จิตข้องอยู่ในทรัพย์สมบัติ ตายแล้วไปอบายภูมิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 24 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    [​IMG]
    จิตข้องอยู่ในทรัพย์สมบัติ ตายแล้วไปอบายภูมิ
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๖ ก็มาคุยกันเรื่อง การปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นจากบาป คือพ้นจากนรกต่อไป ขอย้ำไว้ในตอนต้นว่า การปฏิบัติตนให้พ้นจากนรกนั้น (คำว่า "นรก" ก็หมายถึงนรกด้วย เปรตด้วย อสุรกายด้วย สัตว์เดรัชฉานด้วย "การปฏิบัติพ้น" ก็หมายถึงว่าปฏิบัติพ้นกันทุกชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ถ้าจำเป็นจะต้องเกิดอีกกี่ชาติก็ตามไม่เกิดในอบายภูมิ ๔ แน่) ก็ต้องปฏิบัติตามหลักสูตร ของพระพุทธเจ้าที่มาในพระไตรปิฎก ก็อาตมาเองบวชจากพระไตรปิฎก มีความเลื่อมใสในพระไตรปิฎกก็ต้องปฏิบัติตามพระไตรปิฎกเห็นว่าหลักสูตรพระพุทธเจ้ามีอยู่ว่า ๑. ให้มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตายไว้เสมอ ตัดความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันไม่ตายคนส่วนใหญ่แม้แต่อาตมาเองก็เหมือนกัน ในกาลก่อนที่ยังไม่แก่ก็เลยไม่เคยคิดว่าตัวจะแก่ไม่เคยคิดว่าตัวจะตาย เวลานี้แก่มากแล้ว ก็เลยลืมความตายไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความตายมันได้ใกล้เข้ามาทุกที มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตายแน่ แต่ก็ไม่ลืมนึกว่ามันอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ
    ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทคิดตามนี้ก็แล้วกันตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน จะได้ไม่เกิดอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ประการที่ ๒ มีความยึดมั่นในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ ประการที่ ๓ รักษาศีลห้า ให้มั่นคงไม่ละเมิดศีลห้า ตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะตาย บาปกรรมทั้งหลายที่ทำมาแล้วทั้งหมดสมเด็จพระบรมสุคตตรัสว่า "คนที่มีกำลังใจอย่างนี้ จะไม่ไปอบายภูมิแน่นอน" ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรโปรดปฏิบัติตามนี้ จะได้พ้นนรกกัน แต่ความจริงเรื่องการพ้นนรกไม่เกิดในอบายภูมิแน่นอนนี้ก็ต้องคิดเหมือนกันบางทีคนที่มีกำลังใจถึงขั้นนี้แล้ว เขาย่องแอบ ๆ ไปอบายภูมินิดหนึ่ง แต่ไปไม่นานอย่างมากก็ไปแค่ ๗ วัน แต่แอบอยู่ไม่ให้คนอื่นเห็น เสียงก็ไม่ให้คนอื่นได้ยิน รูปร่างก็ไม่ให้คนอื่นเห็น เพราะตัวเล็ก เล็กมาก แอบอยู่นิด ๆ ทั้งนี้ก็เพราะอะไร? เพราะว่ามีจิตข้องอยู่ในทรัพย์สมบัติ ความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่จะเกิดในแดนของอบายภูมิ มันไม่จำเป็นต้องขาดศีลห้าเสมอไป และไม่จำเป็นต้องปรามาสพระไตรสรณคมน์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เสมอไป แม้แต่อารมณ์ชั่วมัวหมองนิดเดียว บางทีก็ไม่ถึงกับชั่ว