ประวัติ ชื่อเสียง เกียรติคุณ ท่านพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย naruphol, 19 พฤศจิกายน 2007.

  1. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,074
    ประวัติ ชื่อเสียง เกียรติคุณ ท่านพระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    อดีต ก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีต และอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเราก็หมดไป สิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป



    นามเดิม ญาน กำเนิด 16 ม.ค. 2430 สถานที่เกิด จ.เลย อุปสมบท อุปสมบท ณ วัดบ้านสร้างถ่อ อ.หัวตะพาน จ.อุบลราชธานี เมื่อพ.ศ. 2452 มรณภาพ 2 ก.ค. 2528 อายุ 99 ปี 77 พรรษา
    หลวงปู่สืบเชื้อสายมาจากชาวหลวงพระบาง ราชธานีเดิมของราชอาณาจักรลาว หลวงปู่บวชเณรเมื่ออายุได้ 12 ปี ตามคำขอร้องของมารดา และยาย ซึ่งขอให้หลวงปู่บวชตลอดชีวิต
    นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการกำเนิดอริยะสงฆ์อีกองค์หนึ่ง ของไทย

    หลังจากบวชได้ 2 ปี หลวงปู่ได้เข้าพำนัก และฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดบ้านสร้างถ่อ ต.หัวตะพาน จ.อุบลราชธานี ซึ่งมี พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นเจ้าอาวาส
    กระทั่งอุปสมบทจึงได้ออกธุดงค์แสวงหาสัจธรรมตามป่าเข าต่างๆ หลายแห่ง และเข้ากราบนมัสการ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พระอาจารย์มั่น ได้กล่าวคำสอนแก่หลวงปู่ว่า "ต่อไปนี้ให้ภาวนา ความรู้ที่เรียนมาให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน"
    เพียงคำพูดเดียวนี้เอง หลวงปู่เกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระอาจารย์มั่น และถวายตนเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นในเวลาต่อมา หลวงปู่เปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุตินิกาย ณ วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่
    หลวงปู่อยู่เผยแพร่ศาสนาในแถบภาคเหนือหลายปี ก่อนจะเข้าจำพรรษาในช่วงบั้นปลายชีวิตที่วัดดอยแม่ปั ๋ง และในช่วงนี้ นับเป็นช่วงที่ชื่อเสียง คุณงามความดีของหลวงปู่ได้เป็นที่รับรู้ของเหล่าสาธุ ชนทั่วประเทศ ถนนทุกสายวิ่งตรงสู่ดอยแม่ปั๋ง โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ การได้กราบนมัสการอริยสงฆ์แห่งวงการพุทธศาสนา หลวงปู่แหวน สุจิณโณ




    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ พระอเสขบุคคลผู้บรรลุพระนิพพานธรรม หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เกิดในตระกลูของช่างตีเหล็ก เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2430 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านนาโป่ง ตำบลหนองใน อำเภอเมือง จังหวัดเลย โดยเป็นบุตรของนายใสกับนางแก้ว รามสิริ โดยมีน้องสาวร่วมบิดา- มารดาอีกหนึ่งคนคือ นางเบ็ง ราชอักษร และบิดามารดาของท่านได้ ตั้งชื่อว่า ''ญาณ'' ซึ่งแปลว่า ปรีชา กำหนดรู้

    พอท่านมีอายุ ได้ประมาณ 5 ขวบเศษ โยมมารดาของท่านก็ล้มป่วย แม้จะได้รับการดูแลเยียวยารักษา เป็นอย่างดีจากสามี แต่อาการของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด ในที่สุดเมื่อท่านรู้ตัวว่า คงจะไม่รอดชีวิตไปได้แน่แล้วท่านจึงได้เรียกหลวงปู่แ หวน เข้าไปใกล้ แล้วกล่าวความฝากฝังเอาไว้ว่า ''ลูกเอํย...แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ล้วน กี่โกฎก็ตามแม่ไม่ยินดี แม่จะยินดีมากลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมา มีลูกมีเมียนะ...'' หลวงปู่แหวนพยักหน้า รับคำเท่านั้น ดวงวิญญาณของท่านก็ออกจากร่างไป มาอีกไม่นาน ดึกสงัดของค่ำคืนวันหนึ่งขณะที่คุณยายของหลวงปู่แหวน กำลัง นอนหลับสนิทก็เกิดฝันประหลาด อันเป็นมงคลนิมิตหมายที่ดีงาม ท่านจึงได้นำเอาความฝันมาเล่าสู้ลูกหลานและหลวงปู่แห วนฟัง ในวันรุ้งขึ้นว่า ''เมื่อ คืนนี้ ยายนอนหลับและได้ฝันประหลาดมาก ฝันว่าเจ้าไปนอนอยู่ในดงขมิ้น จนกระทั่งเนื้อตัวของเจ้าเหลือง อร่ามไปหมด ดูแล้วน่ารักน่าเอ็ดดูยิ่งนัก ยายเห็นว่า เจ้านี้จะมีอุปนิสัยวาสนาในทางบวชฉะนั้นยายขอให้เจ้า บวช ตลอดชีวิตและขอ ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมา มีลูกมีเมียเจ้าจะทำได้ไหม''



