[สับสนมากคับ] เรื่องลี้ลับต่างๆ กับความคิดของผม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Saturdayseiko, 20 ตุลาคม 2009.

  1. Saturdayseiko

    Saturdayseiko Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +31
    [​IMG]

    ทุกครั้งที่ผมเริ่มฝึกสมาธิ บางทีก็มีความคิดแปลกๆก็คือ

    เรื่องที่จะถอดจิต เห็นผี วิญญาณ นรก เทวดา บาป บุญ เจ้ากรรมนาย

    เวร เทพเจ้า ต่างๆนาๆที่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ในตอนนี้

    ผมก็คิดว่ามันคงไม่มีจริงหรอก

    ผมไม่ได้ลบหลู่นะคับ ตัวผมก็เป็นคนที่เชื่อในสิ่งพวกนี้เหมือนกัน

    ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผมเกลียดที่สุดเลยคับ ไม่รู้จะไปคิดทำไม

    แต่มันก็คาใจมาตลอด ไม่รู้จะระบายยังไงดี

    สิ่งลี้ลับต่างๆจากความคิดของผม ขอย้ำความคิดของผมนะคับ

    อยากจะระบายออกมาให้ทุกคนรับรู้คับ


    1.เรื่องผีและวิญยาณ

    เรื่องแรกคือมนุษย์ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าเราประกอบขึ้นมาจาก
    เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบร่างกาย ซึ่งทำงานสอดคล้องกัน

    ตัวที่ควบคุมสิ่งๆต่างๆนั้นก็คือเซลล์ประสาท การตายของเราเกิดจากหลายปัจจัย เช่น หัวใจหยุดทำงาน ขาดอาการหายใจ เซลล์ประสาททำงานไม่ได้

    ก็คือวัยวะที่สำคัญบางอย่างนั้นหยุดทำงานแล้วมีผลไปสู่อวัยวะอื่นๆ เมื่อไม่สอดคล้องกันเราก็ตาย พอตายปุ๊บเซลล์ต่างๆก็ตายตามเพราะไม่มีอาหาร
    ชีวิตเราก็จบลงแค่นี้

    แล้วพวกวิญญาณ หรือผี นั้นอยู่ตรงไหนกัน พราะตัวที่ควบคุมเราจริงนั้นมันก็สมองนี่นาคับ ถ้าสมองตายเราก็ตาย

    อีกอย่าง

    จากที่เคยอ่านเรื่องราวต่างๆมา

    ผีที่พูดถึงนั้น ตอนมีชีวิตจะมีสมองทั้งนั้น ทั้งคนทั้งสัตว์

    แล้วพวกที่ไม่มีสมองก็จะไม่เป็นผี พวก ไวรัส แบคทีเรีย เห็ดรา พืช ประการัง ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผีด้วย

    สรุปก็คือสิ่งที่ควบคุมเราจริงๆนั้นมันคือสมองไม่ใช่วิญญาณใช่มั้ยคับ

    และผีก็ไม่มีจริง


    2.เรื่องเกี่ยวกับสัตว์

    ยกตัวอย่างเช่นแมวที่มีข่าวก็คือ อยู่ที่แผนกคนชรา แล้วก็จะมีเซนส์ที่ว่าพอไปเยี่ยมผู้ป่วยคนไหนอีกไม่กี่ชมก็จะตาย หรือจะเป็นแมวที่ข้ามศพแล้วฟื้น หรือจะเป็นที่เค้าว่าหมาหอนเพราะเห็นผี

    ความคิดของผมก็คือมันก็เป็นไปตามลักษณะของมัน สัตว์ต่างๆล้วนมีสัญชาติญาณไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ช้างบางทีก็ตกมัน นกรู้สภาพอากาศ มนุษย์ก็เดินได้ ปลาก็มีสัญชาติญาณของมัน รับรู้ถึงกระแสน้ำ ภัยธรรมชาติ หมีก็ต้องจำศีล

    ซึ่งผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันก็ไม่แปลกคับ เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับเลยซักนิด


    3.เรื่อง เวร กรรม

    เรื่องนี้ผมไม่อยากจะพูดถึงเลยคับ แต่มันอดไม่ได้ จริงอยู่ที่ว่าเราไม่รู้ว่าบุญบาป
    นั้นมีจริงหรือไม่ บางทีก็เอาเหตุการแย่ๆที่เกิดขึ้นมาบอกว่านั้นเป็นเพราะบาปกรรมที่กระทำไว้ บางทีเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นก็บอกว่าเป็นเพราะบุญกุศลที่กระทำไว้
    ซึ่งก็ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้เราก็ไม่ควรไปลบหลู่