อย่างโกตุหลิกะ ในตอนที่ ๕ อันนี้เป็นตอนที่ ๖นะบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องโกตุหลิกะตอนที่ ๕ แต่ความจริงไม่ได้นึกแช่งชักหักกระดูกใครทั้งหมด อารมณ์ใจดี คิดว่าสุนัขหรือหมาตัวนี้มันดีกว่าเรา เกิดเป็นหมาแท้ๆ ได้กินข้าวมธุปายาส จิตไปข้องอยู่ในสุนัขตัวนั้น แต่สำหรับตอนที่ ๖ นี่ไม่ว่าถึงฆราวาสแล้วลองมาซ้อมกำลังใจพระเณรเราดูบ้างว่าพระเณรเราที่มีกำลังใจดีมีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ปฏิบัติในพระธรรมวินัยดีมาก สามารถทรงอารมณ์ในสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ได้ คำว่า "ทรงอารมณ์ในสังโยชน์" ก็หมายความว่า สามารถหักห้ามกำลังใจไม่คิดไปตามสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการ คัดค้านสังโยชน์ สังโยชน์คิดว่าไม่ควรคิดว่าจะตาย พระก็มีความรู้สึกว่าชีวิตต้องตาย เชื่อมั่นในความตาย และพยายามทำความดี ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และก็มีธรรมวินัย มีวินัยเคร่งครัด มีธรรมะก็ดี แต่ทว่าจิตไปข้องอยู่ในทรัพย์สินส่วนใดส่วนหนึ่งเข้า ความจริงการข้องแบบนั้นไม่ถึงกับเป็นอาบัติ เป็นทรัพย์สมบัติของตนเองและก็ยังอยู่ในขอบเขตของพระธรรมวินัย ตายแล้วเกิดเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ มันเป็นไปได้

    หากว่าบรรดาพระของเราเกิดเป็นคนปากเสีย ใจเสีย มีร่างกายเสีย สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์แบบ มีอารมณ์อิจฉาริษยาคนอื่น ไม่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จิตมุ่งตรงสู่ด้านของความเลว ท่านผู้นี้ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัชฉานก่อน ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรกก่อน อย่างพระเทวทัต เป็นต้น ตอนนี้ก็มาขอคุยกับบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าในสมัยของพระองค์เอง นี่ความจริงอยู่กับพระพุทธเจ้าแท้ ๆ นะ คนที่อยู่กับพระพุทธเจ้า พระที่บวชกับพระพุทธเจ้าอย่านึกว่าดีทุกองค์ แต่ว่าท่านองค์นี้ท่านดี แต่เสียท่าเขานิดที่เลวจัด ๆ อย่างเช่น เทวทัต หรือ โกกาลิกะ เป็นต้น อันนี้เลวมาก อย่าลืมว่าในสำนักใดในสมัยปัจจุบัน ก็ตาม หัวหน้าสำนักเป็นคนดีแสนดี ก็จงอย่านึกว่าคนในสำนักนั่นดีทุกคน ดีตามไปด้วย ดีไม่ดีก็ซวยแสนซวย เลวแสนเลว แต่อาศัยพึ่งบุญบารมีของท่านผู้เป็นหัวหน้ากินอิ่มนอนหลับมีความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็เลยลืมตัว ลืมกาย ลืมตน ไม่ทำตนในด้านของความดี ลงอบายภูมิไม่น้อยเลย เวลาปัจจุบันนี้ก็มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว ครูบาอาจารย์ทำตัวดีมาก แต่ว่าลูกน้องใกล้ชิดกลายเป็นคนโลภโมโทสัน เวลานี้ท่านป่วยหนักเวลาที่พูดนี่นะ ก็สงสัยเหมือนกัน สงสัยเหมือนกันว่าน่ากลัวท่านจะเปิดลิบ คงไม่ใช่สูงลิบ คงต่ำลิบ อย่าพูดถึงท่านเลย มาพูดถึงพระองค์นี้ดีกว่าพระติสสะตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น องค์นี้ท่านไม่ได้เลวอย่างนั้น เรื่องของท่านก็มีอยู่ว่าพระองค์นี้ชื่อ ติสสะ ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ท่านบวชอยู่ในสำนักขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์