    บรรพชา
    จากนั้น วันเวลาผ่านมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2439 ท่านมีอายุได้ 9 ขวบ คุณยายของท่านที่ได้เลี้ยงดูแล เอาใจใส่มาอย่างทะนุถนอม ได้เรียกท่านพร้อมกับ หลานชายอีดคนหนึ่ง ที่เป็นญาติสนิทรุ่นราวคราวเดียวกัน เข้าไปหาแล้วพูดว่า ''ยายจะให้เจ้าทั้งสองบวชเป็น สามเณร เมื่อบวชแล้วไมต้องสึก เจ้าจะบวชได้ไหม'' ท่านหันมามองหลวงปู่แหวน แล้วอย่างตั้งใจฟังคำตอบ หลวงปู่แหวนก็พยักหน้ารับ พอใกล้เข้าพรรษา คุณยายของท่านจึงได้ตระเตรียมเครี่องบริขาร จนครบเรียบร้อยแล้ว จึงได้พาเด็กชายทั่งสองเข้าถวาย ตัวต่อพระอุปัชฌาย์ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า เข้าพรรษาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์ชัย พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นเด็กชาย ''ญาณ'' เป็นสามเณร แหวนนับแต่นั้นมา



    รัศมีเปล่งจากกาย รัศมีโอกาสเปล่งจากกาย
    ตลอดพรรษาที่ได้บรรพชา เป็นสามเณรนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้แต่ทำวัตร สวดมนต์บ้างตามโอกาส เท่าที่พระภิกษุและ สามเณร ภายในวัดจะร่วมกันทำสังฆกรรม นอกจากนั้นก็จะใช้เวลา ไปในทางเล่นซุกซนตามประสาเด็ก ในที่สุดพระอาจารย์อ้วน ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน มองเห็นว่าหากปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ จะทำให้สามเณรน้อยไม่มีความรู้ จึงพาไปฝากฝังถวาย เป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนังตยาคโน ณ วัดบ้านสร้างถ่อ อำเภอกษมสีมา จังหวัดอุบลราชธานี

    เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่พระอาจารย์อ้วนกำลังพาสามเณรน้อย เดินฝ่าเปลวแดดสีทองมุ่งหน้าเข้าสู่บริเวณวัดในยามบ่า ยนั้น พระอาจารย์สิงห์ขนัง ศิษย์สำคัญสูงสุดของพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานคือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กำลังมองที่ร่างสามเณรน้อย พลันก็ บังเกิดฤทธิ์อำนาจ แห่งอภิญญาณทำให้ท่านเห็นรัศมีเป็นแสงสว่างโอกา ส เปล่งประกายออกมาจากร่างของสามเณรน้อยผู้นี้ เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาเกิด ดั้งนั้นพระอาจารย์สิงห์ จึงได้ถ่ายทอดความรู้ตลอดจนข้อวัตรปฎิบัติทั้งหมดให้

    ปี พ.ศ. 2464 ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาธรรมกับ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์

    ปี พ.ศ. 2478 ได้เข้าพบ ท่านเจ้า คุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากมหานิกายเป็น ธรรมยุติ และได้รับฉายาว่า ''สุจิณโณ'' จากนั้นได้ออกจาริกแสวงบุญต่อ ขณะที่ศึกษาธรรมกับพระอาจารย์มั่นฯ ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ จังหวัดอุบลราชธานี มีศิษย์พระอาจารย์มั่นฯ ที่มีอัธยาศัย ที่ตรงกัน 2 ท่านคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย และ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เช่นเดียวกับคราวที่ จากท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ก็ได้ หลวงปู่ขาว จาริกแสวงธรรมเป็นเพื่อนจนถึงเมืองหลวงพระบาง

    ปีพ.ศ.2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่า ตัด โดยมีพระอาจารย์หนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยายามอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้

    นับแต่นั้นมาอาจารย์หนูได้พยายามอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน ต่อมาท่านอาจารย์หนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่มีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วย เพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋งก็จะได้ถวายการดูแลได้โ ดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระอาจารย์หนูเท่า นั้น เพราะในเวลาดังกล่าว ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่ มี
    ปีพ.ศ.2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งท่านอาจารย์หนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสีย งหลวงปู่ดังขึ้นมาที่หูว่า จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่ห ลวงปู่อยู่ และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย

    เมื่อหลวงปู่แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้ ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว

    ส่วนท่านจะอยู่ในฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่ม ีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นหลวงปู่จะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้นไปในป่า อันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน

    นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะสำหรับท่าน
    หลวงปู่แหวนได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2528 สิริอายุ 98 ปี

    ************************************


    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

    “คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง” เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย…ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่…จาโค ปฏินิสฺสคฺโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย…

    ตัณหาทั้งหลายก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละวางเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ในทาน ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปเสียให้หมดทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่ทุจริตละเสียให้หมด…รักษากาย วาจา ใจที่สุจริตไว้ เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้ว จะเหลือแต่สุจริตธรรมตั้งอยู่ในศีล กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็นศีล เป็นธรรม เป็นมรรค เป็นผล ตั้งขึ้นในจิตใจ สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้วจิตก็เบาสบาย…”

    “…อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ตัดตัณหา ตัดกิเลส ตัดมานะทิฏฐิ ตัดความยึดมั่นถือมั่นของตนให้เสร็จลงก็สงบได้… ”


    เป็นบทความที่ติดไว้เตือนใจตัวเองบนโต๊ะทำงาน เมื่อใดที่ทุกข์เกิดขึ้น ก็ได้อาศัยข้อธรรมะนี้เตือนใจตัวเองให้ละวางทุกข์นั้ น ความสงบเย็นแห่งธรรมะนี้ได้ช่วยให้ผ่านทุกข์ต่าง ๆ มาได้ด้วยสติและใจสงบเสมอครับ

