ศาสนธรรม “ผิดครู”

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ชาไม่รู้, 20 เมษายน 2009.

  1. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    ศาสนธรรม “ผิดครู”

    พระสงฆ์ไทยปัจจุบันกำลัง “ผิดครู” เพราะมีความประมาทมากเมื่อเทียบกับคนโบราณ




    ผู้เขียนในครั้งวัยเยาว์ มีคุณตาซึ่งเป็นคนโบราณผู้มีวิชชาอาคมติดตัวอยู่บ้าง และในครั้งเยาว์วัย ผู้เขียนได้รับการเลี้ยงดูจากตา และตาก็ได้ถ่ายทอดแนวคิดและวิชชาอาคมบางอย่างให้แก่ผู้เขียน แต่ด้วยผู้เขียนเป็นคนสมัยใหม่ที่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และเชื่อในวิทยาศาสตร์และสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยวิธีทางการวิจัย ดังนั้น ผู้เขียนจึงหนีห่างและทำให้สิ่งที่คุณตาพยายามมอบให้ต้องสูญหายไป ผู้เขียนทราบว่าคุณตามีน้องอยู่ท่านหนึ่งซึ่งได้คัมภีร์โบราณไป คัมภีร์โบราณตกทอดถึงทายาท ซึ่งเป็นหลานของคุณตา ส่วนคุณตาไม่ได้คัมภีร์โบราณนั้น ผู้เขียนได้พบหลานของคุณตาผู้นั้นมีอายุเข้าวัยชราแล้ว (ผู้เขียนยังอยู่วัยหนุ่ม) แต่ไม่ได้รับคัมภีร์โบราณนั้นเป็นการถ่ายทอดแต่อย่างใด




    ปัจจุบัน ผู้เขียนได้ปฏิบัติธรรมด้วยตนเองจากหลายสำนักทั่วประเทศไทย และได้เข้าใจตนเองเป็นเบื้องต้นก่อนที่จะศึกษาธรรมชาติรอบตัวภายหลัง ผู้เขียนได้รู้จักผู้อำนวยการโรงเรียนท่านหนึ่ง ซึ่งได้ให้คำปรึกษาข้อธรรมและแนวทางปฏิบัติแก่ ผอ. และวันหนึ่ง ผอ. ท่านนี้ก็บำเพ็ญบารมีจนได้คัมภีร์โบราณของคนสุโขทัยมาจำนวนหนึ่ง ผู้เขียนได้ศึกษาแนวทางคำสอนของคนไทยสมัยโบราณซึ่งแทบไม่เหลือให้ศึกษาอีก และได้พบความเปลี่ยนแปลงบางประการของการฝึกวิชชาทางจิตในสมัยโบราณและสมัยปัจจุบัน อันเป็นจุดที่เสี่ยงต่ออันตรายอย่างยิ่งหากไม่เตือนท่านผู้ปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ซึ่งก็คือ “การผิดครู” หรือ การที่ผิดคำพูดที่ให้ไว้แก่ครูบาอาจารย์ต้นวิชชาว่าจะไม่ทำการอันไม่ควรแก่การฝึกวิชชาใดๆ เช่น บางวิชชาห้ามเดินลอดใต้ราวผ้าเป็นต้น ผลของการผิดครูเบื้องต้นคือ “วิชชาเสื่อม” และทำให้เกิดผลตามมาที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ “ของเข้าตัว” เมื่อของเข้าตัวแล้วจะมีอาการที่แตกต่างกันไป เช่น บางรายต้องเป็นปอบก็มี ความร้ายแรงของการถูก “ของของตน ย้อนเข้าตัว” นี้ ขึ้นอยู่กับวิชชาที่ฝึกและของที่ปลุกเสกนั้นเป็นอะไร ถ้าเป็นของเบาก็อาการไม่หนักถ้าเป็นของที่หนัก อาการก็หาเบาได้ไม่ พระสงฆ์ไทยที่ดังๆ จำนวนมากในปัจจุบันล้วนมี “ของ” กันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าจะเป็นของอะไร เบื้องต้นง่ายๆ “ของ” ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่นิยมนำมาเลี้ยงกันก็คือ “กุมาร” ซึ่งนับว่าเบาที่สุด ผู้เขียนได้พบหญิงผู้หนึ่ง ได้บูชากุมารมาด้วยเงิน แล้วเกิดของเข้าตัว วิ่งเหมือนคนเป็นบ้ามาหลังวัด พ่อพยายามช่วย ด้วยการขอให้เจ้าอาวาสวัดช่วย ท่านก็ไม่ยุ่งด้วย สุดท้ายได้มาปรึกษาผู้เขียน ผู้เขียนจึงได้แนะนำวิธีให้ เมื่อแก้ไขแล้วก็ได้หายจากอาการนั้นไป (ปัจจุบัน ยังมีชีวิตอยู่ครบ สามารถทำวิจัยหรือใช้เพื่อสืบพยานได้) บทความฉบับนี้ จึงขอเสนอเรื่อง “การผิดครู” ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้




    การผิดครูของพระสงฆ์ไทยปัจจุบันเกิดขึ้นหลายสาเหตุ ดังนี้

    สาเหตุเพราะความประมาทพลาดพลั้ง ทำให้พระสงฆ์ไทยดังๆ มากมาย ทำสิ่งที่ผิดครู ครูโบราณเวลาสอนวิชชาทางจิต หรือไสยเวทย์ต่างๆ แล้วจะกำชับเสมอให้ระวังไม่ให้ผิดครู คือ ไม่ให้ทำสิ่งที่ต้องละเว้นละวางต่างๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงทำเช่นกัน คือ การตราศีลให้ไว้แก่พระภิกษุสงฆ์ กรณีภิกษุสงฆ์ผิดศีล ท่านก็มอบวิธีแก้ให้คือการปลงอาบัติบ้าง เข้าปริวาสกรรมบ้าง ฯลฯ ครูไทยโบราณ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ทุกวิชชาต้องมีเครื่องละเว้นละวาง ระวังไม่ให้ผิดครู ทั้งสิ้น เช่น บางวิชชาห้ามกินฟัก, บางวิชชาห้ามลอดใต้ราวตากผ้า ฯลฯ เป็นต้น สำหรับวิชชาของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีข้อห้ามแบบนั้น แต่มีข้อห้ามที่มีเหตุผลมากกว่าเรียกว่า “พระธรรมวินัย” ของทุกอย่าง ที่มีอิทธิฤทธิ์ ล้วนแล้วแต่มีข้อควรระวังในการใช้ทั้งสิ้น ดังนั้นครูทางจิตวิญญาณของคนไทยโบราณจึงมักมีข้อห้ามต่างๆ มากมายให้แก่ลูกศิษย์ ปัจจุบัน พระสงฆ์ไทยที่ฝึกวิชชาทางจิต ไม่ทันระวังตัว เพราะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันล้ำหน้าไปมาก และครูไทยโบราณ ก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง ท่านจึงไม่ได้ตราข้อห้ามบางข้อไว้ เป็นเหตุให้เกิดการผิดครูด้วยความประมาทพลาดพลั้งของพระสงฆ์ไทยจำนวนมากมาย ดังจะอธิบายต่อไปนี้




    ๑) การทำเครื่องรางของขลังจำนวนมากเกินไป นั้น “ผิดครู”

    การทำเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณใช้มือทำเป็นส่วนใหญ่ หรือต่อให้มีเครื่องมือช่วยก็จะเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถทำได้จำนวนมาก ดังนั้น เครื่องรางของขลังจึงมีน้อย จำนวนจำกัดและลูกศิษย์ลูกหาต่างแย่งกันเพื่อให้ได้ครอบครองเพราะเหตุว่ามีจำนวนจำกัดนั่นเอง ในสมัยหลวงพ่อโต ท่านเคยทำพระจำนวนมาก แต่ไม่มีใครสนใจรับเลย สุดท้ายต้องนำไปทิ้งในแม่น้ำ และกลายเป็นพระดังไป เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการทำเครื่องรางของขลังจำนวนมาก เป็นภัยมหันต์ต่อผู้ทำ เทพเทวดาที่ต้องการปกป้องหลวงพ่อโต ไม่ให้เปื้อนกรรมจากคนที่เอาพระไปครอบครอง ก็ต้องหาวิธีทำให้ไม่มีใครรับพระที่ท่านทำ แล้วต้องเอาไปทิ้งลงแม่น้ำอย่างนั้น การทำเครื่องรางของขลังจำนวนมากๆ นั้นเป็นภัยมหันต์ต่อผู้ทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำด้วยเครื่องจักร หรือเครื่องมือที่ผลิตได้จำนวนมากๆ เช่น ได้เกินร้อยชิ้นขึ้นไป เหล่านี้ การดูแลของขลังจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง บางครั้งเครื่องรางของขลังตกอยู่ในมือคนชั่ว คนชั่วก่อกรรมแล้ว กรรมย่อมพัวพันไปกับผู้สร้างเครื่องรางของขลังนั้นด้วย ดังนั้น การทำเครื่องรางของขลังที่ดี จึงควรทำจำนวนน้อยๆ จำกัดเท่ากับความสามารถของตนที่จะดูแลเครื่องรางของขลังแต่ละชิ้นได้อย่างดี เช่น ทำครั้งละไม่เกินสิบชิ้น หรือพิจารณาเห็นแล้วว่าศิษย์ที่สามารถรับได้ มีจำนวนไม่ถึงเจ็ดคนก็ทำเพียงเจ็ดชิ้นเท่านั้นเป็นพอ หรือหากจะใช้อุปกรณ์ที่ผลิตโดยเครื่องจักรมาประกอบพิธีทางจิตก็ควรใช้จำนวนจำกัด การทำจำนวนมากเป็นภัยดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้น ในวิถีธรรมของผู้เขียนนี้ จึงนับการสร้างเครื่องรางของขลังมากเกินไปว่าเป็นการ “ผิดครู” และจะนำกรรมที่เกิดจากผู้ใช้จำนวนมากมาย กลับมาพัวพันกันไปไม่จบสิ้นได้ง่ายๆ เลย




    ๒) การแจกเครื่องรางของขลังโดยผ่านผู้อื่น นั้น “ผิดครู”

