พระสุตรก่อนนิทราพระนางรูปนันทา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 18 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    <!-- #BeginEditable "title" -->พระพุทธเจ้าปรารภอุบาสก 5 คน

    <!-- #EndEditable -->
    <!-- #BeginEditable "content" -->พระภิกษุสามเณรทั้งหลาย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รับฟัง วันนี้มาคุยถึงพระสูตร พระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส นิสัยเดิมละไม่ได้ หมายความว่าคนทุกคนจะละกิเลสน่ะ ละได้ นิสัยเดิมละไม่ได้ ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร เดิมทีเดียวท่านเคยเป็นลิง ต่อมาเป็น อัครสาวกเบื้องขวา เป็นพระภิกษุที่มีความสำคัญมาก แต่ว่าจริยาเดิมของลิงก็มีอยู่ ถึงลำรางตื้น ๆ หรือลำรางแคบ ๆ พอจะย่องไปได้หรือลุยน้ำไปได้ แต่ พระสารีบุตร ไม่ทำอย่างนั้น ขัดเขมรแล้วกระโดดไป เป็นเหตุให้พระทั้งหลายสงสัยว่า ทำไมอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทำอย่างนั้น ต่อมาสมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า นิสัยเดิมของคนทุกคนนั้นละไม่ได้ เกิดกี่ชาติกี่ชาติ อาการกิริยาที่แสดงเป็นอย่างนั้นเสมอ แม้จะเป็นอรหันต์ก็ตาม ท่านที่จะละนิสัยเดิมนั้นก็มีแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว ในเมื่อเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ละนิสัยเดิมทุกท่าน เหลือแต่พุทธลีลา พุทธลีลาเป็นลีลาของพระพุทธองค์เหมือนกันหมด

    สำหรับเรื่องที่จะพูดต่อไปได้แก่พระพุทธเจ้าทรงปรารภอุบาสก 5 คน เรื่องนี้ก็มีมาในพระธรรมบทขุททกนิกายภาคที่ 3 ที่พูดมาหลายวันเป็นเรื่องภาคที่ 3 ความมีว่า เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่สวนเชตวัน ทรงปรารภอุบาสก 5 คน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า นัตถุ ราคสโม อัคคิ เป็นต้น ผมจะว่าแปลเป็นใจความหรือยัง ใจความที่พระอานนท์ท่านกล่าว ท่านกล่าวได้ยินว่า อุบาสก 5 คนนั้น เป็นผู้ใคร่จะฟังธรรมไปสู่วิหารที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ เรียกว่า เชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็นั่งอยู่ส่วนสุดของในวิหาร ความดำริมีอยู่ว่า เขาคิดในใจ เอาตามหนังสือจะฟังยาก ผู้นี้เป็นกษัตริย์ ผู้นี้เป็นพราหมณ์ ผู้นี้เป็นคนมั่งมี ผู้นี้เป็นคนยากจน เราจะแสดงธรรมให้ยวดยิ่งกว่านี้ จักไม่แสดงธรรมยวดยิ่งแก่ผู้นี้ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แสดงว่าเวลาที่ที่พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมไม่ได้วัดฐานะของบุคคล ใครจะเป็นฐานะอย่างไรก็ตาม ถ้าเห็นควรที่จะแสดงธรรมอย่างไร ขอแสดงเป็นกลาง ๆ คือจับจุดจี้ใจของคนที่จะบรรลุมรรคผล ในฐานะไม่เกี่ยว เกี่ยวอย่างเดียวคือบุญบารมีเดิมมีขนาดไหน จะรับธรรมได้ขนาดไหน จะบรรลุได้ขนาดไหน จะแสดงเลย รวมว่าพระพุทธเจ้ามองคนแค่คน ไม่ได้มองคนรวย มองเป็นเทวดา มีบารมีสูง มองเป็นพรหม ไม่ใช่มองอย่างนั้น มองเท่ากันหมด

