วีดีโอ วัดภูริทัตตวนาราม วันทอดกฐิน ที่แคลิฟอเนีย สหรัฐอเมริกา

ในห้อง 'ทวีป อเมริกา' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 11 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,296
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2020
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,296
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046

    สุวโจวาท

    เราจะได้รับความในสุขในท่ามกลางที่มันทุกข์นี่แหละ ถ้าเราฉลาดเราจะได้รับความสงบในท่ามกลางที่วุนวาย

    พระโพธิธรรมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ)

    วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ

    รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา


    ********

    ธรรมะของหลวงปู่สุวัจน์ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ข้าพเจ้าได้รวบรวมไว้ขณะดำรงอยู่ในสมณเพศเมื่อกลางพรรษา พ.ศ. ๒๕๔๙ ณ วัดภูริทัตตวนาราม เพื่อน้อมบูชาพระคุณขององค์หลวงปู่สุวัจน์ องค์ท่านเป็นผู้มีพระคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของข้าพเ้จ้า ซึ่งได้ข้าพเจ้ามาอาศัยใต้ร่มโพธิธรรมขององค์หลวงปู่สุวัจน์ และในสมัยองค์ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นข้า่พเจ้าเคยไปอยู่อุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงปู่ฯ ที่วัดป่าเขาน้อย อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ มหากุศลที่ได้บำเพ็ญในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาพระคุณองค์หลวงปู่สุวัจน์ ผู้เป็นบุรพาจารย์ของข้าพเจ้า บทความทั้งหมดนี้ขอสงวนลิขสิทธิ์ถ้าคัดลอกไปเพื่อจำหน่าย หรือในเชิงธุรกิจ หากคัดลอกไปเพื่อธรรมทานแล้วไซร้ กรุณาทำหนังสือแจ้งโดยตรงที่วัดภูริทัตตวนาราม
    ตะวัน คำสุจริต
    ผู้รวบรวม/เรียบเรียง



    ๑.ความทรงจำจดจำ แม้จะได้สูตรใดสูตรหนึ่งต้องจำได้ ปาฏิโมกข์ควรให้คล่องให้ถูกต้องตามภาษาที่ได้บัญญัติไว้ ชื่อว่าเราได้ศึกษาปริยัติธรรมเช่นเดียวกัน ปริยัติธรรมเป็นหลักของการปฏิบัติ เพราะเป็นศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราถือเป็นหลักการปฏิบัติ ถ้าไม่มีหลักสิ่งเหล่านี้แล้วก็ถือว่าเลื่อนลอยไปตามกิเลส ตามอารมณ์ที่มีกิเลสเจือที่จิตใจของเรา เราจะถือเป็นแบบฉบับที่ใจชอบหรือไม่ชอบตามใจของเราไม่ได้ ต้องถือหลักโอวาทศาสนธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาอยู่มาถึงพวกเราเป็นเวลายาวนานก็ต้องมีหลัก อาศัยหลักนี้เป็นเครื่องรองรับหมู่คณะ

    ๒.พระพุทธเจ้าพระองค์รู้ดี รู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้ว พระองค์ได้ทรงสั่งสอนพวกเราทั้งหลายให้ประพฤติตาม

    ๓.พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงวางไว้ ให้รักษากาย รักษาวาจา รักษาจิตใจ โดยอาศัยหลักศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาอย่าไปดูที่ตัวหนังสือ ความจดจำด้วยสัญญานั้นยังไม่ใช่ ยังเป็นรู้ภายนอก ศีล สมาธิ ปัญญานั้นก็คือการสำรวมกาย รักษากายนี้เอง เราก็ดูที่กาย เราสำรวมแล้วหรือยัง เรียบร้อยหรือยังในตัวเราเอง ในการเข้าสู่สังคมสมาคมเรียบร้อยเป็นระเบียบตามที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินมาหรือไม่ ในกาย ในวาจาคำพูดของเรา เรามีสติคุ้มครองรักษา เลือกคำพูดได้สะอาดบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องรู้ตัวเราเอง

    ๔.ที่เราสวดมนต์ไหว้พระอยู่เสมอ ก็อย่าไหว้แต่วาจา อย่ากราบแต่ด้วยมือ ต้องจิตใจน้อมระลึกถึงความจริงด้วย ให้เกิดขึ้นในจิตใจ ให้มีศรัทธาความผ่องใสในจิตในใจ จะเห็นอานิสงส์ จะได้เกิดความอุตสาหะพยายาม เกิดความพากเพียร เกิดสติระลึกคุ้มครองรักษาตัวเรา ให้เป็นผู้หมดจดสะอาดไปถึงสภาพแห่งความบริสุทธิ์ ให้จิตตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ได้ชื่อว่าเราเจริญรอยตามเป็นสาวกของพระองค์ ผู้เชื่อฟังผู้ทำตามพระองค์ เราเป็นผู้เดินตามพระองค์ต่อๆมา เราเป็นสาวกผู้น้อง ผู้ลูก ผู้หลาน แต่สุดท้ายเดินตามๆกันไป

    ๕.ถ้าพวกเราพร้อมเพรียงกันรักษาธรรมวินัย แบบฉบับของครูบาอาจารย์ อย่าไปเถลไถลแบบใหม่ๆ แบบเขาว่าโลกเจริญก็เลยลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โลกมันเจริญแค่ไหนมันเพียงแค่กามเท่านั้นแหละ ผลที่สุดโรคเอดส์รุมหัวมันหมดแล้ว มันเจริญของโลกนี่ มันจะอัศจรรย์สักเท่าไร ธรรมของเรามันอัศจรรย์จริงๆ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้หมู่พวกเชื่อในธรรมในวินัย

