คุณอ๋อยลูกศิษย์หลวงพ่อกับผลการปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 กันยายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    [​IMG]
    คุณอ๋อยกับผลการปฏิบัติธรรม <!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->
    ตามที่ได้เล่าไว้ในที่หลายแห่งข้างต้นแล้วว่า หลวงพ่อท่านสอน ให้มุ่งพระนิพพานเข้าไว้ตลอดเวลาแล้วนั้น ขอนำตัวอย่างการอบรม ก่อนเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อ ทำการอบรม ในคืนวันที่ 19 มกราคม 2521 คือ ในวันที่พระราชทานเพลิงศพคุณอ๋อย ดังต่อไปนี้
    คุณอ๋อย คุยอยู่กับเรา 2 - 3 วันนี้เองนะ วันนี้เราไปเผาแกเสียแล้ว แสดงว่า มีจิตใจโหดร้ายมากจริงไหม นี่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้เป็นอนิจจัง ความจริง โลกเขาเที่ยง แต่อารมณ์เรามันไม่เที่ยง ไม่ยอมรับความเที่ยงของโลก คือ มันเปลี่ยนแปลงแล้วก็พัง เราไม่รับเร ก็เลยทุกข์ มีแต่พระอรหันต์ ท่านไม่ทุกข์ กายของท่านทุกข์ แต่ใจของท่านไม่ทุกข์ ท่านจึงให้เราพิจารณาใจของเราไว้เสมอ อย่างที่ท่านว่า
    <TABLE width="74%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width="21%">อัตตนา โจทยัตตานัง</TD><TD class=webbody width="79%">เราจงเตือนตนของตนเองไว้เสมอ </TD></TR><TR><TD class=webbody width="21%">อัตตาหิ อัตโน นาโถ</TD><TD class=webbody width="79%">ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน </TD></TR><TR><TD class=webbody width="21%">โกหิ นาโถ ปโรสิยา</TD><TD class=webbody width="79%">บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ </TD></TR><TR><TD class=webbody width="21%">อัตตาหิ สุทันเตนะ</TD><TD class=webbody width="79%">เมื่อเราฝึกตนดีแล้ว </TD></TR><TR><TD class=webbody width="21%">นาถัง ลภติ ทุลภัง</TD><TD class=webbody width="79%">เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่น หาได้ด้วยยากก็คือ พระนิพพาน </TD></TR></TBODY></TABLE>ตัวอย่างของพวกเราก็คือ คุณอ๋อย คุณอ๋อยนี่เวลานี้เขาบอกว่า ตายไปแล้ว แต่ถ้าเราจะไปเทียบกับเรื่อง ๆ หนึ่งในพระธรรมบท ที่ตอนเช้าพระไปบิณฑบาต ได้ข่าวบุคคล 2 ประเภทตาย นั่นก็คือ เรื่องของ พระนางสามาวดี พร้อมไปด้วยบริวาร 500 ถูกพระนางมาคันทิยา ให้อาไปเผาปราสาท ตายหมดทั้ง 500 คน แล้วต่อมา พระเจ้าอุเทน พระราชสวามี จับได้ว่า พระนางคันทิยาทรยศ ฆ่าพระนางสามาวดี จึงแต่งตั้งให้เป็น อัครมเหสี มียศสูงขึ้น แล้วเล่าว่า นางสามาวดี ก็ดี นางสนม 500 ก็ดี ย่อมเป็นภัย กับเราอยู่เสมอ ตายเสียก็ดี คนที่ฆ่า ต้องเป็นคนที่เรารัก มีความหวังดีกับเรา พระนางมาคันทิยาเสียท่ารับว่า เป็นตัวการ พระเจ้าอุเทนก็ว่า ดีแล้ว ญาติพวกพ้องร่วมกันมีกี่คน เอามารับความดี ความชอบให้หมด ได้ตัวมาแล้วจับฝังดิน เชือดเนื้อ พระนางมาคันทิยา ทอดให้กินทีละชิ้น ๆ จนตาย
