เรื่องเด่น ตำนานบทสวดมนต์ ตอน อุณหิสวิชัยคาถา พระคาถาต่ออายุพ้นโรคและภัยต่างๆ พระอุณหิสสะสูตร

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 10 กรกฎาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    อุณหิสวิชัยคาถา.jpg

    พระอุณหิสสะสูตร
    (ถอดความมาจากพระธรรมเทศนา “อุณหิสสวิชยกถา” วันอุโบสถ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยพระครูบริสุทธิมันตาภรณ์(สมณศักดิ์ขณะนั้น) วัดตันตยาภิรม ตรัง พิมพ์เผยแพร่แก่พุทธบริษัท ผู้เชื่อบุญเชื่อกรรม ซึ่งปรารถนามีอายุยืนนาน)

    นมตฺถุ สุคตสฺส

    วนฺทิตฺวา สิรสา พุทธํ สทฺธมฺมคุณมุตฺตมํ

    อุณฺหิสฺสวิชยํ นาม สตฺตานํ อายุวฑฺฒนํ

    วกฺขามิ ปวรกณฺฑํ สมฺพทฺเธเนว เทสิตนฺติ

    ขอถวายนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระสัทธรรม และพระอริยสงฆ์ ผู้มีคุณอันประเสริฐ บัดนี้ จักแสดงพระอุณหิสสวิชัย ซึ่งอาจยังอายุสัตว์ทั้งหลายที่ได้สดับตรับฟัง ให้เจริญวัฒนาผาสุกสืบไป.
    สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จขึ้นไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดาตลอด ๓ เดือน ในดาวดึงสเทวโลก ประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร อันเป็นที่ประทับนั่งของสมเด็จอมรินทราธิราช จอมเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงเทศนาสัตตปากรณ์ คือ พระอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ แก่ทวยเทพเทวดา มีพระสิริมหามายาเทพธิดา พุทธมารดา เป็นประธาน
    ครั้งนั้น มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “สุปติฏฐิตะ” เทพบุตรตนนี้ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แวดล้อมด้วยนางฟ้ามากมายเป็นบริวาร นางฟ้าเทพอัปสรเหล่านั้น บำรุง บำเรอ ขับร้อง ทำเพลงกล่อม สุปติฏฐิตะเทพบุตร เป็นนิจกาล
    ถามว่าเทพบุตรตนนี้ ทำอะไรไว้ จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร?
    ตอบว่า ในครั้งก่อนเมื่อเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย เทพองค์นี้ได้บริจาคทานอันเป็นวัตถุต่างๆ แก่ผู้มีพระคุณ และสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่ออาสันนะจิตใกล้มรณกรรมได้ระลึกถึง กุศลผลทานที่ได้ทำ ครั้นสิ้นชีวิตจึงได้อุบัติเป็นเทพบุตรเสวยสวรรค์สมบัติ มาช้านาน
    ธรรมดาไม่ว่าเทวดา หรือมนุษย์ ที่มีความเป็นอยู่สบาย มักหลงละเลิงลืมแก่ ลืมตาย ไม่คิดถึงอนิจจังของสังขาร สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ก็เช่นกัน หารู้ไม่ว่า ในอีก ๗ วันจะถึงอายุขัย คือ จะจุติ(ตาย) จากเทวดึงส์เทวสถาน
    มีเทพบุตรตนหนึ่งนามว่า “อากาสจารี” เทพบุตรตนนี้หยั่งรู้ซึ่งสังขาร แห่งเทพยดาทั้งหลาย คือ รู้ว่าเทพยดาตนใดจะสิ้นอายุขัย หรือจุติ ครั้งนั้นอากาสจารีเทพบุตร เห็นสุปติฏฐิตะ หลงมัวเมา อยู่ในทิพยสมบัติ โดยไม่ทราบว่า ตัวจะจุติภายใน ๗ วันพลัดพรากจากสวรรค์สมบัติ และนางอัปสรแสนสวย