    ผู้ทำเครื่องรางของขลัง ควรต้องเก็บเครื่องรางของขลังที่ตนสร้างขึ้นทุกชิ้นไว้อย่างดี และไม่ควรให้ผู้อื่นนำเอาไปแจก ยกเว้นว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่ทำจำนวนมาก และผู้สร้างเครื่องรางของขลังได้พิจารณากลุ่มผู้รับแล้ว เช่น การแจกพระให้แก่ทหารที่ต้องออกไปรบเป็นจำนวนมาก อย่างนี้ สามารถทำได้ เพราะได้พิจารณากลุ่มผู้รับแล้วจึงได้ให้ แต่สำหรับเครื่องรางของขลังบางประเภท เช่น ขี้ผึ้งมหาเสน่ห์ บางท่านทำจำนวนมาก แล้วเอาใส่พานไว้ ใครมาบูชาด้วยเงิน ก็จะมีพนักงานหยิบให้ไป ซึ่งไม่ได้มานั่งพินิจพิเคราะห์คนรับขี้ผึ้งมหาเสน่ห์เลยว่าเอาไปเพื่อผิดลูกเมียใครหรือไม่ เพราะหากนำไปใช้ผิดทาง กรรมที่ผู้ใช้สร้างขึ้นก็จะพัวพันกับผู้สร้างเครื่องรางของขลังเหล่านั้นด้วย การแจกเครื่องรางของขลังทุกครั้งจึงต้องผ่านการพิจารณาของผู้สร้างอย่างถ้วนถี่แล้ว จึงเลือกกลุ่มผู้รับ ก่อนที่จะแจกทุกครั้งไป และไม่ควรให้ผู้อื่นนำไปแจกจ่ายเอง โดยที่ผู้สร้างไม่ทราบว่าใครเป็นผู้รับไป รับไปเพื่อทำกิจอันควรหรือไม่ควรอันใด ครูบาอาจารย์สมัยโบราณโชคดีที่ไม่มีเครื่องจักรกลช่วยสร้างเครื่องรางของขลัง จึงสร้างด้วยมือและมีจำนวนน้อย ก่อนจะให้จึงพิจารณาพินิจพิเคราะห์คนรับอย่างดีก่อนแล้วจึงให้ ดังนั้น ครูบาอาจารย์โบราณจึงรอดพ้นภัยกรรมนี้ไป แต่พระสงฆ์ไทยปัจจุบัน กำลังตกลงสู่บ่วงกรรม อันเป็นมหันตภัยมืดที่คืบคลานเข้ามาถึงตัวโดยไม่ทันระวัง เพราะการแจกจ่ายเครื่องรางของขลังอย่างเสรี โดยไม่พินิจพิเคราะห์ผู้รับแต่ละรายนี่เอง ทำให้เกิดช่องโหว่ให้ผู้คนทั้งหลายนำเครื่องรางของขลังไปใช้สารพัดวิธี สารพัดจุดประสงค์ และกรรมเหล่านี้ก็จะย้อนกลับมาพัวพันพระสงฆ์ผู้สร้างเครื่องรางของขลังเหล่านั้น ในวิถีธรรมของผู้เขียนนี้ จึงนับว่าการให้ผู้อื่นเอาเครื่องรางของขลังไปแจกใครก็ได้ โดยไม่ทราบที่มาของผู้รับ จึงเป็นการ “ผิดครู” อันเป็นผลให้กรรมสะท้อนย้อนเข้าตัวในภายภาคหน้า




    ๓) การเปิดให้บูชาเครื่องรางของขลังด้วยเงิน นั้น “ผิดครู”

    ในสมัยโบราณ ลูกศิษย์จะได้รับเครื่องรางของขลังจากครูบาอาจารย์นั้นแสนยาก และไม่ใช่ได้มาด้วยเงิน หรือการทำบุญ แต่ได้มาด้วยการปฏิบัติตนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณได้เห็นจนไว้เนื้อเชื้อใจแล้วว่าจะสามารถรักษาของดีที่ให้ได้ และไม่นำไปใช้ในทางเสื่อมเสีย ดังนั้น สมัยโบราณเครื่องรางของขลังจึงไม่ได้มาด้วยการใช้เงินบูชาแต่ใช้ “การปฏิบัติบูชา” ต่างหาก ปัจจุบันพระสงฆ์จำนวนมาก เพื่อให้ได้เงินมาครอบครอง จะด้วยเจตนาที่ดีที่ต้องการนำเงินไปพัฒนาวัด พัฒนาประเทศหรือเหตุใดก็ตามแต่การเปิดอย่างเสรีด้วยความหลงผิดในระบบทุนนิยมเสรี และกระบวนการพุทธพาณิชย์ ทำให้เกิดการบูชาเครื่องรางของขลังด้วย “เงิน” ขึ้น เป็นลัทธิ “บูชาเงิน” หรือ “อามิสบูชา” ไม่ใช่การ “ปฏิบัติบูชา” เหมือนในสมัยโบราณอีกต่อไป สำหรับการเปิดให้ใช้เงินบูชาเครื่องรางของขลังได้นี้ แม้คนชั่วช้าขายยาม้ายาบ้า เอาเงินมาสักก้อนหนึ่งก็สามารถครอบครองเครื่องรางของขลังแล้วกลับไปทำชั่วต่อได้ อย่างนี้เป็นภัยใหญ่หลวงต่อผู้สร้างเครื่องรางของขลังเหล่านั้น ครูสายวิถีธรรมของผู้เขียนนี้ จักให้ใช้วิธีการ “ปฏิบัติบูชา” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนผู้สร้างเครื่องรางของขลัง จะเชื่อใจได้แท้จริงเท่านั้น จึงจะยอมมอบเครื่องรางของขลังที่ตนทำให้ หากให้เครื่องรางของขลังด้วยการแลกได้ด้วยเงิน หรือ “อามิสบูชา” แล้ว นับเป็นการ “ผิดครู” ของสายธรรมนี้ ส่งผลให้ผู้ทำต้องรับกรรมที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามากมายมหาศาลขนาดไหน จึงขอให้เลิกทำเสีย




    ๔) การมอบเครื่องรางของขลังแก่ผู้มีอินทรีย์อ่อน นั้น “ผิดครู”

    คือการมอบเครื่องรางของขลังให้แก่ผู้ที่ฝึกจิตน้อย ไม่มีความสามารถทางจิตที่จะรักษาของได้ เช่น คนที่มี สติ, สมาธิ, ปัญญา, ศรัทธา, วิริยะ (อินทรีย์ห้า หรือพละห้า นั่นเอง) ไม่แก่กล้าพอแก่ของที่จะมอบให้ เช่น กุมาร คนที่จะมีกุมารหรือครอบครองกุมารได้ ต้องมีอินทรีย์เหนือกว่ากุมาร เช่น มีจิตระดับโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งจะทำหน้าที่ดูแลกุมารชายและหญิง จึงมีกำลังจิตมากพอดูแลกุมารเหล่านี้ได้ สำหรับบางท่านที่มีจิตต่ำกว่านี้อาจรับกุมารบางประเภทได้ เช่น ถ้าจิตฝึกได้บารมีเทียบเท่านาคเก้าเศียร การจะรับกุมารซึ่งเป็นลูกนาคไปก็สามารถดูแลได้ แต่ถ้าเป็นกุมารที่มาจากเทวดาเผ่าอื่น ต้องพิจารณาว่าอินทรีย์ที่ฝึกได้ระดับนาคเก้าเศียรนั้นจะรับไหวไหม เช่น กุมารโพธิสัตว์ อย่างนี้ก็รับไม่ไหว เพราะกุมารมีกำลังจิตมากกว่าผู้ครอบครอง การมอบเครื่องรางของขลังของคนไทยในสมัยโบราณจะพิจารณาผู้สืบทอดและรออยู่ด้วยความอดทน จนกว่าผู้รับจะปฏิบัติธรรมสำเร็จ คือมีอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะรับเครื่องรางของขลังเหล่านั้นได้ เพราะเครื่องรางของขลังบางอย่าง “มีชีวิตจิตใจ” เพียงแต่มองไม่เห็นเท่านั้น เช่น ภูตผี, เทวดา, กุมารทอง ฯลฯ คนไทยภาคเหนือโบราณนิยมเลี้ยงผี และผีที่เลี้ยงก็มักเป็น “ผีบรรพบุรุษ” อันเป็นวัฒนธรรมโบราณที่สืบทอดอิทธิพลมาจากประเทศจีนตอนใต้ (คนจีนนิยมกราบไหว้เซ่นสรวงผีบรรพบุรุษ) ตั้งแต่สมัยคนสุโขทัยอพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้ “ของ” เหล่านี้ บ้างก็ไม่มีจิตวิญญาณเหลืออยู่แล้ว ความขลังก็หายไป บ้างยังมีเหลืออยู่แต่ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง จนเกิดเป็น “ปอบ” ก็มี การสืบทอดต่อของขลังประเภทนี้ จึงต้องพินิจพิเคราะห์อินทรีย์ของผู้รับให้ได้ ตนเองก็ต้องปฏิบัติให้ได้ก่อน จึงจะพิจารณาอ่านอินทรีย์ของผู้อื่นได้บ้างในระดับหนึ่ง หากมอบให้แก่ผู้มีอินทรีย์อ่อนเกินไปแล้ว ก็เท่ากับ “ผิดครู” นั่นเอง สุดท้ายของอาจเข้าตัว และเกิดปัญหานานัปการจนยากแก่การแก้ไขในที่สุด




    ๕) การมอบเครื่องรางของขลังให้แก่คนพาล นั้น “ผิดครู”

    เป็นข้อห้ามที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้ปฏิบัติธรรมในวิถีธรรมนี้ เพราะคนพาลแม้จะคบก็ไม่ควรแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หลีกเลี่ยงเสียจากคนพาล เป็นมงคลชีวิตทีเดียว ดังนั้น ยิ่งไปให้เครื่องรางของขลังแก่คนพาลอีก ก็จึงนำตัวเองเข้าไปพัวพันกับกรรมมากมาย ปัจจุบัน พระสงฆ์ไทยจำนวนมาก อาจถือตัวว่าบรรลุอรหันต์แล้ว รู้หมดแล้ว แต่ไม่ทันได้แยกแยะในการเลือกคนบัณฑิตหรือคนพาล เช่น รู้ทั้งรู้ว่าเขาโกงกินบ้านเมือง ก็ยังคบหาและเอาของต่างๆ ไปให้อีก อย่างนี้ เท่ากับนำตัวเองไปพัวพันกรรมด้วย แม้ว่าจะบรรลุอรหันต์แล้วก็ตาม ไม่อาจหนีกรรมที่เกิดจากการพัวพันกันนี้ได้เลย เมื่อคนพาลมีอำนาจมากเข้ามาพัวพัน เราควรเลี่ยงเสีย แสร้งทำเป็นคนไม่ได้เรื่อง ให้อยู่นอกสายตาไปเสีย ก็ได้ อย่าอาจหาญไปพัวพัน เพราะคนพาลบางจำพวกมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย สามารถดึงเราเข้าไปพัวพันโยงใยได้อย่างคาดไม่ถึง คนไทยโบราณแม้มี “ของดี” ก็จะไม่แสดงให้ใครรู้มาก เพราะอาจทำให้ “เสียของ” ไปให้แก่คนมีเล่ห์เหลี่ยมมากได้ หรืออาจทำให้ของที่มีอยู่เสียหรือเสื่อมลงได้ การให้ของขลังแก่คนพาลนี้ จึงนับเป็นการ “ผิดครู”




