ประสบการณ์ธรรมบททดสอบขันธ์ ๕

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บดินทร์จ้า, 26 กรกฎาคม 2012.

  1. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ประสบการณ์ที่ ๙๑
    บททดสอบรูปขันธ์
    ณ.ค่ำคืน วันหนึ่งสมาธิอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ มีลักษณะกึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ปรากฏว่า กายวิญญาณ ได้หลุดออกจากร่างไปปรากฏ ณ. สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโกดังร้างว่างเปล่า มี ๒ ห้องติดกัน ข้าพเจ้ายืนอยู่ห้องหนึ่งเป็นห้องที่สว่างโล่ง อีกห้องหนึ่งปิดมืดทึบไม่สามารถมองเห็นสิ่งของหรืออะไรที่อยู่ภายในได้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกใจ เอ๊ะ...! เจ้าจิตนี่กำลังทำอะไรอีกแล้ว(จิต เห็น จิต)
    พอซักพักหนึ่งข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเดินอยู่ในห้องมืดนั้น
    ข้าพเจ้าจึงได้ร้องตะโกนถามไปว่า ใครหรือ ?ทำอะไรอยู่ในห้องนั้น ........เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ
    เอ สงสัยจะไม่ได้ยิน (พูดกับตนเอง)ข้าพเจ้าจึงได้ร้องตะโกนถามไปอีกเป็นรอบที่ ๒ ว่า คนหรือ ?
    ก็เงียบอีกไม่มีเสียงตอบใดๆ เอ๊ะ...สงสัยจะไม่ได้ยินเสียงมั่ง เสียงเราอาจจะเบาไป
    ข้าพเจ้าจึงได้ร้องตะโกนถามไปอีกเป็นรอบที่ ๓ รูปหรือ ?พอซักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงตอบออกมาว่า
    ถูกต้องแล้ว นี่คือ รูป ไม่ใช่สัตว์บุคคลใดๆทั้งสิ้นเป็นเพียงสักแต่ว่า รูปเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเสื่อมสลายไปในที่สุด อย่าพึงเห็นเป็นมนุษย์ เป็นบุคคล หรือ เป็นสัตว์ ให้เห็นเป็นเพียงสักแต่ว่า รูปเท่านั้น
    ประสบการณ์ที่ ๙๒
    บททดสอบเวทนาขันธ์
    เมื่อผ่านบททดสอบรูปขันธ์รูปแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินออกจากโกดังร้างนั่น
    พอออกมาภายนอกโกดังก็พบเห็นป่ารกทึบที่อยู่ภายนอกโกดังนั้น ในขณะที่จะออกมานั้น ใจก็รู้ว่า บททดสอบต่อไปนี้นั้น คงจะเป็นเรื่องของเวทนาแน่ๆ ในขณะที่คิดไปนั้น ก็เดินออกมาข้างนอกโกดัง เข้าไปยังป่ารกทึบนั่น ด้วยความที่เป็นป่าทึบ จึงเดินตกหลุมลึกที่มีลักษณะราดชัน เหมือนเนินเขาสูง มีป่าหนามอยู่ตรงหน้า ร่างกายก็กลิ้งลงในลักษณะนอนกลิ้งขวางลงมาจากเนินสูงนั่น ด้วยความที่เคยโดนทดสอบเรื่องของเวทนามาบ่อยแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งที่จะเกิดต่อไปนี้เป็นเวทนาในกองป่าหนามแน่ๆ
    ในขณะที่ร่างกายกลิ้งลงมาปะทะกับป่าหนามใหญ่นั่น เวทนาก็เกิดขึ้นอย่างแรง แต่ข้าพเจ้าก็ใช้ความอดทน เพราะรู้ว่าเวทนานี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ข้าพเจ้าจึงได้แต่ภาวนาว่า เวทนา เวทนา เวทนา จนขาดใจตายตรงป่าหนามนั่นเอง
    จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กลับฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับได้ยินเสียงดังออกมาจากทางด้านข้างๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเหลียวมองดู ก็ไม่ปรากฏพบที่มาของเสียงนั่น เสียงนั่นกล่าวว่า “ผ่าน...ไปได้”
    ประสบการณ์ที่ ๙๓
    บททดสอบสัญญาขันธ์
    หลังจากที่ได้ผ่านบททดสอบเวทนาขันธ์แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มาปรากฏกายที่บ้าน ที่เป็นห้องแถวหลังหนึ่งเคยไปเที่ยวเล่นตอนเด็กๆ ฝั่งตรงข้ามกันนั้นเป็นโรงหนังเก่าประจำอำเภอ ข้าพเจ้าจำได้เมื่อตอนเด็กๆ แต่ปัจจุบันนี้มิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว มีความเจริญมาก (นี่ล่ะสัญญาไม่เที่ยง อดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกัน)
    จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินลัดเลาะไปด้านหลังซึ่งมีบ้านอยู่อีกหลังหนึ่ง เช่นกัน ข้าพเจ้าก็เคยเข้าไปวิ่งเล่นในวัยเด็ก ณ.บ้านหลังนี้ แต่พอเดินเข้าไปแล้ว กลับนึกไม่ออกว่าเป็นบ้านของใคร ในขณะที่เดินสำรวจภายในบ้านหลังนี้นั้น ก็พยายามที่จะนึกให้ออก แต่ก็นึกไม่ออก จนกระทั่งได้เดินมาหยุดที่บริเวณแอ่งน้ำเน่าเสีย สายตาก็มองดูซักพักหนึ่งเพราะมันคุ้นๆ แต่พอมองได้ซักพักหนึ่ง จมูกก็ได้กลิ่นเหม็นที่รุนแรง ชวนให้คลื่นใส้ จากแอ่งน้ำนั่น
    ข้าพเจ้าจึงได้เดินหลีกออกมาจากบริเวณนั่น ในใจก็ยังคงพยายามนึกให้ได้ว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครกันแน่ แต่ก็ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดี ข้าพเจ้า จึงได้ออกมาบริเวณนอกบ้าน ดูตัวบ้านภายนอกอีกครั้ง พร้อมกับเดินสำรวจข้างๆบ้าน นั้นไปด้วย พอเดินไปซักพักหนึ่ง ก็ถึงบางอ้อ อ้อ...บ้านป้าคนนี้นี่เอง
    เมื่อข้าพเจ้านึกออกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาข้างๆอีกเช่นกัน เมื่อเหลียวมองหาที่มาของเสียงนั่น ก็ไม่ปรากฏมีตัวตน เสียงที่ดังออกมานั่นพูดบอกว่า “ถูกต้อง นั่นแหละ สัญญา”
    ประสบการณ์ที่ ๙๔
    บททดสอบสังขารขันธ์
    หลังจากผ่านบททดสอบสัญญาขันธ์แล้ว ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านเข้าไปในตลาด มองเห็นหญิงวัยชรา ยืนอยู่หน้าบ้าน และหันหลังมาทางข้าพเจ้า พอซักพักก็เดินเข้าไปในบ้าน เมื่อข้าพเจ้าเห็นหญิงวัยชรานั่นแต่ไกล ข้าพเจ้ามีความเข้าใจว่าน่าจะเป็นย่าของข้าพเจ้าเอง (ท่านเสียชีวิตนานแล้ว) ข้าพเจ้านั้นมีความดีใจมาก จึงรีบเดินตามหลังเข้าไปหา ในบ้านหลังนั้น พอเข้าไปใกล้ๆข้าพเจ้าก็แปลกใจ ชักไม่แน่ใจว่าเป็นย่าของตน ข้าพเจ้ามองดูด้านหลังเหมือนจะใช่ แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆแล้วทำไมร่างกายนั้นกับเหมือนเป็นบุรุษไปได้ ข้าพเจ้าจึงไม่กล้าเข้าไปทักทายเพราะกลัวว่าจะทักผิดคน
    เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงมองไปรอบๆภายในบ้าน เพราะชักไม่แน่ใจว่าเป็นบ้านของย่าข้าพเจ้าหรือเปล่า(อดีตเป็นบ้านไม้ ปัจจุบันเป็นบ้านตึก) ทันใดที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ได้พบเห็นคล้ายกับเด็กผู้ชายตัวเล็ก คนหนึ่งอยู่ในบ้าน แต่ก็มองไม่ค่อยถนัดนัก ข้าพเจ้าจึงได้เดินตรงเข้าไปหาเด็กนั่นที่กำลังก้มหน้าดึงมะพร้าว อยู่ที่กองมะพร้าวนั่น แต่พอเดินไปถึงกับพบว่าร่างของเด็กนั่นแปรเปลี่ยนไปเป็นลิง พอลิงตัวนี้นั้นเห็นข้าพเจ้าก็ตกใจวิ่งหนีหายไป
    ข้าพเจ้าก็แปลกใจมาก แล้วก็ยืนทำท่างงอยู่ซักพักหนึ่ง………
    ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ร้องอ้อ นี่ล่ะคือ สังขาร(การปรุงแต่งของจิต) เมื่อข้าพเจ้ารู้คำตอบแล้ว ก็ปรากฏมีเสียงดังมาอีกครั้งว่า ถูกต้อง นั่นแหละ สังขาร
    ประสบการณ์ที่ ๙๕
    บททดสอบวิญญาณขันธ์
    ทีนี้ก็เหลือตัวสุดท้ายของบททดสอบขันธ์ คือวิญญาณขันธ์ ข้าพเจ้าก็ได้เดินออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง เพื่อไปบ้านอีกหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน ในขณะที่เดินออกมานั้น ข้าพเจ้าก็ได้ พบเห็นอาผู้ชายของข้าพเจ้าเดินอยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้าจึงเดินเข้าไปทักทาย