    พระภิกษุได้ทราบ ก็กลับไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลทั้งสองนี้มีคติไม่เหมือนกัน สำหรับ พระนางสามาวดีกับคณะ ตายไปแล้ว ก็เหมือนกับ คนที่ไม่ตาย สำหรับ พระนางมาคันทิยานั้น มีชีวิตอยู่ ก็เหมือนกับคนตายแล้ว แปลกไหม เพราะว่า คณะของพระนางมาสาวดีทั้งหมด ก่อนที่จะถูกไฟเผาเป็นพระโสดาบัน ในขณะ ถูกไฟเผา พระนางสามาวดี สอนบรรดา คนทั้งหลาย ของตนว่า จงอย่าโกรธ มาคันทิยาพราหมณ์ และ พระนางมาคันทิยา ทุกคนจงอย่าประมาท ดังนั้นทุกคน จึงพากัน พิจาณาขันธ์ 5 บางคน ก็เลื่อน จากพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี บางท่าน ก็เลื่อนเป็น พระอนาคามี ตายแล้ว ท่านก็ไปเกิด บนสวรรค์ มีนิพพานเป็นไปในเบื้องหน้า สำหรับพระนางมาคันทิยาตายแล้ว พากันไปอเวจีมหานรกหมด
    นี่พูดกันเรื่องเผาก็เลยว่า เรื่องนี้ให้ฟัง อย่างที่คุณอ๋อยนี่ หลวงน้า ท่านปรารภว่า วันนี้เหตุที่ปรากฏเป็นอัศจรรย์ คนเป็นโรคอย่างนี้ มีทุกขเวทนามาก แต่ไม่ครวญ ไม่คราง ไม่ร้อง เป็นเรื่องอัศจรรย์ ท่านบอกว่า พบเป็นรายที่ 2 รายแรกก็คือ เจ้าคุณนร ฯ ทั้งนี้ เพราะท่านมีสังขารุเบกขาญาณ มีอารมณ์วางเฉยในขันธ์ 5 อาการอย่างนี้ ถ้าหากเรา จะฝึกกัน โดยวิธีใช้อารมณ์ นั่งหลับตา เป็นสมาธิ เป็นปกติแล้ว ใจเราก็จะดีแค่สมาธิ อันนี้ใช้ไม่ได้ ยังไกลต่อความเป็นจริง เวลาเราหลับตา ฝึกสมาธินั่น เราฝึกให้อารมณ์ ทรงอยู่ อารมณ์ที่ทรงนี้ เราต้องให้มั่น หลังจากเลิกสมาธิแล้วด้วย ให้อารมณ์มันชิน คือ ชินในกุศล ชินในความดี มุ่งจุดอยู่จุดหนึ่ง นั่นก็คือ พระนิพพาน คนที่จะมีอารมณ์ อย่างนี้ได้ จะต้องมี อารมณ์รักพระนิพพาน จับในอารมณ์รักพระนิพพานนี่ ต้องสิงอยู่ในใจ ถ้าอารมณ์รักพระนิพพาน ไม่เข้าถึงที่สุด มันจะทนไม่ไหว ทนไม่ไหว เพราะ สังขารุเบกขาญาณ มีกำลังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ามีกำลังพอก็จะคิดว่า ทุกขเวทนาของขันธ์ 5 มันจะมีอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามันพังเมื่อไร เราก็จะไปพระนิพพาน มีความสุข ใจมันไปจับที่ความสุข จุดโน้นนะ ความทุรนทุรายจึงไม่มี
    ต่อไปต้องพิจารณาอีกนิดหนึ่ง อย่างคุณอ๋อยนี่ นอนอยู่ในห้องก็ฟังเทปธรรมะบ้าง เสียงสวดมนต์บ้าง แกเคยบอกว่า เขาฝึกมโนมยิทธิกัน จะไปดูสวรรค์ ดูนั่นดูนี่ แกไม่ต้องการ แกต้องการไปพระนิพพาน อย่างง่ายๆ แบบสุกขวิปัสสโก แบบนี้พูดมาหลายปี จำได้ว่า 3 ปีกว่าเกือบ 4 ปี นี่ถึงแม้เราจะคิดไว้วันละน้อย ๆ แต่คิดบ่อย ๆ อารมณ์ก็เกิดความชิน คำว่า ชินตัวนี้ก็คือ ฌาน จิตมันตั้งตรง จิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน คิดว่า ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้ ตายก็ไปนิพพาน คิดไว้แบบไหนก่อนตาย จิตมันจะไปตามนั้น ดูตัวอย่างท่าน โฆษกเทพบุตร ตอนท่านเป็นคน ตอนท่านจะตาย เห็นท่านมหาเศรษฐี มีสุนัขท่านกินข้าวมธุปายาส ท่านก็แบ่ง ให้มันกินบ้าง หมาตัวเมีย ก่อนที่แกจะตาย แกก็มองดูเจ้าสุนัขตัวนั้นว่า มันเป็นหมายังดีกว่าเรา ตั้งแต่เกิดมา ข้าวมธุปายาส ไม่เคยกินเลย จิตใจไปจับในสุนัข ในที่สุดก็จะตาย จิตก็เข้าไปสู่ครรภ์ของสุนัข เลยเกิดมาเป็น ลูกหมา แต่อาศัยที่เพิ่งตายจากคนไป จึงมีความรู้สึกอย่างคน รู้ภาษาคนทุกอย่าง นี่สังเกตให้ดีนา สุนัขที่เรา เลี้ยงแมวที่เราเลี้ยง ถ้าเราพูดรู้ภาษาง่าย ๆ เจ้าพวกนี้จะมาจากที่ 2 สถาน คือ ถ้าไม่มาจากคน ก็มาจากเทวดา