    ต่อมาวันหนึ่งท่านเห็นเพื่อนเขาห่มจีวรแพรสมัยนี้อาจจะเรียกจีวรแพรก็ได้นะ เวลานั้นเรียกว่า "ผ้าสาฎก" ไอ้ผ้าสาฎกจริง ๆ อาตมาก็ไม่รู้จัก จะบอกลักษณะก็เดา ตามตำราท่านบอกไว้ ก็เป็นการเดา ทำด้วยนั้นบ้าง ทำด้วยนี้บ้าง เป็นต้น ท่านต้องการผ้าสาฎกเนื้อน้อย ไอ้คำว่าเนื้อน้อยก็หมายถึงผ้าบ้าง ๆ เรื่องจริง ๆ มีอยู่ว่าท่านมีจีวรอยู่ผืนหนึ่ง ดูรู้สึกว่าจะเป็นผ้าเนื้อหยาบสักหน่อยท่านเอาไปให้พี่สาว เข้าใจว่าเอาไปให้พี่สาวย้อม พี่สาวทำความสะอาด อย่างนี้เป็นต้น อาตมาก็จำบาลีไม่ค่อยได้ จำเนื้อความไม่ค่อยได้ชัด ว่าเอาไปให้พี่สาวเย็บหรือย้อมก็จำไม่ได้แน่ รวมความว่าเอาไปให้พี่สาวจัดการให้ก็แล้วกัน แต่ไม่ได้หวังให้ทำใหม่ ดังนั้นพี่สาวเห็นว่าผ้าของพระน้องชายเนื้อหยาบมาก ก็ทุบเสียใหม่ทำเสียใหม่ ทุกอย่างให้เป็นผ้าเนื้อละเอียดทอใหม่ทั้งหมด หลังจากได้มาทำให้ละเอียดดีแล้ว เย็บแล้วก็ย้อมเสร็จพูดง่าย ๆ ก็เป็นผ้ามีราคาสูง เป็นผ้าแพรก็ได้สมัยนี้นะ สมัยนี้เทียบกับแพรหรือป่านเสร็จแล้วก็เอาไปให้พระน้องชาย เวลานั้นก็เป็นกาลพอดี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระน้องชายนี้ป่วยมากป่วยมากจนไม่สามารถจะครองจีวรนี้ได้ เห็นผ้าจีวรที่พี่สาวนำไปให้ ผ้าของท่านเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่พี่สาวนำมาให้นี้เป็นผ้าเนื้อละเอียด มีเนื้อดีมาก อาศัยกำลังใจที่สะอาดของท่าน บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังไปก็ดูจริยาดูกำลังใจของท่านด้วย ท่านมีกำลังใจสะอาดมาก ก็บอกกับพี่สาวว่า "ผ้าผืนนี้อาตมารับไม่ได้" พี่สาวถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่า "ผ้าอาตมาไปให้พี่ไว้มันเป็นผ้าเนื้อหยาบ แต่ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่มีเนื้อดีมากไม่ควรแก่การที่จะรับไว้ เพราะผิดพระวินัย (พูดภาษาไทย ๆ ก็ผิดศีล) เกรงว่าจะเป็นการขโมยหรือโกงผ้าของบุคคลอื่น" พี่สาวก็บอกว่า "ความจริงผ้าผืนนี้เป็นผ้าของท่าน เมื่อท่านนำผ้าเนื้อหยาบไปให้ฉันก็เลยทำทุบเสียใหม่ สางเสียใหม่ เอาด้ายมากรอกันเสียใหม่ ทำใหม่หมด เป็นด้ายชิ้นเล็ก ๆ เนื้อถึงได้บางสวยแบบนี้" เมื่อพี่สาวบอกตามความเป็นจริง ท่านก็ยอมรับ เห็นว่าไม่ผิดพระวินัย พี่สาวไปแล้วท่านก็อยากจะห่มจีวรผืนนี้เต็มที แต่มันห่มไม่ไหว เพราะป่วยจนลุกไม่ขึ้น จิตใจก็มีความรู้สึกรักจีวร แต่ไม่นานนัก ไม่ทันได้ห่มจีวร ท่านก็ถึงแก่ความตาย เพราะอาศัยที่จิตแทนที่จะนึกถึงพระรัตนตรัย แต่ความจริงวินัยท่านไม่ขาด จะถือว่ามีโทษทางวินัยไม่ได้เลย แต่ว่าจิตใจมันวุ่นวายเกินไปในเรื่องของผ้า อาศัยที่มีจิตใจหวงผ้ามาก ตายแล้วแทนที่จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นเทวโลก ความจริงบุญบารมีของท่านถึงขั้นชั้นดุสิต ชั้นนี้มีความสำคัญมาก ตามเท่าที่รู้จักกันมา ว่าเทวดาชั้นดุสิตนีจะต้องเป็นคนที่มีความดีตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป อาตมาคิดเอาเองนะ คิดเอาเองหรือเคยได้ยินใครท่านพูด เขาบอกว่าชั้นดุสิตถ้าคนที่จะเข้าได้ต้อง