    ด้วยความรักเพื่อน จึงไปสู่วิมานของสุปติฏฐิตะเทพบุตร และบอกความนั้นตลอดบอกว่า เมื่อจุติจากสวรรค์แล้ว จะไปบังเกิดในอเวจีมหานรกถึงหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะไปบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือ เป็นรุ้ง เป็นแร้ง เป็นเต่า เป็นปู เป็นหมู เป็นหมา เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นวัว เป็นควาย เป็นแพะ ครั้นพ้นจากกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว จะไปเกิดเป็นตนแต่ไม่เหมือนคนทั้งปวง จะวิปริตผิดมนุษย์ ตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดา เช่นหูหนวก-ตาบอดเป็นต้น
    สุปติฏฐิตะเทพบุตร ไดฟังอากาสจารีเทพบุตรบอกกล่าวดังนั้นแล้ว ก็ตระหนกตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง ประดุจมฤชาติ เห็นพยัคฆ์อยู่ตรงหน้า มีกายสั่นไหวทุรนทุรายด้วยมรณภัย จึงคิดว่า “ใครหนอจะเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า” และบัดนี้บุพนิมิตแห่งการจุติ ๕ ประการ ของเทพยดาก็ปรากฎแล้วคือ:-
    ๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับองค์เหี่ยวแห้งโรยรา
    ๒. ผ้านุ่งผ้าห่มเศร้าหมอง
    ๓. เหงื่อไคลไหลชโลมกาย
    ๔. ที่นั่งที่นอนร้อนยิ่งนัก
    ๕. ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรมคร่ำคร่า
    สุปติฏฐิตะเทพบุตร มีจิตสับสนตึงเครียดระส่ำระส่าย จึงคลาไคลไปสู่สำนักสมเด็จอมรินทราธิราช จึงกราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ และขอพระราชทานให้ช่วยเหลืออย่าได้ตกอเวจีมหานรกเป็นต้น
    สักโก ตัง สุตฺวา เอวมาหะ สมเด็จอมรินทราธิราช(ท้าวสักกะหรือพระอินทร์) ได้สดับถ้อยคำของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจนตลอดแล้ว ตรัสว่า “ดูกรท่านผู้มีเกียรติ เรานี้แม้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นนี้ เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์โลกก็จริงแล แต่จะห้ามกันผลแห่งบาปกรรม ความชั่วช้าสามานย์ ของมนุษย์ เทวดาไม่ให้ตกนรก ไม่ให้เป็นเปรต และสัตว์เดรัจฉานหาได้ไม่ ยกเว้นแต่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระเมตตา มหากรุณาธิคุณ แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ดูกรสุปติฏฐิตะเทพบุตร ท่านจงไปจัดแจงแต่งเครื่องสักการะบูชา ธูปเทียนดอกไม้ของหอม ให้เหมาะสม เราจะพาท่านไปเฝ้า พระบรมศาสดา ผู้มหากรุณาธิคุณ ซึ่งประทับอยู่ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ใต้ต้นปาริฉัตร ที่ว่าราชการของเรา แล้วกราบทูลมูลเหตุแด่พระองค์ เห็นว่าน่าจะได้เป็นที่พึ่ง อันประเสริฐ”
    เมื่อสมเด็จอมรินทราธิราช นำพาสุปติฏฐิตะเทพบุตร เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเฉพาะพระพักตร์ และกราบทูลความดังกล่าวมาข้างต้น เพื่อชี้แจงแสดงถึงบุพกรรมอันเป็นบาปอกุศล ของสุปติฏฐิตะเทพบุตร ว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ในปางก่อนจึงต้องจุติจากสวรรค์ แล้วตกลงนรกเป็นต้น
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้สดับเทวบัญชาของสมเด็จอมรินทราธิราช ทูลอาราธนา จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แสดงบุพกรรมของสุปติฏฐิตะเทพบุตรดังนี้:->
    ๑. เทพบุตรตนนี้ในกาลอันไกล ได้เกิดเป็นคน ประกอบอาชีพเป็นพรานล่าเนื้อ ตั้งหน้าฆ่าสัตว์ ไม่เลือกชนิด มาเลี้ยงชีวิตครอบครัว ทำลายสัตว์ไร้ความปราณี ผลบาปกรรมนี้แหละจะซัดส่งจากสวรรค์ให้ลงไปทนทุกขเวทนาสาหัสในอเวจีมหานรก สิ้นกาลประมาณหมื่นปี พ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว จะเกิดเป็นรุ้ง เป็นแร้ง หมักหมมด้วยคาวเลือด และน้ำเน่าจากศพสัตว์