    ๖.ขอให้หมู่พวกลูกหลานทุกคนที่บวชเข้ามานี้ อย่าไปมุ่งหวังว่าให้โยมเขามีศรัทธาให้คนนั้นมีศรัทธา ไม่ต้อง ขอให้เรามีศรัทธาคนเดียว ให้ปฏิบัติจริงทำจริง ยังไม่ต้องมองคนอื่นให้มองตัวเรา พระพุทธเจ้าพระองค์ก็มองพระองค์ก่อน พระองค์ไม่ได้วิ่งไปสอนโลกก่อน พระองค์สอนพระองค์จนเสร็จกิจแล้ว พระองค์จึงสอนคนอื่น

    ๗.เหมือนกับหลวงปู่มั่น ผมไปดูไปอยู่ใกล้ชิดแล้ว ท่านไม่ค่อยเอาใจใส่เรื่องญาติโยมสักเท่าไร ท่านเอาใจใส่พระเราสามเณรของเรา ถ้าเราดีแล้วโยมเขาก็ดีด้วย ท่านพูดอย่างนั้นนะ ผมจำชัดจริงๆ

    ๘.สัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยศีล สมาธิ ปัญญา แล้วยังผ่องใสสดใสบริสุทธิ์ไม่เสื่อมสูญอันตรธาน แต่จิตใจของเรานี่แหละไม่ฉลาด ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่จิตใจของเรา ยังเถลไถลยังอนุโลมไปตามอารมณ์ จิตใจของเราที่ผสมกับกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ง่วงเหงาหาวนอน ฟุ้งซ่านรำคาญ วิจิกิจฉาในจิตในใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องที่ผสมในจิตใจของเรา ด้วยมองเห็นพระสัทธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าไม่แจ้งชัด เราเถลไถลอยู่ เราจึงไม่สามารถที่จะข้ามแม่น้ำอันเต็มไปด้วยอันตราย เพื่อให้พ้นอันตรายเหล่านั้นได้ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เพราะเหตุนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับความทุกข์ ความเศร้าหมองทางจิตใจอยู่เสมอ

    ๙.คำสอนพระพุทธเจ้าสอนกิเลสไม่ได้สอนอันอื่น อยู่ที่ไหนก็ชำระที่นั่นปฏิบัติที่นั่น ผมก็ทำตามมาตลอดไม่ได้ลดละ ฉะนั้นขอให้พวกเราช่วยกันตั้งใจปฏิบัติดูแลต่อไป เรื่องธรรมของพวกเราจะต้องช่วยกันทะนุบำรุงรักษา

    ๑๐.เพราะฉะนั้นพวกเราตั้งใจปฏิบัติ ใครสงสัยอะไรก็รีบชำระ เรื่องศีล เรื่องอะไรก็รีบชำระ รีบปฏิบัติให้มันเห็นตรง อุชุปฏิปันโนจริงๆ อย่าทำเหลาะแหละเหลวไหลโลเล

    ๑๑.ได้โอกาสดีแล้วทุกองค์อยู่ที่ไหนก็ขอร้องพวกเราทุกๆคน ให้เร่งทำความเพียรอย่าไปยุ่งกับญาติกับโยมมากนัก อย่าไปยุ่งกับอย่างอื่น พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ของเราท่านได้กำลังมา ได้สอนพวกเรามา ไม่ได้ไปยุ่งกับโยมชาวบ้านมากนะ ท่านเด็ดเดี่ยว เมื่อท่านทำกิจกำลังท่านพอแล้ว ท่านจึงมาทำ ที่เราเห็นภายหลังที่ท่านได้ฉันดี นอนดี อยู่ดี อันนี้มันเรื่องเปลือก ไม่ใช่เรื่องแก่น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ สนใจแต่ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน เฉพาะในจิตในใจเฉพาะ มันไม่ใช่มากนะอันเรื่องที่จะพ้นทุกข์นี่

    ๑๒.พวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าพอจะมีบุญวาสนา มีศรัทธาอยู่ในจิตเป็นกองทุนแล้ว ก็พยายามสร้างศรัทธากับวิริยะความพากเพียร ปัญญาขึ้นมา คู่นี้แหละที่ปฏิบัติ ผมจะอยู่อเมริกาก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ธรรมะเท่านี้แหละ พลังนี้แหละเป็นตัวสำคัญ

    ๑๓.อยากให้หมู่พวกทั้งหลายที่ได้บวชเข้ามาแล้วน่ะต้องเร่งความเพียร ไม่ต้องทำอะไรที่ไหนล่ะ ดูกายกับจิตนี้ ผมก็ทำตามแบบครูบาอาจารย์สอนนี้เอง แต่ความที่เราพูดเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเป็นผู้รู้คนเดียวนะ มันยังรู้ว่าครูบาอาจารย์ของเราก็พ้นทุกข์ไปมากแล้ว

    ๑๔.หลวงปู่ฝั้นนี่ท่านพ้นแล้วนะ มันเชื่อนะ เราโง่เราไม่รู้ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ ผู้ปฏิบัติจริงๆ ถึงท่านไม่พูดนี่ ไม่จำเป็นจะต้องพูด มันหมดสิ้นสุดในกิจ มันรู้บอกในขณะนั้นว่ากิจที่จะต้องทำอีกเสร็จสิ้นแล้ว