    ความมีว่า องค์สมเด็จพระบรมสุคต เมื่อจะทรงแสดงธรรมปรารภบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ย่อมทรงทำความเคารพธรรมไว้เป็นเบื้องหน้า หมายความว่า เมื่อจะแสดงธรรม จะเทศน์ จะเคารพในธรรม ไม่ใช่เคารพในบุคคลแล้วจึงแสดงธรรม นี่เขากล่าวตามบาลีว่า สัทธัมโม ครุกาตัพโพ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเองก็มีความเคารพธรรม ทรงกล่าวว่าประการหนึ่ง เทพเจ้าผู้มีฤทธิ์ บันดาลให้น้ำในอากาศ หลั่งไหลลงอยู่เช่นนั้น (บรรยายไว้แย่เลย) แล้วก็อุบาสกเหล่านั้น ผู้นั่งแล้วในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรม เขานั่งอยู่อย่างนั้น อุบาสกคนหนึ่งนั่งหลับ นี่หากินในทางหลับ แล้วก็คนหนึ่งเขี่ยดินด้วยนิ้วมือ เวลานั่งฟังเทศน์ คนหนึ่งนั่งหลับดี แต่ไม่กรนครอก อีกคนหนึ่งเอานิ้วมือเขี่ยดิน อีกคนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้ อีกคนหนึ่งนั่งแหงนหน้ามองดูอากาศ คนหนึ่งฟังธรรมด้วยความเคารพ นี่ 5 คนนั้นไม่เหมือนกัน แล้วก็ดูนิสัยเดิม

    ต่อมาพระอานนท์ เธอก็ขณะที่ถวายงานพัด คือนั่งพัดให้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า มองดูอาการของอุบาสกทั้งหลายเหล่านั้น เห็นแต่ละคนมีท่าที ท่าทางไม่เหมือนกัน จึงได้กราบทูลสมเด็จพระภควันต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเจริญ พระองค์ทรงบันลือสิงหนาทเหมือนกับมหาเมฆคำรณอยู่ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่อุบาสกทั้งหลายเหล่านี้ แต่ว่าอุบาสกทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสพระธรรมเทศนาอยู่ นั่งทำกรรมอย่างนี้ไม่เหมือนกันพระเจ้าข้า เพราะอะไร พระจอมไตรจึงมีพุทธฎีกาตรัสว่า อานันทะ ดูกร อานนท์ เธอไม่รู้จักอุบาสกทั้งหลายเหล่านั้นหรือ หมายความว่า พระพุทธเจ้าถามไม่รู้อดีตของเขาหรือ พระอานนท์ ตอบว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักพระเจ้าข้า

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาว่า ก็บรรดาอุบาสกทั้งหลายนั้น อุบาสกคนที่นั่งหลับนั่นแหละ เดิมทีเดียวก่อนหน้านี้ไปมีกำเนิดเกิดเป็นงูห้าร้อยชาติ คำว่างู นี่หมายถึงพญานาคด้วยนะ พญานาคก็ถือเป็นงูใหญ่ ต่อมาก็เป็นงูย่อมรองลงมา เขาเกิดเป็นงูห้าร้อยชาติแล้วพาดศีรษะไว้บนขนดเป็นพญานาคแน่ แล้วก็นอนหลับ หลับสบาย แม้ในบัดนี้ความอิ่มในความหลับของเขาย่อมไม่มี เสียงของเราย่อมไม่เข้าไปสู่หูของเขา เห็นไหมพญานาคหรืองูชอบนอนหลับ ในอดีตที่เกิด 500 ชาติ นิสัยอันนั้นมันก็ติดมา เกิดมาชาตินี้ก็ชอบนอนหลับ ฉะนั้นคนที่นั่งคุยก็ดี นั่งฟังธรรมก็ดี แล้วก็หลับง่าย ๆ คนพวกนี้เคยเกิดเป็นพญานาคหรือพญางู ยกย่องให้สูงหน่อยนะ อันจะเป็นเหลนงู หลานงู หลานพญานาคก็ได้

