ขอเปิดทฤษฎี"ความฝัน" มาช่วยกันเสนอข้อคิดเห็นหน่อยนะครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khaikung, 24 มิถุนายน 2011.

  1. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    มีคำถามนึง ที่ค้างคา อยู่ในใจ มานานมากแล้วครับ
    คือ เรื่องเกี่ยวกับ โลกคู่ขนาน และตัวเราอีกคนหนึ่ง

    ตัวเรา เป็นเพียงจิตเดียว บนโลกนี้จริงๆหรือ
    ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาคู่กัน ถ้านับตามทฤษฎีของ หยิน- หยาง

    เข้าประเด็นที่ผมสงสัยครับ
    เป็นไปได้มั้ย ว่า เวลาที่เราหลับ โลกคู่ขนานอาจเป็นเวลาอื่น

    ทำไม เราถึงฝันเห็นตัวเราในสถานที่ที่เราไปเคยไป
    ทำไม ในความฝัน เราจิงพูดคุยกับคนบางคนได้อย่างสนิดสนม ทั้งๆที่โลกความเป็นจริงแล้วเราไม่เคยได้รู้จักกับคนๆนั้นเลย
    ทำไม เหตุการณ์ในชีวิตจริงที่เราเกิดขึ้น เราถึงคิดว่ามันช่างบังเอิญคล้ายกับความฝันขนาดนั้นหรือที่เรียก กันว่า ความฝันกลายเป็นจริง

    แล้วถ้ามันมีโลกคู่ขนานจริง เป็นไปได้มั้ย ว่าจะมีตัวเราในอีกโลกหนึ่ง
    เมื่อเราหลับ เราก็จะเห็นถึงการกระทำของตัวเราในอีกโลกหนึ่งได้
    แล้วเวลาของทั้ง 2 โลก จะเหมือนกัน หรือไม่ เพราะบางทีเราหลับ ก็ฝันต่างเวลากัน เช้าบ้าง มืดบ้าง

    ขอคำตอบแนวไม่วิทยาศาสตร์บ้างก็ดีนะครับ
    อยากลองทราบความคิดที่นอกกรอบจากหลายๆคน ขอบคุณนะครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทฤษฏีคู่ขนาน มันก็เป็น ทฤษฏีแบ่งเขาแบ่งเรา

    เมื่อมี หยิน ย่อมมี หยาง ก็คือ ทฤษฎีธรรมคู่

    เมื่อลองแตกตัว ธรรม หรือ ธาตุ หรือ ตัวตน ออกเป็น คู่ แล้ว
    มันก็ย่อมยั้งไม่อยู่ที่จะต้องแตกออกเป็น 4....8...16....2^n

    เพราะอะไร เพราะว่า หากเราไม่สงวนสิทธิ เอาตัวเองเป็น ศูนย์กลาง
    แล้ว คนอื่นซึ่งเป็น หยิน หรือ หยาง คู่ตรงข้าม เขาก็ย่อมมีสิทธิที่
    จะเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางเช่นกัน

    เมื่อ คู่ตรงข้าม เพียงแค่ไม่ชอบใจในคุณ หรือ ไปชอบใจ ธาตุ อื่น
    ก็เป็นอันว่า มันจะมี 4 8 16 ..... ดังกล่าว ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

    การแตก ธาตุออกเป็นคู่ แล้วบอกว่า มีอยู่ ย่อมสามารถแตกออกเป็นอนัตต์
    ไม่อาจระบุจุดที่สิ้นสุดได้

    เมื่อยก ข้อศึกษาใดแล้ว พิจารณาได้ด้วยปัญญาอันลึกล้ำย่อมเห็นได้โดยง่าย
    ว่า มันไม่สิ้นสุดแหงมๆ แต่หาก ปัญญาน้อยหรือแกล้งปัญญาอ่อนก็จะไม่สน
    ใจความเป็น อนันต์ ที่จะต้องเกิดขึ้นเหล่านั้น อาจจะเป็นความมักใหญ่ หรือ
    สำคัยไปถึงขนาดว่า ตัวเองเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหมดที่แตกออกมาเหล่านั้น ซึ่ง
    ก็นำไปสู่ทฤษฎีจ้าวโลกที่แอบแฟงอยู่ในกมลสันดาน ก็เป็นได้

    แต่หากเป็นผู้มีปัญญาแล้ว แน่นอนว่า ย่อมเห็นถึงความเป็นอนันต์ที่ไม่อาจรู้ได้หมด

    ความรู้ที่แตกแขนงได้ไม่มีที่สิ้นสุด บุคคลนั้นจะพึงพยากรณ์ยกตนว่า รู้ ได้หรือ

    การทู้ซี้ยกตนว่ารู้ หรือ ยกความรู้นี้ เป็นความรู้ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกที่
    มันก็ปรากฏอยู่แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ ยิ่งชีวิตนี้มีอายุแค่ไม่เกิน 100ปี จะตายวัน
    ตายพรุ่งก็ไม่อาจรู้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปแจ้งโลก รู้ถ้วน ในสิ่งเหล่านั้น

    อย่ากระนั้นเลย หยิน-หยาง นั้นเป็นธรรมคู่ เมื่อจิตไปรู้เข้า แล้วพยายามที่จะ
    แตกแขนงทำการรู้ออกไปเป็น 4 8 16 32 64 128 .... ก็พึงรู้ทันว่า ส่งส่าย
    เป็นอนันต์แล้ว แล้วย้อนกลับมาที่จุดตั้งต้นเสมอ คือ รู้ที่ตน พอจะคิดแตกแขนง
    ก็รู้ทัน ก็จะพบว่า ทุกอย่างมันไม่ได้มี คู่ แต่มันมี หนึ่ง และออกไปจากเรา
    ตามอุปทานที่แล่นออกไป

    สงสัยเรื่อง ทฤษฏีเรียนธรรมคู่รู้ธรรมหนึ่ง ถามหา เลขโนนสูง ( สมาชิก )
     
  3. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    สุดท้ายก็ไม่เข้าใจครับ
    คนบางคน นำพาจิต ตัวเองไปสู่อณาคตได้ในขณะที่เค้ารับรู้

    เช่นกัน ถ้าในขณะเราหลับ
    จิตเราที่ล่องลอยออกไป เราเองอาจไม่รู้ว่ามันลอยไปหาสิ่งที่เรียกว่าอณาคตรึปล่าว
     
  4. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    โลกคู่ขนาน แบบ real time ไม่มีอยู่จริง แต่โลกคู่ขนานในลักษณะของความทรงจำมีอยู่จริง สามารถเดินทางด้วยจิตไปสัมผัสได้ เพราะจิตไม่ได้ถูกควบคุมด้วยกฎพื้นฐานอย่างในมิติของโลกปกติ จึงสามารถข้ามเขตไปในมิติที่เป็นอดีตหรืออนาคตได้ แต่ความถูกต้องก็ขึ้นอยู่กับสติของจิตจะมีความมั่นคงแค่ไหน ยิ่งมั่นคงมากเรื่องราวที่รู้มาก็ถูกต้องมากขึ้น ส่วนความต่างเรื่องของเวลา เป็นเพียงความรู้สึกที่เรากำลังจำกัดขอบเขตของสิ่งที่ถูกสังเกตอยู่ ณ ขณะนึง เช่นเวลาในโลกปกติ กับเวลาในความคิดหรือความฝัน กฎของมิติต่างกัน เรื่องของเวลาแต่ละมิติจึงต่างกันออกไปด้วย แต่จุดสังเกตคือจิตเราเอง มันถือว่าเป็นปกติ ดังนั้นเวลาภายนอกจึงสั้นยาวต่างกัน
     
  5. หยุดดี

    หยุดดี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +12
    แนะนำให้อ่านข้อความของห้อง หลวงพี่เล็ก สุธมมปญโญ นะคะ

    แนะนำให้อ่านข้อความของห้อง หลวงพี่เล็ก สุธมมปญโญ นะคะ
    ในหัวข้อสิ่งที่บุคคลทั่วได้ไปไม่ควรคิด คะ
     
  6. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    บ๊ะ ในทางวิทยาศาสตร์ก็มี ทฏษฎีโลกคู่ขนานเจ๋งๆนะ ท่าน จขกท.
     
  7. khaikung

    khaikung สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +6
    คือ วิทยาศาสตร์พอรู้อยู่บ้างฮะแต่ในทางจิตสัมผัส ยังไม่รู้

    อยากได้แนวคิดหลายๆแบบไว้พิจจารณานะครับ
     
  8. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    เคยดูสาระคดี จำได้ว่า
    ความฝันเกิดจากข้อมูล เก่า ในสมองที่ทำการประมวลผลแบบไม่เป็นระเบียบ

    ภาพในฝันจะเป็นภาพที่ คนคนนั้น เคยเห็นมาก่อนจากที่ไหนซักที่หรือนำภาพเก่าหรือข้อมูลเก่าที่เห็นเประกอบเป็นภาพใหม่ ข้อมูลใหม่
     
  9. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เป็นคำถาม งงๆ ค่ะ --'

    เวลามันเป็นแค่สิ่งสมมตินิ่ ><

    เอาสั้นๆนะคะ.. Stephen Hawking เคยพูดไว้ว่า.. "ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมนุษย์เราจำอดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้"

    ตอนนี้ วิทยาศาสตร์ก็บอกพิสูจน์มาแล้วว่า เวลาไม่ได้อยู่ในรูปแบบ Linear เพียงแต่ฟังก์ชั่นการทำงานของสมองพวกเรา ทำให้พวกเราเข้าใจว่ามันเป็นแบบ Linear

    ---

    ดังนั้น คำถามเรื่อง โลกคู่ขนาน ที่คุณไก่คุงถาม ก็เลยทำให้ งงๆ ค่ะ --'

    แล้วโลกคู่ขนาน มันไม่ได้มีแค่ โลกเดียว รวมกับโลกเราเป็น 2 โลก.. ไม่ใช่นะคะ

    เท่าที่ mamboo เคยอ่านๆมา โลกคู่ขนาน มีหลายๆโลก มีมากมาย เรียกว่า มีเป็น อนันต์ เลยก็ได้ค่ะ

    มีทั้งโลกที่เกือบเหมือนเรา โลกที่ต่างจากเรา และโลกที่ไม่เหมือนเราเลย ฯลฯ
     
  10. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    mamboo เคยอ่ายพวกบทความวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความฝันนะคะ(เมื่อก่อน) ตอนนี้วิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับความฝันน้อยมากค่ะ พวกเขาอธิบายคร่าวๆว่า ความฝันมาจากข้อมูลจากจิตใต้สำนึก(อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ)

    จนวันหนึ่ง...

    mamboo ขออนุญาต ใช้คำว่า..

    mamboo ค่อนข้างที่จะเข้าใจเรื่อง "ความฝัน" มากกว่าพวกนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นซะอีก >< (เพียงแต่ว่า เราไม่มีตำแหน่ง Doctor ที่จะไปเขียนหนังสือขาย หรือพูดให้คนเชื่อ)

    ขอเล่าประสบการณ์ให้ฟัง คร่าวๆ นะคะ ^_^

    ----------

    วันแรก ที่ mamboo รู้ว่า.. เออ ร่างกายเรามีจิตวิญญาณ และมี ร่างกายเนื้อหนัง.. mamboo ก็เกิดนึกสนใจเรื่องนี้มากกกกกกกกก!!