    ๑. เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มข้นแล้ว
    ๒. พระพุทธบิดา คือบิดาของพระพุทธเจ้า พระพุทธมารดา และ
    ๓. พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะมีความสามารถเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตได้
    ฟังมาอย่างนี้ผิดหรือถูกก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่าพระองค์นี้มีบารมีที่จะสามารถเกิดในชั้นดุสิตได้ก็แล้วกัน แต่ว่าการตายครั้งนั้นของท่าน เพราะจิตท่านไปกระหวัดถึงจีวร แทนที่จะเกิดเป็นเทวดา กลับไปเกิดในกลีบของจีวร ในกลีบของจีวรนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านเกิดเป็นเล็น ไอ้เล็นนี่ตัวเล็กมาก เรามองด้วยสายตาเปล่า อย่างตาอาตมาอายุตั้ง ๗๐ นี่ไม่เห็นแน่ บางทีใส่แว่นตาแล้วอาจจะไม่เห็นเพราะตัวมันเล็กมาก เสียงของเล็นร้องตะโกนขนาดไหนหูของเราก็ไม่ได้ยินแน่ แต่ว่าท่านก็ย่องเข้าไปเกิดเป็นเล็น ตามพระวินัยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าพระตายลงไปแล้วทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ ถ้ามีคนที่รับทรัพย์มรดกได้พระองค์นั้นต้องประกาศก่อนตาย หรือว่ามอบให้ใครก่อนตายจึงจะเป็นสมบัติของผู้นั้นได้ ถ้าตายลงไปแล้วโดยไม่มอบให้ใคร ทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของสงฆ์ ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังแล้วก็โปรดจำไว้ด้วย เพราะอาตมาเองเคยมีหน้าที่จัดทรัพย์สินของสงฆ์อยู่หลายครั้ง ของพระที่ตายแล้ว ปรากฏว่ามีคนบางคนมาอ้างบอกว่า ฉันเป็นลูกบุญธรรมบ้าง เป็นพี่บ้าง เป็นน้องบ้าง เป็นหลานบ้าง เป็นคนนั้นบ้าง เป็นคนนี้บ้าง และทรัพย์สมบัติส่วนนั้นส่วนนี้ท่านยกให้ฉันเป็นสมบัติของฉัน เคยมีมาแล้วในกาลก่อน ทีนี้กรรมการจะทำยังไงก็ต้องประชุมสงฆ์ให้สงฆ์ลงมติว่าสงฆ์เห็นมีความสมควรยังไงก็ต้องปฏิบัติตามนั้น และก็ได้แนะนำให้ท่านผู้นั้นทราบว่า เรื่องนี้จะให้อาตมามอบน่ะอาตมามอบไม่ได้เพราะมันผิดวินัย ยังไง ๆ ก็ไม่มอบให้แน่ แต่ว่าถ้าจะเอาให้ได้ก็ให้หยิบเอาไปเองก็แล้วกัน อาตมาจะไม่โจทย์ไม่ฟ้องท่านว่าเป็นขโมยขโมยของสงฆ์ แต่ว่าถ้าจะให้บอกว่าให้นะบอกไม่ได้แน่ เพราะถ้าบอกว่าให้ถือว่าขโมยของสงฆ์ไปให้ชาวบ้าน เพราะการมอบหมายให้ซึ่งกันและกัน ตามวินัยต้องทำอย่างนี้ ต้องมอบให้กันก่อน ให้ก่อนตายอธิบายให้ฟังแล้วเราก็ไม่หวง แต่เนื้อแท้จริง ๆ ในที่สุดท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ยอมรับเอาไป บอกว่าถวายสงฆ์ ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีความสำคัญมากบรรดาท่านพุทธบริษัท การนำของสงฆ์ไปเป็นทรัพย์ส่วนตัวนั้นต้องระวัง