    พระอานนท์จึงกราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเจริญ พระองค์จัดโดยลำดับหรือว่าเป็น ตอน ๆ หมายความว่า 500 ชาตินี่เขาเป็นพญานาคมาตั้ง 500 ชาติ หรือเกิดเป็นพญานาคบ้างแล้วเกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นผีบ้าง เกิดเป็นสุนัข แล้วเกิดเป็นม้า แล้วกลับไปเกิดเป็นพญานาค พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท แท้ที่จริงแม้แต่อำนาจสัพพัญญุตญาณ คือว่าญาณของพระพุทธเจ้ารู้ทั้งหมดนี่ สัพพ แปลว่าทั้งปวง ญู แปลว่า รู้ญาณ ญาณที่รู้ทุกอย่างของพระพุทธเจ้าก็ไม่อาจที่จะกำหนดได้ว่า ความอุบัติของอุบาสกนั้น อุบัติขึ้นในระหว่างหรือว่าอย่างนั้น คือความเป็นมนุษย์ตามกาลเวลา ความเป็นเทวดาตามกาลเวลา ความเป็นนาคตามกาลเวลา แต่ว่าอุบาสกนั้นเกิดแล้วในกำเนิดแห่งนาคทั้งสิ้น 500 ชาติเป็นลำดับ โดยลำดับเลย แม้แต่หลับอยู่ก็ไม่อิ่มในการหลับ หมายความว่า ตถาคตก็รู้ไม่ได้ที่เกิดเป็นนาค แล้วเป็นสลับเป็นคนนั้นไม่รู้ได้ แต่ที่แน่ ๆ นั้น เกิดเป็นนาคจริง ๆ นั้น 500 ชาติแน่

    ต่อไปฝ่ายบุรุษผู้นั่งเขียนแผ่นดินด้วยมือ เกิดในกำเนิดไส้เดือนสิ้น 500 ชาติ โดยลำดับ คือติดต่อกัน 500 ชาติ พญานาคก็ติดต่อกัน 500 ชาติ คนนั้นเกิดเป็นไส้เดือน 500 ชาติ ไส้เดือนเมื่อขุดแผ่นดินแล้วถึงเวลาบัดนี้ นั่งที่ไหนก็เอาเมือเขี่ยแผ่นดิน เขี่ยไปเขี่ยมา หมายความในกาลก่อนเคยเขี่ยแผ่นดินก็เขี่ยต่อไปนี่ นิสัยเดิม ดีนะ

    ต่อไปฝ่ายบุรุษที่เขย่าต้นไม้ ท่านผู้นี้เคยเกิดเป็นลิง 500 ชาติโดยลำดับ 500 ชาติ เกิดเป็นลิงตายแล้วก็เกิดเป็นลิง อันนี้ผมก็สงสัยเหมือนกันนะ สงสัยว่าพวกนี้เคยฆ่าไส้เดือน ฆ่างู ฆ่าลิง เกิดในฐานะเช่นเดียวกันในกรรมเดิมคนละ 500 ชาติ อาจจะเป็นอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า ผมนึก ๆ เอา จนถึงบัดนี้ นิสัยลิงก็ยังมีอยู่ ต้องเขย่าต้นไม้ เขย่าโน่น เขย่านี่ตามความพอใจ ท่านบอกว่าเสียงที่เราแสดงธรรมนั้น ทั้ง 3 พวกนี้เข้าไม่ถึงหูเขา พวกเขี่ยก็นั่งเขี่ยเฉย ๆ พวกเขย่าต้นไม้ก็นั่งเขย่าต้นไม้ พวกหลับก็หลับไป