    พระพุทธเจ้าบอกว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ หรือเป็นพรหมใหม่ นี่แสนยากหายาก จะมาเกิดค้างอยู่แค่มนุษย์ ก็แสนยากเหมือนกัน ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะว่า คนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดา ด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาป ด้วยกันทุกคน แต่หาก ก่อนตาย เราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน พอหมดจากวาสนาบารมี ก็ต้องไปใช้หนี้กรรม คือ อกุศล ต้องลงอบายภูมิ ใช่ไหมล่ะ ทีนี้ถ้าจะไปกัน ก็อย่าไปมันเลย แค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดีมันป๋อม ตกแค่ท้องหมามันยังดีนะ มีข้าวกินนะ ถ้าลงนรกนี่มันแย่ กว่าจะมาใหม่ สำหรับ ท่านโกฏอริยกะ เกิดเป็นหมาก็มีความรู้ภาษาคนดี ต่อมา เจ้านายมีความเคารพ ในพระปัจเจกพุทธเจ้า อาศัยเธอเป็นสุนัขแสนรู้ เวลาที่ท่านเจ้า ของไม่มีโอกาส ที่จะไปรับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ตอนเช้า มาฉันที่บ้าน ก็ใช้สุนัข ตัวนี้ ไปนิมนต์ แกไปถึงหน้าสำนัก ก็เห่าบ้าง หอนบ้างเป็น สัญญาณว่า มารับ แล้วก็เดินนำมา บางคราว พระปัจเจกพุทธเจ้า แกล้งทำเลยไป ไม่เลี้ยวเข้าบ้าน แกก็ไปขวางหน้า ท่านก็แกล้งไปหยุด แกก็เอาปากดึงสบง ฉลาดเสียด้วยนา อาศัยที่จิตใจของเธอ มีความรักในพระ ตายไปเธอก็ได้เกิด เป็นเทวดา นี่เป็นอันว่า จิต ใจ ของเรามีความสำคัญ ก่อนตาย จิตใจของเราจับจุดไหน อย่านึกว่า ความดีของเราไม่มี เราจะไปจับพระนิพพานได้ยังไง นิพพานนี่ไปไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์
    ไปนรกซี ต้องลงทุนมากกว่า ต้องลงทุนโกหกเขา ทำร้ายเขาสารพัด
    ไปสวรรค์ ไปนิพพาน นอนในมุ้งเรา ก็ไปได้ นอนนึกถึง คุณของพ่อ ของแม่ นอนนึกว่า ไอ้คนนั้น ไม่มีข้าวจะกิน พรุ่งนี้ จะเอาข้าวไปให้มัน สักก้อน 2 ก้อน บ้านนั้นมันไม่มี สตางค์ใช้ เออ มีสตางค์อยู่ 2 บาทพรุ่ง นี้เอาไป แบ่งให้สักสลึง ยังไม่ทันจะให้ ถ้าตายเวลานั้น ไปสวรรค์เลย เพราะจิตเป็นกุศล
    ถ้าเราอยาก จะเป็นพรหม นอนภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ จับลมภาวนา นึกถึงทาน นึกถึงศีล อะไรก็ช่าง จิตมันทรงอารมณ์ มึความชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ นึกถึงความดีว่า ภาวนาพุทโธ ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ดี ธัมโมพระธรรมก็ดี สังโฆพระสงฆ์ท่านก็ดี นึกถึงทาน การบริจาค เป็นจาคานุสติกรรมฐานว่า เออ วันนี้ เราเห็นคนเขาหิวข้าว เห็นสัตว์ตัวผอม เดินกระย่องกระแย่ง เราให้ข้าวไปก้อนหนึ่ง เรามีความปรารถนาอย่างไร สัตว์ก็มีความปรารถนาอย่างนั้น จิตใจเราอยู่แบบนี้เพลินสบาย เสียงวิทยุในบ้าน ดังอ้าว ๆ เด็กในบ้านทะเลาะกัน เราก็ไม่รำคาญ เราคิดเพลิน อย่างนี้อารมณ์ เป็นปฐมฌาน คืนนั้น ถ้าตาย ก็ไปเกิดเป็นพรหม ง่ายนิดเดียว