    ๑๕.บางองค์ที่ท่านรู้ท่านรู้จริง แต่บางองค์ที่ท่านไม่บัญญัติมาพูด ไม่ได้ตั้งมาพูดมันรู้เลย อย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจาย์ที่ท่านไม่พูด นึกว่าท่านไม่พ้นไม่ใช่นะ ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้อะไร บางคนไปเห็นนึกว่าท่านไม่เทศน์ไม่สอน นึกว่าท่านไม่เก่งเหมือนตัวเอง บาปกินไม่รู้ตัว

    ๑๖.ปัญญาเรานะมันไปไม่ได้นะ เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันต้องยึดหลักพระองค์แล้วก็เร่งทำความเพียร เพราะทำแล้วจะต้องรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารที่เราใกล้ชิดที่เห็นปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันผมก็ยึดหลวงปู่บ้านตาด เพราะนิสัยชอบท่านมาก การพิจารณาการพลิกแพลงอะไรต่างๆ นิสัยเราชอบหลวงปู่บ้านตาดกับหลวงปู่ฝั้นเหมือนกันนะ แต่ผมเสียอันหนึ่งที่มันไม่อดทนในญาติโยมเหมือนท่านเท่านั้นแหละ แต่เรื่องพลิกแพลงสติปัญญาที่ท่านแนะนำมาน่ะผมชอบ

    ๑๗.พูดให้หมู่เพื่อนฟังก็อยากให้หมู่ใครคนใด ประสบเหตุการณ์อย่างไร ขอให้บอกให้เล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นพยานขึ้นมา หรือถ้าหากว่าหมู่พวกทุกองค์เร่งทำความเพียรไม่เหลวไหล และศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพ้นทุกข์แน่นอน ขอให้พวกเราพยายาม

    ๑๘.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าพระองค์ได้ตรัสรูแล้ว ทีนี้พอพระองค์สอนอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรม แน่ะมันเป็นพยานแล้วทีนี้

    ๑๙.ใครสงสัยอะไรก็ถามได้ บางทีตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็แล้วไป บางทีก็คิดไม่ออก แต่หลวงปู่มั่นท่านท้าทายนะ เอ้า..สงสัยตรงไหนถามมา ท่านก็พูดเผงๆตรงๆไปเลย หลวงปู่มั่นน่ะ

    ๒๐.ไปอยู่อเมริกาได้ทำความเพียรต่อเนื่องกันประจำ ทางจงกรมกับกุฏิก็อยู่ใกล้กันได้ทำตลอด อากาศก็ดีมันสัปปายะอันหนึ่ง แต่สำคัญว่าจิตของเราอย่าไปหลงความเจริญของบ้านเมืองของเขา ถ้าไปเอาอันนั้นมานี้แล้วเสร็จ ธรรมหายไปหมดเลย แต่จิตใจของคนมันไม่อัศจรรย์เลย แม้แต่เขาจะวิเศษอย่างไรมันไม่อัศจรรย์เลย อัศจรรย์แต่พระพุทธเจ้า ธรรมของพระองค์สามารถที่จะพ้นทุกข์ ความสุขจนขนาดที่เทวดานี่พระองค์ยังเห็นโทษ ขนาดนั่งฌานสงบ ที่เรานั่งสงบมีความสุข พอใจในความสุขอันนั้นแต่พระองค์ก็ยังเห็นโทษ

    ๒๑.ท่านสอนกรรมฐานว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้มัวเมาในวัย ไม่มัวเมาในชีวิต ไม่มัวเมาในความไม่เป็นโรค ไม่มัวเมาในความเป็นอยู่ ให้รู้สภาพตามความเป็นจริง ตัวของเรานี้คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นของชำรุดทรุดโทรมคร่ำคร่าเปลื่อยเน่า ใครจะมากราบความเปลื่อยเน่าสักการะบูชาอันนี้ ใครจะบูชาสิ่งไหนนี้เราต้องกำหนดรู้ให้เห็นชัด

    ๒๒.ที่เขากราบไหว้บูชาสักการะเวลานี้ ก็เพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรามาอยู่อาศัยบารมีของท่าน เรายึดหลักของท่าน เหมือนกับกาไปยึดหลักภูเขาทอง เวลาเขามองไปแล้วตัวกาก็เป็นทองไปด้วย เมื่อตราบใดกายังจับภูเขาทองอยู่นั้น เขาก็มองเห็นเป็นทองอยู่อย่างนั้น ถ้าทอดทิ้งภูเขาทองบินไปตามลำพังแล้ว มันก็เป็นกาดำๆ ดีๆ นี่แหละ

    ๒๓.แต่เราอย่าลืมว่าเราเป็นตัวกา อย่าไปเข้าใจว่าตัวเราเป็นทองทั้งตัว อาศัยภูเขาทองอยู่ เรายึดภูเขาทองเฉยๆ นี่รูปเปรียบฉันใด ตัวเราเองต้องพิจารณาตัวเราเอง

    ๒๔.คำสอนพระพุทธเจ้าก็เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่เราได้อาศัย ส่วนกาคือเรา ก็เป็นกาเปลื่อยเน่าผุพังเหมือนกับคนธรรมดา ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนของธรรมดา ทำไมเขาจึงกราบไหว้ ทำไมเขาถึงบูชา เพราะเงาของภูเขาทองนี่เอง เพราะอานุภาพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเราควรกราบ ควรไหว้ ควรปฏิบัติ

