พระพุทธโอวาท (โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    [​IMG]
    <TABLE style="WIDTH: 459px; HEIGHT: 2646px" borderColor=#0000ff cellSpacing=2 cellPadding=2 width=459 border=1><TBODY><TR><TD align=middle>พระพุทธโอวาท (โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)</TD></TR><TR><TD align=left> วันที่ 2 สิงหาคม 2506 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 9 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา มาทรงประทับยืนให้เห็นมีฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการ ผ่องใส แล้วสมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า สัมพเกสีเอ๋ย เธอจวนจะเสร็จกิจในพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว กิจอื่นของเธอไม่มีอยู่แล้ว มันยังเหลืออยู่นิดหน่อย ในระหว่างนี้จงพิจารณาความตายให้มาก อย่าสนใจกับกายของเรา อย่าสนใจกับกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุใด ๆ เราตายแล้วเรานำไปไม่ได้ เธอจงพิจารณาขันธ์ 5 ให้ละเอียด อย่าข้ามแม้แต่จุดเล็ก ว่ารูปก็ดี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี มีอะไรบ้างที่เป็นของเรา วางภาระมันเสียให้หมด อย่ากำหนดว่ามันเป็นของเรา เป็นของเรา
    ท่านมหากัจจายนะมาบอกว่า การทำจิตพิจารณาขันธ์ 5ละเอียดนั้น ได้แก่การเข้าสมาธิให้ถึงที่สุดแล้วพิจารณาขันธ์ ถ้าจิตมันเกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านในระหว่างพิจารณา ให้วางภาระในการพิจารณาเสีย จิตจับสมาธิตามเดิม ให้จิตมีอารมณ์ทรงตัว ให้มันทรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทรงได้ จิตใจผ่องใส มีจิตเป็นเอกัคตา คือ มีอารมณ์เฉยเป็นหนึ่ง แล้วก็จับจิตถอยลงมาอีกนิดหนึ่ง ใช้อารมณ์คิดพิจารณาขันธ์ 5 ให้ทำถอยหน้าถอยหลังไปอย่างนี้ ไม่ช้าจะจบกิจพระพุทธศาสนา เวลานี้กำลังใจของเธอเหลืออีกนิดเดียว คือ เยื่อใยที่มีความสำคัญมาก นั่น ได้แก่ อวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ ฉันทะ จงอย่าพอใจในมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ราคะ จงใช้ปัญญาพิจารณาว่า มนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ไม่มีอะไรสวย ไม่มีอะไรดี มันเป็นที่ขังของความทุกข์
    วันที่ 2 สิงหาคม 2506 วันนี้ตอนเช้า องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่าอีก 3 วัน อย่างช้าจะได้อนาคามี พระพุทธองค์ท่านมีพระพุทธโอวาทนี้ เคยให้ไว้ก่อนว่าการบรรลุนั้นใครกำหนดแน่นอนไม่ได้ สุดแล้วแต่การปฏิบัติ วันนี้ได้ไปที่เมรุอีก เดินจงกรมแล้วทำจิตใจวิปัสสนา วันนั้นปรากฏว่าฝนตกหนัก กลับมากุฏิ จิตสบายมาก อากาศมันเย็น เกิดความชุ่มฉ่ำทั้งร่างกาย ทำให้จิตเป็นปกติ เมื่อจิตสบายมากสมาธิทรงตัว ท่านเล่าว่ากลับมากุฏิแล้วเข้าอภิญญาผลสมาบัติ ได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทานโอวาทว่า ขณะนี้เธอถึงอนาคามีผลแล้วตั้งแต่เวลา 19.03 น. เป็นอันว่าในช่วงที่ท่านเดินจงกรมอยู่นั่นเอง อารมณ์ก็เข้าถึงอนาคามีผล