    ถ้าเราอยาก จะไปนิพพาน ก็คิดดูว่า ตั้งแต่เช้ามาจนนอนนี่ โอ้โฮ มันมีอะไร กันบ้างนี่ ในวันนี้ เช้าตื่นขึ้นมา อุ๊ ไม่ไหวแล้ว ขี้ปาก เลอะเทอะ ต้องไปแปรงฟัน ต้องไปล้างหน้า ต้องหุงข้าว หุงปลา อาหาร ก็จะกิน เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระ เดี๋ยวก็ถ่ายปัสสาวะ ยุ่งกันไปหมด เฮ้ย ไอ้เกิดมาเป็นคนนี่ หาความสุขอะไรไม่ได้ จะดูคนไหน ๆ ก็วุ่น วายไปด้วยการงาน ทำงานเกือบตาย เมื่อต่างคนต่างตาย ทรัพย์สินที่เราหามาได้ มันก็ไม่เป็นของเรา ชาวบ้าน เอาไปหมด แม้ร่างกายของเราก็เอาไปไม่ได้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายไม่ใช่ เราไม่ใช่ของเรา นี่เป็นของจริง แล้วทำไมเราจึงเกิด เราเกิดเพราะว่า เราหลง หลงอยู่ในโลภะ ความโลภ ความโกรธ ความจริงคนทุกคนเกิดมาแล้ว มันก็ทุกข์ เกิดมาแล้วมันก็ตาย คนทุกคนก็มีความปรารถนาดี ที่ทำอะไรไปก็เพราะ มีความปรารถนาดี เขาถึงทำอย่างนั้น แต่เราไม่ชอบใจ เราก็ไม่โกรธเขา ประการสุดท้าย เราก็เมาในชีวิต ชาวบ้านเขาตาย เราก็เห็นแต่เพียงว่า เขาตาย ไม่ได้คิดว่าเราจะตายบ้าง เป็นอันว่า เกิดมาเพราะ อาศัยความชั่วที่ในจิต คือ
    1. ติดอยู่ในโลภ
    2. ติดอยู่ในความโกรธ
    3. ติดอยู่ในความหลง
    ทีนี้เราไม่เอาละ เลิกเกิดมันเสียดีกว่า มีหน้าที่หากินโดยสุจริต ก็ทำไปตามหน้าที่ จะมีรายได้มากเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่เราไม่ทุจริต คิดว่าเมื่อชีวิตยังมีอยู่ คนในปกครองยังมีอยู่ ต้องทำมาหากิน ยังชีพให้ทรงตัว เพื่อให้คนในปกครองมีความสุขด้วยอามิส คือ ทรัพย์สินที่หามาได้ แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า
    ทรัพย์สินที่หามาได้นี้ช่างมัน ตายแล้วจะอยู่กับใครก็ช่าง เราไม่สนใจ กับมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย สำหรับชีวิตเรา
    ถ้าใครจะสร้างความโกรธความพยาบาทให้เกิดกับเรา เราก็ถือว่า นั่นเป็นความบ้าของเขา เราไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากพยาบาท ถ้าเราไม่ดี เราไป พูดกับเขา เขาก็แสดง อาการโหดร้าย สร้างความ สะเทือนใจให้เกิด เราก็ใช้อุเบกขาเสีย วางเฉยเสีย ไม่ใช่เราโกรธ
    แต่เมื่อพูดแล้วเขาดีด้วยไม่ได้ เราก็ไม่พูด ทำใจให้สบาย ไม่ติดใจในเรื่องของความโกรธ ความพยาบาท แต่ถ้าเราคิดดูว่า ถ้าจะฆ่าคนนี้ ก็น่านึกว่าคนที่เราจะฆ่านะ จะอยู่อีกสักกี่ปี ถ้าเราไม่ฆ่าเขาจะอยู่สัก 500 ปีได้ไหม ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ต้องฆ่าหรอก ความจริงไอ้คนจะตายน่ะนะ มันของไม่ยาก คนเกิดมาเท่าไหร่ มันก็ต้องตายหมด เท่านั้นอยู่แล้ว นี่เป็นอันว่า ถ้าจิตใจของเราไม่ผูกพันในขันธ์ 5 คำว่า ไม่ผูกพันนี่ค่อยๆ คิด ค่อย ๆ ปลง จิตตั้งอารมณ์ไว้เพียงน้อย ๆ ว่า หน้าที่ของเรามีเท่าไร เราจะทำตามหน้าที่ ที่เราเกิดมาแล้ว แต่ทว่าชีวิตนี้หรือชีวิตไหนก็ตาม ไม่ว่าจะมีกี่ชาติก็ต้องอยู่ในสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์และสลายตัวในที่สุด เหมือนชาตินี้ เป็นอันว่า คิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็น ชาติสุดท้าย สำหรับเรา ต่อไปชาติหน้า คำว่า เป็นมนุษย์ก็ดี คำว่า เป็นเทวดาก็ดี คำว่า เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ไกลไปกว่านั้นนะ