    ๖) การไม่สอนวิธีการใช้และรักษาเครื่องรางของขลัง นั้น “ผิดครู”

    อันตรายอย่างยิ่งในปัจจุบันอีกประการคือ การไม่สอนวิธีการใช้หรือการรักษาเครื่องรางของขลังเลย เมื่อเอาเครื่องรางของขลังที่ปลุกเสกแล้วมากองใส่พาน เอาเงินบูชาให้ก็หยิบไปโดยไม่รู้ถึงภัยที่จะตามมา เช่น สีผึ้งมหาเสน่ห์ ปกติ จะใช้พูดจาค้าขาย ให้คนนิยมชมชอบ แต่บางคนก็เอาไปพูดจาหวานล้อมกับหญิงสาวที่มีเจ้าของ ทำให้เจ้าของไม่พอใจ และอาจเกิดความหึงหวงจนถึงขั้นฆ่ากันตายได้ นี่เป็นผลจากการไม่สอนให้รู้จักใช้และรักษาเครื่องรางของขลัง นอกจากนี้ เครื่องรางของขลังบางอย่างก็ใช้แล้วหมดอายุไปก็มี เช่น กุมารทอง, รัก-ยม, ฯลฯ ผู้เขียนเคยได้พบสามเณรรูปหนึ่งที่มีรัก-ยม ช่วงหนึ่งสามเณรก็พบกับเหตุการณ์ประหลาดมากมายเกี่ยวกับรัก-ยม แต่หลังจากโปรดรัก-ยม สอนให้เติบโตด้วยธรรมแล้ว เหล่ารัก-ยม ก็ไม่มาเกี่ยวข้องหรือรบกวนอีก นี่เพราะกรรมที่เกี่ยวข้องกับรัก-ยมหมดไป จึงไม่มีจิตวิญญาณรัก-ยมอีก ไม่ใช่เพราะของเสื่อม ของที่ใช้เป็นสื่อดึงจิตวิญญาณของรัก-ยม ก็ยังคงมีอยู่ พลังยังมีบ้าง ยังสามารถใช้สื่อติดต่อจิตวิญญาณ ยังมีพลังเหมือนมือถือที่ยังมีแบตเตอร์รี่สามารถจูนคลื่นวิทยุได้อยู่ แต่ผู้ใช้หมดกรรมกับรัก-ยมแล้ว เช่นนี้ ก็สามารถนำของที่ตนมี มอบให้ผู้อื่นที่เหมาะสมต่อไปได้ อนึ่ง รัก-ยม ต่างจากกุมารทองตรงที่ มาเป็นคู่และค่อนข้างแตกต่างกัน การจะโปรดรัก-ยมได้ จึงต้องเข้าใจเด็กที่มีพรสวรรค์แตกต่างกันด้วย อนึ่ง ของขลังทุกชนิดมีรายละเอียดในการใช้และการรักษามาก ครูบาอาจารย์ผู้ปลุกเสก ต้องสอนให้ผู้รับเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนรับไป ไม่เช่นนั้น เมื่อเกิดภัย เกิดปัญหา ก็จะย้อนกลับมาถึงตัวผู้ให้ ในวิถีธรรมของผู้เขียนนี้ นับการไม่สอนให้ผู้รับเข้าใจในสิ่งที่ได้รับ ว่าเป็นการ “ผิดครู” ด้วย




    ๗) การนำเครื่องรางของขลังไปใช้อย่างผิดศีลธรรม นั้น “ผิดครู”

    การนำเครื่องรางของขลังไปใช้อย่างผิดศีลธรรม นับเป็นการผิดครู เพราะจะทำให้เกิดภัยมหันต์ย้อนกลับเข้ามาหาตัว แต่ครูบาอาจารย์บางท่านในสมัยโบราณก็ยอมผิดครูข้อนี้ก็มี เช่น ในสมัยสงคราม จะห้ามไม่ให้ทหารฆ่ากันคงไม่ได้ ดังนั้น หากครูบาอาจารย์ท่านใดให้ของขลังแก่ลูกศิษย์ไปใช้ในสงครามแล้วก็เท่ากับเสี่ยงต่อการผิดครู เพราะได้นำไปใช้ “ฆ่าคน” เป็นการผิดศีลข้อที่หนึ่ง ในสมัยโบราณครูบาอาจารย์บางท่านเสียสละยอมผิดครู และได้รับภัยย้อนกลับเข้าตัวอย่างมหันต์เพื่อปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้ทหารไทยไปใช้ในการปกป้องประเทศอย่างนี้ก็มี กรณีนี้นับได้ว่าผิดศีล แต่ไม่ผิดธรรม คือ ผิดศีลเพราะมีคุณธรรม แต่ในบางกรณีผิดศีลธรรมอย่างชัดเจน เช่น การให้นักเลงหัวไม้เอาไปตีกัน ไม่เกิดประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองแต่อย่างใด อย่างนี้ นับได้ว่า “ผิดครู” ของจริง



    ๘) การปล่อยของขลังให้ออกไปโดยไม่ดูแลสั่งสอน นั้น “ผิดครู”

    ของขลังทุกอย่างจะล้นทั้งสิ้น ถ้าไม่มีการปลดปล่อยให้ได้เป็นอิสระบ้างเช่น จิตวิญญาณต่างๆ ที่เลี้ยงไว้ ไม่ว่าจะเป็น กุมาร, พรายโหง, พรายกระซิบ, มังกร ฯลฯ จิตวิญญาณเหล่านี้ ยังมีกิเลสอยู่มากทั้งสิ้น ดังนั้น การบังคับควบคุมมากเกินไปเหมือนเป็นนักโทษ ก็จะทำให้จิตวิญญาณเหล่านี้เครียดและแค้นได้ จึงต้องรู้จักปลดปล่อยออกไปบ้าง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาบ้าง ไม่เช่นนั้น ของเหล่านี้ จะแค้นเจ้าของ และหาวิธีจัดการเจ้าของเสีย เช่น พวกมังกร มักไม่อยากเป็นลูกน้องใคร อยากกิน, นอน, เที่ยว, เล่น และไม่ทำการงาน เกเร เป็นอันธพาล เกลือกกลั้วอบายมุขไปวันๆ วิญญาณมังกรจะหาวิธีออกไปทำสิ่งที่ตนอยากทำ เช่น ไปกินเหล้า ด้วยการเข้าร่างของมนุษย์ที่อยู่รายรอบผู้เลี้ยงมัน เช่น สามี, พี่ชาย, ลูกหลาน ฯลฯ ผู้เลี้ยงต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างให้ดี ว่าของที่ตนมีได้เข้าตัวใครไปบ้างแล้ว และต้องคอยสั่งสอนควบคุมไม่ให้ทำสิ่งที่เกินควร สำหรับปอบนั้น เพราะไม่มีอาหารกิน ไม่มีคนเลี้ยงดู จึงต้องตกเป็นปอบไปเร่หากินเอง แต่หากผู้เลี้ยงเข้าใจถึงการปล่อยในเวลาที่ควรปล่อย และดูแลเลี้ยงดูให้ดีแล้ว ปอบก็จะไม่ต้องตกเป็นปอบ จิตวิญญาณนั้นจะพัฒนาสูงขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติธรรมของเจ้าของ ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่ามีของแล้ว จะได้มาโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ต้องรู้จักดูแลสั่งสอนให้ดีด้วย หากไม่ละเอียดที่จะดูแลสั่งสอนแล้ว จะทำให้ของขึ้น และ “ผิดครู” ได้ในที่สุด




    ๙) การย่อหย่อนในการปฏิบัติจิตและปฏิบัติธรรม นั้น “ผิดครู”

    หลายท่านเมื่อยามฝึกจิตแรกๆ มีความตั้งใจดี เพียรพยายามสูงมาก แต่เมื่อได้ของติดตัวไปแล้วอาจย่อหย่อนได้ในภายหลัง บางครั้งลืมตรวจตราดูว่า “ของที่มี” ปัจจุบัน เป็นอยู่อย่างไรแล้วบ้าง การไม่ตรวจตราดูของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ที่ตนมีตนรักษาไว้เลย เป็นคนประมาท ขาดความละเอียดรอบคอบ ไม่มีความประณีต ไม่เป็นคนช่างสังเกต เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้น จะนำภัยมหันต์มาสู่ตัวได้ บางครั้ง จิตวิญญาณหรือของขลังที่เรามีนั้น อาจค่อยๆ สำแดงฤทธิ์ให้คุณแก่เราในช่วงแรกๆ และค่อยๆ ให้ผลร้ายแก่เราในภายหลัง หากเราละเอียดในการช่างสังเกตสักนิด ก็พอจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ยกตัวอย่างเช่น คนที่เลี้ยงกุมาร ให้ลองตรวจตราสังเกตดีๆ ถ้าเด็กมากมายวัยซนมาเล่นแถวบ้านมากๆ มากขึ้นๆ ทุกวัน แล้วเราไม่ทันดูแล เด็กเริ่มร้ายกาจขึ้น เกเรมากขึ้น นี่อาจหมายความว่ากุมารที่เลี้ยงไว้กลายเป็นเด็กเกเร เด็กไม่ดีเสียแล้ว ซึ่งหากสายเกินแก้ก็ไม่อาจแก้ไขนิสัยได้ กุมาร อาจเติบโตกลายเป็น “มาร” และนำปัญหานานัปการมาให้ได้ในที่สุด ผู้เขียนได้พบท่านหนึ่ง เมื่อวัยหนุ่มบวชเป็นพระทางภาคอีสาน เรียนวิชชาเวทย์มนต์คาถามามากมาย แต่ไม่ละอัตตา ความถือตัว ใครก็สอนไม่ได้ กลับมาบ้านแต่งงานมีลูก แรกๆ ก็ดี ได้โชคลาภ หลังๆ ก็ต้องแยกขาดจากภรรยา และเลี้ยงลูกอย่างโดดเดี่ยว ปัจจุบันมีสภาพที่แย่มาก นี่ผลเพราะกุมารอาจไม่ต้องการให้ภรรยามาคุมพฤติกรรม แล้วกุมารก็ครอบงำชายผู้นั้น ให้ตามใจตน กุมารจึงใช้แผนยุยงให้ผัวเมียแตกแยกอย่างนี้ นี่เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าการไม่ละเอียดรอบคอบ ประมาท ให้ผลอย่างไร ดังนั้น แม้เราจะปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า มีบารมีได้ “ของดีคู่บารมี” มาครองแล้วก็ตาม ยังต้องไม่ย่อหย่อนการปฏิบัติ จนหลงลืมตรวจตราของที่มีอยู่ให้ดีจนกลายเป็นภัยในภายหลัง ไม่เช่นนั้นอาจ “ผิดครู” ได้




    ผิดครูแล้วจะทำอย่างไร มีทางแก้หรือไม่?

