ถ้าไม่มีฐานก็ไม่มียอด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โทรศัพท์, 28 พฤษภาคม 2009.

  1. โทรศัพท์

    โทรศัพท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +114
    ยกมาเฉพาะบางช่วง บางตอน... ผมรู้สึกโดนใจมากๆ

    พระอาจารย์เล็ก เทศน์ปีใหม่
    วันศุกร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๒
    ตอนกราบขอขมาพระรัตนตรัย

    ...ปัจจุบันนี้มีผู้รู้จำนวนมาก เขากล่าวว่า ครูบาอาจารย์แต่ละท่านสอนให้ยึดติด เช่น ยึดติดในตัวบุคคล ยึดติดในวัตถุมงคล เป็นต้น อาตมาก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น รู้หรือเปล่า ว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อน หรือว่าครูบาอาจารย์ที่อาศัยคำสอนที่เขาว่ายึดติดนั้น มีกุศโลบายอย่างไร ท่านบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนเพื่อความหลุดพ้น อาตมาก็อยากรู้ว่าถ้าเด็กมันยังไม่เรียนป.๑ แล้วก็มีผู้รู้มาบอกว่า เรียนปริญญาเอกไปเลย สูงสุดในพระพุทธศาสนา สูงสุดในประเทศของเรา ไม่มีอันไหนดีกว่านี้อีกแล้ว
    เด็กกะโปโลที่ ก.ไก่ ยังเขียนไม่ได้ มันจะเรียนได้ไหม?
    หรือไม่ก็ชี้ไปบนยอดเจดีย์นู่น ทองคำประดับเพชรด้วย ดีที่สุด แพงที่สุด เด่นที่สุด สร้างด้วยฉัตรยอดทอง ฐานเจดีย์ไม่ต้องหรอก ฉัตรคงจะลอยอยู่ได้...


    ถึงได้กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเนื่องถึงกัน ท่านที่รู้จริงจะไม่ปฏิเสธสมมติ แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ได้สรรเสริญวิมุตติโดยจุดเดียว อย่าลืมว่าแม้จะเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสัจจะ คือ ความเป็นจริง ท่านใช้คำว่า สมมติสัจจะ ขณะเดียวกัน บางสิ่งจริงแท้ที่เป็นสภาวะธรรม ท่านก็เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ ในเมื่อมีทั้งส่วนของสมมติและส่วนของปรมัตถ์ คนที่ก้าวล่วงสมมติอย่างแท้จริงจะเห็นคุณค่า จะไม่เหยียบย่ำทำลายสิ่งสมมตินั้น

    ตามประวัติหลวงปู่มั่น ที่หลวงตามหาบัวท่านเขียนเอาไว้ ท่านบอกว่าวันที่หลวงปู่มั่นบรรลุธรรม ท่านนั่งกราบกระท่อมที่ท่านทำสมาธิอยู่ กราบแล้วกราบอีก น้ำตาไหลน้ำตาร่วงด้วยความปิติ
    เพราะเห็นจริงๆว่าทุกอย่างเป็นธรรมะหมด กระท่อมหลังนั้น เกิดขึ้น เปลี่ยนไป และกำลังสลายตัวไปเรื่อยๆ จะพังอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้นไม้สัตว์ป่า ก้อนหินทุกก้อนก็เหมือนกัน ตัวของท่านเองกระทั่งจีวร อัฐบริขารต่างๆก็สภาพเดียวกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง และท้ายสุดก็สลายไป กลายเป็นว่าสมมติทั้งหมดกลายเป็นวิมุติ สิ่งสมมติกลายเป็นปรมัตถ์ มันขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของเราว่าเข้าถึงระดับไหน

    เราจึงต้องอาศัยสมมติเหมือนกับเป็นน้ำที่รองรับเรือ เพื่อที่จะก้าวข้ามวัฏฏสงสารอันกว้างใหญ่ โดยการละชั่ว ทำดี เว้นบาป สร้างบุญไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าบุญมันเต็มจริงๆ มันจะปล่อยวางของมันเอง ถึงเวลานั้นรู้ว่าอันไหนดีก็ทำ รู้ว่าอันไหนชั่วก็ละ ไม่ติดแล้วทั้งดีทั้งชั่ว ก็แปลว่าเราสามารถที่จะก้าวพ้นไปได้ เพราะไม่มีอะไรยึดเกาะ แต่ถ้าหากว่าเราเองยังมีการแบ่งว่าอันนี้เป็นสมมติ อันนี้เป็นวิมุตติ อันนี้เป็นสมมติสัจจะ อันนี้เป็นปรมัตถสัจจะ แสดงว่าสภาพจิตของเรามันยังก้าวไม่ถึง ความเป็นจริงแท้ ยังมีการแบ่งแยกว่ายังมีเรา ยังมีเขา ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่เป็นอัตตาอยู่ เข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง
    ....

    อ้างอิง : ͻ��¹��� - ��дҹʹ����Ѵ��Ң�ع
     
  2. p_pand_j

    p_pand_j Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +71
    ขออนุโมทนาค่ะ

    จริงๆแล้วเคยติดอยู่ที่ว่า ไม่มีของเรา ไม่มีของเขาเป็นอย่างไร

    แต่พออ่านหนังสือธรรมของหลวงปู่เทศก็ ก็เข้าใจชัดแจ้งค่ะ

    และพออ่านบทความนี้ก็ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่าออเป็นอย่างนี้นี่เอง^^ สาธุ
     
  3. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,020
    ขอบคุณครับ วางทั้งหมดให้เเน่เเม้เเต่ความเป็นตัวตนของเรา นิพพานอยู่ไม่ไกลครับ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...