    อีกอย่างเรานับถือศาสนาพุทธเราก็ทำกันแบบนี้ แล้วศาสนาอื่นๆละคับ บางทีความเชื่อเรื่องเหล่านี้อาจจะขัดแย้งกับเราก็ได้ เราทำแบบนี้คือถูกอีกฝั่งบอกว่าทำแบบนี้ผิด

    โลกเรามันกว้างใหญ่ พวกมนุษย์กินคนก็เคยมี เราก็ไม่รู้ว่าเค้าทำผิดมั้ย การบูชายันต์ ย้อนกลับไปในอดีตวัฒนธรรมและสังคมนั้นไม่เหมือนกัน สมัยสงครามโลกก็มีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิวเป็นล้าน คนสั่งคือฮิตเลอร์ ผลสุดท้ายฮิตเลอร์ก็ตาย แต่เราจะเอามาอ้างว่าเป็นเพราะบาปที่ทำไว้นั้นก็ไม่ได้ เพราะสถานการณ์มันบังคับ

    ในสงครามทหารฆ่ากันตายเป็นเบือ คนสั่งละคับ สั่งให้ทหารไปตายเค้าบาปมั้ย
    บางทีถ้าทำสงครามชนะก้ได้รับการยกย่องซะอีก

    ใหนจะไสนเปอร์ฮายาซฆ่าทหารในสงครามมากว่าพันศพ เค้าบาปมั้ย เพราะทำเพื่อประเทศชาติ + สังคมในสมัยนั้นถือว่าถูก ได้รับรางวัล ชีวิตสุขสบายดี
    เดี๋ยวนี้โจรฆ่าคนต้องประหารชีวิตเพราะกฏหมาย

    สิ่งเหล่านี้ผมว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องเวรกำเลยซักนิดคับ มันเป็นเหตเป็นผลซึ่งกันอยู่แล้ว

    3.บาปที่ทำไว้ไปส่งผลชาติหน้า

    คำนี้คือคำตอบที่ผมกังวลใจมากที่สุดคับ บางที่เราอาจจะมีคำถามที่ว่าทำไมคนทำชั่วตั้งเยอะก็เห็นยังใช้ชีวิตสุขสบายดี ผู้รู้ตอบว่าบาปนั้นจะส่งผลไปยังชาติหน้า

    นี่คือคำตอบแบบขอไปทีชัดๆเลยคับ ชาติหน้าเราก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ บาปที่ว่านั้นมีจริงรึเปล่า แต่เราก็ไม่อาจจะรู้ลึกถึงคำตอบนั้นได้ เพราะนี่เป็นคำถามที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

    สรุปก็คือ เราก็ยังไม่รู้น่ะล่ะคับ

    4.อยากรู้คำตอบ

    โลกเรามีวิวัฒนาการเรื่อยๆมาในแต่ละยุค โดนภัยต่างๆมากมาย รังสีแกมม่า ทั้งอุกาบาต ลาวาใต้ทะเล ยุคน้ำแข็งก็มี มืดทั้งวันก็มี ในแต่ละยุคก็มีสัตว์ต่างๆวิวัฒนาการเรื่อยมา สูญพันธ์ไปบ้าง กำเนิดขึ้นมาใหม่ จนมาถึงยุคนี้มีมนุษย์เกิดขึ้น ถ้าวิญญาณมีจริงแล้วตอนที่โลกยังไม่เกิดละ เป็นเพียงแค่ห้วงอวกาศอันว่างเปล่า นั้นเป็นยังไง

    5.นรก สรรค์ เทพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร

    เรื่องนี้ก็เป็นข้อสงสัยของผมอีกเหมือนกันคับ ในความคิดของผมสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่มนุษย์นั้นสมมุติขึ้นมาในยุคก่อนๆตอนที่ยังไม่มีความรู้ และสิ่งเหล่านี้ก็ได้สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แถมในแต่ละที่ในโลกก็แตกต่างกันไป ฮินดูก็เทพเจ้าต่างๆ ชนเผ่าอินคาก็บูชาไฟ คริสต์ก็มีเทพเจ้าของเค้า อิสลามก็พระอัลเลาะห์ ใหนจะกรีกโบราณ เทพเจ้าซีอุส ของไทยก็ผสมมาจากพราห์มฮินดู จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมีที่มาจากสมัยก่อนทั้งนั้น

    ต้นกำเนิดของศาสนาก็คือการทำให้ผู้คนที่ยังไม่ความเชื่อที่แตกต่างกันมาเชื่อในสิ่งเดียวกัน ทำในสิ่งเดียวกัน โดยเอาความรู้ต่างๆที่เรียกว่าหลักธรรมมาสอน และมีกฏระเบียบให้ปฏิบัติ

    ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆก็คือ นวนิยายวรรณกรรม ในสมัยนี้ ถ้าเราจะสร้างสรรค์เทพเจ้าขึ้นมา กำหนดคุณสมบัติ ทำให้ผู้คนเห็นว่าดี เป็นจริง น่าศรัทธา
    และเอาไปเผยแพร่ในสมัยก่อน ปัจจุบันเราก็จะได้เทพเจ้าที่เราเขียนไว้ก็จะเป็นที่เคารพแน่นอนคับ

    ส่วนเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นก็เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมาเพื่อช่วยเราให้พ้นจากความกลัว ให้เราสบายใจแค่นั้นเอง สมมุติถ้าโลกจะแตก
    คนทั้งหลายก็จะพากันเข้าไปอ้อนวอนในสิ่งที่พวกเค้านับถือซึ่งทำไปก็เท่านั้นคับยังไงก็ต้องแตกแน่นอน มันก็ทำอะไรไม่ได้


    ทั้งหมดนี้ผมเขียนขึ้นมาจากความคิดโง่ๆของผมนะคับ ไม่ได้ลำดับเหตการณ์
    ยังไงก็ช่วยชี้แนะด้วยคับ ปล่อยไว้มันคาใจ
     
  2. Dear_Jung

    Dear_Jung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +143
    ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น....
    ...เพราะการกระทำ....
     
  3. panfool

    panfool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +164
    ตัวผมเองก็ไม่รู้นะครับ แต่คิดว่า..

    คำถามนี้ พิสูจน์ไม่ได้หรือว่ายังไม่ได้พิสูจน์
    โจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ ถ้าไม่ได้เรียนมาจะหาคำตอบได้ไหม เราจะรู้ได้ยังไงว่าสูตรนั้น สูตรนี้เอามาคำนวณได้ ถ้าไม่ได้มีการพิสูจน์ ส่วนจะพิสูจน์คำถามทั้งหมดอย่างไรนั้น ก็ลองไปศึกษาวิธีหาคำตอบดูครับ

    ขอให้เจอคำตอบไวๆ นะครับ
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขออนุญาติร่วมสนุก แสดงความคิดเห็นละกันนะ เป็นความเชื่อที่ตกผลึกเป็นส่วนตัว ยังไม่รู้จริงเหมือนกัน
     
  5. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    รู้ไปก็เท่านั้น ไม่รู้ก็เท่านั้น รู้แล้วได้อะไร ไม่รุ้แล้วเสียอะไร บางทีไม่รู้อาจจะกังวลกลัดกลุ้ม แต่รู้แล้วอาจเป็นทุกข์มากกว่า ช่างมันเถอะ รู้แล้วก็แก่ตายเหมือนกัน ไม่รู้ก็ต้องแก่ต้องตายเหมือนกัน สุขเริ่มที่การวางนะครับ ไอ้ความสงสัยเนี่ยมันเป็นกิเลสเรียกว่าวิจิกิจฉา วางใจให้นิ่งไว้ เราสงสัยวันนึงก็เลิกสงสัยไปเอง ทุกอย่างมันเกิดแล้วตั้งอยู่เดี๋ยวมันก็ดับไป ดูให้รู้เท่านี้รับมันเท่านี้ ชีวิตก็พบความสุขแล้วครับ เป็นกำลังใจให้ผ่านกิเลสตัวนี้ให้ได้นะครับ
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,465
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,012
    ผมเคยสงสัยกับเรื่องที่คุณ จขกท ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ในกระทู้ เเต่ก่อนจะสงสัยในเรื่องนี้เเต่เป็นที่ 50 50 เเต่ปัจจุบันนี้ เรื่องพวกนี้มีคําตอบเเก่ใจผมเเล้วครับ ถ้าคุณ จขกท อยากรู้ว่ามีจริง ไม่มีจริง เเนะนําทัาสิ่งนี้ให้ได้เป็นประจําครับ เเล้วซักวันคุณจะเข้าใจเองทั้งหมด จะเลิกสงสัยหรือคาใจอีกต่อไป ตามนี้คครับ

    1 รักษาศีลห้า
    2 สวดมนต์ทุกวัน
    3 นั่งสมาธิ ปฏิบัคิกรรมฐานทุกวัน ห้านาทีอย่างน้อยในทุกวัน
    4 เเผ่เมตตา กรวดนํ้าในทุกวัน