    ๒๕.อย่าเข้าใจอย่าหลงลืมตัวเองว่าเรามีผู้กราบไหว้สักการะบูชา เขาได้ทำบุญให้ทาน เราได้รู้จักคนมาก แต่คนนับถือก็ให้อุปการะเลี้ยงดูเรา เลยไปถือตัวเราเองเป็นเกณฑ์ ใช้ไม่ได้ แม้ว่าคนไม่รู้ความจริงของเรา เขาก็ยังหลงใหลอยู่ มีตัวอย่างมากต่อมากแล้ว เอาตัวเองเป็นอุปมาแล้ว ยังพยายามปฏิบัติให้คนรักให้คนชอบ ให้คนนับถือ ไม่ได้แก้ไขจิตใจของตนเองให้เป็นตามคำสอนพระพุทธเจ้า โดยความถูกต้องหรือโดยความชอบ ผลที่สุดก็ถูกทอดทิ้ง ถูกขจัดออก อยู่กับหมู่คณะไม่ได้ ถูกประณามถูกลงโทษ ด้วยความสำคัญตัวเองผิด มัวเมาหลงตัวเองผิด เราต้องพิจารณา

    ๒๖.ขอให้เราทั้งหลายพึงมีสมณสัญญา ความระลึกหมายว่าเราเป็นสมณะผู้ปฏิบัติผู้สงบ อยู่ที่ไหนให้สงบ เป็นหัวหน้าด้วยความสงบ เป็นหัวหน้าในความเพียร เป็นหัวหน้าในการเดินจงกรม ไม่เป็นหัวหน้าใครก็เป็นหัวหน้าจิตใจของเรา เป็นความเพียรในจิตใจของเรา ความขยันในจิตใจของเรา ความสงบในจิตใจของเรา ให้ระลึกตัวเราอยู่เสมอ ให้รักตัวของเราเป็นที่รัก เราจะต้องรักษาตัวเราให้ดี อย่าปล่อยให้สมกับเรารักตัวของเรา ที่พระพุทธเจ้าว่า ถ้าตัวเราเป็นที่รักของเราแล้ว เราก็มุ่งรักษาเราให้บริสุทธิ์หมดจดสะอาด อย่าไปทำความชั่วอันสกปรกแก่ตัวของเราเอง

    ๒๗.เพราะฉะนั้นทุกท่าน เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจดจำไว้ให้ดี ตั้งใจประกอบความพากความเพียร ทั้งกลางวันและกลางคืนให้ได้รู้ธรรม ถึงธรรม เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้พาพบเห็นมาแล้ว ได้เห็นตามพระองค์ เราก็จะได้ความสุขความเจริญ

    ๒๘.เราต้องการจิตให้สงบ ทีแรกเรามีแต่ละเราไม่เอา คือพยายามภาวนาละเอาแต่สิ่งเดียวคือสติกับความรู้ตัวกำกับไว้ เราละอารมณ์ภายนอกมากเท่าไหร่ยิ่งดี ปล่อยวางมากเท่าไหร่ยิ่งดี

    ๒๙.เพราะอาศัยความที่เรามีสติรักษาจิตใจของเราไม่ให้เผลอได้ สมาธิอยู่ตรงที่จิตของเราไม่เผลอ เมื่อจิตไม่เผลอจิตก็ตั้งมั่นได้ ถ้าจิตเผลอเมื่อไหร่จิตก็ตั้งตัวไม่ได้ ล่มอยู่เรื่อย ขาดอยู่เรื่อย

    ๓๐.เราไปหาความสุขที่อื่นเป็นเวลายาวนาน ไม่เคยได้รับความสุขที่แท้จริง เมื่อเรามาอบรมจิตใจให้สงบ จึงจะเกิดความสุขอยู่ที่นี้ อยู่ที่ตัวของเราในตัวของเรานี่ ไม่ใช่มีแต่ทุกข์อย่างเดียว ถ้าเราสามารถมีความฉลาดเพียงพอ เราก็จะได้รับความสุข นี่แหละเราจะได้ความสงบ อยู่ในความไม่สงบนี่แหละ ก็เหมือนกับเราจะได้ความแจ้งอยู่ในที่มืดนี่แหละ

    ๓๑.เราจะได้รับความในสุขในท่ามกลางที่มันทุกข์นี่แหละ ถ้าเราฉลาดเราจะได้รับความสงบในท่ามกลางที่วุนวาย

    ๓๒.เมื่อมันสร้างทุกข์ขึ้นมาได้ เราก็ต้องสร้างความสุขมาแทนได้ เมื่อมันสร้างความไม่สงบก่อกวนวุ่นวายได้ เราก็ต้องสร้างความสงบได้ พยายามละสิ่งที่ไม่สงบ ให้ตั้งอยู่ในความสงบให้ได้ เราต้องยึดธรรมเป็นเครื่องรักษาเป็นเครื่องปกป้อง

    ๓๓.ร่างกายต้องการสิ่งที่ละเอียดเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการสิ่งหยาบๆ จิตใจก็ต้องการสิ่งที่ละเอียด เราควรระลึกนึกน้อมไปให้ละเอียดสงบลึกซึ้งไปตามลำดับ

