไปหยุดอยู่ตรงพระราม 6 ซึ่งถนนเส้นนี้ ตอนที่ยังไม่บวช อาตมาจำได้ว่า เป็นเส้นที่เคยขับผ่านทุกวัน พอเป็นพระมาได้ปีนึง เริ่มรู้สึกว่า ถ้าให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับรถติดแบบนั้น คงไม่เอาอีกแล้ว"


      พระ แต๊งค์บอกว่า ชีวิตในตอนนี้ ถือว่าแตกต่างกับเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ได้ฝึกฝนตัวเองมากที่สุด ในขณะที่บวช คือการได้ฝึกที่จะละ

      "สิ่ง ที่ได้มากที่สุดคือเรื่องการละ คนเรานี้ ถ้าละได้ จะทำอะไร มันก็ทำได้ การทำภาวนา มันก็ต้องมีการละมาก่อน ถ้าไม่ละ ก็จะไปนั่งสมาธิ ไปวิปัสสนาไม่ได้ ต้องละให้ได้ก่อน ละที่จะสบาย ละที่จะอยู่กับแฟน ละที่จะอยู่กับเพื่อน เพื่อไปปฏิบัติธรรม แล้วพอปฏิบัติธรรม ก็ต้องละที่จะพูดคุย และละมื้อเย็น มาบวชเป็นพระยิ่งต้อง ละมากกว่าคนอื่นตั้งหลายเท่า คนธรรมดาขนาดถือศีล 5 ให้ได้ยังยากเลย แต่เป็นพระต้องละมากกว่าถึง 222 ข้อ เพราะพระต้องถือศีลทั้งหมด 227 ข้อ"

      อีกทั้งเรื่องการกินการอยู่ การใช้ชีวิต ก็ถือว่าแตกต่างกับอดีต ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

      "เมื่อ ก่อน เป็นคนชอบดูหนัง ต้องไปดูที่โรง และเป็นคนที่ทานข้าวเยอะ ข้าวเย็นต้องทาน 3 จาน และไม่ค่อยชอบทานผัก ทานแต่เนื้อสัตว์ พอมาบวช หนังก็ไม่ได้ดู ส่วนอาหารก็ต้องฝึกทานเนื้อสัตว์ให้น้อย และทานได้แต่เฉพาะมื้อเช้ากับมื้อเพล ช่วงแรกๆที่บวช ก็ทรมานมาก (หัวเราะ) แต่จริงๆแล้วของพวกนี้ พอร่างกายมันชิน มันจะปรับไปเอง

      และก่อนหน้า นี้ เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำความสะอาดห้อง ต้องเรียกแม่บ้านมาช่วยทำ แต่อยู่ที่นี่จะให้ใครเข้าไปทำในห้องไม่ได้เลย ห้องใครห้องมัน ถ้าไม่ทำ เราก็จะกลายเป็นพวกสะสมขยะ วางหนังสือไว้ตั้งหนึ่ง ไม่เกินอาทิตย์เดียวฝุ่นก็มาแล้ว

      เป็นพระจึงต้องฝึกทำความสะอาด อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งก็เหนื่อยแล้วนะ ผู้ชายอย่างเรา (หัวเราะ) ตอนหลังก็เลยพยายามไม่สะสมอะไร เอาไปบริจาค ต้องฝึกมีของให้น้อยเข้าไว้"


      คือ เรารู้ไงว่า ใจเราคิดอะไร เราไม่หลอกตัวเอง แต่ปัจจุบัน เรามีสติควบคุมอยู่ รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่า อันนี้ผิด อันนี้ไม่ดี อันนี้ไม่เป็นประโยชน์

      ถ้าเราชอบอะไรแล้วไม่เบียด เบียนใคร ก็ไม่เป็นไร ทำไปก่อน แต่ถ้ารู้ว่าในระยะยาว มันไม่เป็นประโยชน์ เราก็ต้องละ จากเมื่อก่อนเคยนั่งเปิดดูหนังสือรถ หรือเข้าไปดูในเวบไซต์ต่างๆ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ทำแล้ว เพราะเห็นแล้วว่ามันไร้สาระ