    ๒. สุปติฏฐิตะเทพบุตรตนนี้ เมื่อพ้นจากชีวิตรุ้ง แร้งแล้ว จะเกิดเป็นเต่า เป็นปูนั้น เพราะชาติก่อน เกิดเป็นมนุษย์ ทำบาปเลี้ยงชีพด้วยแสวงหาไข่เต่ามาขายเลี้ยงชีพ ผลกรรมนี้ต้องชดใช้
    ๓. ข้อที่ว่า สุปติฏฐิตะเทพบุตร จะไปเกิดเป็นหมูนั้นเพราะแต่ปางก่อนเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก แต่เต็มไปด้วยความตระหนี่ครอบง่ำในสันดานไม่ทำบุญสุนทรทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้าอนาถา ถ้าพระภิกษุมายืนบาตร ถึงหน้าบ้านเรือน ข้าวสุกสักหนึ่งทัพพี ก็ไม่ได้ตักบาตร ซ้ำบางที่ก็บริภาสด่าทอผู้ทรงศีลโดยอาการต่างๆ ซ้ำร้ายยังโกงภาษีที่พึงเสียแก่รัฐบาล เป็นคนเห็นแก่ตัวจัด ด้วยอกุศลกรรมนี้ จึงทำให้เกิดเป็นหมู อยู่ในที่สกปรกให้เขาฆ่า และมีอายุสั้นชาติแล้วชาติเล่า
    ๔. พ้นจากกำเนิดหมูแล้ว ไปเกิดเป็นหมา ด้วยเทพบุตรตนนี้ ครั้งเป็นมนุษย์ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เป็นคนอัชพาลสันดานหยาบ ลักเล็กขโมยใหญ่ งัดแงะนิสัยกระด้างขัดแข็ง เบียดเบียนสัตว์ติฉินนินทาว่าร้าย สมณชีพราหมณ์ผู้ทรงศีล อิจฉาริษยายุยงส่อเสียดเพื่อนบ้านให้แตกสามัคคี ไม่เคารพยำเกรงผู้เฒ่าผู้แก่ ลบหลู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยบาปอกุศลกรรมนี้ จึงต้องไปบังเกิดเป็นหมาห้าร้อยชาติ
    ๕. ครั้นพ้นจากชาติหมาแล้ว เทพบุตรตนนี้ไปบังเกิดเป็นมนุษย์เข็ญใจ แต่มีศรัทธา เที่ยวชักชวนชาวบ้านให้ไปฟังธรรมครั้นพระขึ้นธรรมาสน์กำลังแสดงธรรมชายผู้นี้หาฟังธรรมโดยควาเคารพไม่กลับชักชวน คนอื่นสนทนา ด้วยเรื่องต่างๆเสียงดังลั่นกลบเสียงที่แสดงธรรม ด้วยผลแห่งอกุศลกรรนี้ จึงส่งให้เทพบุตรตนนี้ต้องเกิดเป็นคนหูหนวก ๒ ชาติ
    ๖. ครั้นเมื่อพ้นจากคนหูหนวกแล้ว ก็ไปบังเกิดเป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติด้วย เหตุว่า เทพบุตรตนนี้เมื่อเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นคนมีฐานะทางเศรษกิจดีแต่เป็นคนลืมตน ชอบดูถูกดูหมิ่น คนที่มีทรัพย์น้อยกว่าตน ขาดความเคารพ ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ เห็นสมณชีพราหมณ์ ยาจกเข็ญใจ เหมือนไม่ใช่คน เช่นเมื่อพระไปบิณฑบาตรหน้าเรือนตน ก็กระทำเหมือนไม่เห็น จะให้ก็ไม่พูด จะไม่ให้ก็ไม่พูด เมินเฉยเสีย ด้วยอกุศลกรรมนี้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร ต้องชดใช้หนี้กรรม เป็นคนตาบอดอีกหนึ่งชาติ
    ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเทศนาบุพกรรมเก่าของสุปติฏฐิตะเทพบุตรจบลง ท้าวมัฆวานอมรินทราธิราช จึงกราบทูลถามสิ่งอันพอเป็นที่พึ่ง แก่สุปติฏฐิตะเทพบุตรมีหรือไม่
    สมเด็จพระบรมศาสดา จึงตรัสพระคาถา “อุณหิสสวิชัย” ให้ทวยเทพผู้ประสงค์จะเจริญอายุ และด้วยพระคาถานี้ ที่สุปติฏฐิตะเทพบุตรได้สดับ และปฏิบัติตน ทั้งที่รู้ว่า ๗ วันจะจุติ ก็สามารถมีชนมายุยืนอยู่ในสวรรค์ ได้อีกหนึ่งพุทธันดร
    ท่านสาธุชนทั้งหลาย ฟังแล้ว จงทำอุตสาหะ จดจำ ท่องบ่นสาธยายกันเถิด จะทำให้เกิดมีอายุวัฒนาถาวร ต้องไม่ถึงแก่ความตายด้วยอกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงตายในเวลาอันไม่สมควร