    ๓๔.กำลังของจิตใจที่เป็นธรรมชาติสะอาดบริสุทธิ์มีพลังมหาศาล สามารถจะเอาชนะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้

    ๓๕.พระพุทธเจ้าทรงยกย่องบุคคลผู้มีความสำรวมกาย มีความสำรวมวาจา ว่ามีกายสะอาด มีวาจาสะอาดบริสุทธิ์ สามารถจะเป็นบุญเป็นกุศล นำผลให้ได้สุคติได้มนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ


    *เราจะได้รับความในสุขในท่ามกลางที่มันทุกข์นี่แหละ ถ้าเราฉลาดเราจะได้รับความสงบในท่ามกลางที่วุนวาย
    สุวโจวาท พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ผู้ก่อตั้งวัดภูริทัตตวนาราม

    Designed by Buddhist

    วัดภูริทัตตวนาราม Buddhist Temple of America 5615 Howard Street, Ontario, California 91762 USA.
    http://www.watpu.org/index.php?opti...e&id=5:2012-12-13-23-05-05&catid=8&Itemid=103

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2018
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,296
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046

    ประวัติสังเขป
    พระโพธิธรรมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ)


    ชาติภูมิ

    หลวง ปู่สุวัจน์ สุวโจ มีชาติกำเนิดในสกุล "ทองศรี" ท่านมีนามเดิมว่า "สุวัจน์" เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม ณ ตำบลตากูก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

    โยมบิดาชื่อ "บุตร" โยมมารดาชื่อ "กึ่ง" ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 5 คน โดยมีพี่ชาย 2 คน และน้องสาว 2 คน

    วัยเด็กและการศึกษา

    เมื่อ อายุถึงเกณฑ์ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น และท่านได้อยู่ช่วยงานด้านเกษตรกรรมร่วมกับบิดามารดา และพี่ ๆ น้อง ๆ นอกจากนั้น ท่านได้มีโอกาสเรียนวิชาชีพกับช่างทองจนมีความรู้พอประกอบอาชีพได้

    สู่เพศพรหมจรรย์

    ด้วย จิตใจที่ฝักใฝ่ทางธรรมและรักในเพศบรรพชิตมาตั้งแต่เป็นเด็ก ดังนั้นในปี พ.ศ. 2481 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 19 ปี ท่านก็ได้ขออนุญาตบิดามารดา เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร โดยเข้าพิธีบรรพชา ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก นั้นเอง

    ท่านได้ตั้งใจศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม จนเมื่ออายุใกล้ครบบวช ซึ่งแม้ว่าการปฏิบัติธรรมของท่านในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นี้จะไม่นานนัก แต่ความศรัทธาต่อศาสนธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้หยั่งลงลึกใน จิตใจท่าน และเพียงพอที่จะเกิดเป็นปณิธานภายในใจท่านว่า อย่างไรเสียท่านต้องอุปสมบท เพื่อประพฤติธรรมในสมณเพศนี้สืบไป ดังนั้นท่านจึงได้ของอนุญาตโยมบิดามารดาเพื่ออุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ขัดข้อง

    อย่างไรก็ดี ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวพอดี ประกอบกับเพื่อจะได้จัดการในเรื่องต่าง ๆ ก่อนที่จะอุปสมบท ท่านจึงได้ลาสิกขาบทจากสามเณรเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน

    ในปี พ.ศ. 2482 หลังจากที่ท่านได้จัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับท่านมีอายุครบ 20 ปีท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท อยู่ในภิกษุภาวะสมความตั้งใจ ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก ซึ่งเป็นวัดมหานิกายที่ท่านเคยบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้รับฉายาว่า "สุวโจ" โดยมี

    พระครูธรรมทัศน์พิมล (ด้น) เจ้าอาวาสวัดศาลาลอย (เมื่อครั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์

    พระอาจารย์เคลือบ วัดดาวรุ่ง บ้านขาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    พระอาจารย์อุเทน วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    หลัง จากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ในพรรษาแรกนั้นเอง ได้มีชาวบ้านบุแกรง อำเภอท่าตูม (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระ) จังหวัดสุรินทร์ พากันมาอาราธนาท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุแกรง ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ต่อมาด้วยเห็นว่า หากจะอยู่ทำประโยชน์ไว้ในพระบวรพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จำเป็นที่ท่านต้องศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2483 หลังออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทในปี พ.ศ. 2483 และ 2484 ตามลำดับ

    ญัตติใหม่เป็นพระธรรมยุต

    ในปี พ.ศ. 2484 ภายหลังที่ท่านสอบได้นักธรรมโทแล้ว เกิดมีศรัทธาหนักไปทางปฏิบัติจิตตภาวนา ดังนั้นท่านจึงได้ญัตติใหม่ในธรรมยุติกนิกาย ณ วัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี

    ท่านเจ้าคุณพระธรรมฐิติญาณ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์

    พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    พระอาจารย์ทองดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    จากนั้น ท่านได้กลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าศรัทธารวม เป็นเวลา 2 พรรษา ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินธุดงค์ในปี พ.ศ. 2486

    ประวัติการอยู่จำพรรษา

    พ.ศ. 2486 วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

    พ.ศ. 2487 วัดโยธาประสิทธิ บ้านห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ (ในพรรษานี้ ท่านได้จำพรรษา ร่วมกับท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ประกอบกับได้ดูแลโยมบิดามารดา ซึ่งกำลังป่วยอยู่)