    พระพุทธเจ้าสอนให้ “เรียนแก้” และสอนให้ “พึ่งตนเอง” กลายเป็นสุภาษิตไทยโบราณว่า “เรียนผูกต้องเรียนแก้” กล่าวคือ ไปเรียนวิชชาเวทย์มนต์ผูกจิตวิญญาณอะไรมาแล้ว เกิดปัญหาเข้าตัวเอง ก็ต้องเรียน “แก้” เอาเอง ดังนั้น เมื่อ “ผิดครู” แล้ว ทางแก้ย่อมมีอยู่บ้าง แต่อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า “ควรเรียนแก้ด้วยตนเองด้วย” การไปรับของขลังของใครมา ไปบูชาของขลังของใครมา มันจะขลังจริงได้ ก็ต้องมี “จิตวิญญาณ” อยู่ทั้งนั้น จึงจะขลังได้ เมื่อมีจิตวิญญาณอยู่ ก็อันตรายหากไม่เข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ดังนั้น จะเรียนรู้แต่ครอบครองเครื่องรางของขลังแต่ทางเดียวไม่ได้ ต้องมีความเข้าใจจริง จึงจะแก้ไขได้ยามเกิดปัญหาขึ้น ในวิถีธรรมของผู้เขียนนี้ ขอเสนอวิธีแก้เบื้องต้นดังต่อไปนี้




    ๑) ขอให้ครูบาอาจารย์แก้ไขให้

    รับของขลังจากครูบาอาจารย์ท่านใดมา หากเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องกลับไปหาครูบาอาจารย์
    ผู้นั้น ให้ท่านแก้ไขให้</PERSONNAME> ของของใคร ก็ต้องกลับไปให้คนๆ นั้นแก้เอง นี่จึงได้เตือนผู้ปลุกเสกว่า ก่อนจะให้เครื่องรางของขลังใครไป ควรตรวจตราดูให้ดีก่อน นั่นเอง





    ๒) ขอให้ผู้มีความสามารถแก้ไขให้

    บางครั้งอาจไม่สะดวกที่จะนำของขลังไปให้ผู้ปลุกเสกแก้ไข หากรู้จักผู้มีความสามารถทางจิตท่านอื่นๆ ก็สามารถนำไปให้ท่านผู้นั้นช่วยแก้ไขให้ก็ได้ แต่อาจต้องเสี่ยงบ้างเพราะไม่ใช่ผู้ปลุกเสก อาจช่วยเหลือได้หรือไม่ได้ ก็อาจเป็นได้ทั้งสองกรณี




    ๓) บวชปฏิบัติธรรมเพื่อแก้กรรม
    การบวชพราหมณ์นุ่งขาวห่มขาวแล้วปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรม สามารถช่วยแก้ไขให้ดีขึ้นได้ โดยการจุดธูปบอกให้ของใดๆ ที่รบกวนชีวิตของตนเองอยู่ไปปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นจากกรรมที่ผูกมัดกันนี้ ขอให้อโหสิกรรมต่อกัน เพื่อทั้งคู่จะได้เป็นสุขเป็นสุข ขอชดใช้กรรมด้วยการให้ยืมกายสังขารนี้ในการปฏิบัติธรรมแก่เจ้ากรรมนายเวร แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมไป จิตวิญญาณที่คุมของขลังอยู่ เมื่อได้ธรรมก็จะจุติไปยังสุคติภูมิ ปัญหาก็หมดไปได้
     
  2. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    ศาสนธรรม “เล่นของ”

    เทคนิคในการสังเกตคนเล่นของ, ของขึ้น, ปล่อยของ, ของเข้าตัว ด้วยตาเปล่า




    พุทธศาสนาในประเทศไทย มีความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู และไสยศาสตร์ควบคู่ขนานกันมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ใช่แต่เพียงเชื่อถือโดยเลื่อนลอยเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ชาวไทยพุทธจำนวนมาก กำลังแสวงหา, ปฏิบัติ, ฝึกฝน, ครอบครอง, และใช้เครื่องรางของขลัง อันเกิดขึ้นจากผลพวงของไสยศาสตร์ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนามากมาย ศาสนธรรมเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้คนเข้าใจถึงพุทธศาสนา หรือศาสนาต่างๆ อย่างถูกต้องตรงทาง ดังนั้น จึงพยายามอธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือแตกแขนงแยกย่อยออกจากทางที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่ความหลงทางหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านสาธุชนผู้ปฏิบัติธรรมในโลกแห่งความเป็นจริง ที่อาจได้พบครูบาอาจารย์ที่ไม่เพียงกล่าวแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่อาจเผยแพร่อย่างอื่นอันเป็นความรู้เฉพาะตนด้วย นั่นคือไสยศาสตร์

    ผู้เขียนได้ฝึกฝนเรียนรู้เรื่องจิตวิญญาณและไสยศาสตร์ควบคู่กับพุทธศาสนา ในช่วงหนึ่งของการศึกษาได้อาศัยผู้มีความสามารถพิเศษทางจิตจำนวนมาก เช่น ผู้ที่สามารถสื่อกับจิตวิญญาณได้ ซึ่งในศาสนาชินโตของญี่ปุ่น จะเรียกว่า “มิโกะ”, ผู้ที่สามารถใช้ร่างกายเป็นเครื่องแสดงจิตวิญญาณที่ต้องการสื่อได้ ในไทยเรียกว่า “คนทรงเจ้า”, ผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์มากมาย เพื่อรวบรวมความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณและไสยศาสตร์ขึ้น เนื่องจากในประเทศไทยมีเรื่องไสยศาสตร์อยู่มาก และปนอยู่ในพุทธศาสนา จนหลายท่านไม่อาจแยกออกได้ ด้วยเหตุเพราะไม่มีความสามารถพิเศษที่จะมองเห็นสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็นนั่นเอง ดังนั้น ผู้เขียนจึงพยายามฝึกการสังเกตด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์, ตั้งสมมุติฐาน และหาวิธีทดลองและสรุปผลโดยไม่ใช้เครื่องมือพิเศษและหูทิพย์ตาทิพย์ ปัจจุบันพบว่ามนุษย์ปกติสามารถใช้ตาเนื้อธรรมดาเพื่อสังเกตสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนี้ได้ แต่ต้องฝึกตนเองให้เป็นคนช่างสังเกต, ละเอียดว่องไว ต่อความคิด, รู้สึกและพฤติกรรมของคน ในบทความฉบับนี้ จะอธิบายถึงเทคนิควิธีในการสังเกตสิ่งที่ตามองไม่เห็น ดังต่อไปนี้




    เทคนิคการสังเกตคนมีของ (เครื่องราง, ของขลัง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์)

    ในสมัยโบราณ คนเล่นของด้วยกันจะดูกันออกไม่ยากเลย เช่น หากกินข้าวด้วยกันก็อาจสังเกตว่าไม่กินอะไร เช่น ไม่กินฟัก นี่ก็ตั้งข้อสงสัยแล้วว่าอาจเล่นของอยู่, เวลาเดินผ่านราวตากผ้าจะระวังไม่เดินลอดใต้ราวผ้า เวลากินข้าวจะพูดว่า “มากินด้วยกันเร็ว” หรือพูดเหมือนชวนใครไม่รู้ให้มากินอาหารด้วย ฯลฯ แต่ในสมัยปัจจุบัน คนเล่นของหรือมีของนั้นไม่ได้รับการสอนสั่งที่ดีจากครูบาอาจารย์ จึงไม่มีข้อระมัดระวัง เพราะคิดว่าของที่ปลุกขึ้นคงปลุกเล่นๆ บ้าง ไม่มีอะไรจริงจังบ้าง ฯลฯ แท้แล้วของที่มีความวิเศษทุกอย่างจะวิเศษได้ต้องมีพลังจิตวิญญาณอยู่ทั้งสิ้น และเมื่อมีพลังจิตวิญญาณมาอาศัยแล้ว ปัญหาก็จะตามมาเหมือนกันเวลาเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยกัน ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางท่านคิดว่าบูชาเอามาไว้เล่นๆ ไม่คิดอะไร คงไม่มีอะไรหรอก แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร นี่เพราะไม่มีการสอนการอธิบายให้เกิดความเข้าใจกันเลย ในส่วนต่อไปนี้จะขออธิบายวิธีสังเกตง่ายๆ เพื่อตั้งสมมุติฐาน ดังต่อไปนี้




    ๑) ได้รับความนิยมมากขึ้นผิดปกติ

    คนที่จู่ๆ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างผิดปกติ เช่น จากเดิมเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน อยู่ๆ ก็เป็นข่าวดัง และกลายเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เช่น ประธานาธิบดีโอบามา ของสหรัฐอเมริกา อย่างนี้ เป็นสิ่งผิดสังเกต ไม่เหมือนกับประธานาธิบดีท่านอื่นๆ ซึ่งมีที่มาค่อนข้างชัดเจน โอบามา เคยสับสนตัวเอง เพราะต้องอยู่กับพ่อเลี้ยงชาวมุสลิมและสงสัยว่าตนเองเป็นคนประเทศอะไร ใช่อเมริกาหรือไม่ ในวัยหนุ่มก็มีการหลงผิดเสพยาเสพติด (ข้อมูลหาอ่านได้จากแหล่งสื่อทั่วไป) แต่เหตุใดคนอเมริกาจึงนิยมโอบามาจนกลายเป็นกระแสความนิยม นี่คือ ข้อสังเกตง่ายๆ ของขลังที่มีอาจมีได้ตั้งแต่ เมตตามหานิยม, กุมาร (ดลใจให้คนมาชอบ), มังกร, พลังมาร, พลังอสูร, พลังโพธิสัตว์ ฯลฯ



    ๒) เงินทองไหลมาเทมา หรือร่ำรวยผิดปกติ

    คนเรารวยขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่การเล่นของอะไรแต่อย่างใด แต่การร่ำรวยแบบผิดปกติจนอาจตั้งสมมุติฐานได้ว่า “เล่นของ” นั้น สามารถสังเกตและแยกแยะออกจากคนที่ร่ำรวยมากขึ้นแบบปกติได้ เช่น การปฏิบัติตัว และเทคนิควิธีการขายเป็นแบบเดิม แต่ทำไมขายได้ดีขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิชาการ บางท่านยามค้าขายยาก ขายไม่ออก พยายามมากมายก็ไม่ร่ำรวยขึ้นมา แต่พออยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจจะขายอะไรเลยกลับขายได้ดีก็มี เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นแค่ระยะสั้นๆ เพราะของเหล่านี้จะถูกเก็บรักษาไว้นานพอควร ก่อนที่จะเสื่อมหรือสูญเสียไป ของขลัง ที่อยู่ในข่ายช่วยให้ร่ำรวยผิดปกติได้แก่ กุมาร, นางกวัก, ปลัดขิก, เมตตามหานิยม, พลังมาร, พลังอสูร, พลังโพธิสัตว์กวนอิม, พลังโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัย ฯลฯ มีทั้งพลังที่ดีและไม่ดีได้ทั้งสิ้น บางท่าน ปฏิบัติธรรมอย่างไม่สนใจเรื่องไสยศาสตร์ แต่เมื่อปฏิบัติแล้วบารมีเกิด ของขลังที่เคยมีเคยได้มาแต่ครั้งอดีตกลับมาช่วยตนเอง เช่น พลังพระกวนอิม มาช่วยคนไทยเชื้อสายจีนที่อพยพมาจากเมืองจีน และต่อสู้ชีวิตทำงานอย่างขยันขันแข็ง อย่างนี้ ก็ร่ำรวยได้ผิดหูผิดตา เป็นผลจาก “ของขลัง” ที่มองไม่เห็นเช่นกันแต่เป็นพลังดี