    หวังว่าธรรมะนี้จะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คนนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครที่กำลังมีทุกข์ ไม่ว่าในเรื่องใด ก็ขอให้ธรรมะจากหลวงปู่แหวนที่คัดลอกมานี้ ได้ช่วยให้เกิดความร่มเย็นในจิตใจ ผ่านพ้นทุกข์ได้ด้วยสติและใจอันสงบ เกิดปัญญาแก้ปัญหาได้ และปลูกสร้างศรัทธาให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

    หากท่านใดชอบใจ จะคัดลอกต่อเพื่อเผยแพร่ต่อ ๆ กันไป ก็ยินดี และขอร่วมอนุโมทนาด้วยครับ


    "การละอารมณ์"

    มรณา ตัวนี้ตัวเดียว ทั้งโลกเต็มแผ่นดินนี้มีแต่มรณาทั้งนั้น เราก็คนหนึ่ง เราเกิดมาแล้ว มันต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกรูปทุกนาม มันเป็นกงจักรใหญ่ให้มนุษย์และสัตว์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกอันนี้ ในไตรโลกทั้งสามนี้แหละ ไม่พ้นไปสักที

    ตัดอดีตอนาคตเป็นอันเดียวกัน อดีตอนาคตมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำดีก็ดี ทำร้ายก็ดี มุ่งอยู่ที่กามตัณหานี่แหละ ความพอใจก็ตัณหา ความไม่พอใจก็ตัณหา ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี ทั้งสามนี้ เหล่านี้ ละให้สิ้น มันเกิดขึ้นในใจ ก็นำออกจากจิตจากใจของตนเสีย

    ศีลห้า อยู่ที่ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ทั้ง 5 ปล่อยให้ผ่านไปผ่านมา ดีก็ไม่ว่า ไม่ดีก็ไม่ว่า เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น

    การหอบอดีตและอนาคตมา หมักสุมไว้ในใจก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด หูของเรา ตาของเรา จมูกของเรา ก็เป็นปกติอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์นนั้นต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา อย่าเอาหมักไว้ในใจ ใจของเราก็ไม่ได้ไปไหน มันก็ตั้งอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เราก็ตัดอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาออกเสีย ทำใจของเราให้สงบ มันก็ต้องวางหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งอดีตอนาคตอันใดที่ได้ยินมาพอแล้ว ได้เห็นมาพอแล้ว อยู่ทางโลกก็ดี อยู่คนเดียวก็ดี อันใดก็ดี วางอยู่ที่นี่แหละ ละอยู่ที่นี่แหละ ความหลงก็พอแล้ว โลภก็พอแล้ว โกรธก็พอแล้ว ความโศก ความเศร้า กิเลส ตัณหา ความพอใจ ความไม่พอใจ ก็ตัณหาแหละ ละมันเสีย


    "การสละออกจากใจ"

    จาโค ปฏินิสสัคโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย

    คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง

    เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ใจ ปล่อยผ่านไปเสีย

    ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่

    กาม ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาทั้งหลาย ก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปทางกาย ทางวาจา ทางใจ บาปอันใดยังอยู่ละเสียให้หมด กายทุจริต วาจาทุจริต ใจทุจริต นำออกให้หมด แล้วรักษากายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริตไว้ เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้วจะเหลือแต่สุจริตธรรม ตั้งอยู่ในศีล กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็นศีล เป็นธรรม เป็นมรรค เป็นผล ตั้งขึ้นในจิตในใจ ละวางทุจริตธรรม สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้ว จิตก็เบาสบาย

    อดีตที่ล่วงไปแล้ว ยังหอบเอามาหมักไว้ในใจก็เดือดร้อน ต้องเอาศีลนั่นแหละนำออกให้หมด

    ธรรมปฏิบัติ เรื่องต้องน้อมเข้ามาสู่ใจ

    ให้ รักษาพระไตรสรณคมน์ให้แน่นหนา รักษาพระไตรสรคมน์ให้ตลอดชีวิต รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ อย่าลืมตัว เอาใจนี้แหละเป็นผู้รู้ ให้พิจารณากาย ใจนี้ให้รู้แจ้ง

    หมายเหตุ: จากหนังสือ "ธรรมโอวาท 9 หลวงปู่อริยสงฆ์"


    *** ศีลห้า อยู่ที่ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ทั้ง 5 ปล่อยให้ผ่านไปผ่านมา ดีก็ไม่ว่า ไม่ดีก็ไม่ว่า เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น

    การหอบอดีตและอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด หูของเรา ตาของเรา จมูกของเรา ก็เป็นปกติอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์นนั้นต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา อย่าเอาหมักไว้ในใจ ใจของเราก็ไม่ได้ไปไหน มันก็ตั้งอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เราก็ตัดอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาออกเสีย ทำใจของเราให้สงบ มันก็ต้องวางหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งอดีตอนาคตอันใดที่ได้ยินมาพอแล้ว ได้เห็นมาพอแล้ว อยู่ทางโลกก็ดี อยู่คนเดียวก็ดี อันใดก็ดี วางอยู่ที่นี่แหละ ละอยู่ที่นี่แหละ ความหลงก็พอแล้ว โลภก็พอแล้ว โกรธก็พอแล้ว ความโศก ความเศร้า กิเลส ตัณหา ความพอใจ ความไม่พอใจ ก็ตัณหาแหละ ละมันเสีย