      เช่นกันกับแต่ก่อน เวลาได้ยินโยมแม่พูดว่า ฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่นนี้กับรุ่นนั้น มันก็เหมือนกัน ออกแบบมาเหมือนรุ่นเก่าเลย อาตมาก็จะรู้สึกว่า โอ้..แม่เชย เพราะสำหรับอาตมาในตอนนั้น เห็นว่ารถรุ่นใหม่คันนั้น ตามันเปลี่ยนเป็นเฉี่ยวๆอยู่นี่ มีอะไรเปลี่ยนไปตั้งเยอะ ทำไมแม่ไม่เห็น คิดในใจ แต่ไม่กล้าพูด

      ทุกวันนี้มานั่งดูอีกที เริ่มมองเห็นว่า เหมือนอย่างที่โยมแม่บอกจริงๆด้วย มีสี่ล้อ คนขับอยู่ข้างขวา ต้องนั่งจากข้างใน เหมือนกันหมดเลย คือ เริ่มนึกได้ว่าของพวกนี้ มันเป็นกิเลส มันไม่พอ ถ้าเราไปหมกมุ่นกับมัน มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าคิดอย่างโยมแม่คิด คิดอย่างที่คิดได้ในปัจจุบัน มันก็เหมือนเดิม ถึงยังมีคนที่เขาขับรถรุ่น เก่าๆ ได้จนถึงทุกวันนี้ไง ขับแล้วสบายใจด้วย เพราะไม่ต้องบีบคั้นตัวเองให้ไปกู้เงิน หรือไปเป็นหนี้อะไรอย่างนี้"


      มองการใช้ชีวิตทางโลกที่ต้องมี "วินัย"

      แล้วการใช้ชีวิตในเรื่องใดที่จะเปลี่ยนไปบ้าง หากวันหนึ่งข้างหน้า กลับไปใช้ชีวิตในทางโลก พระแต๊งค์ตอบว่า

      "อาจ จะเป็นคนที่บริหารเวลาดีขึ้น จากที่เคยตามใจตัวเองมากๆ ต้องมีกฎเกณฑ์มีวินัยพอควร คำว่า "วินัย" มันครอบคลุมหลายอย่าง ทั้งเรื่องเวลา ความสะอาด หรือความรับผิดชอบ รับปากใครก็ต้องทำให้ได้ อะไรแบบนี้"

      การที่ใครสักคนจะได้บวชเป็นพระนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และในที่สุดก็ทำได้แล้ว พระแต๊งค์จึงเห็นว่า แค่การฝึกที่จะมีวินัย ไม่น่าจะใช่เรื่องยากเกินปฏิบัติ

      "เพราะว่าการที่จะบวชเป็นพระได้ หนึ่ง เราต้องมีชีวิต เพราะบางคนก็ตายก่อนที่จะได้บวช สอง ต้องไม่พิการ และสาม ต้องสติครบถ้วน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยก็ต้องเป็นผู้ชาย แค่นี้ก็ถือเป็นส่วนน้อยของโลกแล้วนะ เพราะว่าปัจจุบันผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย แล้วเราก็ยังโชคดีที่ได้เกิดในประเทศที่มีศาสนาพุทธ ส่วนน้อยที่ฝรั่งเขาจะบวช พอได้เกิดมาขนาดนี้ แล้วได้บวช ก็ต้องพยายามฝึก ฝนตัวเองให้ได้เสียหน่อย"
    • ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา ออกแบบพระเครื่อง

      เมื่อ หันหลังให้กับชีวิตฆราวาส ทิ้งอาชีพนักแสดง และวางธุรกิจเครื่องประดับไว้เบื้องหลัง แต่พระแต๊งค์ (อดีตเจ้าของแบรนด์ Thank God แบรนด์คอสตูม จิวเวลรี่ ที่สยามพารากอน ซึ่งปิดตัวไปแล้ว) ยังไม่ได้ทิ้งความสนใจในด้านศิลปะและการออกแบบที่เรียนมาเพียง แต่ว่าสิ่งที่สนใจ ล้วนเป็นงานศิลปะและงานออกแบบที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา

      "ระหว่าง ที่บวชอยู่นี้ ส่วนหนึ่งก็สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลายไทย หรือว่ารูปแบบของพระพุทธรูปปางต่างๆ รวมถึงการผสม การหล่อ การปั้น พระเครื่องพระบูชา รวมทั้งพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ อย่างพระประธาน ก็ได้ไปดูถึงโรงหล่อ