    วันที่ 3 สิงหาคม 2506 วันนี้ตอนเช้าเข้าอภิญญาสมาบัติหนัก ได้ผลเป็นพิเศษ เวลาค่ำเมื่อเอนตัวนอนเจริญวิปัสสนาต่อ ได้พบพระใหญ่ คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่องค์ท่านใหญ่มาก เห็นจะเป็นพระพุทธกัสสป ท่านสังเกตว่า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระวรกายก็ใหญ่ แต่เวลาพระพุทธกัสสปเสด็จท่านรู้สึกว่าใหญ่กว่ามาก ท่านทรงยิ้ม ตอนนี้หลวงพ่อท่านนั่งเจริญสมาบัติ สังเกตว่าท่านทำทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดินจงกรมก็เอา จงกรมมากเมื่อยขาก็ยืนเฉย ๆบ้าง นอนบ้าง นั่งบ้าง ว่าดะ อิริยาบถสี่ไม่คลาด จิตทรงสมาบัติตลอดวัน ท่านมีไม้ติดหินหลายอัน คือ ไม้ติดอยู่ที่หินหลายอัน แล้วพระใหญ่มาถึงท่านก็หยิบไม้ไปเกือบหมด เหลืออยู่อันเดียว ท่านจึงได้กราบทูลถามพระใหญ่ท่านว่า ทำไมไม่เอาไปให้หมดขอรับ พระใหญ่ท่านก็บอกว่า อวิชชายังไม่เอาไป จะทิ้งไว้ที่นี่ก่อน มันยังหนา มันยังหนัก ยังไม่เกลี้ยงไม่เกลา ยังไม่สะอาด อวิชชานี่ฉันยังไม่เอาไป จะทิ้งไว้ที่นี่ จะเอาไปเมื่อถึงเวลาสมควร
    เช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2506 วันนี้แจ่มใสมาก เริ่มตั้งแต่เวลา 9 น. เข้าพระกรรมฐานธรรมดาจนถึงที่สุด แล้วก็ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ เข้าอภิญญาผลสมาบัติพบพระโมคคัลลานะ แล้วก็ท่านมหากัจจายนะ ท่านอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาทั้งสอง แล้วก็พบหลวงพ่อปาน ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงให้โอวาทว่า จิตของเธอเหลืออวิชชาเท่านั้น นอกนั้นผ่องใสบริสุทธิ์แล้ว ระหว่างนี้เป็นโคตรภูของอรหัตมรรค
    พระองค์ตรัสว่าให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งไม่มีอะไรเป็นของจริง เป็นของสมมติทั้งหมด ไม่มีอะไรแน่นอน ย่อมสลายตัวไปหมด ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ต้องพลัดพรากจากกันหมด ฟังแล้วคิดดูว่าร่างกายของเราเป็นนาย ก. นาย ข. ชื่อของเราก็นาย ก. นาย ข. มันก็สมมุติ ร่างกายของเราเป็นชายเป็นหญิงเราก็สมมุติมันมา ร่างกายมันทรงขึ้นมาแล้วมันก็พัง ไม่มีอะไรเหลือ สลายตัวหมด แล้วทุกสิ่งร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ทรัพย์สินทั้งหลายในโลกก็ดี มันไม่ใช่ที่พึ่งของเรา ในที่สุดเราคือจิต ก็ต้องพลัดพราก จากมันไป