    ปล ถ้าอยากรู้จริงๆ ขอเเนะนําสวดบทสวดมนต์ตามนี้ให้ได้ทุกวัน ถ้าทําได้ครบเเบบนี้ทุกวัน คําตอบอยู่ไม่ไกลครับ เเต่ต้องตั้งใจทํานะครับ ทําด้วยความศรัทธา ไม่ใช่สักเเต่ทําๆไปครับ อันนี้จะบาปได้ครับ เเนะนําบทสวดขอขมาพระรัตนตรัย พาหุง พระคาถาชินบัญชร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก อิติปิโสมากกว่าอายุเราหนึ่งรอบ เช่นถ้าคุณอายุสิบหก ก็สวดไปสิบเจ็ดรอบครับ เเละลงท้าย เเผ่เมมตาด้วยคาถามหาเมตตาใหญ่ครับ ทําได้เเบบนี้ทุกวัน เเล้วจะเข้าใจเองครับ อ้อ ควรทําไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเลยครับจะดีที่สุด เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2009
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตด้วยคนนะครับ

    สมัยเมื่อประมาณหลายปีก่อนผมเองก็มีอาการแบบเจ้าของกระทู้นี้แหละครับ

    และก็เคยตามอ่าน ตามถามคนอื่นๆเรื่อยมา และจำได้ว่าคำตอบที่เบื่อหน่ายที่สุด
    ก็คือคำตอบแบบว่า

    "รู้แล้วได้อะไร ไม่รู้แล้วเสียอะไร"

    "เอาเวลามาขัดเกลากิเลส มุ่งหน้าเข้าสู่มรรคผลนิพพานดีกว่า"

    "ถือศีล นั่งสมาธิมากๆ แล้วสักวันจะรู้เอง เห็นเอง"

    อะไรแบบนี้แหละครับ เพราะว่า ถ้ามันรู้เห้นเองง่ายแบบนั้น จะมานั่งถามอยู่ทำไมหละครับ

    และคำตอบที่สมัยนั้นผมก็เบื่อมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ..

    ...คำตอบ แบบไม่ให้คำตอบ อย่างที่ผมกำลังโพสต์อยู่นี่แหละครับ...

    เอ๊า..จริงๆนะไม่ได้พูดเล่น..
    และวันนี้..ก็จะไม่ตอบคำถามเจ้าของกระทู้จริงๆด้วยเหมือนกันนะ

    เพราะว่า..เรียกได้เพียงว่า..ผมมีคำตอบให้ตนเองแล้วเฉยๆ
    ยังไม่รู้ว่าคำตอบที่พอจะมีให้ตัวเองนั้น..มันถูกต้องแค่ไหนหนะครับ
    ก็เลยไม่อยากตอบ อะไร เพราะรู้งูๆปลาๆหนะครับ

    สรุปว่า..ก็ควานหาต่อไปนะครับ..

    โชคดีครับ

    ...........................
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีธรรมะดีดี เอามาฝาก ท่าน จขกท. ลองอ่านดูนะ

    รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
    เหตุให้เกิดทุกข์
    วัฏจักร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักแรมของจิตวิญญาณไม่มีกาลสมัย เมื่อใด ใจยังมีตัณหาคือ ความอยาก เมื่อนั้นจิตวิญญาณยังต้องการอยู่ในสามภพนี้ตลอด ไป มีทั้งสมหวังและผิดหวังมีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งหัวเราะและร้องไห้ปนกันไป ในสามภพนี้เป็นสถานที่พักชั่วคราวเท่านั้น จิตวิญญาณจะไปอยู่แบบถาวรตายตัว ตลอดไปไม่ได้ จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยที่สร้างเอาไว้ จะอยู่ใน ภพนั้นบ้างอยู่ในภพนี้บ้าง แล้วก็ผ่านไปไม่คงที่ จะมีความพอใจยินดีอยากจะอยู่ เป็นหลักฐานตลอดกาลไม่ได้ หรือจะไปที่ไหนอยู่ที่ไหนเอาตามใจชอบก็ไม่ได้ เช่นกัน เหมือนกับบุคคลอยู่ในแพกลางมหาสมุทร จะกำหนดทิศทางให้แก่ตัว เองไม่ได้เลย จะไปตกค้างอยู่ที่ไหนอย่างไรก็จะเป็นไปตามกระแสของลม ฉันใด ผู้จะไปเกิดในภพชาติใดจะมีกรรมเป็นตัวกำหนดให้ไปเกิดในที่นั้น ๆ ผู้ทำกรรมดี เอาไว้ก็จะได้ไปเกิดในภพชาติที่ดี ผู้ทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ก็จะได้ไปเกิดในภพชาติ ที่ไม่ดี กรรมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุก ๆ คน