      อาตมาเห็นว่า การสร้างพระไม่ใช่เรื่องงมงายนะ ถ้าสิ่งที่เราเชื่อมันเป็นสิริมงคลกับตัวเอง เพราะอย่างน้อย มันได้สอนให้เรามีศรัทธา สอนให้เรามีความอ่อนน้อม ถ่อมตน ขนาดปูนกับเหล็กเรายังไหว้ได้ แล้วทำไมเราจะไหว้เจ้านาย ไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้"

      ด้วยความสามารถที่มี และด้วยความศรัทธาที่มีต่อพระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาส พระแต๊งค์ได้ออกแบบพระเครื่องขึ้นมาองค์หนึ่งเพื่อถวายท่าน โดยท่านเจ้าอาวาส ได้เมตตาตั้งชื่อพระองค์นี้ว่า "พระพุทธมงคลสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค"

      "ก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษมาก ออกแบบขึ้นมาตามพื้นฐานการออกแบบพระทั่วไป เป็นพระปางห้ามสมุทร ซึ่งเป็นพระประจำผู้เกิดวันจันทร์ ตามวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตามวันเกิดของพระอาจารย์ท่านเจ้าอาวาส ด้านหลังออกแบบเป็นพระพักตร์ของพระพุทธรูป ซึ่งรูปแบบนี้ยังไม่มีใครทำ"

      หากว่า ศิลปินหลายราย เมื่อมีความศรัทธาในศาสนา เลือกที่จะฝากผลงานพุทธศิลป์ประเภทงานจิตรกรรมไว้ตามผนังวัดต่างๆ พระแต๊งค์เห็นว่า สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ตน เองได้ทำในปัจจุบัน เช่น การออกแบบพระเครื่องให้คนนำไปบูชา ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้ความสามารถที่มีสร้างผลงานเพื่อพุทธศาสนาฝากเอาไว้ ดังเช่นศิลปินอีกมากมาย

      "อาตมาก็ได้ออกแบบพระองค์นี้ขึ้นมาแล้วไง อย่างน้อยชีวิตนี้ ได้ออกแบบพระหนึ่งองค์ ก็ถือว่าได้ฝากเอาไว้แล้วนะ"

      และ สิ่งนี้ไม่ใช่สัญลักษณ์แทนการ THANK GOD (ขอบคุณพระเจ้า) ดังชื่อแบรนด์เครื่องประดับของพระแต๊งค์ เมื่ออดีต แต่เป็นสัญลักษณ์แทนการ THANK BUDDHA ขอบคุณและบูชาธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ช่วยชี้ทางสว่างให้กับชีวิตในปัจจุบัน




      ที่มา : นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 133 มกราคม 2555 โดย พรพิมล
      http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/
    • http://variety.thaiza.com/สุขใจใต้ร่มกาสาวพัสตร์-ของ-พระแต๊งค์-พงศกร-มหาเปารยะ/235742/
     
  2. joolong

    joolong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +283
    พูดตามตรงนะครับ ถ้าจะเอาดีทางบวช อย่าไปวุ่นวายกับการเรียนภาษาขอม หรือออกแบบพระเครื่องเลย วัดยานนาวาสภาพแวดล้อมเหมาะสำหรับพระนักเรียน หรือบวชตามประเพณีเท่านั้น ควรจะหาวัดที่สงบในต่างจังหวัดมีครูบาอาจารย์ที่แนะนำการปฏิบัติได้อยู่จำพรรษาดีกว่า
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    บารมีของคนเรามีไม่เท่ากันครับ

    บางคนไม่มีบุญได้บวชด้วยซ้ำ
    บางคนมีบุญได้บวช ดันทำตัวทุศีล
    บางคนมีบุญได้บวช รักษาศีล ศึกษาพระธรรม แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงจัง ก็ได้สะสมบารมีต่อไปจากการถือเพศบรรพชิต
    บางคนมีบุญได้บวช ศรัทธาแรงกล้า อยากออกจากสงสาร ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวจนบรรลุมรรคผล

    :cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...