###ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขา สิ่งที่ชาวพุทธ มิควรละเลย###

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โมกขทรัพย์, 5 มิถุนายน 2013.

  1. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849
    ###ศีล สมาธิ ปัญญา ไตรสิกขา สิ่งที่ชาวพุทธ มิควรละเลย###

    ในทุกวินาทีของชีวิต "เรา" กำลังเสวยกรรม และสร้างกรรมใหม่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงอย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะถ้าพลาดเดินทางผิดแม้ซักนิดหนึ่ง กรรมที่กระทำไว้ จักย้อนมาให้ผลแน่นอน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงได้ให้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ละเว้นความชั่วโดยเด็ดขาดซึ่งเป็นที่มาของการรักษาศีล

    และเมื่อเรารักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ รักษาด้วยความเป็นปกติ ไม่ยุยงให้ผู้อื่นทำผิดศีล ไม่ยินดีเมื่อผู้ืื่อื่นทำผิดศีล การเจริญสมาธิ ก็จักตั้งมั่นได้ง่าย เพราะไม่มีนิวรณ์อันเป็นเครื่องรบกวนใจบังเกิดขึ้น เมื่อมีสมาธิ มีอารมณ์เป็นเอกัตคตารมณ์และอุเบกขารมณ์แล้ว(อารมณ์แน่วนิ่ง ถึงระดับองค์ฌาน๔) จิตจักมีกำัลังอย่างเอกอุ มีความนิ่ง รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว ไม่วอกแวก คราวนี้เองก็พึงลดอารมณ์ของสมาธิลงมาเหลือเพียงอุปจารสมาธิ หรือแค่ปฐมฌาน เพื่อจักได้ใช้สติ พินิจพิจารณา น้อมระลึกถึงความเป็นไป ของความเ็ป็นจริงในสรรพสิ่ง ในโลกนี้ที่ไม่เคยหนีพ้นจากกฏพระไตรลักษณ์เลย หากมีเวลาควรหมั่นฝึกฝนการเข้าออกของสมาธิ เพื่อให้เกิดนวสี(ความคล่องตัว) ไต่ลำดับองค์ฌาน สลับสลับเปลี่ยนกัน แต่หากไม่มีเวลาก็สามารถกำหนดระลึกได้ง่ายๆโดยใช้กรรมฐานที่ตนถนัด ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ กสิณหรือการกำหนดรู้ถึงองค์ภาวนาต่างๆควบคู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ และที่สำคัญทุกครั้งที่เจริญสมาธิ ก็จงอย่าลืมเจริญวิัปัสสนาควบคู่กันไปด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า สมถะเท้าขวา วิปัสสนาเท้าซ้าย เท้าทั้งสองนี้พึงเดินไปพร้อมๆ หากขาดเืท้าข้างใดข้างหนึ่ง การดำเนินเพื่อให้ถึงมรรคผลนั้น ก็จักเกิดขึ้นได้ยาก

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ชาวพุทธควรทำเป็นอันดับแรกคือการรักษาศีล เนื่องจากศีลคือบาทฐานของสมาธิ และสมาธิก็เป็นบาทฐานของวิปัสสนา ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ เป็นเหตุ ปัจจัย เกื้อหนุนกัน ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านได้ให้คำนิยามว่า ไตรสิกขา หรือสิกขา๓

    การทำความดีนั้น มิควรเลยที่ต้องรอโอาส เพราะความดีสามารถสร้างได้จากตนเอง เริ่มต้นจากมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวคอยประคับประคองให้ตนอยู่ภายใต้กรอบความคิดอันดีงาม หากจิตคิดดีแล้ว กายซึ่งเป็นเพียงตัวรับคำสั่ง ก็จักประพฤติดีตามจิตที่คิดนั้นด้วย สิ่งสำคัญอย่าปล่อยให้อำนาจ กิเลส ตัญหา อุปาทานครอบงำได้เท่านั้นเอง

    ทั้งนี้ั้ทั้งนั้น การที่เราจะรู้เท่าทันจิตของตนได้นั้น เราก็ต้องมีสติ สมาธิ และปัญญา ไว้คอยต่อสู้กับเหล่ากิเลสข้าศึกนั้น มิเ่ช่นก็ไม่สามารถจะต่อกรกับสิ่งอำนาจด้านมืดที่อยู่คู่ยาวนานกับเรามาเป็นอสงไขยกัล์ปได้เลย

    สติ สมาธิ ปัญญา พร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิอันชอบแล้ว ย่อมเป็นพละปัจจัย ให้เข้่าสู่มรรคผลแม้ไม่ช้าก็เร็ว สุดแล้วแต่เราผู้เป็นตัวกำหนดขีดเส้นให้ตน ว่าจะหลงอยู่ในวัฎฎสงสารนี้ อีกนานเท่าไร

    ปล.เตือนตนเองขอรับ ^ ^

    โมกขทรัพย์ ลูกหลวงพ่อฯ

    อ้างอิง https://www.facebook.com/profile.php?id=100005084584992&ref=tn_tnmn
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...