    ๓) คนรอบข้างลุ่มหลง หรือกลายเป็นอภิสิทธิชน

    คนที่ได้รับอภิสิทธิ์จากคนรอบข้าง เช่น ไม่ได้รับการว่ากล่าวจากผู้ใดทั้งๆ ที่ทำผิด ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสิ่งดีงามอันใด หากเราสังเกตดีๆ อย่างไม่ถูกของขลังเหล่านั้นครอบงำ ก็จะรู้สึกสัมผัสได้ว่า “ของขลังบางอย่างทำงานอยู่” ทำให้เขานั้นกลายเป็นอภิสิทธิชน ของขลังบางชนิดมีความสามารถในการครอบงำผู้คนให้ลุ่มหลง ผิดทิศผิดทาง ให้คนรอบข้างโง่ลง ไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่วให้ชัดเจน และถูกหลอกได้ง่าย เช่น ในประเทศไทย เวลานัดชุมนุมคนเสื้อแดง จะนิยมทำพิธีพราหมณ์ และบูชาอสูรตนหนึ่ง แทนที่จะบูชาเทพเจ้าของฮินดูสามองค์เหมือนเก่าก่อน ก็ยกย่องเอาอสูรตนใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้น ผู้คนที่สวมเสื้อแดงก็จะฟังความข้างเดียว ไม่สนใจข้อมูลฝ่ายตรงข้าม เป็นคนที่สนทะพายอะไรก็ได้ เชื่อหมด ไม่ว่าจะเลวร้ายอย่างไร ก็รักเสื้อแดงอย่างไม่มีเหตุผล นี่คือ อาการแสดงออกให้เห็นว่า “ถูกของครอบงำให้โง่เง่าลุ่มหลง” ของบางอย่างจะทำขึ้นจากขี้ไคลพระสงฆ์ โดยพระสงฆ์รูปนั้นจะไม่อาบน้ำทั้งปีเพื่อเก็บขี้ไคลไว้ เมื่อถึงวันทำพิธีปีละครั้งจึงอาบน้ำเอาขี้ไคลออกมาทำของขลัง เมื่อทำแล้วผู้คนจะลุ่มหลงโง่เง่าถูกหลอกได้ง่าย ศรัทธาอย่างไร้ปัญญา อย่างนี้ก็ปรากฏมีแล้วในปัจจุบัน




    ๔) ดูมีอาการเลื่อนลอย เหม่อลอย เหมือนไร้จิตใจ

    บางขณะคนที่มีของหรือโดนของจะดูเหมือนคนเหม่อลอย เลื่อนลอย ไร้จิตใจไปในบางขณะ ที่เป็นผลจาก “จิตวิญญาณ” ที่มองไม่เห็นออกไปทำกิจข้างนอกร่างกาย เช่น เวลาคนถูกปอบเข้าตัว เมื่อปอบออกจากร่างไปหากิน จะทำให้เจ้าของร่างมีภาวะเหม่อลอยเลื่อนลอยได้ เหมือนถูกสะกดจิตเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้าของร่างแก้ไขอะไรได้ในขณะที่จิตวิญญาณปอบออกจากร่างไป อาการแบบนี้ สุภาษิตไทยโบราณเรียกว่า “ผีเข้าผีออก” คือ พฤติกรรมคนที่แตกต่างไปในระยะเวลาสั้นๆ เช่น เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย, เดี๋ยวเซื่องซึมเดี๋ยวมีพลัง, เดี๋ยวกระปรี้กระเปร่า เดี๋ยวเหม่อลอย ฯลฯ อาการแบบนี้ เป็นอาการที่ผิดสังเกต เห็นได้ไม่ยาก เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว ควรสันนิฐานว่าเป็นอาการทางจิตตามหลักการแพทย์เป็นเบื้องต้น แล้วใช้หลักการแพทย์หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการพิจารณาเหตุผลที่มาของอาการ หากวิธีทางการแพทย์ใช้ไม่ได้ผล ก็ไม่ควรดื้อรั้นใช้แต่วิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว ให้พิจารณาในแง่ “จิตวิญญาณ” ประกอบร่วมด้วย คืออาจเป็นเพราะโดนของเข้าตัว หรือของขลังที่อยู่ในตัวแสดงอาการบางอย่างออกมาก็ได้ อาการเลื่อนลอย, เหม่อลอย เหล่านี้ เกิดขึ้นได้บ่อยๆ สำหรับท่านที่มีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ในกายมากกว่าหนึ่งดวง สังเกตเห็นได้ แต่หากเจ้าตัวรู้ทันและระวัง ก็สามารถดึงสติกลับมาได้เหมือนคนปกติ บางคนเหม่อลอยอยู่ดีๆ คนรอบข้างสังเกตเห็นเข้า ก็กลับเป็นปกติตามเดิม นี่แสดงว่าไม่ใช่เป็นโรคจิต แต่เพราะ “เล่นของ” นั่นเอง




    ๕) ใบหน้าอ่อนเยาว์เกินกว่าวัยปกติ หรือเสียงแก่กว่าปกติ

    สำหรับคนที่มีพฤติกรรมผิดจากวัยตามปกติ แต่ไม่ได้เสียสตินั้น สันนิฐานได้ว่ามีของขลังบางชนิดอยู่ หรือเล่นของบางชนิดอยู่ ท่านที่เล่นของที่มีอายุต่ำกว่าตัว เช่น กุมาร ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ลงได้ ท่านที่เล่นของที่มีอายุมากเกินตัว เช่น พ่อแก่ ทำให้เสียงแก่ลงได้ คนเหล่านี้ เมื่อของออกจากตัวเมื่อไร หน้าตาก็จะเปลี่ยนไป บางท่าน เดี๋ยวแก่เดี๋ยวหนุ่มดูอายุไม่ออกเลยจริงๆ ก็มี เพราะมีของหลายชนิดทั้งของที่อายุน้อยและอายุมาก ในร่างกายเดียวกัน บางทีก็มีหนวดยาวออกมาเหมือนคนแก่ชรา บางทีพอโกนหนวดก็ดูใบหน้าเหมือนหนุ่มน้อย อย่างนี้ก็มี ในกลุ่มคนทรงเจ้า ที่ทรงเจ้าเสมอๆ มักมีใบหน้าที่อ่อนกว่าเยาว์ได้โดยไม่ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆ ในกลุ่มคนที่มีจิตวิญญาณมารและอสูรครอบงำอยู่ ก็อาจใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น คนที่มีกายเป็นชาย แต่มีจิตนางมารเข้ามาแฝงตัว ก็อาจตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศได้ ในชายที่มีจิตวิญญาณอสูรมาอยู่ในร่างกายด้วย บางคนอาจยอมผ่าตัดอวัยวะเพศให้ใหญ่ขึ้น, เสริมจมูกให้โด่งก็มี อะไรที่ผิดจากธรรมชาติตามปกติที่ควรจะเป็นและไม่ใช่เรื่องทางวิทยาศาสตร์ ก็สันนิฐานได้ว่าอาจมาจากเรื่องของ “จิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นผลมาจากของขลัง หรือเล่นของนั่นเอง




    เทคนิคในการสังเกตอาการ “ของขึ้น”

    คนเล่นของ, มีของ หรือโดนของ เวลาของขึ้นจะมีพฤติกรรมแตกต่างไปจากเดิม เช่น มีพฤติกรรมบางอย่างมากขึ้น หรือลดลงอย่างผิดสังเกต ของชนิดต่างๆ จะขึ้นแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของของนั้นๆ ที่ของขึ้นเพราะของทุกชนิดมีพลังมาก และถูกจำกัดให้อยู่ในกายสังขารของมนุษย์ผู้ครอบครอง และอาจไม่ได้ทำบางสิ่งที่เหมาะสอดคล้องกับของนั้นๆ เช่น เจ้าของกุมาร ไม่ยอมทำตัวแบบกุมาร พลังกุมารถูกสกัดกลั้น ไม่ได้รับการระบายออก วันหนึ่ง กุมารก็จะเกิดอาการของขึ้นคือ จู่ๆ อาจจะเอาร่างกายเจ้าของไปวิ่งซุกซน อยู่ๆ วิ่งขึ้นต้นมะพร้าว ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือ “อาการของขึ้น” ที่เห็นได้ชัด แต่ของแต่ละชนิดก็ขึ้นไม่เหมือนกัน ของที่เป็นกลุ่มพลังมารและอสูร เวลาขึ้น จะขึ้นด้วยอารมณ์โมโหเกรี้ยวกราด เช่น พลังองค์กาลี เวลาของขึ้น ก็จะดุร้ายและไม่เกรงกลัวใคร พลังองค์ศิวะ เวลาของขึ้นอาจหนีออกจากสังคมไปปฏิบัติโยคะในป่าโดยไม่มีใครห้ามได้ คนที่ของขึ้นแตกต่างจากคนที่โมโหปกติ คือ เวลาของขึ้นแล้วมักไม่มีใครเอาอยู่ เพราะพลังของขลังครอบงำหรือทำให้จิตวิญญาณอื่นต้องเกรงใจ ซึ่งคนที่โมโหปกติจะไม่เป็น




    เทคนิคในการสังเกตอาการ “ปล่อยของ”