แม้แต่เศษกระเบื้องแตก ๆ เล็ก ๆ ชิ้นเดียวหรือดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ชิ้นเดียว ใบไม้ที่ไร้ค่าจริง ๆ แล้วใบเดียว ท่านนำไปโดยที่สงฆ์ไม่ได้อนุญาต ก็ถือว่าเป็นการขโมยของสงฆ์ ผลที่จะพึงได้รับก็คือ อเวจีมหานรก ข้อนี้ใครจะเถียงไหม ท่านจะเถียงก็เถียงเถอะ ในเมื่อเทปไปอยู่ที่ท่านเถียงอาตมาก็ไม่ได้ยินถ้าขืนได้ยินก็ไม่เถียงไม่ตอบท่านเพราะถ้าขืนโต้ตอบกับท่าน ดีไม่ดีจิตใจอาตมาเศร้าหมองเพราะการโต้ตอบกับพวกท่านที่ละเมิดพระธรรมวินัย กำลังใจเกิดเศร้าหมองขึ้นมาอาจจะต้องไปอยู่ในนรกเสียเองก็ได้ ไม่เอาแล้ว บอกให้ฟังกัน ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคน ถ้าเป็นลูกเป็นหลานพระ เป็นญาติของพระ เป็นผู้ที่รับมรดกจากพระได้เมื่อพระตายแล้ว บอกให้พระที่มีส่วนสำคัญของท่านมอบเสียก่อนตาย ถ้ายังไม่สามารถจะยกให้ใครได้ทำพินัยกรรม แล้วก็มีฆราวาสและมีพระเป็นพยาน ว่าของส่วนนี้เมื่อท่านตายไปแล้วเป็นสมบัติที่บุคคลนั้นจะพึงได้

    บุคคลนี้จะพึงได้ แต่ข้อนี้ก็ขอเตือนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย พูดสำหรับญาติโยมก่อนนะ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ถ้าพระตายไปก่อนแล้วท่านนำเอาไปบ้านของท่าน อย่าลืมว่าโทษลักของสงฆ์ เป็นของไม่เล็กเลย ความจริงเราได้มาเราก็ตาย เราไม่ได้มาเราก็ตาย ทางที่ดีก็ควรจะตายแบบประเภทที่เรียกว่าไปอยู่ในแดนที่มีความสุขดีกว่า ถ้านำของสงฆ์ไป อย่างน้อยท่านก็ลงอเวจีแน่นอน ไม่มีทางพ้น อาตมาคิดว่าไม่เอาเสียเลยดีกว่า ทีนี้ของที่จะพึงรับได้ก็ต้องดู ว่าของที่พระท่านให้ว่าเป็นทรัพย์สินมาจากอะไรเป็นทรัพย์สินดั้งเดิมจากฆราวาสหรือว่าเขาถวายสมัยเมื่อสมัยเป็นพระ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่มีญาติโยมพุทธบริษัทที่มีศรัทธาถวายมาในระหว่างเป็นพระ อย่ารับเลยบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าของที่เขาถวายมานั้นระหว่างเป็นพระแล้ว จะถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระองค์นั้นได้ แต่ว่าทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นจะโอนให้ญาติไม่ได้แน่นอน ที่เขาเรียกว่า เงินหรือของสาธุ คำว่า "สาธุ" คือ ท่านผู้ให้ให้ด้วยดีแล้ว ให้ด้วยเจตนาที่ท่านผู้รับเป็นพระ หากว่าท่านทั้งหลายที่ไม่ใช่พระ ไปรับมรดกอย่างนี้ ยังไง ๆ ก็ไม่พ้นการตกนรก เป็นการละเมิดทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปรับโทษหนักมาก ต่อไปนี้ขอเลี้ยวถึงพระอีกสักหน่อย เรื่องนี้สั้นมาก บรรดาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน หากว่าท่านจะมอบอะไรให้กับญาติโยมของท่าน ก็ต้องดูถ้านาที่ดินก็ดี บ้านก็ดี เงินทองก็ดี ส่วนนั้นถ้ามันได้มาจากในสมัยเมื่อเป็นฆราวาสนั่นหมายความว่ายังไม่ได้บวช เป็นทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้เป็นส่วนตัว และก็เวลาบวชแล้วก็ยังไม่ได้ใช้หรือใช้ยังไม่หมด หรือว่าบางทีไปฝากธนาคารไว้ ฝากธนาคารเงินมันก็งอก