    ทุกวัน mamboo จะนั่งสมาธิทุกๆวัน (แต่นั่งได้แค่ แป๊บเดียวค่ะ ไม่เกิน 15 นาที --')

    ผ่านไป 2-3 วัน.. mamboo ชอบมีอาการแปลกๆ.. เช่น

    mamboo เป็นคนชอบนอนคลุมโปง อยู่ๆคืนหนึ่งก็ตื่นมากลางดึก แต่ว่า แค่ลืมตาเฉยๆ ไม่ได้ตื่นแบบลุกขึ้นนั่งนะคะ แค่ลืมตาเฉยๆ

    เสร็จแล้ว พอ mamboo พยายามจะลุกจากเตียง ก็ลุกไม่ได้ คิดว่าตัวเองคง เพลียมาก เหนื่อยมาก จนไม่มีแรงลุก.. (ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเลย)

    ทีนี้ ก็เลยพยายาม เอามืออ่ะ ยกขึ้น.. เพื่อว่าถ้ามีแรงยกมือขึ้น ก็จะได้ยกร่างกายส่วนอื่นๆขึ้นได้ทีหลัง

    ปรากฏ ยกมือขึ้นจริงๆค่ะ --' ยกจน.. มือทะลุผ้าห่มเลยค่ะ --'

    ทีนี้ mamboo ก็ตกใจ.. ก็เลยเอามือลง ลองมองไปที่ผนังห้อง ก็เลยนึกได้ว่า จริงๆมันควรจะมืดไม่ใช่หรอ เพราะนี่มันตอนกลางคืน ทำไมห้องเราเหมือนตอนกลางวัน

    ทีนี้ ด้วยความตกใจ ก็เลยสะดุ้ง.. ไอ้จังหวะสะดุ้งนี่แหละค่ะ ก็เลย "ตื่น" --'

    พอตื่นขึ้นมา.. งงมาก เพราะวินาทีแรกที่ตื่นคือ.. ผ้าห่มมันคลุมหน้าเราอยู่ --'

    mamboo เอาผ้าห่มออกจากหน้า มองไปรอบๆห้อง.. ห้องมันมืดค่ะ --'

    แล้วมาคิดดูอีกที.. อ้าว O.O แล้วที่เราเห็นตัวเองยกมือขึ้นนั่น... เราก็มองทะลุผ้าห่มอ่ะจิ่ แล้วมือทะลุผ้าห่มด้วย >< (ลืมบอกว่า ตอนเห็นมือตัวเองอ่ะ เห็นเป็นสีเนื้อนี่แหละ แต่มันจะโปร่งๆแสงหน่อย จำได้)

    ---------

    แล้วนี่ก็......... เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ mamboo อยากจะศึกษาเรื่อง "ความฝัน" ค่ะ

    (ตอนแรก อยากศึกษาเรื่อง การถอดจิตอ่ะแหละ แต่เห็นหลายๆท่านมาเล่าประสบการณ์ว่า ต้องนั่งสมาธิหลายๆชั่วโมง ทุกๆวัน เป็นเวลาประมาณ 2 ปี ถึงจะถอดจิตได้)

    mamboo คิดว่า mamboo ศึกษาเรื่อง "ความฝัน" น่าจะง่ายกว่า ศึกษาเรื่อง "การถอดจิต" เพราะ mamboo นั่งสมาธิได้ทีละ 5-10 นาที --' (อีก 2 ปี ก็คงถอดไม่ได้อ่ะ ถ้านั่งได้แค่ทีละ 5-10 นาที แบบนี้ อิอิ ^^)

    ---

    (เล่าต่อใน คำตอบต่อไปนะคะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  11. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    (เล่าต่อจากข้างบนนะคะ ^^)

    เสร็จแล้ว.. ช่วงนั้น(เมื่อ 4 ปีที่แล้ว) mamboo ก็เริ่มอยากจะ ศึกษาเรื่อง "ความฝัน" อย่างจริงจัง (แทนการศึกษาเรื่องการถอดจิต)

    ทุกๆหลังเลิกเรียน(มหาลัย) วันไหนเลิกเร็วๆ สัก บ่าย 2 mamboo ก็จะกลับมานั่งสมาธิที่ห้องค่ะ นั่งได้แค่ 5-10 นาที ก็เอา .. ดีกว่าไม่ทำเลย..

    แล้วถ้าว่างๆ .. เวลาที่ mamboo มองดูอะไรๆ เช่น.. มองดูโต๊ะเขียนหนังสือในห้อง.. mamboo ก็จะจ้องมัน แล้วก็คิดว่า.. "นี่เราฝันอยู่รึเปล่าวะ o_O ??"

    แน่นอนว่า.. แวบแรกเลยอ่ะ.. เราจะตอบตัวเองเสมอๆว่า.. "เปล่า ไม่ได้ฝัน" แม้แต่ในความฝัน เราก็ไม่รู้ตัวว่าเราฝัน เพราะเราคิดว่า มันเป็นความจริง..

    ดังนั้น.. mamboo ชอบมองนู่น มองนี่ แล้วถามตัวเองว่า.. นี่เรากำลังฝันอยู่หรือเปล่า?? คำตอบแรกที่ mamboo ตอบตัวเองคือ "เปล่า.. นี่คือความจริง" แล้ว mamboo จะคอยเตือนตัวเอง ด้วยการบอกตัวเองว่า.. "อย่าไปเชื่อ! นี่อาจเป็นความฝันก็ได้" แล้ว mamboo ก็จะเดินไปจับนู่นจับนี่.. คือเดินสำรวจว่า นี่ฝัน หรือ ความจริง..

    2 วันผ่านไป.. ได้ผลจริงๆค่ะ ^_^

    วันนั้น.. mamboo เดินอยู่แถวๆหมู่บ้าน.. อยู่ดีๆก็นึกถามตัวเองในใจว่า.. "นี่เรากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ??? "

    เสร็จแล้ว.. mamboo ก็มองไปรอบๆตัว.. แล้วก็ได้ไปเห็น "เสาไฟ ตั้งอยู่กลางถนน" 5555555555+ ^___^

    ตอนนั้น สะใจมาก.. mamboo บอกตัวเองเลยว่า.. "นี่ความฝันแน่นอน! ไม่มีโลกความเป็นจริงโลกไหน จะสร้างเสาไฟขึ้นกลางถนนหรอก" อิอิ ^^

    เสร็จแล้ว.. mamboo ก็เดินสำรวจความฝันตัวเอง (ตอนนี้ ยังไม่ได้เตรียมตัวมา ว่าจะทดลองอะไรในความฝันบ้าง.. พอเอาเข้าจริง เลยไม่ค่อยได้ทำอะไรมากค่ะ)

    mamboo เดินสำรวจความฝันตัวเอง...

    โอ้โหหหหหหหหหห!! สีสด.. สวยกว่าโลกความเป็นจริงซะอีก! >< อิอิ ^^

    ในโลกความเป็นจริงเนี่ย ตาเนื้อ mamboo มันจะสั้นประมาณ 100-150 นะคะ (สองข้างไม่เท่ากัน) เวลามองอะไรไกลๆหน่อย มันจะเริ่มพร่ามัวแระ

    แต่ในความฝันอ่ะ.. สีมันสดมากกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ค่ะ.. แล้วก็มองไกลๆได้ด้วย.. ไม่พร่ามัวเลย..

    mamboo เดินไปเรื่อย.. ไปเจออาจารย์โรงเรียนเก่าคนหนึ่ง.. นั่งอยู่เฉยๆไม่พูดไม่จา..

    mamboo เดินไปมองหน้าอาจารย์ใกล้ๆ... แล้วก็นึกพิเรน มองใกล้ๆๆๆๆๆๆเข้าไปอีก.. "โอ้ว O.O เห็นถึงรายละเอียด เซล เลยค่ะ" อิอิ ^^

    (ปล. ไอ้พวก เซล พวกอะตอม พวก ท้องฟ้า ในฝันอ่ะ มันก็คือจิตเราสร้างขึ้นมาแหละค่ะ)

    อย่าง mamboo เชื่อว่า สิ่งเล็กสุดของเนื้อหนังมนุษย์ก็คือ เซล พอ mamboo พยายามจ้องไปที่หน้าของคนในฝัน มันก็เหมือนแว่นขยายเลยค่ะ.. ภาพหนังหน้าของอาจารย์ ก็จะเห็นถึงรายละเอียดของเซลเลย --'

    แต่ถึงแม้ mamboo จะรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังฝันอยู่ .. แต่ก็ยังไม่สามารถทำการเปลี่ยนฉากความฝัน หรือทำอะไรได้มาก เหาะเหินไม่ค่อยได้.. อาจเป็นเพราะ ยังฝังใจกับโลกความเป็นจริงอยู่(พกความเชื่อจากโลกความเป็นจริง เข้าไปในฝันด้วย ว่างั้น --')

    mamboo เห็นพ่อของ mamboo โยนน้องหมาสุดที่รัก(ตัวดำๆ)ลงมาจากหน้าต่างบ้านชั้น 2

    mamboo ร้องไห้เลยค่ะ T-T (ลืมตัวชั่วขณะ ว่ากำลังฝันอยู่) สักพักก็นึกได้ว่าฝัน ก็เลยหยุดร้อง แล้วก็เลย เอามือเราอ่ะ ชี้ไปที่ร่างน้องหมา แล้วก็บอกให้มันลุกขึ้นเดิน เพราะนี่มันความฝัน มันไม่ใช่ความจริง ถ้าเราไม่อยากให้หมาตาย เราก็ทำได้..

    แล้วมันก็ลุกขึ้นเดินจริงๆค่ะ อิอิ ^^ mamboo ก็ดีใจมากเลยค่ะ ^_^

    ---------

    และต่อไปนี้ คือจังหวะตอนที่กำลังจะตื่นนะคะ..

    ในขณะที่ mamboo กำลังเดินสำรวจความฝันอยู่นั้น.. อยู่ดีๆ พวกสิ่งต่างๆที่เรามองเห็นในฝันอ่ะ มันเหมือน มีคนเอาสีดำมาป้ายอ่ะค่ะ

    ความรู้สึกตอนนั้นคือ.. ไม่ชอบเลย..

    มันเริ่มเป็นสีดำๆ แล้วก็ขยายเป็นบริเวณกว้างๆๆๆ ไปเรื่อย ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือน เรากำลังจะตาบอดอ่ะค่ะ..

    ตอนแรกจะรู้สึกเหมือน มีคนเอาสีมาป้ายให้เป็นดำๆ แต่พอบริเวณดำมันขยายออกเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหมือน เรากำลังจะตาบอดค่ะ

    จนมัน ดำสนิท (คือ ไม่มีภาพอะไรเลย) ไอ้จังหวะที่มัน "ดำสนิท" อ่ะแหละค่ะ.. คือจังหวะที่ mamboo รู้สึกว่า "ลูกกะตากำลังกลอกไปกลอกมาโดยที่เราหลับตาอยู่"

    เสร็จแล้ว.. mamboo ก็.. เริ่มมีความรู้สึกทางร่างกายเนื้อหนัง.. มันไล่มาเลยค่ะ ทีละอัน

    จากลูกกะตา มาเปลือกตา มาตามปาก คอ ไหล่ แขน ท้อง ก้น ขา จนถึง "ปลายเท้า"

    มันเร็วนะคะ แต่.. เรารู้สึกได้ว่า มันไล่มาเรื่อยๆจาก ลูกกะตา

    พอ mamboo รู้สึกถึง ร่างกายตัวเองที่กำลังนอนอยู่แล้ว mamboo ก็เลยลืมตาขึ้น.. สิ่งแรกที่เห็นคือ "ผ้าห่ม" ค่ะ --' (ชอบนอนคลุมโปง แต่ผ้าห่มไม่หนานะคะ อากาศเข้าได้)

    mamboo เอาผ้าห่มที่คลุมหน้าออก ก็เห็นเพื่อนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ (เพื่อนก็นั่งอยู่บนเตียงนี่แหละค่ะ เตียงใหญ่ กำลังดูทีวี ตอนนั้นมองดูนาฬิกาที่ห้อง ก็เป็นเวลา ทุ่ม กว่าๆค่ะ)

    ---------

    เสร็จแล้ว.. mamboo บอกกับตัวเองว่า.. "ไม่อยากตื่นเลย" กำลังสำรวจความฝันมันส์ๆ ไม่น่ารีบตื่นเลย

    แล้ว mamboo ก็หลับตาแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมหน้า นอนต่อ..

    แล้วไอ้จังหวะที่หลับตานี่แหละค่ะ ^_^ mamboo จะไม่มีวันลืมเลย..