    พร้อมกับถามอาว่า “อา จะไปที่ไหนครับ”
    อาของข้าพเจ้า ก็ตอบว่า “อากำลังไปบ้านตรงข้าม”
    “อ้อ ผมก็กำลังไปบ้านตรงข้ามเหมือนกัน”
    จากนั้น ๒ คนอาหลานก็พากันเดินเข้าไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งลักษณะของตัวบ้านนั้นเป็นบ้านไม้ ๒ชั้น ระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น
    อาของข้าพเจ้าก็พูดกับข้าพเจ้าว่า
    “เก่งมาก บททดสอบใกล้จะจบแล้ว อย่าลืมไปลงในคอมพิวเตอร์ให้เขาอ่านกันด้วยนะ คอมพิวเตอร์ของเรานั้นก็เก่าจนพังหลายรอบแล้ว ก็ยังอุตสาห์ซ่อมและ หาคอมพิวเตอร์ตัวใหม่มาพิมพ์เผยแพร่ธรรมมะอีก ดีมาก”
    พอพูดจบ ก็เดินเข้าไปถึงภายในบ้านไม้ ๒ ชั้นนั่น ไปหยุดตรงบริเวณทางขึ้นชั้นสอง(ชั้นสองเป็นชั้นลอย) อาของข้าพเจ้าก็บอกให้ข้าพเจ้ารออยู่ข้างล่าง อาจะขึ้นไปข้างบนหยิบของส่งลงมาบริเวณชั้นลอยน่ะ ให้ยืนรอรับของตรงบริเวณชั้นลอยน่ะ
    ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “ครับ ผมจะยืนรออยู่บริเวณนี้”
    ข้าพเจ้าก็ยืนรออยู่นาน เห็นเงียบผิดปกติ จึงคิดในใจว่านี่ก็ใกล้ครบขันธ์ ๕แล้วนี่ เหลือเพียงวิญญาณเท่านั้น จะโดนทดสอบอะไรอีกหน่อ พอคิดจบก็แหงนมองขึ้นไปบริเวณชั้นลอย ที่เขาจะส่งของลงมา ก็ได้ปรากฏร่างคน ๒ คน เป็นหญิงและชาย พยายามแบกกระจกบานใหญ่ โยนลงมาใส่ข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้ามิทันจะได้ตั้งตัวหลบ ผลคือกระจกนั่นก็หล่นลงมาใส่ข้าพเจ้าปาดเข้าไปที่คอของข้าพเจ้าโดยตรง ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนโดนของคมปาดมาที่คอจริงๆ พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ ของบุคคลทั้งสองนั่น ข้าพเจ้าก็ล้มลงนอนหายใจรวยรินใกล้จะขาดใจตาย
    หูของข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงของบุคคลทั้งสองพูดกันว่า
    “ดีๆ เอามันให้ตาย เก่งดีนัก”
    จากนั้นบุคคลทั้งสองก็ได้ลงมาด้านล่าง แล้วตรงมาจับที่คอของข้าพเจ้า พยายามที่จะดึงคอของข้าพเจ้าให้ขาดออกจากลำตัว ในขณะที่ข้าพเจ้าก็ยังหายใจรวยรินอยู่ แต่ข้าพเจ้าก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง และ มิได้หวาดกลัวถึงความตายนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจร่างกายนี้ ว่าจะเกิดเวทนาเพียงใด ใจก็กำหนดแต่คำบริกรรมว่า “วิญญาณ วิญญาณ วิญญาณ”
    พอกำหนดลมหายใจ พร้อมบริกรรมได้ซักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ร้องอ้อ
    เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปจึงมีวิญญาณ หากว่านามรูปไม่มีแล้ว ก็ไม่ต้องมีวิญญาณ วิญญาณก็ดับเมื่อวิญญาณดับ นามรูปก็ดับ สฬายตนะดับ ผัสสะดับ เวทนาดับ ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ ภพก็ดับ ชาติคือความเกิดก็ดับ เมื่อไม่เกิดก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย
    จากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมาในลักษณะเหมือนมีใครกำลังพยายามดึงคออยู่ แต่ข้าพเจ้าก็มิได้สนใจ ลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับทบทวนสิ่งที่ประสบพบมาในค่ำคืนนี้ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย พอเป็นพิธี พร้อมกับหัวเราะเบาๆ แบบชอบใจในสิ่งที่ประสบพบเจอมาในค่ำคืนนี้
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เวรกรรม !!