    พ.ศ. 2484 วัดป่าศรีไพรวัน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามเขาภูพาน ไปวัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    พ.ศ. 2489-2492 หลวงปู่มั่น ท่านพิจารณาเห็นว่าท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรเป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ยังไม่มีผู้ดูแลอุปัฏฐากจึงมอบหมายให้ท่านอาจารย์สุวัจน์ไปเป็นพระ อุปัฏฐากท่านพระอาจารย์ฝั้น ในระยะเวลา 4 ปีนี้ ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยในช่วงเวลาออกพรรษาของแต่ละปี ท่านอาจารย์สุวัจน์จะลาท่านพระอาจารย์ฝั้นไปศึกษาธรรม และอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาในอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2493 วัดเทพกัลยาราม บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2494 วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

    พ.ศ. 2495 สำนักสงฆ์ควนเขาดิน อำเภอท้ายเมือง จังหวัดพังงา

    พ.ศ. 2496 วัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2497 วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2498 วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

    พ.ศ. 2499 วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2500-2501 วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

    พ.ศ. 2502 วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2503 วัดป่าบ้านไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2504 วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2505 สำนักสงฆ์ถ้ำขาม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2506 วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2507 วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    พ.ศ. 2508 วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2509-2514 วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2515-2524 สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว ตำบลสร้างค้อ อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร

    พ.ศ. 2525-2526 สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองซีแอตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน

    พ.ศ. 2527 สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองแอนนาไฮม์ฮิล มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2528 สำนักสงฆ์ป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2529 สำนักสงฆ์นอร์ธแซนฮวน เมืองซาคราเมนโต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2530-2533 วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2534 วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2535 วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2536-2538 วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2539 วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์

    พ.ศ. 2540 วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย

    พ.ศ. 2541-ปัจจุบัน วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

    การรับแต่งตั้งให้ปฏิบัติศาสนกิจ และการรับสมณศักดิ์

    1. ตามหนังสือที่ 26/2529 ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นพระอุปัชฌาย์

    2. ตามหนังสือที่ 9/2529 ลงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2529 ท่านได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุตในประเทศสหรัฐอเมริกา

    3. วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น "พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ"

    4. วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ "พระโพธิธรรมจารย์เถร"

    การปฏิบัติศาสนกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา

    นับ แต่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตจากคณะสงฆ์ไทย ในปี พ.ศ. 2525 เพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ปฏิบัติศาสกิจนี้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างวัดภูริทัตตวนาราม และวัดเมตตาวนาราม มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ให้เป็นที่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างของวัดกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และพุทธศาสนิกชนชาวอเมริกาหนึ่งในจำนวนนั้นได้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถวายปัจจัยแด่ท่าน เพื่อซื้อที่ดินบนเขา เนื้อที่ 60 เอเคอร์ (ประมาณ 150 ไร่) คิดเป็นเงิน 700,000 ดอลล่าร์ (ประมาณ 17,500,000 บาท) ให้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา ซึ่งก็คือ วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปัจจุบัน
    (พิมพ์บูชาคุณองค์หลวงปู่โดยน้องนุดีค่ะ)
    880-fae6.jpg

    "รำลึกพระคุณหลวงปู่"


    ได้ มีโอกาสไปร่วมงานพระราชทานน้ำอาบศพหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจที่วัดป่าเขาน้อย จ. บุรีรัมย์มาค่ะเลยอยากนำบรรยากาศและเรื่องราวต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้พี่ ๆ น้อง ๆ ฟังรวมทั้งปฏิปทาขององค์หลวงปู่ซึ่งตนเองได้รับความเมตตามาและได้รับฟังมา จากพี่ ๆ น้อง ๆ ที่บุรีรัมย์ข้อความต่าง ๆ อาจจะไม่ต่อเนื่องนัก และไม่สละสลวยสวยงามต้องขออภัยด้วยค่ะ

    ขอเริ่มจากลำดับเหตุการณ์ที่องค์หลวงปู่ท่านละสังขารก่อนนะคะ

    สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทร

    องค์ หลวงปู่ท่านมีปัญหาเรื่องปอดไม่แข็งแรงมานานแล้วในช่วงระยะ 1 ปีที่ผ่านมา องค์หลวงปู่ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคปอดติดเชื้อมาตลอด (ประมาณ 4-5 ครั้ง)ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ องค์หลวงปู่เข้ามารักษาองค์ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธและหัวใจท่านได้หยุดเต้นไป แต่เป็นบุญที่คณะแพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาได้ทันท่วงทีจึงสามารถช่วย ท่านไว้ได้ตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษาองค์หลวงปู่มักจะปรารถอยู่เนือง ๆ ว่าท่านอยากกลับไปวัดจนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม องค์หลวงปู่แข็งแรงขึ้นมากและแพทย์เห็นสมควรให้ท่านเดินทางกลับบุรีรัมย์ได้

    หลวง ปู่ท่านสดใสมาก เมื่อได้กลับไปที่วัดป่าเขาน้อยอาการท่านก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แข็งแรงมากพอที่จะไปโปรดญาติโยมที่วัดป่าปราสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ได้หลวงปู่เมตตาพำนักที่วัดป่าปราสาทจอมพระและแสดงธรรมโปรด ญาติโยมประมาณ 1 อาทิตย์คือช่วงวันที่ 13 มี.ค. ถึง 20 มี.ค. จึงได้กลับเดินทางกลับวัดป่าเขาน้อย