    พอหลับตาปุ๊บ.. มันเหมือน.. เรามองทะลุหนังตาปั๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.. แล้วเราก็โดนดูดเข้าไปในเหตุการณ์ในความฝัน ทันที

    ความรู้สึก มันจะเป็นแบบนี้นะคะ...

    คือ.. ปกติ แทนที่เราหลับตาแล้ว เราจะเห็นมืดๆเพราะเปลือกตามันบังอยู่ใช่ไหมคะ? แต่วันนั้น พอ mamboo หลับตาปุ๊บ ไม่มีมืดๆเลยค่ะ มันเป็นแบบ มองทะลุเปลือกตาไปที่ความฝันเลยค่ะ.. ภาพแรกที่เห็นคือ เห็นเพื่อนสองคนกับตัวเองอยู่ในห้องนอนตัวเองที่บ้าน แล้วอีกสักพัก แค่แป๊บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเดียวจริงๆ เราก็โดนดูดเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น(จากผู้มองดู เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อ่ะค่ะ)

    mamboo กลับไปที่ สถานที่เดินคือ บริเวณบ้าน และ หมู่บ้านของ mamboo แต่ตอนนี้กลับมาที่ห้องนอน มีเพื่อนด้วย 2 คน.. กำลังโดนแม่ด่า ว่า.. เอาเพื่อนมานอนบ้านทำไมไม่บอกแม่... >.<

    (ลืมบอกว่า.. ที่นอนอยู่จริงๆเนี่ย ที่หอพักในกรุงเทพฯนะคะ แต่ในฝันอ่ะ เป็นหมู่บ้านที่ขอนแก่น)

    mamboo ก็ไม่สนที่แม่ด่าค่ะ เพราะรู้ว่าเป็นแค่ความฝัน..

    เสร็จแล้ว mamboo ก็ไปเดินเล่นรอบๆหมู่บ้าน ไปหัดเหาะอยู่กลางถนน.. ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย.. สักพัก มาอีกแล้วค่ะ .. เหมือนมีคนเอาสีดำมาป้าย แล้วก็เหมือนเราจะตาบอด(แต่ตอนนี้ เรารู้ทันแระ.. ว่า.. ที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะเรากำลังจะตื่น --')

    แล้วก็เป็นไปตามคาด.. รอบนี้ไม่ตกใจค่ะ .. จากสีดำๆ ก็ดำสนิท แล้วก็ เริ่มรู้สึกถึง "ลูกกะตา" เปลือกตา แล้วก็ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงเท้า..

    รอบนี้.. พอตื่นแล้ว mamboo พยายามนอนต่อ ไม่ยอมลืมตาค่ะ.. เพราะอยากกลับไปเข้าอีก.. แต่มันไม่ไปให้แล้วค่ะ.. ^o^ แฮะๆ ^^ มันตื่นจริงๆแระ ><

    ----------

    หลังจากเหตุการณ์นั้นมา.. mamboo ก็เริ่ม ตั้งใจจริงๆ ที่จะศึกษาเรื่อง "ความฝัน"

    mamboo ทำทุกอย่างนะคะ ทำสมาธิ เวลาอยู่ว่างๆ ถ้านึกได้ก็จะ มองนู่นมองนี่ แล้วดูสิ่ว่า มันเป็นของจริง หรือความฝัน

    มีน้องคนหนึ่ง มาบอกให้ทำสมาธิแล้วเพ่งไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วดู.. mamboo ก็ทำ..

    ก่อนจะนอนทุกๆคืน.. mamboo ไม่เคยปล่อยให้เสียเวลาเปล่า.. mamboo จะนอนสมาธิไปเรื่อยๆ แล้วก็เพ่งที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วด้วย.. ทำไปจนกว่าจะหลับ (ดีกว่า นอนเฉยๆ แล้วหลับไปเฉยๆ ก็เอาเวลามานอนสมาธิไปเลยดีกว่า.. )

    จน.. ในที่สุด.. mamboo ก็ได้พบกับ.. เหตุการณ์อีก หลายๆ อย่าง.. ที่ค่อนข้างจะอธิบายเรื่อง การมองเห็น การได้ยินเสียง ในภาวะ ครึ่งหลับครึ่งตื่น.. ได้

    (เล่าต่อข้างล่างนะคะ)
     
  12. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ต่อนะคะ..

    mamboo มีอยู่ 4 เหตุการณ์.. ที่จะเล่าต่อไปนี้ (ขอเรียงไว้ก่อนค่ะ กลัวลืม)

    เรื่องนี้มันยาวนะคะ.. แต่จะพยายามเล่าให้ได้มากที่สุด(แต่คงเล่าละเอียดมากไม่ได้) เผื่อว่าจะมีคนอยากจะศึกษาต่อยอด..

    1. การได้ยินเสียงที่ดังข้างๆหู (ส่วนมากจะอยู่ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น)
    2. การมองเห็นในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
    3. การมองเห็น อุโมงค์หมุนๆติ้วๆ ดำๆ
    4. ภาวะจริงๆที่กำลังจะเข้าสู่ฝัน (แบบช้าๆ)
    5. สรุปเรื่องความฝัน แบบคร่าวๆ (ไม่อยากใช้คำว่า ครอบคลุม)

    ขอเล่าแบบเรียงลำดับเลยนะคะ จะได้มองเห็นภาพได้ชัดๆ

    -----

    หลังจากเหตุการณ์รู้ตัวในฝันและมองทะลุหนังตา..

    mamboo ก็เพิ่มการศึกษาเรื่องความฝัน โดยการเพิ่มการ นอนสมาธิ แบบเพ่งไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว เพิ่มเข้าไปด้วย (ตอนแรกก็ ทำๆไปอย่างงั้นแหละค่ะ --' ไม่ได้คิดไร)

    เสร็จแล้ว 2-3 วันผ่านไป... ช่วงเวลา ที่ mamboo จะขอเรียกว่า "ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น" ละกันนะคะ

    ช่วงเวลาก่อนที่พวกเราจะหลับ.. และ ระหว่างที่เรากำลังจะตื่น..

    บางที mamboo ได้ยินเสียงคนมา พูดๆๆๆ หรือท่องมนต์ หรืออะไรก็ไม่รู้ อยู่ข้างๆหูนะคะ เสียงมันดังมาก เหมือนดังอยู่ข้างๆหู แต่จริงๆคือ ไม่มีใคร ไม่มีอะไรในห้องนอน.. แล้วเสียงมันมาจากไหน?? O.O

    (บางคนได้ยินเหมือนเสียงสวดมนต์ ก็บอกเทวดามาสวดให้ฟัง บางคนบอก ได้ยินเสียงน่ากลัว ก็ว่าเป็นเสียงผี)

    แต่ mamboo ไม่คิดว่ามันเป็นเสียงผีหรือเสียงเทวดา เพราะ เสียงที่ mamboo ได้ยินอ่ะ มันเป็นเสียง ผู้ชายอายุราวๆ 40 พูดจาเรื่อยเปื่อย --' (คือ พูดไม่มีสาระ ไม่ไร้สาระ ไม่ได้พูดธรรมะ ไม่ได้พูดสิ่งไม่ดี) แต่เป็นเหมือนเสียงคนคุยกัน

    mamboo ก็อยากได้ยินเป็นเสียงสวดมนต์ หรือเป็นเสียงคนมาเล่าธรรมะให้ฟังนะคะ จะได้คิดว่าตัวเองโชคดี ^_^

    แต่... --' มันไม่ใช่.. มันเป็นเสียงผู้ชายพูด "ธรรมดา"

    ตอนนั้น mamboo ยังไม่เข้าใจค่ะ .. ว่า.. เสียงพวกนี้ ที่มาดังข้างๆหู มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!

    -----

    แล้วช่วงนั้น mamboo ตั้งใจศึกษาเรื่องพวกนี้มากไปหน่อย --' จริงจังกับชีวิตมากไปหน่อย.. ทำสมาธิก็บ่อย นอนสมาธิก็บ่อย จับผิดความฝันก็บ่อย

    ทำบ่อยเกิ๊น!

    จน............... >> เกิดอาการ "ผีอำ" บ่อยๆ --'

    ไอ้อาการ ผีอำ ขยับตัวไม่ได้ แถมมีภาพซ้อนนี่ ยังไม่เท่าไหร่..

    แต่ไอ้ เห็นผีจะๆ(มารู้ตอนหลังนะคะว่า ไม่ใช่ผีหรอก มันเป็นกำลังจิตของเรา สร้างขึ้นมาเอง) แต่ตอนนั้น เรานึกว่า เราเห็นผี

    เห็น 4 ครั้งนะคะ เหตุการณ์คล้ายๆกัน แต่ขอเล่าเหตุการณ์แรก เพราะเป็นการเห็นที่ น่ากลัวมาก.. และทำให้เราเข้าใจผิดว่าเราเห็นผี

    ไอ้ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นนี่แหละ ขยับตัวไม่ได้(แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเราขยับไม่ได้นะคะ เราคิดว่าเราเหนื่อย ไม่มีแรง) เราก็เห็นผู้หญิงผมดำๆ นอนคว่ำหน้า เรานึกว่าเพื่อน ก็เอามือไปลูบผมเขา จับแก้มเขาด้วย(ให้สังเกตุนะคะว่า.. mamboo มีการสัมผัสผีด้วย) mamboo ลืมตาดู เห็นนอนคว่ำหน้า ไม่รู้ว่าเป็นใคร เอามือไปจับดู แก้มนุ๊มนุ่ม ผมก็นุ่ม ลื่นสลวยด้วย..

    เสร็จแล้ว mamboo ก็นอนหลับตาสักพัก แอบลืมตามาดู ก็ยังนอนอยู่ ก็เลยพยายามคิดว่า ใครน้อ มานอนกับเรา.. พี่หรือเปล่า หรือว่าเพื่อน..

    เสร็จแล้ว เราก็เกิดมีสติ นึกขึ้นมาได้ว่า.. "ห้องนี้ เรานอนคนเดียว --' " คือ เราเลิกเรียนกลับมานอนกลางวันอ่ะนะ

    แค่นั้นแหละ.. พอนึกได้ว่า เราอยู่คนเดียว.. ก็เลยลืมตาดูอีกครั้ง.. ยังไม่ไปค่ะ ผียังอยู่

    เราคิดในใจว่า.. "ผีแน่นอน.. ผีแน่ๆ"

    แล้วผีผู้หญิงคนนี้ เธอก็เริ่มสอดๆมือของเธออ่ะ มาใต้แผ่นหลังของ mamboo

    mamboo กลัวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ.. ท่องบทสวดมนต์นี่แบบ ผิดๆถูกๆ อะระหังสัมมา ยังท่องผิดท่องถูก

    ตอนนั้น mamboo จำคาถามชินบัญชรได้ 1 บท mamboo ก็ตัวสั่นปากสั่นท่องไม่ออก

    แล้วก็พยายามควบคุมอารมณ์ แล้วท่องให้ได้ทุกคำ แค่ 1 บทอ่ะแหละ ท่องให้ถูกทุกคำ

    แล้วสักพัก ไอ้มือที่กำลังสอดมาที่แผ่นหลังเราอ่ะค่ะ ก็หายไป mamboo ลืมตาดู .. หายไปแล้ว.. แล้ว mamboo ก็รีบลุกขึ้นจากเตียง.. แล้วเปิดประตูออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้องเลยค่ะ.. (มีแอบกลับเข้าไปหยิบโทรศัพท์มาโทรหาแม่ด้วยนิดหน่อย)

    ---

    ตอนนั้น mamboo คิดว่า สิ่งที่เห็นเนี่ย คือ "ผี" แน่นอน.. แล้ว mamboo เห็นจะๆ เต็มตา และมีการสัมผัสแบบนั้น 4 ครั้งค่ะ..

    แต่...

    พอ mamboo เริ่มมาศึกษาเรื่อง "ความฝัน" ตอนนี้ mamboo รู้แล้วค่ะว่า.. นั่นไม่ใช่ผี .. ไม่ใช่ของจริง.. เป็นสิ่งที่กำลังจิตของเรา สร้างขึ้นหมดเลย

    ทำไม mamboo ถึงคิดแบบนั้น??? เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ในคำตอบต่อไปค่ะ..
     