    คำแปล พระคาถาอุณหิสสวิชัย มีดังนี้
    “อันว่าธรรมะ ที่จะห้ามกันมรณะภัยทั้งหลาย ชื่อว่าอุณหิสสวิชัยประเสริฐยิ่งนัก มีอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่สรรพสัตว์. ดูกร ท่านสุปติฏฐิตะเทพบุตร และเทวดาทั้งหลายบรรดาที่ประชุมในที่นี้ ท่านจงเล่าเรียน จดจำ สาธยาย และกระทำตามพระธรรมที่ชื่อว่า อุณหิสสวิชัย ซึ่งอาจห้ามกันเสียซึ่งอกาลมรณะ ทั้งอาจล่วงพ้นจาก อาชญาของบ้านเมือง มนุษย์ อมนุษย์ ไม่อาจปองประทุษร้ายได้ ไฟปกติ ไฟฟ้าก็ไม่อาจเผาพลาญได้ ช้าง เสือ สัตว์ทั้งหลายอื่นที่มีพิษ ไม่ว่างูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง แมลงพิษทั้งหลาย ก็ไม่อาจทำอันตรายจะไม่ตายเมื่อไม่ถึงเวลา ย่อมพ้นจากมรณกรรมทั้งปวง ยกเว้น กาลมรณะ คือ ถึงเวลา กายทรุดโทรมแก่สิ้นไป ตามไตรลักษณ์ ด้วยอานุภาพแห่ง พระอุณหิสสวิชัยนี้ขอให้ สุปติฏฐิตะเทพบุตร และทวยเทพทั้งหลาย จงมีความสุขทุกเมื่อ จงสมาทานศีลให้บริสุทธิ์ แล้วประพฤติธรรมให้สุจริต คือ มีกาย วาจา ใจ หรือ กายกรรม๓ วจีกรรม๔ มโนกรรม๓ ให้สุจริตไม่ผิดธรรม ด้วยผลสมาทานศีล ประพฤติธรรม ขอความสุขจงมีแก่ท่านทั้งหลายในทุกกาลทุกเมื่อ อนึ่งพระอุณหิสสวิชัย ผู้ใดเขียนไว้ก็ดี นึกอยู่ในใจก็ดี ทำสักการะบูชาก็ดี ท่องบ่นทรงจำไว้ก็ดี หรือได้สวดภาวนาเช้า-ค่ำก็ดี หรือได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนาอันผู้อื่นสำแดงก็ดี ล้วนล้วนสามารถคุ้มครองป้องกัน อกาลมรณะ ไม่ต้องตายในวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยสาว และมีอายุยืนยาวถึงแก่เฒ่า มีสติไม่หลงตาย”
    ขอเชิญท่านสาธุชนผู้ใจดีใจงาม จงอ่าน-ทรงจำ-สาธยาย พระคาถาอุณหิสสวิชัย ดังต่อไปนี้