    หลังจากที่หลวงปู่ท่านเดิน ทางกลับมาพำนักที่เขาน้อยได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมาก จนต้องพาท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์หลังจากที่ท่านได้เข้า ไปรักษาตัวได้ 2 วัน อาการดีขึ้นมากแพทย์ที่ถวายการรักษา ขอดูอาการ ซึ่งหากไม่ทรุดลงไปก็จะอนุญาตให้กลับวัดได้แต่แล้ว...อาการของหลวงปู่ ก็เริ่มทรุดลงเมื่อวันที่ 2 เม.ย.และอาการหนักในคืนวันที่ 3 เม.ย.เนื่องจากโรคปอดติดเชื้อที่แทรกซ้อนขึ้นมาเช้าวันที่ 5 เป็นวันที่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดและแพทย์ต้องตัดสินใจแพทย์แนะนำให้เจาะคอองค์ หลวงปู่แต่เมื่อประชุมกันแล้ว ลงความเห็นว่าไม่สมควรเจาะคอเพราะจะเพียงแค่ยืดอายุขัยท่าน แต่ก็จะทรมานองค์หลวงปู่มากมายแพทย์หลาย ๆ คนพยายามติดต่ออาจารย์หมอที่ชำนาญทางปอดเพื่อให้เดินทางมาถวายการรักษาที่ บุรีรัมย์

    ประมาณช่วงเที่ยงวันนั้นองค์หลวงปู่ท่านแสดงให้เห็น เจตนารมณ์ที่จะละสังขารด้วยการค่อย ๆ ถอนให้เห็นโดยปกติคนที่ป่วยหนัก ค่าต่าง ๆ ที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่อาทิ ความดัน ชีพจร ฯลฯ จะ fluctuateแต่ขององค์หลวงปู่ท่านจะคงที่ ค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับให้เห็นว่าองค์ท่านควบคุมได้ และไม่ประสงค์จะครองสังขารอีกต่อไปคณะศิษยานุศิษย์จึงเตรียมนำองค์ท่านกลับ คืนสู่วัด หากแต่ก็ไม่ทัน ...

    องค์หลวงปู่ ละขันธ์ ด้วยสติที่พร้อมบริบูรณ์เมื่อเวลา 13.12 น.ของวันที่ 5 เม.ย. 2545

    ปฏิปทาองค์หลวงปู่

    ได้ รับฟังจากญาติธรรม ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดองค์หลวงปู่มาสมัยที่ท่านมาอยู่ที่เขาน้อยใหม่ ๆ นั้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากกุฏิเล็ก ๆ 2 หลังเป็นกุฏิชั้นเดียว ห้องเดียว มีลานเล็ก ๆ ตรงกลางหากแต่ลานเล็ก ๆ กุฏิเล็ก ๆ นี้เองที่ใช้เป็นที่แสดงธรรม และสอนกรรมฐานทุกเย็น

    องค์หลวงปู่จะ เมตตาญาติโยมมากไม่ว่าจะมากันกี่คน 2 คน 3 คน หรือมากกว่านั้นองค์ท่านจะนำทำวัตร แสดงธรรม และปฏิบัติภาวนาทุกวันท่านจะให้ความสำคัญกับการภาวนามากพี่ ๆ เล่าว่า ท่านไม่เคยเบื่อ หรือหงุดหงิดกับความดื้อรั้นขี้เกียจ หรือความเขลาของเหล่าศิษย์เลยท่านคงความเมตตาที่เปี่ยมล้นอย่างสม่ำเสมอจน แม้แต่คนที่ไม่น่าจะเอาดีในด้านการภาวนา ก็มีหลักในการภาวนาจนได้ ภาวนาเป็น

    องค์ หลวงปู่เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์มากนักและท่านก็เคารพรัก"หลวงปู่บ้านตาด" เป็นนักหนาแม้ในช่วงที่ท่านไปปฏิบัติหน้าที่เป็นธรรมทูตที่อเมริกาทุกครั้ง ที่ท่านเดินทางกลับมาเมืองไทยหากองค์หลวงตาอยู่ที่สวนแสงธรรมท่านจะตรงไปสวน แสงธรรมหรือหากองค์หลวงตาอยู่ที่บ้านตาดท่านก็จะเดินทางไปที่บ้านตาดเพื่อ กราบองค์หลวงตา ก่อนที่จะกลับไปที่วัดของท่านเอง

    องค์หลวงปู่มักจะ พูดน้อย แต่นุ่มนวลท่านมักจะปรารภเรื่อย ๆ ว่าท่านไม่ทนญาติโยมเหมือนองค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงปู่ฝั้น และองค์หลวงปู่บ้านตาดแต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เคยมีผู้ตกทุกข์คนไหนที่ดั้นด้นไปกราบหลวงปู่ แล้วหลวงปู่จะไม่เมตตาหลวงปู่จะให้ทั้งที่พัก ทั้งปัจจัย และที่สำคัญ คือองค์ท่านที่เป็นเสมือนหิ้งพักใจและร่มไทรหนา ให้ผู้ทุกข์หนัก ได้พักอาศัย