    อีกคนหนึ่งนั่งแหงนหน้ามองดูอากาศอยู่ ท่านบอกว่าสมัยก่อนเคยเกิดเป็นหมอดู ดูยกเมฆ หมอดูยกเมฆเวลา เขาจะดูเขาแหงนหน้าดูเมฆ เพ่งอาทิตย์ เพ่งเมฆ จะปรากฎขึ้นกี่ครั้งเป็นรูป รูปนี้เขาจะเอาจิตเพ่ง แล้วก็พยากรณ์ ฉะนั้นในชาตินี้ เวลาจะนั่งที่ไหนก็ตาม แกจะเบิ่งลอยตามองสูงอยู่เสมอ แต่ว่า อันนี้ก็เหมือนกัน เสียงเทศน์ของพระพุทธเจ้าไม่เข้าหูเขา เพราะจิตเขาเป็นสมาธิในการแหงนดู ไม่มีผลของการฟังธรรม

    ส่วนพราหมณ์อีกคนหนึ่งตั้งใจฟังโดยความเคารพ พราหมณ์คนนี้แต่ชาติก่อนเป็นพวกเรียนมนต์จบไตรเพท ถึงฝั่งแห่งเวทสาม คือ ไตรเพท นั้นล่ะ เขาจบสิ้น 500 ชาติ คือเป็นนักปราชญ์จบไตรเพทศึกษา จบหลักสูตร 500 ชาติตามลำดับ ถึงบัดนี้ย่อมฟังธรรมโดยความเคารพเป็นดังเทียบ เหมือนเวลาเจริญมนต์ของเขา แต่หนังสือท่านล่อยุ่ง ศัพท์ของท่านต้องเอาหนังสือมาอ่าน ศัพท์ไม่ค่อยลงกันกับสมัยปัจจุบัน

    พระอานนท์ นึงกล่าวทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมเทศนาของพระองค์ย่อมแทรกอวัยวะทั้งหลาย มีผิวหนังเป็นต้นเข้าไป ส่วนเหยื่อกระดูกตั้งอยู่เพราะเหตุไร อุบาสกทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่จึงไม่ฟังโดยเคารพ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานันทะ ดูกร อานนท์ เธอเห็นจะทำความสำคัญว่า ธรรมของเราอันบุคคลฟังได้โดยง่ายกระมัง นี่ฟังให้ดีนะ อันธรรมของพระพุทธเจ้าคนฟังไม่ง่ายเลย คือไม่ได้ฟังง่ายทุกคน ท่านภิกษุสามเณรและท่านพุทธบริษัท เวลาเอาปฎิปทาของเราไปพูด อย่านึกไปว่าเขาเข้าใจทุกคนนะ ฟังให้ดีพระพุทธเจ้าว่าดังนี้ จึงกล่าวว่า พระอานนท์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ก็ธรรมของพระองค์อันบุคคลที่ฟัง ฟังแล้วไม่ยากหรือฟังยากพระเจ้าข้า อันที่จริง พระอานนท์ ท่านฟังเทศน์จบเดียว ท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์นี่เยอะ พวกนี้ฟังง่าย แต่ผู้ฟังยาก มีอยู่ ฟังต่อไป นี่พูดเสียจนเลยเวลาจนได้

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถูกแล้ว อานนท์ คำเทศน์ของเราฟังยาก จึงถามว่าเหตุใด พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ ดูกร อานนท์ คนว่า พุทโธ ก็ดี ธัมโม ก็ดี สังโฆ ก็ดี อันสัตว์ทั้งหลายนี้ได้เคยสดับมาแล้วในแสนกัป หมายความในแสนกัป เกิดมาแสนชาติ เกิดไม่รู้เท่าไรในแสนกัป เขาไม่เคยสนใจเลย แม้ว่าคำ พุทโธ คือพระพุทธเจ้า ธัมโม คือพระธรรม สังโฆ คือพระสงฆ์ ไม่เคยสนใจมาก่อน ถึงมีอยู่แต่ก็ไม่เคยสนใจได้ฟัง เดินเห็นพระพุทธเจ้า ก็เดินหลีกก้มหัวไหว้ โก้งโค้งหลีกก็ไม่มี คำแสนกัปเป็นเอนกมากมายเหลือเกิน ไม่รู้เท่าไรกัปเป็นแสน ๆ ท่านว่า เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จึงไม่สามารถฟังธรรมได้