  13. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    3. การมองเห็น อุโมงค์หมุนๆติ้วๆ ดำๆ

    ช่วงนั้น mamboo เริ่มศึกษาความฝัน โดยการฝึกนอนสมาธิก่อนนอนทุกคืนด้วยค่ะ..

    หรือ ตอนกลางวัน ถ้าจะนอนกลางวัน ก็จะทำสมาธิก่อนนอนด้วย..

    แต่ว่า mamboo ทำสมาธิแบบ ท่อง พุทธ-โธ ตามการหายใจเข้า-ออก นะคะ ในระหว่างนั้นก็จะเพ่งความรู้สึกไปที่ จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ด้วยค่ะ

    ไม่ทราบหรอกค่ะว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องเพ่ง รู้แต่ว่า มีคนบอกมา แล้วก็ เคยเห็นในหนังสือหลายเล่ม

    ก็ทำๆไป ไม่ได้คิดว่าจะต้องเจออะไร หรือจะต้องเกิดอะไรขึ้น..

    ---

    แล้ววันหนึ่ง..

    mamboo ล้มตัวลงนอนบนเตียง.. (ยังไม่ทันจะได้เข้าสมาธิเลยค่ะ คือยังไม่เริ่มอะไรเลย) แค่ล้มตัวลงนอน.. แล้วหลับตา..

    ตอนนั้น.. อยู่ดีๆ mamboo ก็รู้สึกเหมือน มันเป็น อุโมงค์หมุนๆติ้วๆ(เหมือนพายุเฮอริเคนนะคะ) ดำๆอยู่ตรงหน้าเราค่ะ.. (เราหลับตานะคะ)

    มันจะคลายๆว่า.. มันเป็นอุโมงค์รูปกรวยนะคะ.. ตรงปลายอุโมงค์จะแคบ ตรงด้านหน้าใกล้ๆเราจะกว้าง หมุนติ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ..

    ตอนนั้น mamboo ตกใจมากค่ะ.. ว่ามันคืออะไร

    แล้ว ความรู้สึกของเรา ยังอยู่กับเรานะคะ เรารู้สึกตัวว่าเรานอนอยู่บนเตียง เรารู้สึกว่าเรามีแขน มีขา มีร่างกายอยู่.. เพียงแต่เราเห็นอุโมงค์หมุนอยู่ตรงหน้าเรา(ในขณะที่เราหลับตา)

    เสร็จแล้ว.. ระหว่างนั้น.. mamboo ก็ไปเพ่งตรงปลายอุโมงค์อ่ะค่ะ..

    พอจังหวะที่เพ่งมันอ่ะ มันกลายเป็น จุดสว่างขาวๆค่ะ(ตอนแรกไม่มีนะ ตอนแรกดำๆหมดเลย เหมือนท่อมืดๆ)

    พอเราไปเพ่งที่ปลายอุโมงค์ ปรากฏมันเป็น จุดสว่างขาวๆเล็กๆ.. พอเราไปเพิ่งไอ้จุดขาวๆนั่น.. มันขยายใหญ่ขึ้นค่ะ (อยากวาดรูปให้ดูมากๆค่ะ จะได้นึกภาพออก)

    ถ้าเราเพ่งมัน ไอ้จุดขาวๆสว่างๆอ่ะ มันจะขยายใหญ่ขึ้น แล้วจะขยายกว้างจนอุโมงค์ดำๆหายไปเลยค่ะ

    แล้วตอนที่มันกำลังขยายอ่ะ.. mamboo ลอง เลิกเพ่งมัน ไปเพิ่งขอบๆอุโมงค์ดำๆแทน แล้วจุดขาวๆมันก็เล็กลง

    แต่ mamboo ก็สงสัย.. ก็เลยเพ่งมันอีก.. แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก..

    ตอนนั้น mamboo ไม่รู้เลยค่ะ ว่ามันคืออะไร.. งง มากๆ --'

    แล้วพอมันขยายใหญ่มาระดับหนึ่ง(เกือบๆจะกินความมืดของอุโมงค์ที่อยู่ด้านใกล้เราอ่ะ) mamboo ก็เหมือน ควบคุมมันได้ว่า ให้มันขยายแค่นี้แหละ.. mamboo มองเข้าไปที่ แสงสว่างขาวเนี่ย.. ว่ามันคืออะไร??

    mamboo ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ.. มีแต่แสงสว่างขาวๆ.. ไม่มีอะไรเลย..

    สักพัก พอไปจ้องมันมากๆ มันก็ขยายอีก แล้วไอ้จังหวะที่มันขยายจนกลืนความมืดของอุโมงค์นะคะ.. mamboo รู้สึกได้เลยว่า.. จังหวะนั้นอ่ะ มันกำลังจะดูดเรา

    แล้วรู้มั้ยคะ?? ตอนที่มันจะดูดเรา มันเป็นยังไง? mamboo จำได้ทุก step ค่ะ

    ไอ้ร่างกายเนื้อหนังที่เรานอนอยู่บนเตียงเนี่ย.. มันจะเริ่มไร้ความรู้สึก ไล่มาจากเท้าเลยค่ะ.. อันนี้เรื่องจริง..

    มันไล่มาเรื่อย จากเท้า มาขา ก้น เอว ไหล่ แล้ว... มันมาสุดที่.. ไอ้จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนี่แหละ(เหตุการณ์นี้แหละค่ะ ที่ทำให้ mamboo เริ่มนึกถึง คำบอกเล่าจากหลายๆท่าน ที่เขาว่า ไอ้จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วอ่ะ คือจุดที่วิญญาณออกจากร่าง)

    ตอนนั้น mamboo รู้สึกเหมือนกับว่า.. มันเป็นแค่ จุดเชื่อม จุดเดียว จริงๆ!

    ถ้า mamboo ยอมปล่อยไอ้จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วเนี่ย.. ปล่อยให้โดนดูดไปเนี่ย.. mamboo ก็จะทิ้งร่างกายนี้ไปเลยทันที

    mamboo ตัดสินใจ ถอยกลับค่ะ.. ไม่ยอมให้ไอ้แสงขาวๆมันดูด..

    แล้วไอ้จังหวะที่ถอยกลับเนี่ย.. จะบอกว่า มันเริ่มจากจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แล้วไล่ลงอไปเรื่อยๆค่ะ หน้า ปาก คอ ไหล่ ตัว ขา เท้า ..

    (เรื่องนี้ mamboo ไม่รู้ว่า จะสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ไหมนะ.. เวลาที่เราจะหมดความรู้สึก มันไล่จากเท้ามา พอความรู้สึกกลับมา มันไล่ลงจากจุดกลางๆระหว่างตา ลงไปเรื่อยๆถึงเท้า)

    เสร็จแล้ว.. mamboo ก็สงสัยค่ะ.. ถ้า mamboo ปล่อยให้แสงขาวดูดเข้าไป.. แสงขาวๆนี้.. มันคืออะไร มันคือที่ไหน.. แล้วถ้าเรายอมปล่อยให้แสงขาวดูดแล้วเราจะตายไหม.. แล้วร่างกายที่นอนอยู่บนเตียงเนี่ย.. จะตายไหม? แล้วเราจะกลับเข้าร่างได้ไหม??

    คือ ก็คิดเยอะอยู่พอควรค่ะ..

    ระหว่างนั้น mamboo พยายามมองไอ้แสงขาวๆคิดอีกครั้งว่า ข้างในมันมีอะไร.. แต่มองยังไง ก็ไม่เห็นมีอะไร --' มันเป็นแค่แสงขาวๆ ไม่มีอะไร..

    เสร็จแล้ว mamboo ก็เลยคิด(เล่นๆ)ว่า ถ้านี่.. มิติอีกมิติหนึ่ง .. ถ้าเราจะไปไหนก็ได้.. ถ้างั้น ขอให้ โลกเบื้องหลังแสงขาวๆนี้ เป็นบ้านของเราในอดีต(ตอนที่ยังเด็ก)ได้ไหม?? (คือ ตอนนั้น อยากลองย้อนเวลาดูอ่ะค่ะ แต่ว่ายังไม่ได้ศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์นะคะ ตอนนั้นยังคิดง่ายๆว่า เวลามีอยู่แบบ Linear เป็นเส้นตรง)

    แล้วพอ mamboo คิดแบบนั้น.. ไอ้แสงขาวๆอ่ะ ข้างใน mamboo มองไป มันกลายเป็น รูปบ้านของ mamboo เลยค่ะ O.O

    เป็นบ้าน(ตอนที่แม่ยังไม่ได้ปรับปรุง)ในอดีตที่ mamboo ยังเป็นเด็กประถมอยู่.. แล้วพอมันเป็นรูปบ้านอยู่ข้างในแสงขาวแล้ว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นค่ะ.. แล้วมันก็จะดูด mamboo เข้าไปอีก..

    ความรู้สึก mamboo เริ่มหายไปอีกแล้ว ไล่มาจากเท้า ขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วมาติดอยู่ที่ จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนี่แหละค่ะ..

    mamboo ชั่งใจ อยากเข้าไปมากๆ... ยอมให้ดูด เพราะอยากรู้ว่า แสงขาวๆนี่มันคืออะไร..

    แต่.. ด้วยความขี้ป๊อดไปหน่อย --' (ยังยึดมั่นถือมั่นในร่างกายเนื้อหนัง หรือ พูดง่ายๆว่า "กลัวตาย" ค่ะ --') กลัวว่าถ้าเข้าไปในแสงขาวแล้ว จะออกมาไม่ได้.. กลัวจะแบบ พอกลับมาไม่ได้ คนทางโลก ก็จะมาตีความหมายว่า สาเหตุการตายของเราคือ "นอนหลับแล้วไหลตาย" --' ก็เลย.. เปลี่ยนใจ .. ไม่เข้าไปค่ะ..

    mamboo ถอยออกมา.. ไม่ให้แสงขาวดูดเข้าไป.. แล้วไอ้แสงขาวๆ มันก็เล็กลง เล็กลง จนกลายเป็นจุดเล็กๆที่ปลายอุโมงค์ เหมือนเดิม

    ตอนนี้ mamboo หันมา มองดูอุโมงค์ดำๆนี่แทน ว่าคืออะไร?

    ระหว่างนั้น.. mamboo ก็ได้ยินเสียงพี่สาวของ mamboo ค่ะ (พี่สาวอยู่ขอนแก่นค่ะ mamboo อยู่ กทม.) แต่เป็นเสียงพูดที่ ไม่มีสารค่ะ แต่ก็ไม่ได้ไร้สาระ.. จำไม่ได้หรอกค่ะว่าพูดว่าอะไรบ้าง --' เพราะมันเป็นการพูดทั่วๆไป ไม่มีสาระ ก็เลยจำไม่ได้ค่ะ --'

    ตอนนั้น mamboo ก็งงว่า.. ทำไม mamboo ถึงได้ยินเสียงของพี่สาวตัวเองน้าา!!