    *************************************************
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    [​IMG]

    ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค7เชื่อมั่นพุทธคุณพระเครื่องฯ มีจริง
    อะไรในคอคนดัง วันนี้ขอนำท่านผู้อ่านสัมผัสกับ วัตถุมงคล ที่อยู่ในคอของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ด้าน การรบมาโชกโชน ซึ่งนายตำรวจท่านนี้ก็คือ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พลตำรวจโทฉลอง สนใจ ที่กว่าจะก้าวมาถึงจุดที่ นายตำรวจ อีกหลายพันหลายหมื่นชีวิตไม่มีโอกาสก็ต้องผ่านการปะทะกับ ผู้ก่อการร้าย รวมทั้งปราบปราม โจรผู้ร้ายพร้อมเหล่ามิจฉาชีพ มามากต่อมากเพราะจบจาก โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม รุ่นที่ 26 จึงรับราชการเป็นนายตำรวจเรื่อยมาถึงปัจจุบัน

    และหลังจากรับราชการ เป็น นายตำรวจ แล้ว ท่านผู้บัญชาการฉลอง ก็ได้รับแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชาให้ไปรับตำแหน่งเป็น ผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ที่ตำบลท่าข้าม อำเภอเชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งช่วงนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็น พื้นที่สีแดง เนื่องจากมีกองกำลังของ ผู้ก่อการร้าย ตามรอยตะเข็บชายแดนไทย-พม่าที่นอกจากคอยลักลอบโจมตีฐานที่มั่นของ ทหาร-ตำรวจ และ หน่วยงานราชการ แล้วยังทำการปล้นจี้พร้อมเข่นฆ่าประชาชนหาเสบียงไปบำรุงขบวนการของ พวกมันอยู่เสมอ สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งเจ้าหน้าที่ไทยทุกหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนชาวไทยไม่เว้นแต่ละวันจึงเป็นหน้าที่ของ ตำรวจตระเวนชายแดน ที่ต้องทำการปราบปรามจึงมีการปะทะกับผู้ก่อการร้ายตามป่าตามเขาบ่อยครั้ง ทำให้มีการสูญเสียกำลังพลไปมากเพราะ หลาย ๆ สิบรายเสียชีวิต และ หลาย ๆ สิบรายที่บาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ ในฐานะเป็น ผู้บังคับหมวด ชีวิตช่วงนั้นจึงต้องทำงานอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวที่ออกลาดตระเวนเนื่อง จาก ผู้ก่อการร้าย มีการวางระเบิดเป็น กับดัก ตามแผนการรบแบบกองโจรตามเส้นทางที่ ตชด.ต้องออกลาดตระเวน

    จากที่มี หน้าที่ออกรบกับขบวนการ ผู้ก่อการร้ายนี่เองในฐานะเป็น ลูกผู้ชายไทยแท้ และนับถือ ศาสนาพุทธ ตามบรรพบุรุษจึงรู้จักพึ่งพุทธคุณ พระเครื่องฯ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่ได้ศึกษาด้าน พระเครื่องฯ ว่าสำนักไหนดีมีพุทธคุณแต่ได้รับแจก พระ 25 พุทธศตวรรษเนื้อชิน จากผู้บังคับบัญชาจึงนำแขวนคอพร้อม เหรียญหลวงปู่แหวน
    เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการออกปฏิบัติหน้าที่ และหลายครั้งที่มีการปะทะกับผู้ก่อการร้ายที่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันย่อม ต้องมี ความสูญเสีย เกิดขึ้นคือมีการล้มตายและบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายแต่ ผู้บัญชาการฉลอง ก็รอดพ้นมาได้ทั้งที่ ผู้ใต้บังคับบัญชา หลายรายที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กระสุนต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายด้วยกันมา เสียชีวิต หรือไม่ก็ “บาดเจ็บ” และหลายรายที่ต้อง สูญเสียอวัยวะไป จึงทำให้เชื่อมั่นใน พระพุทธคุณของพระเครื่อง ที่อาราธนา แขวนอยู่ในคอ

    ต่อ มาหลังจากทำหน้าที่เป็น ผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดน ประมาณ 2 ปี สถานการณ์ที่เลวร้ายก็เริ่มคลี่คลายลง เพราะกองกำลังผู้ก่อการร้ายถูกปราบปรามอย่างหนักและต่อเนื่องจึงหนีหายสลาย ไปมาก ผู้บังคับบัญชาจึงมีคำสั่งให้ย้ายมาประจำ กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรางวัลไปตามครรลองของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี แต่ชีวิตการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของ ผู้บัญชาการฉลอง ล้วนแต่มีเรื่องตื่นเต้นให้ประสบอยู่เสมอคือ เมื่อไม่ต้องจับปืนรบกับผู้ก่อการร้ายแล้วก็มีเรื่องจาก“อุบัติเหตุ” เกิดขึ้นหลายหนแต่ที่ หวาดเสียว ที่สุดเป็นคราวเดินทางไปราชการที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยเดินทางไปกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่ขับรถไปด้วย และขณะรถวิ่งไปตามถนนสายเอเซียก็มีรถเบนซ์คันหนึ่งวิ่งมาชนประตูหน้าด้านคน ขับอย่างจัง ทำให้รถเสียหลักเกือบพลิกคว่ำลงข้างถนนชนิดที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าถูกชน แบบนี้หากคนในรถ ไม่ตาย ก็ต้องมี คางเหลือง บ้างแต่ปรากฏว่าทั้ง ผู้บัญชาการฉลอง และผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขับรถไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย เนื่องจากขณะถูกชนได้แต่นึกถึงพระเครื่องที่อาราธนาแขวนไว้ในคอ จึงมีความเชื่อมั่นเป็นเพราะพุทธคุณพระเครื่องแน่แท้จึงรอดจากบาดเจ็บ