    ไม่ใช่เลย เห็นจิตในจิตเนี่ยะ มันต้องเห็น ตัวจิตที่กำลังเอ๊ะ กำลังอ๊ะ ต่างหาก
    หากเห็นตัวนี้ได้ นิมิตก็หยุดตรงนั้น กลับมามีสัมปชัญญะ อยู่กับกายกับใจ ในภูมิ
    ปรกติ ไม่ใช่ภพเล็กภพน้อย

    แล้วจะเห็นได้ต้องยกว่า จิตออกไปเห็นนิมิตนี้ ห้ามไม่ได้ ที่มันออกไปเพราะ โมหะ
    กรุ้มรุมจิต ไม่เชื่อ ลองพิจารณา ตอนจิตมันเอ๊ะจิตทำอะไรอีกแล้ว ดุให้ทัน พอมัน
    เอ๊ะแล้ว จิตมันแบะท่าเอออวยทันที นั่นแหละ เรียกว่า หยั่งลงสูครรภ์ หยั่งลงสู่โยนี
    ที่เรียกว่า ไหลลงต่ำ หลังจากนั้น ก็เมาอยู่กองวัฏมายามาทับถม วัฏภูมิปรกติ พอ
    ออกมาก็แยกไม่ออกว่า วัฏไหนจริง ไหนเท็จ ล้มประดาตาย



    **************

    บททดสอบเรื่อง รูปก็ไม่ใช่ เพราะ ทันที ที่ส่งเสียงร้องทักว่า นั่นใคร ตรงนั้น
    พยายาบวิตก ครอบงำแล้ว จิตเป็นอกุศลไปแล้ว หลังจากนนั้น จึงเป็นเรื่องที่
    เรียกว่า เหลวไหล คนละเรื่องการกับเห็นรูป ที่จะต้องย้อนกลับมาเห็นกายตน
    นั้นสลายเป็นมหาภูตรูป4 และในมหาภูตรูป4ก็ไม่มี ส่วนไหนบอกว่าเป็นตน ดิน
    ไม่ใช่ตน น้ำไม่ใช่ตน ไฟไม่ใช่ตน ลมไม่ใช่ตน ไม่มีตัวตนมาแต่ไหนแต่ไร ก็จะ
    ชนเข้ากับ อุปทานธรรม พอเห็นอุปทานธรรม อารมณ์อุปทาน ขันธ์ถึงจะ
    กระจายออก แล้วจะเห็น รูป หรือไม่ ก็ยังไม่แน่ไม่นอน หากเห็นได้ จะต้อง
    กลายเป็นพวกแปลงร่างได้ ทำหนึ่งคนให้มีหลายคนได้ เมื่อทำได้แล้วก็ไม่ติด
    ข้องในปัญญานั้นๆ แต่ถ้าทำได้แล้ว เกิดการติดข้อง ฝุ้งเฝ้อเห่อเหิมสำคัญ
    ว่าตนมีญาณ ก็เรียก หลงในรูป ล่วงรูปสัญญาไม่ได้ ซึ่งก็คือ ไม่แจ้งในรูป

    ************

    ที่เหลือยกไว้ จัดว่า ภาวนาแยกรูปแยกนามยังไม่ได้ เป็นเพียงแต่ การหลงภพ
    บางอย่าง โดยมี ธัมมธัจจะอยากเล่า อยากคุย เป็นหัวหน้าโจร !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...