    แต่บุคคลไม่ยอมรับผลของกรรมชั่วที่ตัวเองทำเอาไว้ แต่ก็หนีไม่พ้นจะต้องได้รับผลของกรรมชั่วแน่นอน คำว่า กรรมดีและกรรมชั่วนั้นมันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นผลตอบแทนให้แก่เหตุอย่าง ตรงไปตรงมา จะเรียกว่าศาลโลกที่ตัดสินคดีให้แก่มนุษย์ทั้งหลายก็ว่าได้ ผู้ที่ เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสาม จะต้องถูกศาลวัฏจักรตัดสินชี้ขาดให้ทั้งหมด ฉะนั้นจิตวิญญาณที่ชอบเที่ยวเร่ร่อนไปตามวัฏฏะ จะต้องอยู่ในขอบเขตของกฎ แห่งกรรมด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่นับถือในศาสนาอะไร หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไร จะต้องอยู่ในอำนาจกฎแห่งกรรมด้วยกัน ไม่มีจิตวิญญาณใดอยู่เหนือกรรมนี้ไปได้เลย
    นิสัยของมนุษย์<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->นิสัยของมนุษย์เราในโลกนี้ที่เหมือนกัน นั้นคือความอยากและความชอบใจ เป็นต้นเหตุที่จะได้สร้างกรรมให้แก่ตัวเอง อยากในสิ่งใดชอบใจในสิ่งใดจะต้องทำ ตามใจตัวเอง ถ้าทำอะไรตามความอยากทำอะไรตามความชอบใจ โดยไม่ได้ใช้ ปัญญาพิจารณาก่อนจะเป็นการทำที่ผิดมากกว่าถูก แม้การพูดก็เช่นกัน ถ้าพูด ตามใจโดยไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน การพูดผิดจะมีมากกว่าพูดถูก ตลอด ความเห็นความเข้าใจ ถ้าไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ความเห็นความเข้าใจจะ เป็นความเห็นผิดความเข้าใจผิดไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมีความเห็นผิดก็จะเกิดความเข้า ใจผิด เมื่อเกิดความเข้าใจผิดก็จะเกิดการพูดผิด และการทำผิดเชื่อมโยงต่อกันจึง เรียกว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

    คำว่า กรรม ก็แบ่งออกเป็นสอง ประเภทเรียกว่าสุจริตและทุจริต เช่นทำสุจริตและทำทุจริต พูดสุจริตและพูด ทุจริต ความเห็นสุจริตและความเห็นทุจริต จึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ความเห็นชอบและความเห็นผิดนี้เองจึงเป็นฐานใหญ่ ให้เกิดการทำกรรม การทำกรรมดีหรือกรรมที่ไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับความเห็นนี้ทั้งนั้น ฉะนั้นการท่องเที่ยวในวัฏจักรก็เนื่องจากความเห็น เป็นตัวสนับสนุนที่สำคัญ เพราะเป็นสื่อสายสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกรรมทั้งปวง ถ้ามีความเห็นชอบเป็นธรรม ก็จะเป็นฐานให้สร้างแต่กรรมดี ถ้ามีความเห็นผิด ก็จะเป็นฐานให้สร้างกรรมชั่ว จะเป็นกรรมดีและกรรมชั่วก็ต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะนี้ด้วยกัน แต่ก็เที่ยวใน ลักษณะมีความสุขและมีความทุกข์ต่างกัน ฉะนั้นการท่องเที่ยวของจิตวิญญาณจะ เป็นในลักษณะล้มลุกคลุกคลานเรื่อยไป บางชาติอาจไปสู่อบายภูมิ มี นรก เปรต สัตว์ดิรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ที่วิกลจริต เป็นบ้าใบ้เสียสติ หรือรูปร่าง ลักษณะไม่สมบูรณ์เหมือนมนุษย์ทั่วไป<!-- google_ad_section_end -->


    มนุษย์มี 4 ประเภท<!-- google_ad_section_end --><HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->มนุษย์มีหลายประเภท เช่น มนุสสเทโว ดูรูปร่างลักษณะเป็นมนุษย์แต่ จิตใจเป็นเทวดา เรียกว่ามนุษย์ใจบุญมีคุณธรรมประจำตัว เป็นผู้มีหิริความ ละอายในการทำชั่วทางกายและมีความละอายในการพูดชั่วเป็นนิสัย โอตตัปปะ เป็นผู้มีจิตใจกลัวในบาปอกุศลและกลัวในผลของบาปจะตามสนอง เป็นผู้มีความ รักความสงสารในหมู่มนุษย์ด้วยกัน และมีความรักความสงสารในหมู่สัตว์ทั่วไป เป็นผู้มีนิสัยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ มนุสสมนุสสานัง ดูรูปร่างลักษณะเป็น มนุษย์และจิตใจก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติ การ ทำการพูดจะมีสติปัญญารอบรู้รับผิดชอบในตัวเอง เป็นผู้ไม่อิจฉาพยาบาทจองเวร กับใคร ๆ เป็นผู้มีน้ำใจให้ความเป็นธรรมในมวลหมู่มนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานทั่ว ไป นิสัยของมนุษย์สมบัติจะพรรณนาให้จบในที่นี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องยาว ให้ สังเกตดูได้ว่ามนุษย์สมบัติอยู่ที่ไหน จะเกิดความอบอุ่นใจเย็นใจกับผู้ได้สัมผัส ความซื่อสัตย์สุจริตจะมีพร้อมอย่างสมบูรณ์ เป็นผู้รู้จักตอบบุญแทนคุณแก่ผู้มีพระคุณ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้มีน้ำใจช่วยเหลือแก่ผู้อื่นสัตว์อื่นอยู่เป็นนิตย์ เป็น ผู้มีความเข้าใจในเรื่องหัวอกเขาหัวอกเราได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับพวกมนุสส เปโต