    เสร็จแล้ว.. ก่อนจะออกจากภาวะที่เห็นอุโมงค์ดำๆเนี่ย.. mamboo ก็ทดลองบางอย่าง เป็นสิ่งสุดท้าย

    นั่นก็คือ.. mamboo ทดลองลุกขึ้นนั่งค่ะ

    ตัวมันหนักมากกกกกกกกกกกกกกกกก!! ค่ะ ตอนแรก ลุกยังไงก็ลุกไม่ขึ้น.. สุดท้าย ก็พยายามฝืนตัวเอง จนลุกได้.. แต่พอลุกได้แล้ว.. ว่าจะลืมตาแหละ .. แต่ --' ไม่กล้าลืมค่ะ (ตอนนั้น ต้องเข้าใจนะคะว่า mamboo เป็นเด็กใหม่ --' ขี้กลัว กลัวตาย กลัวเห็นผี ต่างๆนาๆ) จะลืมตาก็ไม่กล้าลืม (เพราะไม่แน่ใจ) สุดท้ายก็เลย ล้มตัวลงไปนอนเหมือนเดิม.. แล้ว.. คิดว่า ถึงอยู่ในภาวะเห็นอุโมงค์ดำๆ ก็ไม่รู้จะทดลองอะไรแระ (เพราะแสงขาวๆเราก็ไม่กล้าเข้าไป) ก็เลยคิดว่า ออกดีกว่า..

    mamboo เลิกสนใจอุโมงค์ดำๆ .. แล้วก็ ลืมตาค่ะ ^_^

    พอลืมตาแล้ว.. ตกใจเลยค่ะ O.O

    เพราะ... มันมีผ้าห่มคลุมหน้าอยู่ T-T (อ้าว.. แล้วไอ้ตอนลุกขึ้นนั่งอ่ะ.. ทำไมผ้าห่มมันไม่เลื่อนลงหว่า อิอิ ^^)

    แต่ก็สังเกตุอยู่เหมือนกันค่ะว่า.. ไอ้ตอนลุกขึ้นนั่งอ่ะ มันลุกยากมากกกกกกกก!! มันเป็นตัวหนักๆ

    แล้วพอลืมตาขึ้นมา เห็นผ้าห่มคลุมหน้าตัวเองอยู่ ก็เลยมั่นใจเลยค่ะว่า.. ไอ้ที่เราคิดว่าเราลุกขึ้นนั่งอ่ะ เราไม่ได้เอากายเนื้อเราลุก แต่.. เป็นอะไรนั่น.. ก็ คิดเอาเองละกันค่ะ ^^

    ---

    mamboo เจอเหตุการณ์อุโมงค์หมุนติ้วๆเนี่ย 2 ครั้งค่ะ จากการที่ นอนสมาธิบ่อยๆ นั่งสมาธิบ่อยๆ แล้วก็ใช้วิธีเพ่งไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว และชอบจับผิดความฝัน..

    และประสบการณ์การเห็นอุโมงค์ดำๆเนี่ย.. ก็นำ mamboo ไปสู่ ความเข้าใจในเรื่องราวความฝันมากขึ้น.. (แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะคะ ว่ามันคืออะไร)

    ---

    ตอนแรก mamboo ไม่รู้เลยค่ะว่า ทำไม mamboo ถึงเห็น อุโมงค์ดำๆ.. เกิดอะไรขึ้น และมันคืออะไร มีคนเคยเห็นเหมือเราไหมนะ(มีค่ะ) แล้วทำไมเรากับเขาถึงเห็นนะ(เด๋วบอก)

    ---

    จนกระทั่ง วันหนึ่ง ที่ mamboo สามารถ จับภาวะที่กำลังจะเข้าสู่ฝันได้..

    แล้วเรื่องทุกอย่าง ก็เริ่ม กระจ่างค่ะ..

    จะเล่าต่อ ในคำตอบต่อไปนะคะ ^_^
     
  14. Nefertiti

    Nefertiti Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +98
    มาเป็นกำลังใจให้คุณ mambooและคุณจขกท. กำลังติดตามอ่าน
     
  15. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    4. ภาวะจริงๆที่กำลังจะเข้าสู่ฝัน (แบบช้าๆ)

    ช่วงนี้ mamboo มีประสบการณ์เห็นอุโมงค์ดำๆ 2-3 ครั้ง ได้ยินเสียงดังข้างๆหูนี่ บ่อยมาก..

    ระหว่างนี้ mamboo ก็เลิกการทำสมาธิแบบเพ่งจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วค่ะ.. เพราะว่า ถ้าเพ่งแล้วอ่ะ มันจะเห็นอุโมงค์ดำๆหมุนติ้วๆ (ตอนนี้ เข้าใจแล้วค่ะว่า ทำไมวัดเวฬุวรรณ ถึงสอนทำสมาธิ ให้จับจังหวะอยู่ที่ท้องน้อย.. mamboo ว่า ถ้าใครทำสมาธิแล้วไปเพ่งที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วอ่ะ มีหวัง ได้ไปดินแดนนู้น ดินแดนนี้ ได้เห็นภาพประหลาดๆ ตรึม .. และ mamboo เดาว่า ที่พระอาจารย์ท่านให้ทำสมาธิแล้วจับไปที่ท้องน้อย ก็เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ค่ะ.. ไม่งั้น บางคนพอได้เห็นนิมิตนิดๆหน่อยๆ จะชอบคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเป็นเทวดากลับชาติมาเกิดบ้างล่ะ เป็นผู้รู้บ้างล่ะ แล้วพระอาจารย์ก็ต้องมานั่งปวดหัวคอยตอบคำถามผู้ปฏิบัติธรรม .. อันนี้ mamboo เดานะคะ) แต่.. ถ้าใครที่ยังสงสัยเรื่อง วิญญาณ เนี่ย.. ใช้วิธีเพ่งจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วเนี่ย ช่วยได้ค่ะ.. คลายข้อสงสัยได้เป็นอย่างดีเลยแหละ อิอิ ^^ (แต่ไม่ใช่การทำสมาธิที่ดีค่ะ เพราะมันไม่ทำให้สงบ แล้วอาจทำให้คนบ้าดได้ ถ้าเห็นนู่นเห็นนี่บ่อยๆ)

    ขอเล่าต่อนะคะ..

    กลับมาที่เรื่อง "ความฝัน" ต่อ..

    หลังจากที่ mamboo มีประสบการณ์เห็นอุโมงค์หมุนติ๊วๆแล้ว.. (มารู้ตอนหลังว่า คนที่เข้าไปในอุโมงค์น่ะ จะเหมือนเข้าไปในดินแดนเหมือน ความฝัน ค่ะ)

    mamboo ก็ยังคง ทำสมาธิอยู่เรื่อยๆ มิได้ขาดหาย

    จนวันหนึ่ง.. ขณะที่ mamboo กำลังจะนอน.. ด้วยความเหนื่อยล้า.. (ไป Shopping ที่ Big C เพิ่งกลับมา) เหนื่อยมากกกกกกกกกกกกกค่ะ!! เพราะว่าออกจากห้องตั้งแต่เที่ยง ไปกับเพื่อน กลับมาห้อง 1 ทุ่มกว่าๆ ถือของก็หนัก แล้วไปมาหลายที่ด้วย.. แต่ไปที่สุดท้ายคือ Big C

    วันนั้น เหนื่อยมาก.. กลับมา mamboo ก็อาบน้ำ แล้วก็นอนเลย.. ข้าวของที่ซื้อมา คิดว่าค่อยจะจัดพรุ่งนี้ วันนี้เหนื่อย ไม่ไหวแระ

    แต่.. ก่อนจะนอน.. mamboo ก็.. ยังไม่ลืมที่จะ ภาวนา พุทธ-โธ ตามการหายใจเข้าออก แต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้วนะคะ ไม่เพ่งจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วแล้ว(เพราะมันจะเป็นอุโมงค์) แต่เปลี่ยนไปจับลมหายใจเข้าออกที่ท้องน้อยแทน (อันนี้นอนทำนะคะ เพราะว่าเหนื่อยมาก จะทำให้หลับไปเลยอ่ะ)

    แล้ว.. ทันใดนั้น...

    มันก็เริ่มมา ทีละ Step ค่ะ

    mamboo มองเห็นเป็น รถสองแถวสีแดงๆ ขับออกมาจาก Big C แล้วกำลังเลี้ยวเข้าซอยหอพัก mamboo

    ฉากหลังมันจะเป็น มืดๆนะคะ.. ไม่มีอะไร เป็นมืดๆ แล้วก็มีรถสองแถวสีแดงๆกำลังวิ่งช้าๆ แล้วก็เลี้ยว คือเรามองแล้วเข้าใจอ่ะ ว่าเลี้ยวเข้าซอยหอเรา (แต่ฉากหลังมันจะมืดๆ แต่ความรู้สึกเรา เราเข้าใจว่ามันเลี้ยวเข้าซอย)

    เสร็จแล้ว มันก็มีภาพอื่นขึ้นมา เป็นภาพลูกเต๋า สีเขียว เหลือง แดง 4 อัน อีกอันสีม่วงมั้ง ถ้าจำไม่ได้.. เป็นลูกเต่านะคะ

    mamboo มองดูลูกเต๋าแล้ว รู้สึกว่า สีมันคุ้นๆนะ.. ไอ้รถสองแถวแดงๆนั่น ก็เป็นรถที่เรานั่งจาก Big C กลับหอเมื่อตะกี๊นี้แหละ(แต่ในฝันยังนึกไม่ออกนะคะว่านั่งมาเมื่อกี๊ แค่มองเห็นว่าเป็นรถสองแถวกำลังวิ่งเฉยๆ)

    พอมองเห็นลูกเต๋า ก็คือ มองเห็นเฉยๆ ฉากหลังเป็นสีดำๆ ลูกเต๋าสีแดง เขียว เหลือง น้ำเงิน

    สักพัก ภาพก็เริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น จากที่ฉากหลังมันเป็นสีมืดๆ มันก็เริ่มมีสีสัน มีอย่างอื่นเพิ่มเข้ามา

    จังหวะนั้นแหละ.. mamboo มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยค่ะ แบบเคลิ้มๆ...

    สักพัก กลับมามองลูกเต๋า แล้วก็เกิดนึกบางอย่างได้ ว่า.. "อ้าว.. o_O ลูกเต๋านี่มัน สีเหมือน ไอ้ยางรัดผมที่เราเพิ่งซื้อมาใหม่เลย >< สีเดียวกัน ลายเดียวกันเลย"

    แล้วทันใดนั้น มันก็เหมือนนึกขึ้นมาได้แบบกระทันหันเลยค่ะว่า.. อ้าว.. O.O นี่เรากำลังนอนหลับตานี่หว่า.. แล้วเห็นภาพพวกนี้ได้ไงฟร่ะ ?? ?O.O!!

    แล้วแค่แป๊บเดียวที่นึกได้.. ภาพเหล่านั้นก็หายไปเลยค่ะ.. แล้วเราก็ตื่น

    พอตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นแล้ว.. ก็รู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงแหละค่ะ ความจำต่างๆก็เริ่มกลับมา คือ เราไปข้างนอกมา กลับมาอาบน้ำ แล้วก็นอน(ด้วยความเหนื่อยมากๆ)

    เสร็จแล้ว.. ก็เลยหลับตานอนต่อค่ะ เพราะรู้สึกเพลียมากๆจริงๆ..

    พอหลับตาปุ๊บ.. เห็นเลยค่ะ.. เป็นภาพนู้นภาพนี้.. คือ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวอ่ะนะ ลูกเต๋าลอยๆ รถสองแถวกำลังวิ่งๆ ภาพเกิดสลับกันบ้าง แล้วฉากหลังก็เป็นสีดำๆมืดๆ จนเราเริ่มรู้สึก เคลิ้มๆนั่นแหละค่ะ (คือ มองภาพพวกนี้ไปจนเคลิ้ม ลืมไปเลยว่า ตัวเองกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง) ไอ้จังหวะเคลิ้มๆเนี่ย ภาพมันจะเริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้นเรื่อยๆค่ะ ระหว่างนี้ เราก็จะเคลิ้มไปเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้น.. มันก็รู้สึกตัวขึ้นมากระทันหันว่า.. "เอ้า O.O นี่เราจะหลับอีกแล้วหรอ O.O" พอรู้สึกตัวเท่านั้นแหละ ภาพพวกนั้นก็หายไปหมดเลย มีแค่ความรู้สึกว่า เรากำลังนอนหลับตาอยู่

    ทีนี้.. mamboo ก็เลยคิดว่า จะลุกไปล้างหน้าแล้วค่อยมานอนต่อดีกว่า ><

    พอลืมตาจะลุกไปล้างหน้า.. ปรากฏ ลุกไม่ได้ --'

    ขยับร่างกายส่วนไหนไม่ได้เลย --'

    แล้วไอ้ช่วงที่ขยับไม่ได้เนี่ย.. เราก็ตกใจนะ หัวใจมันจะเต้นแรงมาก.. แล้วก็จะได้ยินเสียงอะไรก็ไม่รู้ ดังข้างๆหู บางทีก็มองเห็นนู่นนี่ แต่ถ้ารวบรวมสติมัน มันจะหายไป

    mamboo พยายามขยับตัวอยู่นาน ก็ขยับไม่ได้.. สุดท้าย ก็เลย รวบรวมสติ(ยิ่งวู่วามมันยิ่งขยับยากค่ะ) รวบรวมสติ อาจจะโดยการสวดมนต์ หรือ โดยการทำใจให้เย็นๆ(อย่าดิ้น) แล้วค่อยๆ ขยับปลายนิ้วมือข้างใดข้างหนึ่ง..