    ตั้งแต่ นั้นมายามว่างจากงานประจำก็หันมาศึกษา พระเครื่อง บ้างปัจจุบันจึงมี พระเครื่องชั้นดี ที่อาราธนาขึ้นแขวนคอติดตัวเป็นประจำทั้ง พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่, พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์พระรอดปี 2497, พระเนื้อดินหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วพิมพ์เศียรโล้นสะดุ้งกลับ, พระปิดตาหลวงปู่จีนวัดท่าลาด และ พระปิดตาหลวงปู่ภู่วัดนอก ส่วนพระเครื่องที่แขวนมาก่อน ขณะเป็น ผู้บังคับหมวด ตชด. ทั้ง พระ 25 พุทธศตวรรษ และ เหรียญหลวงปู่แหวน ก็ไม่ได้ทิ้งขว้างเลยยังบูชาไว้ในห้องพระที่บ้านเสมอมาและในโอกาสที่ ตำรวจภูธรภาค 7 จัดมหกรรมการอนุรักษ์และการประกวดพระบูชาพระเครื่องเหรียญคณาจารย์ในวันนี้ (20 ส.ค.) ณ หอประชุมชุณหะวัณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม เพื่อนำรายได้ ช่วยเหลือกิจกรรมเป็น สวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่, สนับสนุนการศึกษาของบุตรข้าราชการตำรวจใน สังกัดตำรวจภูธรภาค 7 ให้มีขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปราม อาชญากรรม โดยมีหนังสือ เพชรน้ำเอกพระเครื่องนครปฐม ปั๊มชื่อทองเคเป็นรางวัล พระชนะเลิศแต่ละประเภท จึงขอเชิญนักสะสมพระเครื่องทั่วไทยร่วมชมนิทรรศการและร่วมส่งพระเครื่องโดย ทั่วหน้ากัน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2007
  2. naruphol

    naruphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +1,074
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    นานาทรรศนะพระเครื่องจาก พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธฯ แดง
    ศูนย์พระ - สวัสดีครับ เสธฯ แดง ครับ ผมว่าชื่อของท่านฟังดูแลบึกบึน
    สมเป็นชายชาติทหารที่ชื่อ ขัตติยะ นั้นมีความหมายหรือ แปลว่าอย่างไรครับ
    [​IMG]
    [​IMG]
    เสธฯ แดง - ชื่อขัตติยะ แท้ๆ เราไม่กล้าแปล คำว่า ขัตติยะที่อยู่ใน
    เพลงสดุดีมหาราชา แท้ๆ นั้นแปลว่า กษัตริย์ ซึ่งเราไม่กล้าใช้คำนี้ เราจึง
    ต้องใช้คำแปลว่า "นักรบผู้ยิ่งใหญ่" ชื่อนี้คุณพ่อเป็นคนตั้งให้ก็ปรากฏว่า
    ป่วยไป 3 วัน เพราะชื่อนี้สูงเกินไปเลยต้องยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น
    ซึ่งในสมัยก่อนเรียกกันว่าพ่อทูลหัว ก็มีแม่ชี - เจ้าอาวาสวัดหลายวัด พระดังๆ
    วัดต่างๆ เช่น แม่ชีเบญจวรรณที่ จ. อยุธยา ก็เลยหายป่วย เพราะชื่อนั้นสูง เกินกว่าตัวแต่คุณพ่อก็ให้รักษาชื่อนี้ ไว้เป็นชื่อที่คุณพ่อตั้งให้ดั้งเดิม
    สมัยนี่ชื่อนี้ตั้งไม่ได้แล้ว เพราะชื่อที่อิงกษัตริย์นี้ห้ามตั้ง เดี๋ยวนี้ตั้งไม่ได้แล้ว ขัตติยะ ปิยะ ฯลฯ ไม่ได้แล้ว
    เพราะกฏหมายออกมาแล้ว แต่คนที่ตั้งอยู่แล้ว ได้ครับ