    อันนี้จำให้ดีนะบรรดาพระทั้งหลาย เณรทั้งหลาย ญาติโยมพุทธบริษัท เวลาไปพูดธรรมะธัมโมกับคนอาจจะถูกด่าก็ได้ ฟังเขาก่อน ถ้าเขาสนใจก็บอก ถ้าเขาไม่สนใจ จงอย่าบอก ฉะนั้นถ้าเขาไม่เชื่อ อย่าฝืน เลิกพูดเลย เหนื่อยเปล่า ๆ โดยสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ฟังเดรัจฉานคาถา เดรัจฉานเขาแปลว่า ขวาง ไม่ได้แปลว่า หมา ใครเขาขวาง เขาเรียกสัตว์เดรัจฉาน เวลามันเดินมันไม่ได้เอาหัวตั้ง มันเอาหัวซุนไปข้างหน้า ขวางทางขวางโลก ฟังเดรัจฉานคาถามีอย่างต่าง ๆ นั้นแหละมาแล้ว เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จึงเที่ยวไปขับร้องบ้าง ฟ้อนรำอยู่บ้าง ในที่ทั้งหลายมีโรงดื่มสุรา ในโรงเหล้าบ้าง โรงยาฝิ่น โรงเฮโรอีนบ้าง สนามที่เล่น เป็นต้น เขาพอใจประเภทนี้

    เรื่องการฟังธรรมไม่ไหวนี่ ผู้ฟังแล้วคิดไปด้วยนะ บางทีบางคนเห็นเขามีศักดิ์ศรีใหญ่ อันเรื่องธรรมะธัมโม ศีลธรรมความดี เขาไม่สนใจ บางคนถึงกับทำลายหลักสูตรความดีของการศึกษาไปแล้วก็มี นี่คนประเภทนี้ฟังไม่ฟังยังทำลายด้วย พระอานนท์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ อุบาสก ทั้งหลายนั้นอาศัยอะไรจึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้

    ลำดับนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูกร อานนท์ อุบาสก ทั้งหลายเหล่านี้ อาศัยราคะ คือผู้คอยกำหนัดยินดีในของสวยงาม ๆ นิ่ม ๆ นวล ๆ อาศัยโทสะ คือมีอารมณ์ไม่ชอบใจในอารมณ์ที่ขวาง แล้วอาศัยโมหะ คือความหลง ความโง่ ความติด อาศัยตัณหา คือความอยาก จึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้ อย่าลืมนะ ราคะ ติดในความรัก โทสะ ไม่ชอบใจ โมหะ โง่ทึมทึก แล้วตัณหา หยาบกิเลสหนัก ท่านว่า ขึ้นชื่อไฟเช่นเดียวกับไฟคือราคะไม่มี ไฟที่เหมือนไฟโทสะไม่มี ไฟใดที่เหมือนกับไฟโมหะไม่มี และเยื่อใยใดจะเหมือนเยื่อใยตัณหาไม่มี ไฟใดไม่แสดงซึ่งเถ้าเถ่าน ไฟใดไม่แสดงแม้กระทั่งเถ้า ขี้เถ้าย่อมไหม้สัตว์ทั้งหลาย แท้จริงแม้ไฟซึ่งยังกับให้พินาศเรียกว่า ไฟบรรลัยกัลป์ ให้ความปรากฎแห่งพระอาทิตย์ 7 ดวงจะเกิดขึ้น ย่อมไหม้โลก ไหม้ให้วัตถุอะไร ๆ ไม่เหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว ไหม้หมด ถึงแม้กระนั้นย่อมไหม้ในบางคราวเท่านั้น ไฟบรรลัยกัลป์ ไฟอื่น มันไหม้เฉพาะเวลาอื่นเท่านั้น ถึงเวลามันจึงไหม้ ไม่ถึงเวลามันไม่ไหม้ แต่ว่าการที่ไฟราคะ จะไหม้ย่อมไหม้ตลอด ฉะนั้นไฟเสมอด้วยราคะก็ดี ไฟเสมอด้วยโทสะก็ดี ไฟเสมอด้วยโมหะก็ดี ไม่มีไฟใดมาสม่ำเสมอได้ มันไหม้ตลอดเวลาขณะที่มีลมหายใจ ชื่อว่า แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาก็ไม่มี ดังนี้ตรัสถามว่า เดี๋ยวคิดก่อน ต้องการหนังสือ ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี ข่ายเสมอด้วยโมหะไม่มี แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี เหลือเวลาอีก 5 นาที เมื่อแสดงพระธรรมเทศนาจบ บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน

    ความมุ่งหมายที่ผมเอาเรื่องนี้มาพูด เรื่องการตัดกิเลสตัณหานะ ผมก็สนใจเหมือนกัน แต่ไม่หนักนัก ความสนใจก็มีว่า ถ้าต้องการหนังสือเกรงว่ามันจะผิด มันดึก เพราะต้องการนิสัยของคน อย่าลืมนะว่า คนจะละนิสัยได้จริง ๆ ก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พระสาวก ละนิสัยไม่ได้ ฉะนั้นบรรดาท่านทั้งหลายที่ฝึกกรรมฐานได้แล้ว สามารถทำ ทิพจักขุญาณให้ปรากฎ คำว่าทิพจักขุญาณ อย่าไปนึกว่า ลูกตาเป็นทิพย์นะ มีญาติโยมที่ราชบุรี วันนี้เอง มาปรารภว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้ทิพจักขุญาณ ได้แต่อาศัยความรู้สึกของจิต ความจริงทิพจักขุญาณก็คือความรู้สึกของจิต ทิพจักขุญาณ ไม่ใช่ทิพเนตร แล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ตาทิพย์ ใจมันเป็นทิพย์ ความรู้สึกถูกต้องเหมือนกับตาทิพย์ ครั้นได้แล้ว เวลาเราต้องการดูนิสัยคน คนปัจจุบัน ถ้าเราใช้กำลังของอตีตังสญาณ ถ้าปุพเพนิวาสานุสสติญาณ มันดูตัวเราเองตลอดครบถ้วน ถ้าคนอื่นใช้ อตีตังสญาณ ญาณในอดีต อยากทราบว่า คนนี้ในอดีตเกิดเป็นใคร เกิดเป็นอะไรมา แล้วก็ดูนิสัยเดิม ขอดูภาพเดิมว่า เขาแสดงอาการนิสัย จิตใจเป็นยังไง ท่าทางลีลายังไง ชอบอะไร ชอบสวยสดงดงาม ชอบกินของสด ของคาว ชอบกินผลไม้ นิสัยเรียบร้อย นิสัยกระโดกกระเดก อันนี้มันไม่ทิ้ง บางคนก็ชอบจัดดอกไม้ ชอบจัดกลีบผ้า บางคนก็ชุ่ย ๆ