    ใช้ อุปสมานุสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ ท่านเรียกว่า นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ทำเท่านี้และทำไปเถอะ ไม่ต้องไป ใช้เวลามันหนักหรอก อารมณ์มันจะชินเข้าไปทุกที ๆ ขณะที่เรายังไม่ป่วยไข้ ไม่สบายนี่ ยังไม่รู้สึกว่า อารมณ์นี้ มันดีขนาดไหน พอป่วยไข้หนัก ขึ้นมาเมื่อไร จะรู้สึกตัว นี่ทุกคน อาตมาเคยสังเกต พอป่วยหนักขึ้นมาจิตก็จับพั้บว่า เราต้องการพระนิพพาน พอเริ่มป่วยน้อยๆ นะก็ตั้งจิต คิดว่า คราวนี้เราคงจะตาย มันตายหรือไม่ตายก็ช่างมัน ก็คิดว่า ทรัพย์สินทั้งหลายของเรามันไม่มี ญาติพี่น้องที่จะตายร่วมกับเราไม่มี ชีวิตนี้ เราอาจจะตาย ตายก็ช่าง เราต้องการไปนิพพาน คิดบ้างลืมไปบ้าง อะไรก็ตาม นี่สำหรับป่วยน้อยๆ แต่พออาการเริ่มเครียดเข้ามา จิตมันจะจับเป็นอารมณ์จับเป็นเอกัคตารมณ์ อาตมาลองมาแล้วนา
    นอกจากนั้น ในเวลาปกติ เราอย่าไปยุ่งกับชาวบ้านเขา เรามันจะแย่ เราควรจะยุ่งกับใจเราเอง เป็นสำคัญ ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็ดูว่า จิตของเราประกอบไปด้วยราคะไหม หลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณหรือเปล่า จิตเราหนักไปด้วยโลภะหรือเปล่า ถ้าอยากร่ำรวยธรรมดา นั่นไม่เป็นไร เป็นสัมมาอาชีวะ รับราชการเงิน เดือน 10 บาท อยากจะได้เงินเดือนพันบาท ก็ทำความดีเรื่อยไป จนได้เงินเดือนพันบาท อย่างนี้ไม่ใช่โลภ เป็นสัมมาอาชีวะ ไอ้โลภนี่ อยากจะแย่งเขา อยากจะโกงเขานะ ดูว่า จิตของเรา มันข้องในเหตุนี้ บ้างหรือเปล่า แล้วโทสะพยาบาทจองล้างจองผลาญน่ะ คิดจะประทุษร้ายคนนั้น อยากจะแกล้งคนนี้ อยากจะทำร้าย คนโน้น มันมีในใจหรือเปล่า แล้วชีวิตของเรา เกิดมาในเบื้องต้น แล้วก็แก่ แล้วก็ต้องตายนะ คิดบ้างหรือเปล่าว่า เราจะต้องตาย ไอ้ความตายมันไม่มีนิมิตเครื่องหมาย จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ บอกกาล บอกเวลา กันไม่ได้
    เราคิดหรือเปล่า ว่าเราอาจจะตายเดี๋ยวนี้ นี่เราชำระจิตของเราอย่างนี้ดีกว่า ทะเลาะกับใจ เราเองดีกว่า
    เป็นอันว่า ถ้าใจของเราเป็นสุข ร้อนก็เป็นสุข หนาวก็เป็นสุข ร่างกายมันร้อนมันหนาว แต่ใจเราไม่หนาวด้วย ร้อนด้วย ใจมันสุข มันจะหิวกระหาย ทำใจเป็นสุข ร่างกายไม่สุขก็ช่างมัน ป่วยไข้ไม่สบายใจก็สุข ทุกขเวทนา จะหนักมากเพียงไร ใจก็สุข เท่านี้ใช้ได้ ถ้าจิตเป็นสุขได้ อย่างนี้เขาเรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ และ ประกอบด้วยมี อริยสัจ ประจำใจคิดว่า ร่างกายที่มันทุกข์อยู่แล้ว ที่ทุกข์จะมีได้ อาศัยตัณหา ความทะยานอยาก ถ้าอยากเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีแล้ว อยากเป็นเทวดา เราก็ไม่มี อยากเป็นพรหมก็ไม่มี พอเราตัด 3 อย่างนี้ได้เป็นพอจิตใจรัก พระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ช้าจิตมันก็เป็นสุข ท่านบอกว่า