    แม้ในช่วงหลังมาที่องค์หลวงปู่ประสบอุบัติเหตุเป็น อัมพาตครึ่งองค์ทุก ๆ เช้า ท่านจะเมตตาลงมาที่ศาลาโรงฉันและบิณฑบาตรในรถเข็น เพื่อให้ญาติโยมได้สร้างบุญกุศลโดยทั่วหน้าก่อนฉัน หากสังขารท่านเอื้ออำนวยหลวงปู่จะเมตตาแสดงธรรมสั้น โปรดญาติโยมอย่างสม่ำเสมอหลวงปู่มักจะเน้นให้เราหมั่นอนุโมทนาบุญเพื่อสร้าง เสริมกุศลจิตในใจและอานิสงค์ของการแผ่เมตตาหลวงปู่จะเน้นเราให้สร้างสมความ ดี ละชั่วหมั่นตรวจสอบตนเอง และปฏิบัติภาวนาอย่างสม่ำเสมอท่านเคยเมตตาสอนว่า"การปฏิบัติภาวนานั้น เราจะเลือกปฏิบัติ เฉพาะเวลาสุขนั้นไม่ได้เราต้องปฏิบัติภาวนาให้ได้ ทั้งในเวลาสุข และทุกข์"หลวงปู่ท่านจะเมตตาทั้งพระทั้งโยมที่ปฏิบัติภาวนายิ่งนักเมื่อไหร่ ที่ติดขัดในการภาวนาเพียงแต่โผล่หน้าไปให้ท่านเห็นท่านก็จะเมตตาแก้ไขข้อ ข้องจิต ข้องใจให้โดยที่เราไม่เคยต้องออกปากโดยที่บางครั้ง เราเองไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเรากำลังติดขัดอยู่องค์หลวงปู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรที่ร่มเย็นเป็นนักหนา

    นอกจากมนุษย์แล้ว องค์หลวงปู่ยังมีเมตตาต่อสัตว์ชนิดต่าง ๆ มากมายท่านมีทั้งปลา นกกะทา ไก่ป่า นกกาเหว่า และอื่น ๆ ท่านรักต้นไม้มาก มักจะหาพันธุ์ไม้แปลก ๆ ต่าง ๆ มาปลูกที่เขาน้อยอย่างสม่ำเสมอ

    บรรยากาศงาน

    สำหรับ ท่านที่เคยไปวัดป่าเขาน้อยแล้วคงจำศาลาเมตตาสุวโจ ศาลาใหญ่ที่ใช้สวดมนต์ได้ทางวัดได้นำสังขารขององค์หลวงปู่ท่านมาตั้งให้ทั้ง พระทั้งโยมได้เข้าไปเคารพ รดน้ำและขมาท่านเป็นครั้งสุดท้ายองค์หลวงปู่นอนบนที่นอนของท่าน ปูผ้าสีกลัก ห่มผ้าห่มสลัก อยู่ในกลดผ้าชีฟองสีครีมนวลมองดูคล้ายกับองค์ท่านหลับอยู่ ไม่ได้จากเราไปไหนสีหน้าท่านสงบ และผาสุขอย่างไม่มีใดเทียบไม่เคยได้เห็นสังขารใด ๆ ที่ถูกทิ้งไปแล้ว จะงามพร้อมขนาดนี้องค์หลวงปู่หลับไหล ราวกับบอกว่า "เราไม่มีทุกข์ใด ๆ แล้วจากนี้ไปตลอดอนันตกาล"

    ทั้งพระ ทั้งญาติโยมทยอยกันมาจากทุกสารทิศไม่ได้ขาดตลอดทั้งวัน

    งาน การเตรียมพร้อมเพื่อพิธีพระราชทานเพลิงศพดำเนินไปอย่างเร่งด่วนแต่สุขุม และละเอียดลออ เพื่อถวายแด่องค์หลวงปู่ให้สมกับที่ท่านเมตตา ให้สมกับพระคุณของท่านแม้งานจะหนัก และเหนื่อย ก็ไม่มีใครย่อท้อคณะทำงานที่ประกอบทั้งพระ ทั้งฆราวาสพร้อมใจกันทำถวายหลวงปู่ ไม่มีการเกี่ยงงอนใด ๆ แบ่งงานกันทำตามความถนัดของแต่ละบุคคล

    แม้เมื่อเสร็จสิ้นจากงานนี้ เหล่าศิษยานุศิษย์ทุกองค์ และทุกคนสำนึกดีอยู่ว่า งานที่เราสมควรทำถวายองค์หลวงปู่ยังไม่เสร็จสิ้นยังคงเหลืองานชิ้นสุดท้าย แต่คงความสำคัญที่สุดเป็นงานที่องค์หลวงปู่ยกย่องว่าเลิศกว่างานใด ๆ คือการปฏิบัติภาวนา ทำตนให้ถึงพร้อมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์หลาย ๆ คน พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ได้สนทนากันล้วนแล้วแต่ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าองค์หลวงปู่ให้สัจจะว่า จะดำเนินรอยตามองค์ท่านให้สมกับที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนมา

    ขอน้อมกราบองค์หลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าค่ะ
    ------------------------------------------------------------------------

    หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียวค่ะ
    จากคุณ : ไก่แก้ว [ 10 เม.ย. 2545]

    881-11f9.jpg

    879-3f2a.jpg

    ข้อมูลอ้างอิงจาก : dharma-gateway.com
    ขอบพระคุณที่มา :- https://www.web-pra.com/Amulet/หลวงปู่สุวัจน์-วัดป่าเขาน้อย
     

แชร์หน้านี้

Loading...