    เพราะเหตุ “ของขึ้น” ด้วยถูกกักกันไม่ได้ทำกิจที่ตนต้องการ อันเหมาะสมกับพลังของตน ทำให้ผู้เป็นเจ้าของของขลังนั้นๆ ต้องทำการ “ปล่อยของ” เป็นวาระๆ ไปตามโอกาส ทั้งที่จะทราบหรือไม่ทราบก็ดี แต่การ “ปล่อยของ” จะเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เหมือนเราเลี้ยงสัตว์ดุร้าย หากกักขังไว้ตลอดเวลาก็จะเกิดการตึงเครียดมากไป จะต้องปล่อยออกไปให้อิสรเสรีบ้าง เรียกว่า “ปล่อยของ” เช่น ในคนที่เลี้ยงพรายกระซิบ ก็ต้องมีวาระที่จะปล่อยพรายออกไปหากินเองอย่างเสรีบ้าง เมื่อปล่อยออกไปแล้ว ชาวบ้านรอบข้างก็จะได้รับความเดือดร้อนจากผีพรายนั้น เช่น เป็ดไก่, วัวควาย เป็นโรคตายพร้อมกันมากๆ ผิดปกติ สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามวัฏสงสาร ไม่อาจห้ามได้ เฉกเช่น กบกินแมลง, งูกินกบ และเหยี่ยวกินงู เป็นต้น สรรพสัตว์หลงอยู่ในวัฏสงสารแห่งการกินกันเป็นทอดๆ อย่างนี้ แม้แต่ของขลังที่ผู้คนเลี้ยงไว้ก็ต้องกิน เช่น ผีพรายก็ต้องกินอาหารแบบผีพราย, ปอบก็ต้องกินอาหารของปอบ, กุมารก็ต้องกินอาหารของกุมาร, มังกรก็ต้องกินอาหารแบบมังกร ฯลฯ ผู้เลี้ยงที่เข้าใจย่อมจะรู้ดีว่าของของตนไปกินอะไรของใครเขามาบ้าง ก็จะรับผิดชอบให้ความเมตตาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเหล่านั้น การปล่อยของมีหลายวิธี บางท่านปล่อยโดยไม่รู้ตัวในเวลากลางคืน บ้างจะกักไว้ก่อน แล้วหาที่ปล่อยของ ในเว็บไซต์บางเว็บก็มีคนเล่นของมาปล่อยของกันมากมายเวลาถกเถียงกัน สำหรับคนที่ไม่ระวังเมื่อปล่อยของ ของออกไปแล้วไม่กลับคืน ของที่เคยมีก็เสื่อมไปก็มี เช่น คนที่ไปปรามาสผู้มีธรรมมากกว่า พวกเขาจะเสียของขลังให้แก่ผู้มีธรรมมากกว่าไป




    เทคนิคในการสังเกตอาการ “ของเข้าตัว”

    อาการของเข้าตัวนี้ ปกติ ของขลังจะอยู่ในตัว คือ ในกายสังขารของเจ้าของผู้เลี้ยง ผู้ครอบครองอยู่แล้ว แต่เราจะยังไม่ถือว่าเข้าข่ายที่เรียกว่า “ของเข้าตัว” จะเรียกว่าถูกของของตัวเองเข้าตัวก็ต่อเมื่อ ของที่อยู่ในตัวของตนเองนั้น ครอบงำจนจิตของเจ้าของไม่อาจควบคุมได้ดังเดิมอีกต่อไป อย่างนี้ จึงเรียกว่า “ของเข้าตัว” แล้ว เช่น ในคนที่เลี้ยงผีพรายกระซิบ ถูกพรายกระซิบเข้าตัว จนไม่อาจควบคุมตัวเอง ต้องทำตามที่พรายกระซิบต้องการจะมีอาการผิดแปลกไปจากปกติที่เคยเป็น บางครั้งบางคราวผู้มีของขลังเหล่านี้ต้องหาทางสายกลางที่จะไปร่วมกันได้กับของของตนเอง เช่น พระสงฆ์สายมหายานจะไม่เคร่งครัดศีลมาก เพราะบางครั้ง จะมีจิตวิญญาณชั้นต่ำเช่น อสูร ซึ่งไม่อาจถือครองศีลได้ มาอาศัยร่วมและช่วยงานอยู่ นับเป็น “ของขลัง” ชนิดหนึ่ง ดังนั้น ท่านก็จะต้องผ่อนปรนศีลลงเพื่อให้ลดความตึงเครียดของอสูร ให้สามารถทำงานร่วมกันในกายสังขารเดียวกันได้ อย่างนี้ ของอยู่ในตัว แต่ยังไม่จัดว่าถูกของเข้าตัว ของเข้าตัวคือ ภาวะที่จิตวิญญาณของเจ้าของไม่อาจควบคุมของได้อีกต่อไป ของขลังนั้นย้อนกลับไปควบคุมบงการเจ้าของเสียเอง ข้อบงชี้ที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งที่แสดงว่า “ของเข้าตัว” คือ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงตกต่ำลงจากเมื่อก่อนอย่างผิดปกติ เช่น จากเคยรวยกลายเป็นยากจนไปทันที โดยไม่มีสาเหตุ หรือมีสาเหตุแต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันขนาดนั้น หรือจากเคยมีชื่อเสียงได้รับความนิยม กลายเป็นมีแต่คนเกลียดชัง เป็นต้น เมื่อของเข้าตัวแล้วเจ้าของจะต้องรับวิบากกรรมต่างๆ มากมาย บางราย จิตใจตกต่ำลงจนไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก และต้องถูกจิตวิญญาณชั้นต่ำครอบงำ และครอบครองร่างกายในที่สุด




    สถานการณ์การเล่นของของคนไทยสมัยปัจจุบัน (สำรวจเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๒)

    การสังเกตว่าบุคคลใดมีของขลังชนิดใดอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากนัก หากเป็นคนช่างสังเกตคน และละเอียดลออแบบคนไทยโบราณแล้ว ย่อมสามารถจับสังเกตคนเล่นของ หรือคนที่มีของได้ไม่ยากเลย คนไทยโบราณเป็นแบบนี้ และรู้ดีว่าใครมีของจริงและไม่จริง คนไทยโบราณจึงต้องฝึกการเก็บของ หรือการไม่โอ้อวดไม่แสดงตัว ไม่แสดงให้ใครรู้ว่าตนมีของดี มีอะไรดีมากเกินไป เพราะการแสดงออกซึ่งสิ่งดีงาม เท่ากับเป็นการปล่อยของและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นสามารถเอาของขลังในตนไปได้ การถ่ายภาพ, การออกทีวี คนไทยโบราณก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำกัน เพราะผู้คนมากมายที่เห็นของดีในตัวบุคคล สามารถเรียกของไปจากเจ้าของเดิมได้ เช่น หากผู้ทรงฤทธิ์มากกว่าเรา รู้ว่าเรามีกุมารอยู่แล้ว เขาสามารถใช้ฤทธิ์เรียกเอากุมารไปจากเราได้ เราก็เสียของไปเช่นนั้นเอง ของขลังชนิดต่างกันก็แสดงให้เห็นถึงอานุภาพต่างกันไป เช่น ของที่อยู่ในดาราและนักการเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกเมตตามหานิยม และประเภทเสริมการพูดให้คนหลงเชื่อ เช่น จิ้งหรีดเสียงทอง, สาลิกาลิ้นทอง ฯลฯ แต่ละอย่างมีลักษณะต่างกันสังเกตได้ แต่จะไม่อธิบายรายละเอียดในสื่อสาธารณะเช่นนี้ เพราะเป็นอันตรายมากเกินไป อนึ่ง ก่อนที่หลวงพ่อฤษีลิงดำจะมรณภาพลง ท่านได้ให้คำทำนายไว้หลายประการ หนึ่งในคำทำนายนั้นคือ “อภิญญาจะขึ้นเป็นสาธารณะ” คือ อภิญญากลายเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ปัจจุบันประเทศไทยมีการระดมเงินทำบุญด้วยการปลุกเสกเครื่องรางของขลังมากมาย บางท่านคิดว่าเป็นแค่ความเชื่อความศรัทธาส่วนบุคคล และบางท่านก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก แต่ในความไม่มีนั้น โปรดสังเกตเห็นว่าการปลุกเสกมักได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยอย่างผิดปกติ นี่ไม่ใช่ “เมตตามหานิยมดอกหรือ” หลายท่านได้ของขลังไปแล้ว เพราะความไม่รู้ จึงไม่รู้จักรักษาของขลังเหล่านั้น และทำให้ของเสื่อม หรือเสียของไปโดยไม่รู้ตัวมากมาย หลายท่านจึงคิดกันเอาว่าของขลังไม่ได้มีผลอะไรจริง เพราะของเสื่อมไปแล้วนั่นเองอย่างนี้ก็มี อนึ่ง การที่พระสงฆ์แก่ๆ รูปหนึ่งจะได้รับความนิยมล้นหลามนั้น หากจะเป็นด้วยบารมีนั้นลองเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าที่มีบารมีสูงสุดก็ได้ พระสงฆ์บางรูปในปัจจุบันนับว่าได้รับความนิยมรวดเร็วผิดปกติมากกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก นี่คงไม่ใช่เพราะบังเอิญโดยไม่มีสาเหตุเป็นแน่ ปัจจุบันอัตราการเล่นของยิ่งเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปัญญาความเข้าใจถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงกลับลดลง การเล่นของโดยขาดความเข้าใจอาจนำภัยมหันต์มาสู่ตัว ขอฝากไว้ให้ท่านทั้งหลายพิจารณากัน
     
  3. ชาไม่รู้

    ชาไม่รู้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    485
    ค่าพลัง:
    +878
    ศาสนธรรม “ของเก่า”




    “ของเก่า” เป็นคำไทยโบราณ ในอดีตแปลว่าของที่อาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่มีคุณประโยชน์ มีความสามารถพิเศษอันมีมาแต่อดีต เช่น ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง พระสังข์ก็มี “หอยสังข์” ติดตัวมาแต่กำเนิด นี่เรียกว่าเป็น “ของเก่า” คำไทยแท้แต่โบราณที่มีมานี้ มีที่มาจากความเชื่อที่หลงผิดเลื่อนลอยของบรรพบุรุษไทยเราแต่เก่าก่อนนานมาหรืออย่างไร ทางศาสนธรรม ไม่เชื่อเช่นนั้น เมื่อได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องคติความเชื่อของคนไทยโบราณว่าเป็นความจริงหรือไม่ ก็ค้นพบความจริงบางอย่างที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาหรือเอาหลักฐานที่มีตัวตนมาพิสูจน์ แต่เราสามารถใช้วิธีทางการวิจัยทางสังคมศาสตร์เพื่อศึกษาได้ว่าสิ่งที่บรรพบุรุษไทยเราเรียกขาน หรือรู้จักและเชื่อกันมานมนานนั้นไม่ใช่การโกหก หรือหลงผิด หรือหลอกลวงแต่ประการใด แต่ล้วนเป็นมรดกทางจิตวิญญาณอันล้ำค่า ล้ำลึก และเก่าแก่มากที่สุดไม่น้อยกว่ามรดกทางวัฒนธรรมของประเทศจีนเลยทีเดียว สำหรับบทความฉบับนี้ ขออธิบายเรื่อง “ของเก่า” เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เข้าใจถึงความเป็นมาอันล้ำลึกของปราชญ์ชาวไทยโบราณ ดังต่อไปนี้