    ศูนย์พระ - อยากให้ท่านเล่าประวัติ อย่างคร่าวๆ ในการรับราชการทหาร
    หน่อยครับ

    เสธฯ แดง - เนื่องจากผมเป็นลูกทหาร เราก็อยากเป็นทหารเพราะมัน
    เป็นสายเลือดเหมือนกับคุณพ่อเก่งเรื่องเล่นพระลูกก็จะดูพระเป็นชอบเล่นพระ
    ตามพ่อ พ่อเป็นศิลปินลูกเป็นศิลปิน พ่อเป็นนักร้องลูกก็เป็นรักร้องเหมือนกัน
    สายเลือดของทหารนี้มันก็จะถูกถ่ายทอดมา ต้นตระกูลก็พระยาโยธาธิราช
    ก็เป็นทหารมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 มันก็ยาวมา เราก็อยากเข้าทหาร พอผมจบ
    ม.ศ. 3 ก็ไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร 2 ปีแล้วก็ไปแยกเหล่าอีก 5 ปี จบมา
    ก็มาเป็น นายร้อย ทีนี้เราก็ต้องเลือกทหารบกเพราะคุณพ่อเป็นทหารบก พอจบนักเรียนนายร้อยก็อยากจะรบ พวกเพื่อนๆ มันไปลาวกับเวียดนามก็ตายกันหมด ผมคะแนนไม่ดีจึงต้องไปอยู่ภาคใต้
    กลับเป็นผลดีใครๆ ก็ไม่อยากไปอยู่ที่ปัตตานี เพราะปัตตานีนี้ไกลสุดในประเทศไทย เลยหาดใหญ่ไปอีกเป็นค่ายทหาร
    ที่ไกลที่สุด ผมอยู่ที่ปัตตานี 4 ปี ผมได้ประสบการณ์จากที่นี่แยะมากได้ทั้งภาษา ยาวี ภาษาแขก จากนั้นก็ขึ้นไปอยู่น่าน
    รบกับ ผ.ก.ค. เพราะน่านนี้ติดกับประเทศลาว ก็เลยได้รบกับ ผ.ก.ค. เป็นสายคอมมิวนิสต์สายจีนรบกันจริงๆจังๆ
    จนกระทั่งต่อมาก็มาตะวันออกๆนี้พอคอมมิวนิสต์สายจีนเราเกิดสัมพันธ์มิตรกับจีน ก็ยุบพรรคคอมมิวนิสต์
    แห่งประเทศไทยพวกนักศึกษาก็กลับเข้าเมืองและก็ปิดสถานีวิทยุปักกิ่งเราก็รบกับคอมฯ สายรัสเซียซึ่งมาจาก
    ทางเวียดนาม ก็เลยมารบต่อที่อรัญฯ ตาพระยาปี 25 ตอนจบปี 16 ตอนไปน่านปี 19 ปี 20 ก็มารบกับเวียดนาม
    ก็มายั้นกับเขมร 3 ฝ่าย จากนั้นปี 30 ก็รบต่อที่ช่องบก คือ เวียดนามยังอยู่ก็รบกันหนักแล้ว หลังจาก ปี 30
    ประเทศไทยก็หมดศึก ประเทศไทยก็ว่างสงครามมาทั้งหมด 16 ปี ทหารรุ่นหลังนี่รบไม่เป็นแล้ว ผมก็เลยโชคดี
    ได้รบทั้ง 4 ภาคทำให้ทหารในกองทัพนี้ข่มผมไม่ได้ ถ้าคุยกันเรื่องรบเสร็จไอ้แดงมัน ไอ้แดงมันไปทั้ง 4 ภาค
    ฉะนั้นถ้าไปถุยใส่มัน เดี๋ยวมันลากไปภาคใต้กูไม่รู้จัก ข.จ.ก. เลยไปถึงมันไล่ สายบุรี ยะหริ่ง ยะลัง ยี่งอ ตากใบ
    ยะหา พูดไม่ถูกเลยใช้ไหมพูดไม่ได้ ถ้าไปพูดที่น่าน พาไปทุ่งช้าง อ.สา ไม่รู้จักอีก ไปอีกสานสมัยช่องบก
    ไปคุยกันเรื่อง น้ำยืน เขมราฐ โขมเจียม เสร็จมันอีก พอไปรบที่อรัญฯ ตาพระยา คลองหาดคลองลึกเสร็จมันอีก
    มันเล่นไปทั้ง 4 ภาคเลย พอมาด้านตะวันตกไปถึงสังขะบุรี ทองผาภูมิ ศรีสวัสดิ์ ไทรโยค หนองปรือ
    เข้าไปเขาแหลม ไปถึงด่านเจดีย์สามองค์เสร็จอีก ฉะนั้นเราไปทั้งหมด 4 ภาค

    ศูนย์พระ - อยากทราบว่า ตำแหน่งและยศของท่านในปัจจุบัน
    ในกองทัพบกท่านมีตำแหน่งอะไรครับ

    เสธฯ แดง - เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ถ้าเรียกให้ไพเราะก็เป็นพวก
    ประจำไม่มีงานทำ พวกนี้ต้องหางานทำ พวกตำแหน่งประจำ ตำแหน่งหลักนี้
    ก็จะมี แม่ทัพนายกอง ผ.บ. พล แม่ทัพอะไรอย่างนี้ พวกประจำจะไปไหน
    ก็คัดออกไป เขาก็เรียกกันว่าพวกประจำมันก็อายเขาเลยเรียกว่าผู้ทรงคุณวุฒิ
    กองทัพบกจะเท่ห์กว่า ถ้าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษฯก็มียศพลโท อะไรอย่างนี้

    ศูนย์พระ - นักรบพระเครื่องเป็นของคู่กันท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ

    เสธฯ แดง - ยังไม่เคยมีทหารที่ออกรบโดยไม่พกพระ อย่างวันที่ผมเลิกพกพระแล้วนี่ ผมนำพระของผม
    ออกจากกรอบพสาสติก อยู่ในสายเหล็ก สายเงิน กับสายสแตนเลสไม่มีสิทธิคล้องเพราะมันดำเหนียวต้องคล้อง
    สายเหล็กอย่างเดียวเคยมีประวัติทหารบางคนออกรบพกพระเครื่องเป็น 100 องค์ ถูกผมตบกระโหลกหมด
    ละ มันพกเวลามันซุ่มเวลามันพลิกตัวมันจะดังคลอกเวลาพลิกตัวซ้ายมันจะดังแคลก มันบ้าหรือเปล่าเดี๋ยวก็ตายห่า
    กันหมดหรอก พรุ่งนี้มึงพกมา 2-3 องค์พอ ผมบอกให้มันพกมา 2-3 องค์ มันก็ประชดผมมันเอากระดาษแขวนคอ
    เขียนเป็นรูปพระทุกองค์เลย มันไปกันใหญ่เลย ก็กระดาษมันมัน เวลามันไปโดรแสงแดด มันจะสะท้อนแว๊บๆพวก
    มึงบ้ากันใหญ่แล้ว พวกมึงประชดกู วันนี้มันไม่พกพระมันพกกระดาษที่เขียนเป็นรูปพระบางทีก็เป็นรูปในหลวง
    ราชินี เพราะฉะนั้น พระกับนักรบนี่เป็นของคู่กัน คู่กันเลยเพียงแต่ใครจะพกมากพกน้อย บางทียังมานั่งดูกันในตูบ
    กันเลยพวกขะมงขโมยกันก็มี อย่างวันที่ผมจะไปขึ้นเครื่องบินที่ช่องบก ผมไม่ได้เอาพระไป ก่อนขึ้นเครื่องผมยัง
    ยืมพระเพื่อน 2 องค์เลย มันก็เลยให้ผมยืมมีเสด็จพ่อร. 5 องค์หนึ่งกับอีกองค์หนึ่งเป็นของหลวงปู่แหวน แถมยัง
    ไม่มีที่แขวนอีกผมก็เลยใส่ไปในหน้าอก ตกอยู่ที่พุง ใส่เสื้อยืดตัวเดียวขึ้นไป แล้วก็แบกกล้องใหญ่ๆ ขึ้นไป
    กล้องหนัก 7 ก.ก. แล้วก็ถ่ายฐานเวียดนามและก็ถูก ป.ต.อ. ยิง แต่ไม่เป็นไร ก็ยังต้องพกพระ ฮะ

    ศูนย์พระ - ในส่วนตัวท่านชอบสะสมพระไหมครับ

    เสธฯ แดง - คนให้ผมมาผมก็เก็บไว้ เพราะผมเป็นคนเล่นพระตั้งแต่เล็ก
    เพราะคุณพ่อมีพระแยะมาก แล้วเรายังเด็กอยู่ แค่ ป.5 - ป.6 เอาพระจริงๆ
    ไปแลกกับพระเก๊หมดเลย ที่ข้างตลาดเพราะเขาวางแผงลอยตรงหน้า
    โพธารามนี้ เด็กรุ่นหนุ่มๆ เขาต้องเล่นพระ ผมยังรู้จักหลวงพ่อแช่มหูเดียว
    กับสองหู เรายังจำได้เลย พระขุนแผนขุนไกร กุมารทอง เล่นหมดเลย พระ
    คุณพ่อดีๆ หายหมดตู้เลยเผลอแปล๊บเดียว ไม่รู้ว่าลูกขโมยพระแท้ไปแลก
    พระเก๊หมดเลย ฉะนั้นคนเก่งที่ผ่านชีวิตมาต้องเล่นพระทุกคน ละ

    ศูนย์พระ - ในปัจจุบันท่านเคารพและศรัทธาเกจิอาจารย์ท่านใดบ้างครับ

    เสธฯ แดง - ก็เฉพาะที่ผมแขวนอยู่ในคอก็มี สมเด็จที่คุณพ่อให้ คุณพ่อ
    ให้พระมา 3 องค์ คือ พระรอดหายไปในสนามรบ พระนางพญาผงใบลาน
    และที่ได้มาในสนามรบอีกองค์ก็คือ หลวงปู่ดุลย์ ซึ่งท่านแม่ทัพภาคที่ 2 คือ
    พล.อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดี ซึ่งท่านถอดให้จากในคอในสนามรบที่ช่องบก
    ตอนลงมาจากเครื่องบินแล้วรอดตายตอนโดนปืน ป.ต.อ. ยิง ก็เลยได้พระมา
    แต่ถ้าถามผมว่ามีเกจิอาจารย์ ส่วนตัวที่นับถือต้องไปมาหาสู่ไหม ก็ต้องตอบ
    ว่าไม่มีเพราะผมเป็นเด็กวัด ผมอยู่กับพระใกล้เกลือกินด่าง ผมเป็นเด็กวัดโสม
    ผมเป็นคน อ.โพธิราม จ. ราชบุรี ส่วนวัดที่ผมเอากระดูก คุณพ่อไปไว้ผมก็ไป
    กราบไหว้ทุกอาทิตย์ ครับ

    ศูนย์พระ - ช่วงที่ท่านผ่านการรบครั้งสำคัญๆ มาหลายๆ ครั้งท่านใช้พระ
    อะไรติดตัว ครับ

    เสธฯ แดง - ที่ห้อยก็สมเด็จ พระรอดลำพูน นางพญาที่เขาบอก
    เมตตามหานิยม หลวงพ่อทวดเนื้อว่าน รุ่น 2 ของวัดทรายขาว หลวงปู่แหวน
    เหรียญ ภ.ป.ร.และหลวงปู่ดุลย์ องค์สุดท้าย และก็เลิกรบกันในประเทศไทย
    ในปี 30 และในปัจจุบัน ก็ยังคงใช้พระชุดนี้อยู่แต่เอาออกจากกรอบพลาสติก
    คนเขาเลี่ยมทองให้ฟรีแล้วก็เลยเก็บไว้ในตู้เซฟ เก็บเพราะเราไม่ได้ออกรบ
    แล้ว เลยห่มจีวรให้ท่านซะ หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ........