    อุณหิสสะวิชะยะคาถา
    (สวดจำเริญอายุ)
    อัตถิ อุณะหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
    สัพพะสัตตะหิตัตถายะ ตัง ตะวัง คัณหาหิ เทวะเต
    ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก
    พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา
    สัพพัสะมา มะระณา มุตโต ฐะเปตะวา กาละมาริตัง
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนัง คะรุง
    ปะเรสัง เทสะนัง สุตะวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะตีติ

    ตำรับโบราณของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ว่าดังนี้
    คาถาอุณหิสวิชัย(ของเก่า)ได้จากสมุดสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโม โลเก อะนุตตะโร
    สัพพะ สัตตะ หิตัตถายะ ตัง ตัตวัง คัณหาหิ เทวะเต
    ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก
    พะยัคเฆ นาเค วิเส ภูเต อะกาละมะระเณนะ วา
    สัพพัสสะมา มะระณา มุตโต ฐะเปตะวา กาละมาริตัง
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    สุทธะสีลัง สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร
    ตัสเสวะ อานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    ลิกขิตัง จินติตัง ปูชัง ธาระณัง วาจะนังคะรุง
    ปะเรสัง เทสะนัง สุตตะวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะ ตีติฯ
    สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมังวะรัง
    หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา
    นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เมฯ
    สักกัตวา ธัมมะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
    ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา
    นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เมฯ
    สักกัตวา สังฆะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมังวะรัง
    อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา
    นัสสันตุ ปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เมฯ
    เภสัชชัง เทวะมะนุสสานัง กฎกัง ติตติการะสัง
    อัมพิลัง ละวะณัญเจวะ สัพพะพะยาธิง วินัสสะติ
    เอกัทวิติทินัง วาปิ ปัญจะสัตตะทินัง ตะภา
    ยาวะ ทุกขา นัสเมนติ ชีวะทานัง กะโรตุ เต
    ชีวะทานัง ทะทันตัสสะ อายุ วัณณัง สุขัง พะลัง
    ชีวะทานานุภาเวนะ โหตุ เทโว สุขี สะทา
    ชีวะทานังปิ ทัตวานะ โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
    สะรีระทุกขัง นาเสติ เภสัชชัง ทานมุตตะมัง
    ตัสมา กะเรยยะ กัลละยาณัง นิจยัง สัมปะรายะยิกัง
    ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปะติฎฐา โหนติ ปาณิณัง
    อิมินา ชีวะทาเนน ตุมหากัง กิง ภะวิสสะติ
    ทีฆายุกา สะทา โหนติ สุขิตา โหนติ สัพพะทา
    ชีวะทานัง ทะทันตัสสะ อายุ วัณณัง สุขัง พะลัง
    ทีฆายุกา สะทา โหนตุ ชีวะทานัง มะหัป ผะลัง
    โยโส ทะทาติ สักกัจจัง สีละวันเตสุ ตาทิสุ
    ปาณะทานัง วารัง ทัตวา ชีวะทานัง มะหัป ผะลัง
    เอวัง มะหิท์ธิกา เอสา ยะทิทัง ปุญญะสัมปะทา
    ตัสมา ธีรา ปะสังสันติ ปัณฑิตา กะตะปุญญะตัง
    สุโข วิปาโก ปุญญานัง อะธิปาโย สมิชฌะติ
    ชิปปัญจะ ปะริโยสาเน นิพพานัง อะธิคัจฉะติ
    โย ภาชนะสะหัสเสหิ ปูระณัง วะระโภชะนัง
    ทะเทย์ยะ เจ ปะริมาณัญเจ เอกะปัตตัมปิ นาละเภ
    พุทธุปปาเท สาริปุตโต เย วัญเญ อัคคะสาวะกา
    ปัตตะปูรานุภาเวนะ มาตาปิตา ปะมุจจะตีติ

    (จบคาถาอุณหิสวิชัยเพียงเท่านี้)

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กรกฎาคม 2017
  2. ครูเรือง

    ครูเรือง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2010
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +686
    ขออนุโมทนาสาธุ ครับ
    ขอเชิญชวนญาติธรรมสวดทุกท่านเลยนะครับ
     
  3. กายในกาย

    กายในกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +1,265
    สาธุ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...