    “ของเก่า” ที่คนไทยโบราณกล่าวถึงได้แก่อะไรบ้าง

    คนเราน้อยคนนักที่จะมองเห็น “ของเก่า” ที่ติดมาในแต่ละคน คนบางคนพิจารณาเพียงภายนอกดูไม่มีอะไรดีเลย แต่เขาอาจมีของเก่าของดีติดตัวมาก็เป็นได้ เพียงแต่ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูของเก่าให้ฟื้นคืนความสามารถเดิม หรือถูกปิดผนึกอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้ได้ก็มี “ของเก่า” ที่บุคคลมีติดตัวมาในอดีตชาติส่งมาถึงปัจจุบันชาตินั้น แยกได้ดังต่อไปนี้




    ๑) บุญบารมีเก่า

    บุญบารมีเก่า ถือเป็นของเก่าที่ติดตัวเรามาแต่อดีตกาล หลายท่าน ต้องเกิดในตระกูลที่ยากจนและไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่าตนเองมีบุญบารมีเก่าติดตัวมามากก็มีอยู่ เช่น คนยากจนบางคนที่ต้องบวชพระเพื่อให้มีอาหารกิน แต่ภายหลังกลับได้มรรคผลทางธรรมเป็นพระสงฆ์ดังก็มีให้เห็นอยู่ นี่เรียกว่ามีของเก่าติดตัวมา คือ บุญบารมี

    ๒) อริยทรัพย์

    ทรัพย์บางอย่างไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา เช่น สติ, สมาธิ, ปัญญา สิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่อาจมองเห็นตัวตนได้ แต่มีคุณค่ามากมายมหาศาล เรียกว่าเป็น “อริยทรัพย์” หรือทรัพย์ทางธรรม บางท่านเกิดมาเป็นชาวนาทำนาไถ่นาอยู่แทบทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งก็ครอบครัวแตกแยกแล้วมาบวชเป็นฤษี และได้ค้นพบความสามารถทางจิต ทางสมาธิของตนเองก็มี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น “ของเก่า” ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ในอดีตชาติทั้งสิ้น

    ๓) ของขลังเก่า

    ของเก่าที่เป็นเครื่องรางของขลัง อาจจะไม่เหลือวัตถุธาตุให้เห็น หรืออาจมีเหลือวัตถุธาตุให้เห็นก็ได้ เช่น จักรทิพย์ขององค์นาราย จะไม่มีวัตถุธาตุให้เห็น แต่จะมีอิทธิฤทธิ์ทำงานให้เกิดผลได้ เรียกว่านึกคิดหรือสั่งให้ประหารใครแล้วคนนั้นก็ไม่รอด ยกเว้นว่าคนผู้นั้นมีของขลังที่มีอานุภาพพอกันหรือเหนือกว่าป้องกันตัว คนบางคนไม่รู้ตัวว่ามีของเก่าติดตัวมาเผลอใช้ออกไปโดยไม่รู้ก็มีเช่น พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เดิมเป็นเด็กยากจน เล่นกับเพื่อนสั่งประหารชีวิตเพื่อนแล้วศีรษะเพื่อนขาดออกมาจริงๆ นี่ก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งท่านอาจมองว่าเป็นแค่นิทานโกหก แต่เราพบนิทานโกหกแบบนี้บ่อยๆ กับกษัตริย์ไทยโบราณเช่น พระร่วงที่สั่งให้ขอมรออยู่ขณะโผล่ขึ้นจากดินเพียงครึ่งตัว และต้องกลายเป็นหินอยู่อย่างนั้น อนึ่ง ของขลังที่เป็นของเก่านี้จะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนอื่น

    ๔) บริวารเก่า

    ของเก่าที่เรียกว่าเป็น “บริวารเก่า” อาจเป็นมนุษย์หรือสัตว์ที่มีกายสังขาร ในอดีตชาติเคยทำบุญเป็นบริวารกันมา เช่น ดารานักร้องหลายคนที่จู่ๆ ก็โด่งดังได้นั้น ก็เป็นบริวารเก่ากันมา นอกจากนี้ยังมีบริวารเก่าที่ไม่มีกายสังขารให้เห็นอีกด้วย เช่น ภูตผีเทวดาต่างๆ ซึ่งเป็นบริวารเก่าตามมาช่วยเหลือดูแล ที่เรียกว่า “เทวดาประจำตัว” ก็มี




    “ของเก่า” ต่างจาก “ของใหม่” อย่างไร

    ของเก่าอันเกิดจากการบำเพ็ญบารมีของเรามาแต่ครั้งเก่าก่อนนั้น ต่างจากของใหม่ตรงที่เรามักได้มาโดยไม่ทันรู้ตัว ไม่ทราบว่าเป็นของดีหรือของขลัง ทั้งๆ ที่ดีและขลังมากกว่าของใหม่ เนื่องจากของเก่าเป็นของขลังที่เราเคยใช้มาจนชำนาญและถนัดมือแล้วก็ว่าได้ ดังนั้น จึงเป็นของที่ดีกว่าของใหม่ และหลายท่านอาจมี หรือฟื้นคืนของเก่าได้รวดเร็วกว่าการแสวงหาของใหม่เสียอีก ในส่วนต่อไปจะแสดงให้เห็นของเก่าแต่ละประเภทดังนี้




    ประเภทของของเก่าประเภทของขลังที่พบได้บ่อยๆ

    ของเก่าที่เป็นของขลังทั้งที่มีจิตวิญญาณและไม่มี ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ จำแนกได้ดังนี้




    มังกรดำ

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายอวโลกิเตศวร มีฤทธิ์มากกว่าพวกผีพราย, ผีตายโหง, กุมารทอง, ฯลฯ เสียอีก ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย มังกรดำมีอดีตเป็นฮ่องเต้ที่จิตใจดุร้าย และจะกินกายทิพย์ที่มีสีดำเป็นอาหาร ยิ่งกินยิ่งเก่ง แต่ยิ่งร้ายจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็จะถูกปราบก่อนที่จะนำหายนะมาสู่เจ้าของได้ เช่น ทำให้ถูกปฏิวัติ เป็นต้น




    มังกรทอง

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับพระยูไล มีบารมีมากกว่ามังกรดำ แต่อาจมีฤทธิ์น้อยกว่ามังกรดำ เนื่องจากมีคุณธรรมมากกว่าจึงเติบโตช้า ฆ่าสัตว์น้อยกว่า ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย มังกรดำมีอดีตเป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรมแต่มีกรรมจากการทำสงครามหรือฆ่าคนมากไป และจะกินกายทิพย์เทพพรหมเป็นอาหาร ยิ่งกินยิ่งเก่ง แต่จะมีกรรมมากเข้าตัวในท้ายที่สุด แต่ปกติ มังกรทองจะดีกว่ามังกรดำ ทำให้เจ้าของกลายเป็น “วีรบุรุษ” ได้




    มังกรหลับ (ฮกหลง)

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายศรีอาริยเมตตรัย มีบารมีมากกว่ามังกรดำ แต่อาจมีฤทธิ์น้อยกว่า มังกรหลับ คือ มังกรในตำนานตามประวัติศาสตร์จีนสมัยสามก๊ก ซึ่งหมายถึง “ขงเบ้ง” แท้จริงแล้ว มังกรหลับเป็นมังกรทิพย์ที่อยู่ในกายสังขารของขงเบ้ง ทำให้ขงเบ้งมีความสามารถพิเศษ และมีบุคลิกพิเศษ คือ จะเก็บตัวเป็นปราชญ์เงียบอยู่ไม่มีใครรู้ในช่วงแรก แต่เมื่อได้แสดงตนแล้วก็จะผงาดเหนือใคร มังกรหลับที่เรียกว่าฮกหลงนี้ ก็คือ “เต่ามังกรสีทอง” ที่เมื่อบำเพ็ญบารมีแล้ว กระดองจะกลายเป็นปีก ทำให้มีรูปร่างคล้ายมังกรของฝรั่ง ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น พาบริวารเก่ามาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย มังกรฮกหลงมีอดีตเป็นฮ่องเต้ที่เจ้าเล่ห์เก่งกาจเรื่องการวางแผนเป็นสำคัญ และจะกินกายทิพย์เทพพรหมเป็นอาหาร ในสมัยสามก๊กท่านที่บำเพ็ญบารมีจนได้มังกรฮกหลงในกายสังขารคือ ขงเบ้ง และ สุมาอี้




    สิงห์ทิพย์

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายมัญชุศรี มีฤทธิ์มากกว่าพวกผีพราย, ผีตายโหง, กุมารทอง, ฯลฯ เสียอีก ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย สิงห์มีอดีตเป็นนักการเมืองที่มีคุณธรรม ทำให้เจ้าของต้องรับกรรมมักมีเรื่องถกเถียงหรือสงครามน้ำลายกบคนจำนวนมาก มักไม่ค่อยพูดจารายรื่นกับใครได้มาก เพราะสิงห์มีกรรมเก่าเป็นนักการเมือง มีการโต้เถียงทำสงครามน้ำลายมากกว่ามังกร (พวกมังกรไม่ต้องเถียงมาก สั่งทีเดียวได้)




    ม้าทิพย์

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายกษิติครรภ์ มีฤทธิ์มากกว่าพวกผีพราย, ผีตายโหง, กุมารทอง, ฯลฯ เสียอีก ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย ม้าทิพย์มีอดีตเป็นมังกรที่มีจิตใจดุร้ายมาก่อนแต่ได้ชำระกรรม ชำระความดุร้ายหมดแล้ว จึงถือกำเนิดใหม่เป็นม้า และจะกินเลิกกินเนื้อสัตว์ ม้าทิพย์จิตใจดีงาม วิ่งเร็ว ช่วยคนได้เร็ว และชอบเดินทาง แต่ไม่เหมาะสมที่จะใช้ในการต่อสู้ในโลกทิพย์นัก เพราะมีอิทธิฤทธิ์ไม่มากนัก




    กิเลน

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายมัญชุศรี มีฤทธิ์มากกว่าพวกผีพราย, ผีตายโหง, กุมารทอง, ฯลฯ เสียอีก ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย กิเลนมีอดีตชาติเป็นอันธพาลที่เกลือกกลั้วอยู่กับอบายมุข แต่ไม่ได้เลวโดยสันดาน จึงทำให้เจ้าของที่ได้ครอบครองกิเลนมีนิสัยเหมือนกิเลนบางส่วน คือ ชอบดื่มสุรา, เล่นการพนัน, เที่ยวผู้หญิง เป็นต้น