    พอขยับปลายนิ้วได้แล้ว.. ก็จะขยับร่างกายส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดค่ะ..

    ---------

    จากประสบการณ์ครั้งนี้.. ทำให้ mamboo ได้เข้าใจเรื่อง ความฝัน อีกระดับหนึ่ง

    นั่นก็คือ.. ระหว่างที่เรากำลังนอนหลับตา(พวกเราทุกคน มักจะจำไม่ได้ใช่ไหมคะ ว่าเราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่) ที่เราจำไม่ได้ เพราะสติของเรามันเริ่มเลือนๆๆๆๆๆไปแล้วค่ะ

    พอเราหลับตานอน.. สติเราจะเริ่ม น้อยลง น้อยลง พอสติไม่ทำงานกับประสาทสัมผัสของร่างกายแล้ว มันก็จะไปสร้างโลกความฝัน บางทีก็มาแต่ภาพ บางทีก็มาแต่เสียง(ถ้ามันมาไม่หมดอ่ะ แสดงว่า บางส่วนมันยังคงทำงานคู่กับประสาทสัมผัสของร่างกายเนื้ออยู่ค่ะ)

    แล้วที่เราจำภาวะที่กำลังจะหลับไม่ได้ เพราะเวลาที่เรานอน สติของเรา มันจะค่อยๆหายไปเรื่อยๆๆๆๆค่ะ

    ----

    mamboo นำประสบการณ์มาเล่าให้ฟังเพียงเท่านี้.. แต่.. จริงๆแล้ว mamboo ยังมีประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาเรื่อง โลกความฝัน อีกเยอะแยะมากมายค่ะ..

    mamboo จะสรุปให้ฟัง.. คร่าวๆ ในคำตอบต่อไปค่ะ ^_^ (ข้างล่างนะคะ)
     
  16. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    5. สรุปเรื่องความฝัน แบบคร่าวๆ (ไม่อยากใช้คำว่า ครอบคลุม)

    หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องความฝันมามาก และมีประสบการณ์มามาก.. ทำให้ mamboo นึกถึง ข้อความหนึ่งที่อ่านมาจากหนังสือค่ะ

    (ประสบการณ์ที่ mamboo เล่าในกระทู้นี้คือ ไม่ได้เล่าหมดนะคะ เพราะถ้าเล่าหมดก็จะยาวเกิน --' อันไหนที่เป็นแบบ การทดลองเปลี่ยนฉากความฝัน หรืออะไรเงี้ย ก็ไม่ได้เล่าค่ะ แต่เดี๋ยวจะสรุปให้ฟัง)

    mamboo นึกถึง คำพูดที่มีคนพูดไว้ว่า "พระพุทธเจ้า ไม่ฝัน"

    เข้าใจเลยค่ะ.. ว่าทำไมพระองค์ไม่ฝัน ><

    ความฝัน เกิดจากการ ใช้กำลังจิต สร้างโลกความฝันขึ้นมาค่ะ แบบสติไม่ค่อยเต็มอ่ะ

    ที่ใช้คำว่า สติไม่ค่อยเต็มเนี่ย เพราะ.. เราไม่ได้มีสติตลอดเวลาที่เราอยู่ในความฝัน

    แล้วที่บอกว่า ความฝันนี่ สร้างมาจากข้อมูลที่ถูกบรรจุอยู่ในจิตใต้สำนึกเนี่ย.. mamboo อยากจะค้านเรื่องนี้มากๆค่ะ.. เพราะ..

    เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถรู้ตัวในฝันว่า เรากำลังฝันอยู่ เราจะสามารถเปลี่ยนฉากความฝันได้ เปลี่ยนร่างกายเสื้อผ้าของเราได้ ควบคุมความเป็นไปในฝันได้.. เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า ความฝันมาจากข้อมูลในจิตใต้สำนึกเนี่ย.. มันเป็นแค่.. บางความฝันที่.. คนๆนั้นไม่รู้ตัวว่าฝัน แล้วก็ไม่ได้ควบคุมความฝันตัวเองอ่ะค่ะ

    ----

    และจากประสบการณ์ของ mamboo ที่ผ่านมา.. mamboo กล้ายืนยันและฟันธงเลย(แต่ mamboo ไม่รู้ว่าจะพิสูจน์อย่างไรให้ท่านผู้อ่านเชื่อนะ) แต่สำหรับ mamboo, mamboo ยืนยันเลยค่ะว่า... ตลอดเวลาที่เราหลับ เราฝันตลอดเวลา

    แต่ที่เราจำความฝันได้แค่ตอนใกล้จะตื่น เพราะ.. สมองส่วนที่ทำหน้าที่จดจำ มันเริ่มกลับมาทำหน้าที่ของมัน

    ไอ้ตอนที่เราหลับลึก ที่เรากำลังอยู่ในโลกความฝัน ที่จิตวิญญาณของเรา ขาดการเชื่อมต่อกับร่างกายโดยสิ้นเชิง(ประมาณว่ามีคนมาเขย่าก็ไม่รู้สึกตัวอ่ะ) ตอนนั้น เราจะจำความฝันของเราไม่ได้เลยค่ะ เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการจดจำ มันไม่จำความฝันส่วนนั้นแล้ว จิตวิญญาณของพวกเรา ทิ้งร่างกายไปแล้ว

    จริงๆแล้ว คำว่า จิตวิญญาณเนี่ย มันแบ่งเป็นหลายภาคส่วนนะคะ.. แต่ mamboo ไม่ค่อยแม่น เลยขอเรียกว่า จิตวิญญาณ เฉยๆละกัน (เรียกแบบง่ายๆค่ะ)

    กำลังในการสร้างภาพ กำลังในการรับฟังเสียง และกำลังในการรับสัมผัส มันจะถูกจำกัดให้เป็นไปตามการทำงานของร่างกายเนื้อหนังของเรา ในขณะที่เราตื่นค่ะ..

    จิตวิญญาณของเรา จะทำงานควบคู่กับ ประสาทสัมผัสของร่างกายเนื้อ ในขณะที่เราตื่นค่ะ..

    แต่.. ในขณะที่เราหลับ มันจะไปทำงานของมัน.. มันสร้างโลกความฝัน สร้างโลกเสมือน เป็นโลกที่ ชัดเจน และกว้างใหญ่ไพศาล มากกว่าโลกสีน้ำเงินใบนี้ของเราอีกค่ะ ><

    คนที่เวลาโดนผีอำแล้วชอบได้ยินเสียง มองเห็นภาพ ขยับตัวไม่ได้อ่ะ.. ส่วนมากจะเกิดกับคนที่อาการเหนื่อยล้าค่ะ.. (พักผ่อนไม่เพียงพอ) แล้วร่างกายต้องการพักผ่อน

    พอร่างกายมันต้องการพักผ่อน แต่จิตใจมันยังตื่นเต้นอยู่ คือ มันไม่ได้อยากพักอ่ะ.. เราก็เลยยังมีสติรู้ตัว.. เราลืมตาได้ แต่จิตของเรา มันก็ไปสร้างเป็นภาพผี สร้างภาพนางฟ้า บางทีเห็นห้องตัวเองเปลี่ยนไป.. หรือได้ยินอะไรดังข้างๆหู

    mamboo คิดว่า ภาวะผีอำ คือภาวะที่ จิตวิญญาณของคนๆนั้น กำลังทำงาน กึ่งๆครึ่งๆกลางๆกับประสาทสัมผัสของร่างกายค่ะ.. เพราะการทำงานของร่างกาย มันต้องการจะพักแล้ว แต่จิตวิญญาณของคนๆนั้น ยังไม่อยากพัก มันก็เลยไปไม่ได้พร้อมกัน เลยเกิดเป็นภาวะผีอำนี่แหละค่ะ

    ------

    แล้วที่บอกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ฝัน.. mamboo อยากแตกประเด็นนี้นะคะ

    มีพี่คนหนึ่ง แกใช้คำว่า "ถอดจิต" แกบอกว่าแกถอดจิตได้บ่อยๆ.. แต่อยู่มาวันหนึ่ง.. แกเกิดนึกสงสัยว่า.. เวลาที่แกถอดจิตเนี่ย มันจริงๆหรือแกฝันหรือเป็นแค่นิมิต

    แกก็เลย เอาถั่วใส่กระป๋องไปวางไว้ข้างๆตัวเอง.. แกไม่ได้นับนะคะ ว่ามีถั่วกี่เม็ดอยู่ในกระป๋อง เพราะกะว่า จะถอดจิตไปนับ

    เสร็จแล้ว แกก็นั่งสมาธิ แล้วแกก็ถอดจิตออกไป.. ก็เห็นห้องตัวเอง (ไม่แน่ใจว่าเห็นร่างตัวเองไหมนะคะ) ก็เห็นกระป๋องถั่วที่วางไว้ในห้องตัวเอง (mamboo จำไม่ได้นะคะ อ่านเรื่องนี้นานแล้ว ไม่แน่ใจว่า แกเห็นร่างตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ไหม)

    แต่.. สิ่งที่ทำให้เกิด เปลี่ยนความคิดเรื่อง การถอดจิต ก็คือ

    จำนวน ถั่ว ในกระป๋อง ที่แกถอดจิตออกไปนับ กับ.. จำนวนถั่วในกระป๋อง ที่แกนับหลังจากที่กลับเข้าร่างอ่ะ.. "มันไม่เท่ากันค่ะ" --'

    แล้วตั้งแต่นั้น.. พี่แกก็ไม่เคยถอดจิตอีกเลย แกนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า ถอดจิตได้.. แกก็ไม่ถอดไป.. ก็นั่งสมาธิต่อไป.. เพราะผลการทดลองของแก ได้ทำให้แกเข้าใจว่า.. ไอ้ที่ผ่านมาที่คิดว่าถอดจิตไปโน่นไปนี่อ่ะ.. มันคืออะไรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ถอดจิตมาโลกใบนี้..

    ---

    ทำให้ mamboo นึกถึง เรื่องที่ บางวัน mamboo ตื่นเช้ามา แล้วเห็นมีคนอยู่ในห้องด้วย..

    สิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นห้องนอนของเรานี่แหละค่ะ.. แต่ มันมีคนเพิ่ม (ครั้งแรกที่เห็นผีผมยาวอ่ะ แล้วกลัวมาก) แต่ 3 ครั้งต่อมา ไม่เห็นเป็นผีละ เห็นเป็นคนนี่ล่ะ สวยมาก อีกครั้งเป็นเด็ก ใส่ชุดนักเรียนประถม อีกครั้งเห็นเป็น หลานของเพื่อน

    mamboo ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นดวงวิญญาณจริงๆ จากมิติอื่น มาปรากฏตัวซ้อนมิติของเรา หรือ.. เป็นแค่การสร้างภาพของกำลังจิต(ที่มันเป็นภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น มันก็มีกำลังที่จะสร้างภาพ ซ้อนขึ้นมาทับกับภาพที่ถูกสร้างโดยตาเนื้อ) คือ ห้องเราอ่ะ ตาเนื้อส่งข้อมูลให้สมองแล้วจิตวิญญาณก็สร้าง แต่.. มันเหมือนเรา เพิ่งตื่น ขยับตัวไม่ได้ ลุกไม่ได้ เหมือนจิตวิญญาณเรามันยังกลับมาทำงานร่วมกับร่างกายไม่ครบทุกส่วน มันเลยมีกำลังที่จะสร้างภาพ อาจจะเป็นคน หรือ สิ่งของ มาทับซ้อนกับภาพที่สร้างโดยตาเนื้อ (อันนี้เป็นแค่ทฤษฎีของ mamboo นะคะ ยังไม่ฟันธง)

    ที่ยังไม่ฟันธงเนี่ย.. เพราะ ไอ้ครั้งที่สองที่เห็นเด็กนักเรียนผู้ชายเนี่ย.. มันแปลกๆ เพราะ --' เด็กมาเดินรอบๆเตียง(แถวๆหัวเตียง) แถมมีการพูดคุยกับเรา บอกว่า "ผมอยากเป็นลูกของพี่ครับ ^^"

    เด็กเดินมาอยู่ กลางๆเตียง ทำให้ mamboo เห็นชุดนักเรียนที่เขาใส่ กางเกงสีกากี (นักเรียนประถมอ่ะนะ) ปกติ mamboo เป็นคนที่รักเด็กมากกกกกกกกกก!! ค่ะ (อยู่ที่บ้านขอนแก่นเนี่ย เป็นขวัญใจเด็กๆในหมู่บ้านค่ะ อิอิ ^^)

    mamboo ถามเด็กผู้ชายคนนี้ว่า.. "ทำไมอยากเป็นลูกของพี่ล่ะ"

    เด็กตอบ "พี่ใจดีครับ ผมอยากเป็นลูกพี่ ^_^"

    mamboo อ่ะ รู้นะว่า เขาไม่ใช่คน อาจจะเป็นผี หรือ อาจจะเป็นการสร้างภาพโดยกำลังของจิตที่อยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น

    แต่ mamboo ลืมตานะคะ.. mamboo บอกเด็กคนนี้ว่า

    "อย่าเดินมาปลายเตียงนะ พี่ไม่อยากเห็นหน้าน้อง พี่กลัว.. พี่รู้นะว่าน้องเป็นผี"

    เด็กก็ไม่เดินมา ก็เดินมาแค่กลางๆเตียง แล้วก็พูดอะไรกับ mamboo ไม่รู้ จำไม่ได้แระ

    mamboo เลยบอกเขาไปว่า

    "พี่จะนอนต่อนะ น้องอย่ามากวน.. พี่กลัว.. "

    แต่เด็กก็ไม่ยอมไป --' แถมมีการมาบอกเราว่า

    "ผมอยากเล่นกับพี่ครับ พี่ใจดี ^_^"

    mamboo ก็บอก.. "พี่ก็อยากเล่นกับน้องนะ แต่พี่ง่วงนอน วันหลังค่อยเล่นกันนะ" (จริงๆ เลิกง่วงนานแล้วล่ะค่ะ อิอิ ^^ แต่หลอกเด็กเฉยๆ อยากให้เขารีบๆไป ไอ่เราก็กึ่งกลัว กึ่งไม่กลัว)

    เสร็จแล้ว เด็กก็เลยว่า "ไปก็ได้ครับ"

    ไอ้เราก็นึกว่าจะไปเลย.. แต่ดัน เดินมาที่ปลายเตียง มาให้เราเห็นหน้าเฉยเลย !! --'

    mamboo ก็มองไปแบบ ไม่ได้ตั้งใจ.. เป็นเด็กผู้ชายเลยค่ะ โกนผม(ทรงนักเรียนล่ะ) ใส่ชุดนักเรียน เสื้อขาว กางเกงสีกากี ดูแล้วน่าจะอยู่ประมาณ ป.3-ป.5 ไม่เกินนี้ หน้าตาไทยนี่ล่ะค่ะ..

    มีการ ยิ้มให้อีก ^_^ ยิ้มให้ก่อนไปอีก.. mamboo ล่ะ เชื่อเลย --'

    ----

    mamboo เคยเห็น เหตุการณ์ที่ มีคนในห้อง 4 ครั้งนะคะ แต่มีครั้งนี้แหละ ที่แปลก เพราะ... พอเด็กผู้ชายคนนี้หายตัวไปแล้ว.. mamboo ก็ลุกจากเตียง แล้วไปอาบน้ำเลยค่ะ.. มันเลยทำให้ไม่แน่ใจว่า.. เขาเป็นวิญญาณจริงๆ หรือกำลังจิตของเราสร้างขึ้น ><

    --------

    อ่อ.. เกริ่นเรื่องพระพุทธเจ้าไว้ก็ลืม --'

    เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ฝัน..

    หลังจากที่ mamboo ได้ศึกษาเรื่องความฝันมาเยอะ.. ก็ได้ลอง กลับไปศึกษาพวกทฤษฎีต่างๆดู ก็ได้มีโอกาส ได้อ่านเรื่อง ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญาณ มามากมายหลายสาขา ทั้งเรื่องการสะกดจิตย้อนอดีตหรือไปอนาคต ได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวที่คนถอดจิตไปที่นู่นที่นี่มา.. บวกกับการค้นพบของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน

    ทำให้ mamboo ได้เข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น!

    จริงๆแล้ว.. โลกนี้ ที่เรามองเห็นเช่นนี้ มันเป็นเพราะ การทำงานของร่างกายเนื้อหนังเรา สั่งให้เรามองเห็นได้แค่นี้ค่ะ เช่น หูเราได้ยินแค่ช่วงความถี่ 20-20,000 Hz เป็นต้น

    เราไม่สามารถใช้ตาเนื้อมองเห็นโครงสร้างของอะตอม แล้วเราก็ไม่สามารถใช้ตาเนื้อมองเห็นโครงสร้างของเอกภพได้

    แล้วก็เรื่องที่ ไม่ว่าผู้สังเกตุการณ์จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไหร่ แต่จะยังเห็นแสงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เสมอ จนนำไปสู่ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ที่บอกว่า เวลา และ ระยะทาง เป็นสิ่งที่ยืดหดได้ และเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลจริงๆ

    เวลาไม่ได้อยู่ในรูปของ Linear แต่ที่เรารู้สึกว่า เมื่อวันนี้เป็นอดีต วันนี้เป็นปัจจุบัน พรุ่งนี้เป็นอนาคต ก็เพราะว่า ฟังก์ชั่นการทำงานของสมองเรา มันสั่งให้เรา เข้าใจเช่นนี้..

    แต่ถึงแม้ นักวิทยาศาสตร์จะรู้แล้วว่า.. เวลาและระยะทาง เป็นสิ่งที่ยืดหดได้ และเป็นสิ่งพรางตาเท่านั้น.. แต่.. นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจว่า เพราะอะไร มนุษย์เราถึงมีความสามารถในการรับรู้ได้เท่านี้

    คำพูดหนึ่งของ Stephen Hawking นักวิทยาศาสตร์ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นอัจฉริยะ After Einstine ได้เคยพูดไว้ว่า "จนตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมมนุษย์ถึงจำอดีตได้ แต่.. กลับจำอนาคตไม่ได้"

    ดูเหมือน นักวิทยาศาสตร์ ระดับโลก หลายๆคน เข้าใจเรื่อง การยืดหด ของเวลาแล้ว.. แต่พวกเขา ยังไม่เข้า "จุดประสงค์" อีกทั้งการเดินทางของแสง ยังเป็นเหมือน กุญแจไขปริศนา ที่ธรรมชาติได้ทิ้งไว้ให้..

    ---

    ที่พวกเรา มองเห็นสิ่งรอบตัว เป็นเช่นนี้ เช่นนี้ นั่นเพราะ ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจของพวกเรา ถูกกำหนดมาให้เรา ต้องเข้าใจแบบนี้ แบบนี้

    ถ้าใครสามารถรู้ตัวในฝันได้บ่อยๆ.. พวกคุณลอง เปลี่ยนเสื้อผ้าในฝันสิ่.. ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นสิ่..

    mamboo เคยมีครั้งหนึ่งนะ.. ที่ในฝัน mamboo ลอยในอากาศ แล้วผู้คนในฝัน ไม่เป็นร่างคน แต่เป็นเหมือน ดวงกลมๆขาวๆ บางดวงสีเทาๆ

    คือ mamboo คิดว่า จริงๆแล้ว พวกเราไม่มีร่างกายอ่ะ ไม่ได้อยู่ในรูปร่างกายทิพย์

    แต่ที่เราไปสร้างโลกความฝันออกมาเหมือนโลกที่เราอาศัยอยู่ เพราะเราใช้ความเชื่อของเราไปสร้างมัน เราจึงเห็นโลกความฝันเป็นคล้ายๆโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้..

    ---

    และจากการศึกษาของ mamboo

    mamboo ค่อนข้างเชื่อว่า.. จิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังงานแม่เหล็ก ไม่ใช่อนุภาค จิตวิญญาณไม่มีมวล ไม่มีน้ำหนัก

    แล้วที่บอกว่า จิตเราเดินทางเร็วกว่าแสงอ่ะ mamboo ว่า ไม่ใช่..

    แต่จริงๆแล้ว.. จิตเรา ไม่ได้เดินทางเลยต่างหากล่ะ..

    เวลา และ ระยะทาง เป็นแค่ การหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่

    ดวงจิตของเรา จะไปไหนมาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเดินทาง แค่คิดจะไป มันก็อยู่ที่นั่นเลย มันไม่ได้เดินทางเร็วกว่าแสง แต่มันอยู่ที่นั่นทันทีเลย เพราะระยะทางเป็นแค่เครื่องพราง เป็นการหลอกลวง

    ดังนั้น.. mamboo จึงคิดว่า..

    คนที่บอกว่า ถอดจิตแล้ว ได้เห็นนู่นเห็นนี่ ในโลกสีน้ำเงินใบนี้ .. จึงเป็นเรื่อง "แปลก"

    เพราะ หากจิตของพวกเรา ไม่ได้ทำงานร่วมกับประสาทสัมผัสของร่างกายแล้ว.. มันก็จะไปสร้างโลก ตามความเชื่อของมัน

    บางที มันอาจสร้างโลกเสมือน ที่เหมือนกันเด๊ะกับโลกที่ร่างกายเนื้ออาศัยอยู่ แต่.. มันก็ยังไม่ใช่โลกนี้จริงๆ แต่เป็นแค่โลกเสมือนที่กำลังของจิตสร้างขึ้นมา

    mamboo คิดว่า "สติ" เท่านั้นค่ะ.. ที่จะสามารถบอกได้ว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ

    ถ้าคนที่ถอดจิตไปแล้ว ยังเห็นโลกใบนี้ หน้าตาแบบที่เราใช้ตาเนื้อมองเนี่ย.. มันก็จะฟังดูแปลกๆอยู่นะ เพราะจริงๆแล้ว จิตมีความสามารถในการมองเห็นที่ไม่จำกัด

    และสิ่งเดียว ที่จะสามารถ ควบคุมการทำงานของจิตได้ คือ "สติ"

    ตัวเดียวเลยค่ะ ยิ่งมีสติมาก จิตก็ยิ่งจะแยกแยะสิ่งต่างๆได้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนไม่จริง

    แล้วถ้ายังยึดมั่นถือมั่น ว่า ตัวนี้ ร่างกายนี้ เป็นของเรา .. จิตที่ออกจากร่าง ก็จะไปเนรมิตรกายทิพย์ที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ และหน้าตาเหมือนเจ้าตัว (ทั้งๆที่จริงๆแล้ว จิตไม่มีรูปร่างค่ะ)

    ----

    จากการศึกาษาของ mamboo ที่ผ่านมา ทำให้ mamboo กลับไปคิดเรื่องที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้

    พระองค์ ฝึกสติและสร้างบารมีมาหลายชาติภพ นั่งสมาธิ และมีสติอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่า เวลานอน ก็ไม่ฝัน

    แล้วกำลังจิตที่มีสติเต็มร้อยของพระพุทธเจ้า mamboo เชื่อเลยค่ะ ว่าพระองค์ ตรัสรู้ แบบ รู้แจ้งแทงตลอด จริงๆ

    ไม่งั้นคงไม่สาามารถมาสอนพวกเรา ให้มองเห็นความเป็นจริงได้หรอก เรื่อง ต้นเหตุแห่งทุกข์เช่น ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น กิเลส ตัณหา ฯลฯ

    ---

    และจากการศึกษาเรื่องนี้.. ในทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้ ได้มีการพูดถึงเรื่อง โลกคู่ขนานบ่อยๆ

    วิทยาศาสตร์บอกว่า โลกคู่ขนาน มีอยู่ไม่จำกัด และ ทับซ้อนกันไม่สิ้นสุด

    ซึ่งนั่นก็หมายความว่า... ตอนนี้ ไดโนเสาร์ก็คงกำลังเดินผ่านพวกเราไปมา เพียงแต่มันถูกขั้นไว้ด้วยชั้นของมิติ เท่านั้นเอง

    โลกคู่ขนาน อดีต อนาคต มีอยู่พร้อมๆกันหมดเลย ณ ขณะเดียวกันนี้แหละ แล้วก็ทับซ้อนกันอยู่มากมายมหาศาลด้วย

    ----

    mamboo แทบไม่อยากคิด ว่าพระพุทธเจ้า ศาสดาของพวกเรา ท่านตรัสรู้อะไรมาบ้าง???