    มนุษย์พวกนี้ ดูรูปร่างจะเหมือนมนุษย์ทุกอย่างก็ตาม แต่จิตใจนั้นเป็น เปรต ในลักษณะนิสัยของเปรตจะไม่อิ่มพอในความต้องการ มีความหิวกระหาย อยู่ตลอดเวลา มีความตระหนี่ขี้เหนียวมิยอมเสียสละแบ่งปันสมบัติที่มีอยู่ให้แก่ ใคร ๆ จึงให้ชื่อว่า ความโลภนั้นเอง โลภอะไรบ้างนั้นก็เป็นเรื่องยาว ขอให้ วิจัยวิจารณ์ดูเองก็แล้วกัน มนุสสติรัจฉาโน ดูรูปร่างลักษณะเป็นมนุษย์อยู่ก็ตาม แต่ใจเหมือนสัตว์ เดรัจฉาน เป็นคนใจต่ำทราม ไม่มีความละอายในการกระทำของตัวเอง จะหาความสุขที่ไหนก็ทำตามใจตัวเอง จะมีคนอื่นเห็นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มี สติปัญญาความสำนึกว่าอะไรควรหรือไม่ควร เป็นผู้มีราคะ โทสะจัด ไม่มี ความอดทนทำอะไรไปตามความต้องการ เป็นผู้มีนิสัยเหี้ยมโหดก้าวร้าว ไม่พอ ใจไม่ชอบใจกับใคร ๆ ก็จะหาวิธีกลั่นแกล้ง ให้คนอื่นเกิดความเสียหายอยู่เรื่อยไป ในลักษณะใจที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะพรรณนาให้จบลงในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เช่น กัน ให้ทุกคนได้สังเกตดูตัวเองบ้าง ถ้าหากเรามีนิสัยอย่างนี้จะมีวิธีแก้ไขตัวเอง ได้อย่างไร ในชาติที่เป็นมนุษย์นี้ดีอยู่แล้ว ในชาติหน้าต่อไปเราจะรักษาชาติที่ เป็นมนุษย์นี้ได้อีกหรือไม่ จะมีสิ่งใดทำให้เราเปลี่ยนภพชาติของมนุษย์นี้ กลาย เป็นภพชาติอื่นไป นั้นคือใจ ผู้จะไปเกิดในภพไหนชาติใด ใจจะวางทิศทางเอา ไว้ทั้งหมด จึงเรียกว่า มโนกรรมเป็นตัวแปรที่สำคัญ

    ผู้ไปเกิดในภพของเทวดา อินทร์พรหม ก็คือใจเป็นกุศลกรรม ผู้จะไปเกิดในภพภูมิของเปรต ไปเกิดใน หมู่สัตว์เดรัจฉาน หรือจะไปตกนรกทนทุกข์ทรมาน ก็คือใจเป็นอกุศล หรือจะ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์สมบัติอีกก็ต้องมีคุณธรรมหรือศีลห้าประจำใจ ถามว่าคน บาปมากเมื่อตายไปมีสิทธิ์มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปได้อีกหรือไม่ ตอบ มา เกิดไม่ได้ เพราะกรรมชั่วจะพาไปเกิดในอบายภูมิต่อไป เว้นเสียแต่มนุษย์ที่มี บาปน้อยจึงจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ แต่เศษของกรรมนั้นก็ยังติดตามมาให้ผลใน ชาตินั้นอยู่ เรียกว่าวิบากกรรม ให้ผลแก่บุคคลที่เกิดมีความแตกต่างกันดังเห็นอยู่ ในที่ทั่วไป ใครมาจากภพอะไรนิสัยกิริยาและพฤติกรรมการแสดงออกทางกาย และวาจาจะเป็นสื่อให้รู้กันได้ โลกมนุษย์นี้อยู่ในท่ามกลางของจักรวาลอื่น เป็นจักรวาลหนึ่งในแสนโกฏิ