ดอกเบี้ยมันมี แต่ก็ต้องเป็นดอกเบี้ยของเงินส่วนนั้น ทรัพย์สมบัติส่วนนี้ท่านสามารถจะโอนให้ญาติท่านได้ เพราะเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ว่าเป็นทรัพย์ที่ท่านได้มาจากการถวายของบรรดาท่านพุทธบริษัทสมัยที่เป็นพระแล้ว ไอ้อย่างนี้อย่าเข้าไปแตะต้อง คิดว่าเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะ ให้ถือว่าท่านผู้ถวายถวายเพราะเราเป็นพระ ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเหมาะในการเป็นพระเท่านั้นที่ใช้ ถ้าท่านขืนโอนให้กับบรรดาญาติโยมของท่านไป ท่านเองจะต้องลงอเวจีมหานรก บางท่านอาจจะค้านว่าอะไรก็อเวจี อะไรก็อเวจี เวลานี้ก็เป็นของไม่ยาก เราสามารถพิสูจน์กันได้ว่าพระที่ตายไปแล้ว และก็จับจ่ายใช้สอยทรัพย์ประเภทนี้ไปไหนกัน มีอยู่เกลื่อนในอเวจีมหานรก ต่อนี้ไปก็พูดถึงเรื่อง พระติสสะ เพราะเรื่องสั้น เลยนำเรื่องอื่นเข้ามาประสานประสานให้พอกับเวลา

    สำหรับพระติสสะนั่นเมื่อท่านตายจากความเป็นคน อาศัยจิตใจที่รักจีวร ความจริงศิล สมาธิ ของท่านดี ต้องถือว่าดีมาก จะถือว่าจะเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ พอพ้นจากความเป็นเล็นแล้วท่านไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิตก็รวมความว่าท่านมีความละอายต่อบาป ด้วย เอาผ้าจีวรหยาบไปให้พี่สาวจัดการ พี่สาวทำเป็นผ้าเนื้อละเอียดไปให้ ท่านยังบอกว่ารับไม่ได้ เพราะผ้าผืนนี้ไม่ใช่ของท่าน ผ้าของท่านเป็นผ้าเนื้อหยาบ คงจะให้พี่สาวเย็บตัดเป็นจีวรกระมัง พี่สาวก็บอกว่าเป็นผ้าผืนเดิม แต่ไปสะไปสาง ไปล้างเสียใหม่ กรอเสียใหม่เป็นผ้าเนื้อนิ่ม เป็นด้ายเล็ก ๆ ทำให้ผ้าเป็นผ้าเนื้อละเอียด น่ารัก ท่านจึงรับ นี่จิตท่านสะอาดขนาดนี้ ก็รวมความว่าพระติสสะตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น เอาร่างกายเล็ก ๆ ไปสิงอยู่ในกลีบของจีวร เมื่อพระสงฆ์ตายบอกแล้วว่าทรัพย์ทั้งหลายต้องเป็นของสงฆ์ บรรดาพระทั้งหลายก็ไปจัดการว่าทรัพย์สมบัติของพระติสสะเวลานี้มีอะไรบ้าง ก็หยิบโน่นหยิบนี่นั่นตามที่มีอยู่ คงมีไม่มาก เพราะอยู่กับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ไม่แน่นักนะเพราะว่ามหาเศรษฐีทั้งหลายมีความเคารพ อย่างพระอานนท์นี่มีผ้าสาฎกเป็นพัน ๆ ผืน แต่พระอานนท์ท่านก็เป็นพระแท้ ไปที่ไหนท่านก็แจก ที่ไหนใครไม่มีท่านก็แจกท่านก็ทำบุญของท่านเรื่อยไปไม่แปลก อย่างท่านพระติสสะนี่อาจจะมีจีวรมากก็ได้ เพราะว่าท่านมหาเศรษฐีบ้านญาติโยมทั้งหลายบ้าง มาถวายกันอาจจะมีเยอะ จึงมีการตรวจค้นทรัพย์สมบัติขึ้นมา หยิบอย่างอื่นไม่มีเรื่อง พอไปจับจีวรผืนนั้นเข้า เล็นติสสะร้องตะโกนเสียงดังว่า "ไอ้โจรปล้นจีวร ไอ้โจรปล้นจีวร" แต่ก็เป็นการบังเอิญจริง ๆ พระที่ไปนั่นไม่มีพระหูทิพย์เลย ฟังแบบสบายไม่รู้เรื่องไม่ได้ยิน