    เมื่อดูนิสัยเดิมแล้วก็ถามเขา อย่าไปบอกว่าเราดูนะ ถามว่านี่ถามจริง ๆ เถอะ ชอบอย่างนี้ไหม ชอบอย่างนั้นไหม เฉพาะจุดที่เขาชอบมาในชาตินั้น ถามมาเยอะแล้วตรงเป๋งทุกราย นี่ผมไม่ได้อวดว่าผมวิเศษนะ ผมเห็นแล้ว ผมก็ถาม นี่ชอบอย่างนี้ไหม มีอยู่คนหนึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแกศึกษาอะไรมาก่อน มองไปมองมาก็เห็นภาพคน ๆ นี้เป็นช่างดอกไม้จัดดอกไม้สวยสดงดงามในสำนักมาก่อน สำนักคือ ในที่อยู่มาก่อน พอท่านบอกท่านยืนยันผมก็ถามว่า ชาตินี้ชอบจัดดอกไม้สวย ๆ ไหม แกก็ไม่รู้จัดสวยอะไร แกก็บอกว่าชอบมาก ทำเก่งด้วย แล้วก็หลายราย บางคนก็ถามว่า โอ้โฮ นี่โยม ตามปกติชอบทำอะไรว่องไวใช่ไหม แกก็บอกว่ายอมรับ จะนึกว่าคนทุกคนว่องไวทุกคน บางคนช้ายืดยาดก็มี

    มีบางคนเจอเข้า เออเฮอะเห็นปั๊บ แหม คนนี้ดอกเตอร์แฟบ ดอกเตอร์แฟบมันดอกเตอร์ผงซักฟอก แกมี ราคาจริต ราคะจริต ไม่ใช่มักมากในกามคุณ คือเป็นคนชอบสวยชอบงาม ต้องมีระเบียบทุกอย่าง เครื่องแต่งกายสะอาด ทุกอย่างสะอาดหมด ทำงานทุกอย่างต้องตรงตามเวลา ขึ้นชื่อว่าระเบียบยกให้ผมเลย แต่งตั้งให้ชื่อดอกเตอร์แฟบคือคนสะอาดมาก สะอาดทั้งวัตถุ สะอาดทั้งร่างกาย สะอาดทั้ง กิจการที่จะต้องทำ คนตรงเวลาเป็นคนสะอาด พอดูลีลาแล้วถามว่า ชอบอย่างนี้ใช่ไหม เขาก็ตอบว่าใช่ ขอบรรดาท่านทั้งหลาย วิชาความรู้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้ จงใช้ให้เป็นประโยชน์กับเรา ใครเขาจะหาว่าอวดอุติมนุสสธรรมก็ช่างเขาเถิด เรารู้ เราทำเราทำได้ สำหรับคนที่ทำไม่ได้ หูหนวก ตาบอดเขาจะว่าคนดี หูดี ตาดี มันเลวก็ช่างหัวมันเถิด จะคำนึงถึงอะไรกัน ความรู้ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าให้มาไม่ได้ใช้กัน แล้วจะไปว่าคนที่เขาใช้ ก็เหมือนกับคนขี้เกียจไม่มีอะไรกิน ไปอิจฉาคนขยันที่เขามีกินก็ไม่ถูก ความเลวของเขา เราอย่าสนใจ สนใจอย่างเดียวคือพระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างไร พยายามทำให้มาก ทำไม่ได้มากสัก 1 ในล้านขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าให้ก็ดีถมไป เลานี้ก็ขอขอบใจ บรรดาญาติโยมฆราวาสเก่งกันมาก จนกระทั่งเจอะพระในนรกที่รู้จักกันเป็นแถว เป็นแถว เข้าใจว่า ต่อไปบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีความเข้าใจในกระแสการทำบุญยิ่งขึ้น

    สัญญาณบอกเวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาพุทธศาสนิกชน ภิกษุ สามเณร ผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี. ๚ะ <!-- #EndEditable -->
    <TABLE style="BORDER-TOP: dimgray 1pt dotted" width="100%"><TBODY><TR><TD align=left><!-- #BeginEditable "pNav" --><!-- #EndEditable --></TD><TD align=right><!-- #BeginEditable "nNav" --><!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE><SCRIPT language=javascript src="../../js/getmethod.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript> if ( parent.onwrap == undefined){ $a = getMyName(); window.location.href = 'content.html?'+$a[0]; }</SCRIPT><!-- #EndTemplate -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...