    แล้วทำไม พระองค์ไม่ย้อนอดีต หรือ ไปอนาคต แล้วมาสั่งสอนพวกเราด้วยตัวท่านเอง?

    แค่ท่านปรากฏตัว ต่อหน้าคนทุกคนบนโลก ทุกคนก็จะหันมานับถือศาสนาพุทธ

    ---

    mamboo เคยคิดเรื่องนี้นะคะ.. แล้ว mamboo ก็นึกถึงเรื่องกฎแห่งกรรม

    ธรรมชาติ สร้างสรรค์เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมที่.. มีความหมายต่อกันและกัน เกี่ยวเนื่องและผูกพันธ์กัน ในแบบที่เราคาดไม่ถึงแล้วแหละ..

    เรียกได้ว่า.. เป็นระบบที่ สมบูรณ์ ที่สุด

    แต่ทั้งหมดนี้ mamboo ใช้คำว่า ธรรมชาติ.. ซึ่ง ผู้สร้างไม่ใช่ "พระพุทธเจ้า" และพระองค์ ไม่สามารถขัดขวางการทำงานของธรรมชาติได้

    แต่พระองค์มองเห็น และตาสว่าง ว่าโลกนี้ จักรวาลนี้ มันหลอกลวง เป็นภาพลวงตา เมื่อพระองค์ได้เห็นแล้ว จึงเผยแพร่คำสั่งสอน

    ส่วนใคร จะมีโอกาสได้เรียนรู้ ศึกษาคำสั่งสอนของพระองค์มากน้อยแค่ไหนนั้น.. เป็นไปตาม กฎแห่งกรรม กฎของธรรมชาติ..

    mamboo เชื่อว่า.. พระพุทธเจ้า ไม่สามารถช่วยใครให้ออกจากวัฏสงสารได้.. คนผู้นั้นเท่านั้น ที่ต้องช่วยตัวเอง (ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน)

    วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติได้ ที่จะออกมาจากวัฏสงสาร และการหลอกลวงระดับจักรวาลได้ มีวิธีเดียว คือ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้น

    พระองค์ช่วยเราไม่ได้ แต่พระองค์ ทิ้งหนทางแห่งการหลุดพ้นไว้ให้เรา และเราสามารถช่วยตัวเองได้ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์

    *** ขอจบเพียงเท่านี้จ้า ^^ ***
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2011
  17. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    แล้วถ้า ผมเคยหลับในห้องเรียน ระหว่างพักรออาจารย์ แล้วในความฝัน อยากรู้ว่ากี่โมงแล้ว
    จึงมองไปที่นาฬิกาในห้อง(ในฝันนะ) พอเห็นเวลาก็ตื่น แล้วมองไปที่นาฬิกาในห้องเรียน เวลาตรงกับความฝัน อันนี้เรียกว่าอะไร ... โลกคู่ขนาน หรือ ถอดจิต??

    ปล.น้อง แมมโบ้ ขยันจังนะครับ
    จขกท. ลองไปดูหนังเรื่อง ซอร์ดโค้ด เกี่ยวกับทฤษฎีคู่ขนาน ของฝรั่งเค้า..
     
  18. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เรื่องนี้ mamboo ไม่ค่อยแม่นค่ะ ><

    อย่าง..

    mamboo รู้ว่า สติ คือสิ่งที่จะใช้ควบคุมจิตวิญญาณได้..

    แต่ถึง mamboo จะรู้อย่างนั้น.. แต่เวลาที่ mamboo มีสติรู้ตัวในฝัน mamboo ก็ยังเปลี่ยนฉากในฝันได้ไม่ถนัดนัก(เช่น เคยเปลี่ยนจาก บ้านตัวเอง เป็นพีระมิดที่ Egypt)

    แต่ทีนี้.. ปัญหาคือ.. mamboo คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือ พีระมิด มันเป็น การสร้างโลกความฝันตามความเชื่อของประสาทสัมผัสของมนุษย์

    แต่ถึง mamboo จะรู้แบบนั้น.. แต่ mamboo ก็ยังไม่สามารถหาหนทาง ที่จะทำให้จิตตัวเอง มองเห็นโลกความเป็นจริงได้ค่ะ (คงต้องฝึกสติ นั่งสมาธิ และตัดกิเลสจนถึงขั้น สำเร็จอรหันต์เลยมั้ง --' ถึงจะทำได้)

    ส่วนเรื่องการถอดจิตไปโลกความเป็นจริงเนี่ย..

    mamboo คิดว่า.. ทำได้ค่ะ..

    แต่.. จะควบคุมได้ไหมนั้น?? ก็คงอยู่ที่กำลังสมาธิและกำลังจิตของคนๆนั้นค่ะ

    อย่างกรณีของพี่ ที่ไปมองเห็นนาฬิกาเป็นเวลาหนึ่ง พอตื่นมาก็เป็นตามนั้นจริงๆ ก็แสดงว่า พี่ได้เห็น โลกอนาคตในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า..

    ส่วนที่ว่า พี่ไปโลกอนาคตได้อย่างไร.. เห็นได้อย่างไร.. อันนี้ หนูก็ยังไม่รู้ค่ะ (ตัวพี่เองก็คงไม่รู้เหมือนกัน ใช่ไหมคะ อิอิ ^^ หรือถ้ารู้ก็เล่าให้ฟังด้วยค่ะ)

    ตอนนี้ หนูยังไม่รู้ว่า พวกเราสามารถควบคุมการทำงานของจิตนี้ ได้อย่างไร??

    แต่ mamboo รู้ว่า มนุษย์ต่างดาวทำได้แล้ว จำกระทู้เรื่องที่คนไทยถูกลักพาตัวไปได้ไหมคะ??

    เขาบอกว่า เวลาเป็นเหมือนเครื่องบันทึกเทป อยากไปตรงไหนก็อ่านตรงนั้น แล้วก็ไป (พูดง่ายเนาะ แต่ทำยาก อิอิ ^^)

    ที่ mamboo รู้ตอนนี้ เป็นเพียงทฤษฎีค่ะ แต่ภาคปฏิบัติ mamboo ยังไม่เก่ง

    ที่ไม่เก่ง เพราะ.. เดี๋ยวนี้ mamboo เลิกศึกษาความฝันแล้วค่ะ

    mamboo คิดว่า ความฝัน คือการสร้างโลกเสมือนของจิตที่มีกำลังสติน้อย

    ถ้าอยากจะฝึกอะไรจริงๆ mamboo ว่า ฝึกสติ โดยการนั่งสมาธิ ดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องเน้นเรื่องอภินิหาร แต่เน้นเรื่องทำให้จิตสงบดีกว่า

    ---

    ตอนนี้ เรารู้เรื่องเวลา เราเข้าใจเรื่องระยะทาง แต่..

    เราก็ยัง ไม่สามารถย้อนอดีต หรือไปอนาคต ได้อยู่ดี..

    ดังนั้น.. คำถามของพี่มิคาเอล mamboo จึงขอตอบว่า --' ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าพี่ได้มองเห็นสิ่งนั้นจริงๆ หรือเป็นแค่ความฝัน

    เพราะ มันอาจจะจริง หรือ ฝัน ก็ได้.. เป็นไปได้ทั้งสองทาง แต่ถ้าตื่นมาแล้วมันเป็นตัวเลขเดียวกัน mamboo ก็คิดว่า พี่ไปเห็นจริงๆ(ไม่ใช่กำลังของจิตสร้างขึ้น) แต่พี่ไปเห็นได้ไง อันนี้.. ขอตอบว่า.. "ไม่ทราบค่ะ" --'
     
  19. มิคาเอล777

    มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    พี่เคยบังคับฝันได้ เมื่อก่อน เรื่องการบังคับฝันได้ลงหนังสือรายเดือน
    พอดีไปอ่านเจอเข้า พี่เลยพยายามลองทดสอบ....

    เมื่อพี่จะนอน ก็พยายามนึกว่า ตนเองกำลังนอน พอฝันก็ให้นึกว่าเราฝันอยู่ ในฝัน (ไม่งง นะครับ) ในคืนนั้น พี่ฝันอยู่ ว่ากำลังวิ่ง ... พอจิตรู้ว่าเราฝันอยู่จึงบังคับว่าให้เหาะ แล้วมันก็ลอยเลย...
    อันนี้คือ ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่ทำ เพราะ ไม่รู้ว่าเรา จะไปบังคับความฝันทำไม ตื่นมามันเครียด...

    ส่วนเรื่องโลกคู่ขนาน ในความเห็นส่วนตัว พี่ว่า ไม่มีจริง มีเพียงโลกวิญญาณ เท่านั้น
    ส่วน เรื่องที่เห็นเวลาในห้องที่หลับอยู่ น่าจะเป็นโลกแห่งความเป็นจริงมั้ง
    หรือ ในเวปนี้เรียกว่า ตาที่สาม ... มั้ง พี่ก็ไม่แน่ใจครับ...
     
  20. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    โลกคู่ขนานมันเป็นทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างจะมั่นใจว่า มีอยู่จริง ค่ะ.. (เพียงแต่เรายังไม่ได้มองเห็นมันเฉยๆ ยังไม่รู้วิธีเปิดประตูมิติ)

    และโดยส่วนตัว mamboo คิดว่า มีจริง และทับซ้อนกันอยู่แบบ มากมายมหาศาล อยู่ที่จุดๆเดียวด้วยค่ะ ไม่ใช่แค่โลกคู่ขนานเท่านั้น แต่รวมทั้งโลกในอดีตและในอนาคต มันเหมือนทับซ้อนกันหมดเลย เพราะ ระยะทางและเวลา เป็นสิ่งลวงตา

    เหมือน Computer 3D แหละ พวกเรานั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เห็นชัดๆว่าจอมันแบนๆ ข้างในมีแต่ Liquid Crystal อิเล็คตรอนวิ่งไปวิ่งมา

    แต่ในโลก 3D ใน Computer มันก็มีระยะทาง มีเวลา .. แต่เราที่มองดูจออยู่ เรากลับสามารถเลือกที่จะไปที่ไหน หรือ ช่วงเวลาไหนก็ได้

    และเมื่อเรา Shut down เครื่อง โลกในคอมฯ ก็หายไป

    ถ้าพวกมนุษย์ 3D ในคอมฯมันมีชีวิต มันก็ต้องมองเห็นโลกของมันมีระยะทาง มี effect ของ การกระทำและผลของการกระทำ แล้วมีเวลาเป็นแบบเส้นตรง (Time as linear)

    แต่เรา มนุษย์โลก มองดูที่หน้าจอคอมฯ.. ก็เห็นอีกมุมหนึ่ง ไม่ได้คิดเหมือนพวกคนใน 3D
     

แชร์หน้านี้

Loading...