    แล้วท่านโมคคัลลานะ ก็อธิบายว่า ให้วิจัยถึงเหตุ เมื่อเห็นของที่เป็นรูป ให้วิจัยว่ารูปนั้นมาจากอะไร รูปตัวนี้มันมาจากอะไร รูปที่มีชีวิตมันมาจากธาตุสี่ ธาตุสี่มันทำอย่างไรมันถึงจะเกิด เรามานั่งนึกว่าธาตุ 4 นี่มันทรงตัวไหม มันทรงตัว มันเป็นนิจจังหรืออนิจจัง เป็นทุกขังหรือเปล่า ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ร่างกายเป็นธาตุ 4 สำหรับเรา แล้วมันก็อนัตตา ธาตุ 4 มันสะอาดหรือสกปรก ท่านบอกว่า คน คนมาจากอะไร แล้วมันเป็นคนอยู่ตลอดไปไหม ธาตุ 4 มันทรงตัวตลอดไปไหม คนมาจากอะไร คนมาจากคน แล้วคนที่เกิดเป็นคนมาได้ก็มาจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มันมาจากความชั่ว การที่จะเกิดเป็นคนได้เพราะอาศัยเราคบความชั่ว กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมจึงมาเกิดเป็นคน แล้วอยากจะไปสนใจกับความเป็นคนต่อไปเพื่อประโยชน์อะไร ทำลายความชั่วมันเสียซิ ท่านบอกว่า บ้านเรือนโรงมาจากอะไร ท่านบอกว่าบ้านเรือนโรงมาจากวัตถุธาตุ เป็นชิ้นเป็นอันมาประกอบกันเข้าเป็นบ้านเรือนโรง คนก็เหมือนกัน มาจากอาการ 32 ธาตุ 4 นี่ก็เหมือนกัน มันก็มาจากส่วนหนึ่งที่ผสมกัน แล้วก็พิจารณาหาสภาพความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่มันไม่มีอะไรทรงตัว มันแตกสลายหมด
    พระโมคคัลลานะท่านบอกว่า จงพิจารณาให้เห็น เมื่อเห็นของที่เป็นรูป ให้วิจัยว่ารูปนั้นมาจากอะไร คนมาจากอะไร บ้านเรือนโรงมาจากอะไร แล้วพิจารณาหาสภาพของความเป็นจริงว่ามันต้องแตกสลายหมด แล้วว่าพระอรหันตผล จะมาก่อนเวลาที่คิดไว้ พอฟังขึ้นมาก็ครึ้ม ๆ พอครึ้มปั๊บก็เข้าใจทันทีว่า เอ๊ะ นี่เราบ้าแล้วหรือ เราได้แล้วหรือนี่ ท่านว่า ไอ้เจ้าเม่งเอ๋ย ท่านด่าตัวเอง เอ็งฟังแต่คำพูด เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นพระอรหัตผลแล้วหรือ เอ็งนี้มันเลวจัด เจ้าเม่งจงรู้จักตัวว่าเอ็งนี่มีสภาพเพียงกิ้งก่าเท่านั้น จงอย่าทะเยอทะยานคิดว่าเจ้าเป็นช้างสารที่เข้าสู่สงคราม เจ้ายังมีอารมณ์หวั่นไหว คือ เจ้ายังแพ้อำนาจของอวิชชาอยู่ สมเด็จพระบรมครูทรงบอกเอง เจ้าจำได้ไหมเจ้าเม่ง ถ้าจำไม่ได้จงฟังข้า ข้าพูดให้เอ็งฟังว่าเจ้ายังแพ้อำนาจของอวิชชาอยู่ ถ้าเอ็งอยากเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูห้ำหั่นอวิชชาให้แหลกไป หรือ ความเป็นพระอนาคามีก็พร้อมแล้ว แค่นี้พร้อม ตอนนี้สู้ยันตาย เอาให้หนัก สู้มานาน
    พอคิดเท่านี้ฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการปรากฏ เป็นองค์สมเด็จพระบรมสุคต มาไวมาก ทีแรกแต่ก่อนเห็นฉัพพรรณรังสี ประเดี๋ยวหนึ่งพระองค์ก็ปรากฏ นี่เห็นแสงนิดหนึ่ง พระองค์ก็ปรากฏทันทีบอกว่า สัมพเกสีเอ๋ย ลูกผลข้างหน้าได้แน่ ตัดสินใจอย่างนั้นไม่ถูกนะลูกนะ ห้าวหาญเกินไป เร่งรัดเกินไป ผลจะยับยั้งอยู่แค่นี้ เจ้าจะไม่ได้อรหัตผลแล้วกันเราจะบ้าเอาจริง ๆ เสียหน่อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยับยั้ง ต้องเชื่อ พระองค์พูดอะไรมาทั้งหมดต้องเชื่อทุกอย่าง ก็กราบถวายนมัสการขอประทานอภัย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ธรรมใดที่อง์หลวงพ่อบรรลุขอให้ลูกทรงธรรมนั้นด้วยเทอญ

    ขออนุโมทนากับหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...