    กุมาร

    เป็นบริวารของผู้มีบารมีระดับโพธิสัตว์กายอวโลกิเตศวร มีฤทธิ์แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของกุมารว่ามาจากเทวดาชั้นใด ทำหน้าที่ปกป้องเจ้าของ, ช่วยเรื่องการเดินทาง, และสามารถรับคำสั่งเพื่อไปทำงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น ไปพาบริวารเก่ามาหาเพื่ออำนวยผลประโยชน์ด้านลาภสักการะให้แก่เจ้าของได้มากมาย กุมารมีนิสัยเหมือนเด็ก คือ ชอบซุกซน ชอบเล่น ชอบกิน ชอบสนุกสนาน ชอบการเรียนรู้ต่างๆ หากสามารถสอนให้กุมารเป็นเทวดาที่ดีได้ เจ้าของก็เจริญ แต่ถ้าเลี้ยงดูไม่ดี กลายเป็นกุมารร้าย ก็นำภัยมาสู่ตัวผู้เลี้ยงดูกุมารได้เช่นกัน ปกติ กุมารมีฤทธิ์น้อยกว่าพวกมังกรเพราะยังมีอายุเยาว์




    จิ้งหรีดทิพย์

    จิ้งหรีดทิพย์อยู่ในกายสังขารของคนที่ใช้เสียงเป็นเครื่องมือ ช่วยให้คนฟังนิยมชมชอบและเชื่อฟังได้ง่ายๆ หากฟังแล้วไม่ยอมหรือไม่เชื่อ ต่อต้านเข้า จิ้งหรีดเหล่านี้จะเข้ามารุมกัดกายทิพย์ ทำให้ผู้ถูกกัดต้องยอมจำนนแก่เจ้าของที่มีจิ้งหรีดทิพย์ในที่สุด




    ลิงลมทิพย์

    ลิงลมเป็นสัตว์ในโลกทิพย์ ไม่มีกายสังขารจริงในปัจจุบัน มีแต่จิตวิญญาณ ผู้มีลิงลมเป็นบริวาร สามารถเรียกใช้ลิงลมไปขโมยของมาจากมือผู้อื่นได้ เพราะลิงลมมีความเร็วราวลมพัด ลิงลมทิพย์ไม่มีความสามารถทางการต่อสู้เท่ากับพวกมังกรนัก มังกรเป็นที่เกรงขามของสัตว์ทิพย์เหล่าอื่นมาก ถึงขนาดคนไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ตัว ไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ง่ายๆ แต่สัตว์พวกลิงลม, จิ้งหรีดทิพย์ เป็นสัตว์ทิพย์ชั้นล่างๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์มากนัก




    จักรทิพย์

    เป็นของทิพย์ประจำองค์นาราย, โพธิสัตว์ และมหาเทพอีกหลายองค์ จักรทิพย์มีได้ในคนที่มีความเป็นผู้นำ สามารถขับเคลื่อนสังคมหรือทำให้ผู้อื่นเจริญรอยตามตนได้ ผลจากบารมีนี้ ทำให้เกิด “จักรทิพย์” ขึ้น จักรทิพย์มีอานุภาพสูงล้ำในด้าน “ความเร็ว” คือ เร็วดั่งใจคิด แค่คิดจักรก็ออกไปแล้ว จึงต้องใช้ด้วยความระวัง ต้องอย่าเผลอแช่งใคร




    คทาทิพย์

    เป็นของประจำองค์กษิติครรภ์ และเทพบางองค์ แต่คทาอาจมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป สำหรับคทาขององค์กษิติครรภ์ จะมีห่วง เท่าที่ได้ศึกษา คทาสามารถดูดพลังเก็บไว้ได้




    อาสน์บัวทิพย์

    อาสน์บัวทิพย์เป็นอาสนะประจำองค์มหาเทพ, มหาพรหม, โพธิสัตว์ ที่ได้โปรดสัตว์ เช่น สอนคนให้มีปัญญามากขึ้น ตามธรรมที่ตนมีในตัวเอง อาสน์บัวทิพย์จะมีสามชั้นนับเป็นอาสน์บัวสูงสุด แต่หากบำเพ็ญบารมีได้ไม่มาก อาสน์บัวจะเริ่มต้นจากหนึ่งชั้นก่อน นับขึ้นไปจนครบสามชั้นเป็นสูงสุด เมื่อได้อาสน์บัวทิพย์มาครองแล้ว หากต้องการโปรดสัตว์ ก็จะเดินทางได้อย่างราบรื่นโดยสวัสดิ์ภาพ เช่น มีรถยนต์, เครื่องบิน มารับ เป็นต้น




    คัมภีร์ทิพย์

    คัมภีร์ทิพย์เป็นของประจำองค์มัญชุศรี ที่เกิดจากการบำเพ็ญบารมีด้วยการเรียบเรียงหนังสือธรรมะ แต่งหนังสือธรรมะ ทำให้เป็นความรู้ทางธรรมเฉพาะตัว คัมภีร์ทิพย์ของแต่ละท่านมีความแตกต่างกันไปตามวิธีการบำเพ็ญบารมี คัมภีร์ทิพย์ของบางท่านอาจโปรดมารได้ บางท่านอาจเป็นสูตรลับ สูตรลัดในการปฏิบัติทางจิตก็มี แตกต่างกันออกไป คนที่มีคัมภีร์ทิพย์จะมีความสามารถพิเศษในการเรียนเรียงเขียนหนังสือ มีความคิดเป็นระบบ



    แก้วมณี

    แก้วมณีเป็นของทิพย์ประจำองค์พระกษิติครรภ์ และเหล่านาคทั้งหลาย แก้วมณี เป็นของที่บำเพ็ญได้ไม่ยาก แต่แตกต่างกันที่คุณสมบัติ เพราะแก้วมณีแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป เช่น แก้วมณีขององค์ไภษัชยคุรุพุทธเจ้า มีอานุภาพด้านการรักษาโรค, แก้วมณี ขององค์กษิติครรภ์มีอานุภาพในการปกป้องคุ้มครององค์กษิติครรภ์จากไฟนรก แก้วมณีสามารถบำเพ็ญได้ไม่ยาก ด้วยการเพ่งดวงแก้วแล้วบริกรรมแบบต่างๆ อนึ่ง แก้วมณีนี้ เป็นของเก่าอันเป็นของทิพย์ประจำองค์ผู้มีบารมีระดับพระมหาจักรพรรดิด้วย




    น้ำเต้าทิพย์

    น้ำเต้าทิพย์เป็นของประจำองค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระนาราย ใช้ในการดูดเก็บของดำ คุณไสยดำที่อสูรมักใช้ น้ำเต้าทิพย์สามารถขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยการกำหนดด้วยจิต เมื่อดูดของดำหรือมารและอสูรไปไว้ในน้ำเต้าแล้ว จะมีเทวดาตัวน้อยๆ เข้ามารับเอาน้ำเต้าไปเปลี่ยน เพื่อเอาน้ำเต้าตัวใหม่ที่พร้อมบรรจุได้มาเปลี่ยนหมุนเวียนต่อไป




    น้ำทิพย์

    น้ำทิพย์จากมวยผมขององค์ศิวะ มีอานุภาพสูงมากหลายกรณี เช่น ช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ฯลฯ สำหรับท่านที่บำเพ็ญบารมีแบบพระศิวะ จนได้บารมีกายศิวะแล้ว จะมีน้ำทิพย์ไหลออกจากมวยผมทิพย์ สามารถใช้รักษาร่างกายที่บาดเจ็บให้ฟื้นคืนได้




    แจกันทิพย์

    แจกันทิพย์ใส่น้ำมนต์ เป็นของประจำองค์ของพระกวนอิม หรือผู้บำเพ็ญโพธิสัตว์ในกาย อวโลกิเตศวร มีอานุภาพสูงมากในการชำระล้างคุณไสยดำ บำเพ็ญได้ด้วยการตักน้ำใส่โอ่งให้มวลสรรพสัตว์เป็นทาน ท่านที่มีน้ำมนต์นี้มีมากมาย แต่น้ำมนต์ของพระกวนอิมนับว่ามีอานุภาพสูงสุด สามารถใช้ในการช่วยชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้อีกด้วย




    ตรีศูล

    ตรีศูล เป็นของประจำองค์พระศิวะและพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ๆ แต่ท่านมักไม่นิยมใช้มากนัก เพราะมีอานุภาพสูงมากเกินไป คือ สร้างจักรวาลได้ ทำลายจักรวาลก็ได้



    เหล่านี้ เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ในกายโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีถึงพันมือแล้ว จะมีของทิพย์นับพันชนิดให้เลือกใช้ทีเดียว ของทิพย์ซึ่งเป็นของเก่าเหล่านี้มีอานุภาพมากกว่าของที่ปลุกเสกขึ้นมาใหม่เสียอีก เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ และรู้จักปฏิบัติจิตเพื่อฟื้นคืนของเก่า ก็สามารถใช้ของเก่าอันเป็นทิพย์เหล่านี้ได้ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ต่อไป
     
  4. mj2009

    mj2009 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +85
    โห..แจ่มมากครับ

    เด๋วนี้ยุคไสยศาสตร์เฟื่องฟู น่ากลัวเจงๆ
     
  5. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เป็นชาวพุทธ ควรเลิกยุ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์ทุกประเภท
    ที่ว่าผิดครู คือนับถือครูผิด เพราะไปนับถือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยมาเป็นสรณะ
    สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งได้อย่างแท้จริง เพราะไม่อาจนำเราพ้นทุกข์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  6. kwamawauyo

    kwamawauyo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +64
    เป็นอย่างนี้นี่เอง
     
  7. j147852

    j147852 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +608
    ขยันพิมพ์มากๆนับถือๆในความตั้งใจในการเผยแพร่ความรู้ครับ
     
  8. karnasia

    karnasia สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียนรู้เพื่อให้มีสติ เรียนรู้เพื่อป้องกัน ดีกว่า ไม่รู้ แล้วทำไปแล้วผิด แก้ไขไม่เป็น หรือแก้ไม่ได้
     
  9. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,259
    ค่าพลัง:
    +9,022
    ถ้าอย่างงั้น สมเด็จโต วัดระฆัง/หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน/หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ/เอาง่ายๆสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี้ ท่านก็สร้างพระมามากแล้วจะผิดครูใหม และ เหมาะสมใหมที่สร้างพระ
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ระวังผิดสัจจะพระพุทธเจ้า
    ไม่ทำลายศาสนา ไม่ซื้อไม่ขายพระ ตลอดชีวิต

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. พลภัทร Mechanic

    พลภัทร Mechanic Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอขอบคุณสำหรับความรู้ที่เตือนสติ
     
  12. Phusaard

    Phusaard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +349
    :cool::cool::cool::cool:
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ ไม่ซื้อไม่ขายพระตลอดชีวิต ****


    พระพุทธเจ้าเคยเตือนไว้ ไม่ให้ซื้อขายพระ
    เพราะเป็นการทำลายศาสนา
    หาอ่านเอาเอง ในพระไตรปิฎก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,692
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ใครที่ชอบซื้อชอบขายพระ ****

    เรื่องเอาศาสนา เอาวัด เอาพระมาค้าขาย
    ถ้ายังไม่เลิก ก็ต้องลำบากหน่อย
    เพราะกรรมกำลังมา
    โลกดินฟ้าอากาศ คือสักขีพยานในการกระทำ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...