    จักรวาลมีจักรวาลเดียวเท่านี้ที่สัตว์มีชีวิตอยู่ได้ เป็นจักรวาลที่มีความสมบูรณ์ใน ธาตุสี่ขันธ์ห้า มีอากาศธาตุที่เหมาะสมกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้มีชีวิตอยู่ มี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และอากาศธาตุ เป็นไปในอุตุสัปปายะ มนุษย์และสัตว์ที่มีธาตุสี่ ก็อาศัยธาตุสี่ของโลกนี้เป็นอาหารเลี้ยงชีวิตให้อยู่ได้ โลกที่มนุษย์อาศัยอยู่นี้เป็นศูนย์รวมให้แก่จักรวาลทั้งหลาย ส่วนจักรวาลอื่นมนุษย์ จะไปอยู่แบบถาวรเป็นครอบครัวสืบพันธุ์เหมือนโลกนี้ไม่ได้ จักรวาลอื่นเพียง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ก็อยู่อาศัยได้ชั่วคราว เมื่อถึงกาล เวลาก็กลับมาเกิดในโลกนี้ตามเดิม จะไปเกิดในจักรวาลของเทวดา อินทร์ พรหม ก็อยู่ชั่วคราวแล้วก็กลับมาเกิดในโลกนี้อีก จะไปเกิดในภพของเปรต สัตว์เดรัจฉาน จะไปตกในนรกอเวจีที่มีอายุยาวนานก็ตาม เมื่อหมดกรรมชั่วก็จะ กลับมาเกิดในโลกนี้อีกเช่นกัน ฉะนั้นโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่นี้จึงเป็นศูนย์รวมของ จิตวิญญาณของสัตว์โลกทั่วไป จิตวิญญาณจะไปเที่ยวในจักรวาลใด จะไปเที่ยว วัฏจักรใด ก็ต้องมาสร้างกรรมในโลกนี้ทั้งนั้น ใครสร้างกรรมอะไรไว้ดีหรือชั่ว อย่างไร ก็จะได้ไปตามกรรมที่ทำไว้นั้นเอง เช่นครอบครัวเดียวกันอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุขแต่กรรมทำคนละอย่าง คนหนึ่งทำกรรมชั่ว คนหนึ่งทำกรรมดี เมื่อชีวิตหมดไปก็จะแยกทางไปตามกรรมใครกรรมมัน เว้นเสียผู้มีศีลเสมอกัน มี ความเห็นเหมือนกันและได้ทำกรรมอย่างเดียวกัน พวกนี้ไปไหนไปด้วยกัน เกิด ที่ไหนไปเกิดด้วยกันได้<!-- google_ad_section_end -->

    มีอีกนะ ถ้าชอบก็ไปอ่านต่อที่นี่นะ ขอให้โชคดีนะ
    http://palungjit.org/threads/รวมธรรมบรรยายของ-หลวงพ่อทูล-ขิปฺปปญฺโญ.209624/

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2009
  9. tirajung

    tirajung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +118
    จริง ๆ แล้วก็มีความสงสัยเหมือน จขกท. นะ และก็พยายามหาคำตอบอยู่
    เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้หาคำตอบด้วยตัวเองคงไม่หายสงสัยแน่เลย
    แต่เรื่องที่สงสัยมาก ๆ เลยก็คือ ทำไม่เวรกรรมถึงไม่ตามให้ทันกับคนที่กระทำ
    ในชาตินี้หละ ถ้าเป็นแบบนี้คนจะเลิกสงสัยไปได้เยอะ เพราะเห็นผลของกรรมทันตา

    ถ้าใครทำกรรมดี ผลของกรรมดีก็ส่งผลให้คนที่ทำกรรมดี ได้พบแต่สิ่งดี ๆ ในชาตินี้
    คนทำดีจะได้มีกำลังใจ ไม่ใช่ทำดีแค่ไหนก็ไม่เคยได้ดี
    มีแต่กรรมของชาติที่แล้วมาตามสนอง คนก็หมดกำลังใจในการทำความดี

    ถ้าใครทำกรรมชั่ว ผลของการทำกรรมชั่วก็ส่งผลให้เห็นทันตาเลยในชาตินี้
    คนจะได้กลัวการทำบาปกรรมกันมากขึ้น เพราะถ้าผลของกรรมไปส่งผลในชาติหน้า
    คนที่คิดจะสร้างบาปกรรมเขาก็ไม่กลัวกัน เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า

    เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครให้คำตอบได้หรอก ถ้าไม่พยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง
    เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะ แต่ที่แน่ ๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วอย่างที่เคยฟังกันมา
    คงมีจริงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถ้าตอนนี้มีเรื่องร้าย ๆ เข้ามาในชีวิต ก็พยายามทำใจว่าเราสร้างบาปไว้เมื่อชาติที่แล้ว
    แต่ถ้าเราสุขใจอยู่ดีมีสุข ก็คิดซะว่าเราทำบุญมาเยอะเมื่อชาติที่แล้ว
    คิดได้อย่างนี้ก็ต้องสร้างแต่กรรมดีกันเถอะ ชาติหน้าเราจะได้สบาย ชาตินี้ก็รับกรรมไปก่อนแล้วกันนะ
     
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    รู้แล้วได้อะไร?
    เห็นมาเยอะที่มีคนตั้งคำถามประมาณนี้ แล้วก็มีคนมาตอบว่า รู้แล้วได้อะไร ปล่อยวางความสงสัยไปเถอะ

    แต่.... สำหรับบางคนแล้ว รู้แล้วได้ประโยชน์นะ

    บางคนปล่อยวางแล้วก็ปฏิบัติต่อ
    บางคนปล่อยวางแล้วก็ปล่อยไปตามโลก

    บางคนรู้แล้วก็เฉยๆ
    บางคนรู้แล้วก็หันมาปฏิบัติธรรม

    ถ้าอยากจะดึงคนให้มาสนใจปฏิบัติธรรม ก็ต้องหาคำมาอธิบาย
    พอมาสนใจปฏิบัติแล้ว จะปล่อยวางก็ได้

    สำหรับเรื่องวิญญาณ อยากจะบอกว่าเจ้าของกระทู้ว่า สิ่งทีวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีจริง แต่อาจจะเพราะว่าเทคโนโลยี, ความรู้ความเข้าใจ ยังมีไม่ถึงก็ได้

    กับเรื่องคนทำไม่ดี ทำไมถึงได้ดี มันก็เพราะว่ากรรมที่ส่งผลมันมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีปนๆ กันไป คนทำไม่ดี ใช่ว่าจะไม่เคยทำดีมาก่อนเลย ที่เห็นเค้าทำไม่ดีในตอนนี้ ก่อนหน้านั้นเค้าอาจจะเคยทำบุญใหญ่มาก่อนก็ได้

    "โลกเราก็เหมือนมายา เหมือนเงาที่เกิดจากแสง ถ้ามองแต่เงาก็จะไม่เห็นแสง"
     
  11. R112520

    R112520 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +24
    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน จงใช้ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วจะพบคำตอบ
     
  12. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    เมื่อก่อนเคยสงสัยเหมือน จขกท ค่ะ

    สงสัยมากกว่าอีกค่ะ แต่ไม่ค่อยกล้าถามได้แต่หาคำตอบให้ตัวเองไปแต่ละข้อๆ
    จนถึงตอนนี้ก็สิ้นสงสัย

    มนุษย์เรานั้นถึงจุดที่จะพลิกผันเส้นทางของตัวเองก็จะเริ่มสงสัย แล้วต่อยอดความสงสัยไปสู่การแสวงหาคำตอบ เพื่อการตื่นรู้ นี่นับว่าเป็น turning point ในชีวิต จขกทแต่อยู่ที่ว่าเมื่อเราสงสัย เราแสวงหาคำตอบต่อหรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น

    คำตอบของแต่ละคนล้วนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละท่าน โลกของแต่ละท่าน จุดมุ่งหมายของแต่ละท่าน


    แต่จุดๆหนึ่งที่เราต่างเหมือนกันในการแสวงหาเกิดจากแรงผลักดันในจิตใจเรา
    แรงผลักดันขั้นลึกสุดในจิตใจมนุษย์นั้น นอกจากเพื่อแสวงหา "ความสุข" และหลีกหนี "ความทุกข์" แล้ว

    เรายังโหยหา-แสวงหา "ความหมาย" ในชีวิตอีกด้วย เราอยากจะรู้ว่าการที่เรามาอยู่ตรงนี้มีความสำคัญ-มีคุณค่า เราอยากจะรู้เหตุผลการดำรงอยู่ของตัวเรา เราจึงเริ่มสงสัยโลกที่รายล้อมตัวเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำบอกเล่าที่ได้ฟัง คำสอนทางศาสนา สิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเป็นวิญญาณจนสุดท้าย เราก็จะค้นพบคำตอบที่อยู่ในตัวเราในที่สุด

    ขอเอาใจช่วยให้ผ่านบันไดขั้นแรกแห่งการแสวงหาค่ะ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...