    ศูนย์พระ - กิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ท่านทำอะไรบ้างครับ

    เสธฯแดง - ก็ปกติ แต่ผมไม่ค่อยมีเวลาใส่บาตร เพราะผมบอกว่าผม
    ใกล้เกลือกินด่าง ผมจะชอบทำทาน การทำบุญกับการทำทานมันไม่เหมือนกับ
    การทำบุญ ก็คือไปถึงก็บริจาคเงินสร้างโบสถ์ สร้างวัดกันอินุงตุงนัง ผมไม่ทำ
    เพราะมีคนสร้างแยะอยู่แล้ว เพราะโบสถ์ในประเทศไทยถ้ารวมกันแล้ว
    เรายิ่งใหญ่กว่าอเมริกาถ้าคิดเป็นมูลค่าอเมริกาสร้างตึกได้เตี้ยกว่าเราอีก
    เงินไปถมอยู่ในวัดหมด ผมจะทำทานก็คือจะช่วยคนที่ยากไร้กว่าเรา
    แล้วผมก็เป็นเด็กวัดอยู่แล้ว ผมอยู่วัดอยู่วามาใกล้เกลือกินด่าง และผมก็สร้าง
    กำแพงโบสถ์ อยู่ที่วัดหนองบัว ที่ราชบุรี ผมเอากระดูก คุณพ่อ คุณแม่ ปู่
    ย่า ตา ทวด เก็บไว้ที่นั่น ผมทำบุญส่วนน้อยทำทานส่วนใหญ่

    ศูนย์พระ - ผมอยากทราบคติประจำใจ ที่ท่านใช้ในการดำเนินชีวิตของท่านคืออะไรครับ

    เสธฯ แดง - มันมิกส์กันหลายอย่างคือ ส่วนมากเขาจะมีกันนะอย่างท่าน พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ว่า
    "เกิดมาใช่อื่น เพื่อผืนแผ่นดินไทย" แต่ผมไม่ได้แต่งคติพจน์ประจำตัวของผม จะว่าอย่างไรดีละ ผมเป็นคน
    ไม่เมคมันนี่ คือ ไม่ทำธรุกิจเกิดมาเพื่อเป็นทหาร เพราะว่ามันมีอันหนึ่งก็คือ วันนี้ที่เราอยู่นี่ จริงๆ ผมต้องตาย
    ตั้งแต่ตอน ปี พ.ศ. 2519,2520,2530,2535 อีกผมไม่มีอะไรทำอยู่ว่างๆ เลยไปโดดร่ม หัวใจเราจะได้มีอะไร
    ตื่นเต้นบ้าง เหมือนเจอศึกตำรวจล้อมจับที่โรงแรมดิเอมเมอรัล เออ! หัวใจมันว่างไปโดดร่มดีกว่า โดด 10,000 ฟุต
    มันไม่ดึงร่มหล่นลงมา แต่แปลกปรากฏว่าร่มมันกางเอง เรารอดตายมา 4-5 ครั้งแล้ว ฉะนั้นวันนี้เราถึงไม่ทำธุรกิจ
    ไม่เมคมันนี่ เราถึงแลกหมัดกับใครได้ เพราะว่าเราผ่านการตายมาแล้ว ฉะนั้นหัวใจตรงนี้ ถึงจะมีทรัพย์สิน เงินทอง
    รอบตัวนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์

    ศูนย์พระ - พระเครื่ององค์ไหนที่ท่านประทับใจมากที่สุด และท่านได้จากใครมา ใครเป็นคนมอบให้ครับ

    เสธฯ แดง - ก็คงเป็นสมเด็จที่คุณพ่อให้กับผมเป็นหัวใจที่สุดให้ตอนที่เป็น น.ร.นายร้อย โดดร่มกลัวร่มลูกไม่กาง
    และอีกองค์ก็คงจะเป็นเหรียญของหลวงปู่ดุลย์ ที่ท่านพล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี มอบให้ในสนามรบ และสมเด็จ ภ.ป.ร.
    ที่ท่านในหลวงให้บนดอย เสียดายที่เพื่อนเอาไป เป็นสมเด็จที่มีเส้นเกศาของท่านผสมอยู่ในเนื้อพระ เพื่อนเอาไปแล้ว
    ไม่มาคืน แต่ ภ.ป.ร. นี้มาพร้อมกับถุงที่ในหลวงพระราชทานให้ตอนปี 19

    ศูนย์พระ- อยากให้ท่านฝากอะไรก็ได้แก่ผู้ที่ได้เข้าชม WWW.SOONPHRA.COM

    เสธฯ แดง - คือพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาประจำชาติของไทย การศรัทธาการเชื่อมั่นพระเครื่องมันมีส่วนในการ
    ที่ทำให้เรารักชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นศาสนากับพุทธ เป็นของคู่กัน ทำให้ประชาชนชาวไทย มีประเทศไทยมาจนถึง
    ทุกวันนี้ในพระเครื่องนี้ก็มีส่วนที่ทำให้นักรบ มารบจึงทำให้ประเทศชาติรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะฉะนั้นในส่วน
    ของพระเครื่องจะมีส่วนเกี่ยวพันกันแบบแยกไม่ออกเลย "ทหารไทยจะไม่รบถ้าไม่มีพระๆๆๆ" ฮะฮ่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...