    นิพพานัง ปรมัง สุขัง ถ้าชาตินี้มันไม่เป็นสุข ตายไปแล้วจะไปพบสุข อันนั้นไม่ได้ ต้องจิตเป็นสุขก่อน
    ถูกด่าก็เป็นสุข อยากด่า ก็ปล่อยให้มันด่าสบาย เดี๋ยวมันก็แพ้เรา
    เอ้า เวลาล่วงเลย ไปมากแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน กันเสียที ขอสรุปว่า ขอให้ท่านรักษาอารมณ์ที่ ประพฤติปฏิบัติมา และทรงอยู่ อารมณ์นั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ต่างทำร่วมกันมาทุกอย่าง จึงขอบรรดาท่านทั้งหลายพยายามทบทวนกำลังใจของท่านว่า
    <TABLE width="52%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width="4%">1. </TD><TD class=webbody width="96%">ทานบารมี เราทำครบถ้วนแล้ว </TD></TR><TR><TD class=webbody>2.</TD><TD class=webbody>ศีลบารมี เราฝึกฝนไว้ดีแล้ว </TD></TR><TR><TD class=webbody>3. </TD><TD class=webbody>ภาวนาปฏิบัติ เราทำไว้ครบถ้วน </TD></TR></TBODY></TABLE>ฉะนั้น จงรักษากำลังใจของท่านไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ โดยตั้งจิตคิดไว้เสมอว่า ความเป็นมนุษย์ จะไม่มีสำหรับเราอีก จะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ความเป็นเทวดา หรือ พรหม ก็จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการก็คือ พระนิพพาน เมื่อคิดไว้ดังนี้แล้ว ก็พยายามชำระกำลังใจ ของทุกท่าน ทุกวันว่า อย่าให้ใจ ไปเมาอยู่ในอำนาจ ของความโลภ ถือว่า ทรัพย์สิน ทั้งหลายที่เกิดมา มีทรงได้ก็สลายตัวได้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่เมื่อทรงอยู่ก็ต้องมี ความขยันหมั่นเพียร เพื่อความสุขตามอัตภาพ
    ประการที่สอง ทำจิตให้อภัยแก่คนที่ทำความผิดอยู่เสมอ เว้นไว้ แต่ว่า ถ้าผิดระเบียบวินัยต้องลงโทษ การลงโทษก็ลงโทษ เพื่อความหวังดีต่อบุคคลนั้น จะได้ไม่ทำความผิดต่อไป ถ้ามีคนเขาด่านินทาว่าร้ายเรา ให้อภัยแก่เขา ถือว่า เขาเป็นผู้หลงผิด
    ประการที่สาม คิดอยู่ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ มันเป็นโทษ มันเป็นภัย ที่เราเกิด มาได้ ก็เพราะ อาศัยตัณหา ดึงเรามา เวลานี้เราพบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขึ้นชื่อว่าความ ต้องการ คือ ความอยาก อันเป็นตัณหา อยากจะมีร่างกาย อย่างนี้ไม่มีสำหรับเรา อยากจะเป็นเทวดา หรือ พรหมไม่มีสำหรับเรา เรามีความต้องการอย่างเดียวคือ
    ธรรมะฉันทะ ความพอใจในธรรม ได้แก่พระนิพพาน
    สำหรับการฝึกจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การทรงจิตมีความสำคัญควรฝึกไว้เสมอ ๆ เพื่อเป็น การทรงอารมณ์ เพราะบรรดาท่านทั้งหลาย ก็ทราบอยู่แล้วว่า ความดีที่ท่านทำไว้ สามารถจะเข้า พระนิพพานได้ในชาตินี้ หากว่า ท่านไม่ประมาท
    ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านทุกคนตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น รักษากำลังใจตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา
    เมื่อคุณอ๋อยศิษย์คนสำคัญ ของหลวงพ่อ ตายลงไป บรรดาศิษย์ที่เหลือทั้งหลาย ต่างก็อยากจะทราบว่า คติของคุณอ๋อยเป็นอย่างไร จะได้ผลแค่ไหน ซึ่งก็เป็นธรรมดา ที่จะต้องรู้สึก เช่นนั้น โดยเฉพาะ คุณเสริมมีความเป็นห่วงอยู่ว่า ในขณะที่ตายนั้น คุณอ๋อยไม่มีสติ คือ ไม่รู้สึกตัว เหมือนคนนอนหลับ แล้วตายในขณะหลับ คงจะตั้งจิตไม่ได้ดีกระมัง ไม่เหมือนเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งลาพระเรียบร้อยแล้วโดยยังมีสติดี จึงต้องคอย ถามจากที่พึ่งคือ หลวงพ่อ
    คืนวันที่ 12 มกราคม 2521 คืนวันที่คุณอ๋อยตาย และเป็นวันที่ตั้งศพ สวดพระอภิธรรม คืนแรกนั้น หลวง ่อ มาถึงตอนเกือบ 2 ทุ่ม พอถึง ใคร ๆ ก็เข้าไปรุมถาม หลวงพ่อ ให้คำตอบว่า พระท่านสั่งมาว่า ถ้าใคร ถามเรื่องนี้ให้ ตอบว่า "กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพฤกษ์" คุณเสริม ได้ยินคำนี้ รู้ว่า คุณอ๋อยไปดี ไม่ตกต่ำ หน้าบานเป็น กะโล่ หุบยิ้มไม่ลง จนเจ้าตัวออกจะสงสัยว่า ใคร ๆ คงนึกว่า หมอคนนี้ดีใจที่เมียตาย บรรดาศิษย์อื่น ๆ ก็ยิ้มย่องผ่องใสโดยทั่วกัน ทำให้งานศพนี้ผิดกับศพอื่น คือ ไม่มีใครร้องไห้เลย มัวแต่ดีใจกันหมด บรรดาแขกคงจะแปลกใจตาม ๆ กัน
    แต่อาจารย์ เป็นอย่างไร ศิษย์ก็มักเป็นอย่างนั้น คือ หลวงพ่อ ท่านชอบ ทดลอง ชอบพิสูจน์ ลูกศิษย์ ก็เอาอย่าง กล่าวคือ ได้ยินคำตอบนี้แล้ว ยังต้องอุตส่าห์ไปสอบจากทางอื่น อีกหลายทางจนได้ ทางแรกพิจารณา เอาจากดินฟ้าอากาศ ในขณะที่ พระราชทานเพลิง ซึ่งแต่เดิมมีแดดจ้า แต่พอแขกมาเป็นส่วนใหญ่ ฟ้าก็ครึ้ม มีฝนโปรย เป็นละอองละเอียด อาการของดินฟ้าเช่นนี้ ตรงกับที่จำได้ว่า หลวงพ่อบอกไว้เมื่อ คราวไปทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าจอมกิตติที่เชียงแสนว่า ไปคราวนั้นฝนจะตก เพราะเป็นพิธีใหญ่ ที่พระเสด็จมามาก เมื่อใดที่พระองค์ใหญ่ ๆ เสด็จ เทวดาจะมาชุมนุมมาก ฝนจะต้องตก ในคราวนี้ก็เช่นกัน จะเป็นสภาพอากาศเป็นไปโดยธรรมชาติ หรืออย่างไร ก็เหลือที่จะเดา ถือเอาว่า เป็นนิมิตดี ก็แล้วกัน
    ทางที่สอง คุณรัชนี เจนรถา คน "ตาดี" ของพวกเราบอกเพื่อนฝูงที่งานพระราชทานเพลิงว่า เห็นคุณอ๋อย ลอยวนเวียน อยู่รอบเมรุ แต่งกายสวยงามมาก
    ทางที่สาม ผู้มีตาดีผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งเล่าว่า
    "คุณอ๋อยนี่ถ้าหากว่า เราสามารถ จะเห็นได้นะ ความจริง เขามาทุกคืน ฉันว่า เขาอยู่นี่ ตลอดแหละในช่วงที่เรา ทำบุญนี่ ดีไม่ดี เวลานี้ เขาอาจจะมายืนยิ้ม ๆ อยู่ก็ได้ เขามีภาพ สวยสดงดงาม รัศมีสว่างจ้า ที่เขามีสภาพแบบนี้ เป็นเพราะ อาศัยอะไร เป็นสำคัญ สมบัติของคุณอ๋อย ที่ได้แบบนี้ พวกเราทั้งหมดก็ทำร่วมกันมาใช่ไหม พอเขาบอกว่า จะทำบุญอะไร ใครบ่นรำคาญมีบ้างไหม มีแต่ ต่างคนต่างควัก ถ้ายอดเงินมันขาด ต่างก็แย่งกันเติมเสีย จนเกินแล้วเกินอีก ไอ้ทรัพย์ที่ออกมานี่ มากหรือน้อย ไม่สำคัญ สำคัญที่ กำลังใจ คนมีสตางค์น้อยให้น้อย แต่ว่ากำลังใจมันเท่ากัน ให้เท่าที่จะให้ได้ เป็นอันว่า กำลังใจของคนทุกคน น่ะสม่ำเสมอกับคุณอ๋อย เวลานี้คุณอ๋อย เขาตายไปแล้ว ขนาดเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ดี พรหมก็ดีสวยสู้เขาไม่ได้ แต่เขาอยู่ไหนฉันไม่รู้นะ ไม่รู้ที่เขาหรอก เห็นเขามานี่ ฉันไม่ได้ ไปดูบ้านเขา เห็นไหม เขาสวยขนาด นั้นได้ พวกเราก็สวยขนาดนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ ถ้าใครจะถือเป็นเรื่อง ของอากาศก็ตามใจ งานศพ คุณอ๋อยวันนี้รู้สึกว่า อากาศมันครึ้มนะ ครึ้มนี่จะว่า พยับเมฆ หรือ พยับหนาว มันจะมาก็ตามใจญาติโยม แต่ความจริงฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร มันอยากจะครึ้มก็ครึ้ม มันอยากจะแจ๋ก็แจ๋ ตามเรื่องตามราว เราก็นั่งคุยกันผ่อนคลายความเหนื่อย แต่สักประเดี๋ยวหนึ่งได้ยิน เสียงกระชาก ๆ ข้างหลังว่า นี่ นั่งมุดหัวคุย อยู่นั่น แหละ ดูเสียบ้างอะไรมาข้างหน้าข้างหลัง เหลียวหลัง ชำเลือง ๆ ดูใครพูดหว่า เสียงว่า มาอีกว่า มันจะเห็นอะไร ดูข้างบนนี่ แหงนขึ้นไปดูอะไร เสียงบ้างซี ดูก็เห็น แพรงพราว อยู่ในอากาศ เต็มไปหมด สวยบอกไม่ถูก เสียงมาอีกว่า นี่ อย่าเสือกดูข้างบน เขาให้ดูข้างล่างแล้วกัน นึกว่า ให้ดูข้างบน ท่านบอก ดูคนที่มันมา วันนี้ทั้งหมดน่ะ ไอ้พวกที่มาจริง ๆ แล้ว เอาจริงนี่นะ คนพวกนี้ 80 เปอร์เซ็นต์มันไปอย่างอ๋อยทั้งนั้นแหละ ท่านว่า ยังงั้นแหละ บอกให้ดูตรงนี้ ไอ้เราไปดูข้างบน เห็นพราวแพรว สวยไปหมดอากาศ หาที่ว่างไม่ได้เลย"
    ต่อไป เป็นเรื่องของ โยมพวง โยมพวงเป็นอุบาสิกา อยู่ที่วัดท่าซุง กลางคืน แกหาบของ มาที่วัด ทำกรรมฐานแล้วนอนค้าง เช้ามืด แกก็รีบกลับ โยมพวงเป็นคน "ตาดี" คนหนึ่ง แต่เดิมแกเห็น พระนิพพานไม่ได้ หลวงพ่อ ให้แกทำวิปัสสนามาก ๆ แกทำไปทำไป แกก็มองเห็นได้ แต่แกไม่เคยฟัง เกร็ดความรู้ต่าง ๆ หลักกรรมฐานของหลวงพ่อ พอเลิกกรรมฐาน แกก็กราบลาไปนอน คราวหนึ่ง แกสงสัย ก็ถามหลวงพ่อว่า บนนิพพานน่ะผู้หญิงอยู่ได้ ด้วยหรือ หลวงพ่อตอบว่า ทำไมจะไม่ได้ ถามทำไมล่ะ โยมพวงตอบว่า เห็นคุณ อ๋อย อยู่บนนั้น นี่ก็เป็นเรื่องของ โยมพวงแกเห็นไปเอง
    เรื่องประเภทนี้ เคยมีคนเรียนถาม หลวงพ่อว่า
    ในนิพพานไม่มีขันธ์ไม่มีรูป ทำไมจึงเห็นเป็นรูปท่านเหล่านั้นได้
    หลวงพ่ออธิบายว่า
    แล้วแต่ท่านเหล่านั้นจะทำให้เห็น ส่วนมากถ้าท่านให้เห็น ท่านก็ให้ปรากฏเป็นภาพขณะยังไม่ตายเพื่อจะได้จำได้ เวลาพูดก็ใช้ถ้อยคำเหมือนเดิม มิฉะนั้นก็จะไม่รู้กัน จะเข้าใจว่า เป็นคนอื่น ถ้าท่านไม่ให้เห็นก็ เห็นไม่ได้
    ที่มา http://www.firstbuddha.com/Real/oiy6.html
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. sutthida

    sutthida เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +3,388
    อนุโมทนาค่ะ จะพยายามฝึกอุปสมานุสติทุกวัน เวลาตายจะได้ไปพระนิพพาน
     
  3. NIRVANA/NOW

    NIRVANA/NOW เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +154
    สาธุ…ขอโมทนาครับ
     
  4. soodman

    soodman สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +13
    น้อมกายน้อมจิต ยินดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...