    พระพุทธเจ้าอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ยินเสียงเล็นตะโกนแบบนั้นก็บอกพระอานนท์ว่า "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ รีบไปที่กุฏิท่านติสสะเดี๋ยวนี้ บอกพระทั้งหลายว่าจีวรผืนนั้นให้วางไว้ก่อน อย่าแตะต้อง จากนี้ไป ๗ วันอย่าแตะเด็ดขาด วันที่ ๘ จึงแตะต้องได้"พระอานนท์ก็ไปบอกแบบนั้น ทีหลังกลับมาถามองค์สมเด็จพระทรงธรรม์ว่าเป็นเพราะอะไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "ก็เล็นติสสะสิคุณ ก่อนที่เธอจะตายเธอห่วงจีวรผืนนี้ เธอมีความรักในจีวรผืนนี้มาก เพราะเนื้อมันดีมาก ดีกว่าทุกผืนที่เคยมีอยู่ เธอตั้งใจจะครองจะใช้ผ้าผืนนี้มีอยู่แต่ว่าโอกาสไม่มีเธอมาตายเสียก่อน ก่อนจะตายจิตใจก็นึกถึงจีวร เธอก็ต้องเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน" เพราะเล็นมีอายุแค่ ๗ วัน หลังจากนั้นวันที่ ๘ เล็นตัวนี้ก็จะตาย คือไม่ต้องใครทำให้ตาย อายุขัยของเขาแค่นั้น เขามีอายุขัยแค่ ๗ วัน เหมือนกับยุง ยุงนี่ถ้าไม่มีใครฆ่าถ้าเธออยู่เต็มอายุ เธอก็อยู่ได้แค่ ๗ วันเหมือนกับเล็น ถึง ๗ วันเล็นตัวนั้นก็จะตาย ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต นี่ละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายจะมีความรู้สึกนึกถึงความตายเป็นปกติและก็ไม่ประมาทในชีวิต มีจิตเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็มีศีลบริสุทธิ์ บางท่านหรือหลายท่านอาจจะคิดว่าถ้าเราตายคราวนี้ขอไปนิพพานจุดเดียว ความจริงแล้วอารมณ์อย่างนี้ดีมาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "บุคคลประเภทนี้พ้นอบายภูมิแน่นอน" ถ้าจำเป็นที่จะเกิดในมนุษย์อีกกี่ชาติก็ตามทีขึ้นชื่ออบายภูมิทั้ง ๔ ประการ ไม่สามารถจะแตะต้องท่านได้ อบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัชฉาน แต่ก็จงอย่าลืมว่ากำลังใจของท่านต้องมีความมั่นคงจริง ๆ อย่าไปหลงใหลใฝ่ฝันกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เกินไป อย่างพระติสสะ เป็นต้น ให้คิดถึงความจริงของคนว่าถ้าตายไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะครองทรัพย์สมบัติใด ๆ ได้อีก ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยมันไว้ ตายแล้วก็เลิกกัน ถ้าจิตใจของท่านเป็นอย่างนี้อารมณ์จิตก็จะผ่องใส ฉะนั้นการที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จะทรงกำลังใจไว้ด้วยสมาธิและปัญญาไว้ในส่วนดี มีอนุสสติประจำใจ จนเป็นฌาน ซึ่งเป็นของดีมาก ซึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคสอนเอาไว้ เพื่อไม่ให้หลงไปในอบายภูมิต่อไป เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายวันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเวลาบอกว่าหมดแล้ว ประกาศแล้ว ร้องกริ๊ง ๆ นั่นเป็นของตั้งเวลา เมื่อหมดเวลา ๓๐ นาที ต้องขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแต่บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี
    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://geocities.com/js_source/geov2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...