ขอถามหลวงพ่อหน่อยครับ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย พัคพงศ์, 20 สิงหาคม 2006.

  1. พัคพงศ์

    พัคพงศ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->หลวงพ่อครับ ผมอยากรู้ว่าชาตินี้ผมสามารถ บรรลุ มรรค ผล นิพพานหรือเปล่า เนื่องจากตอนนี้ผมได้อ่านการเป็นโสดาบันแล้ว ผมรู้สึกว่าตรงกับคุณสมบัติของผม และอีกอย่าง เดี่ยวนี้มรู้สึกไม่ เห็นโกรธ เกลียดใครเลย เพราะเมื่อเราโกรธ ผมก็คิดเสมอว่าเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่างไปถือสาเขาเลย ทำให้ทุกวันนี้ผมมีความสุขมาก ยิ่งเดี๋ยวนี้ผมสวดมนต์ทุกวันทำให้จิตใจมันสงบ แต่ที่แปลกมากก็คือทำไหมคนอื่นเขานั่งสมาธิแล้วชอบเกิดนิมิตรต่างๆ แต่ผมไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยละคับหรือว่าผมยังไม่ได้เข้าสมาธิ แล้วถ้าผมมีบุญบารมีพออยากให้หลวงพ่อแนะนำหน่อยครับควรทำอะไรต่อไป ผมไม่ต้องการมี ฤทธิ์เดชอะไร ผมอยากอย่างเดียวเท่านั้นคือการเข้าสูพระนิพพานครับ
     
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    คุณพัคพงศ์ครับ หลวงพ่อท่านมรณะภาพไปตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2535 แล้วครับ สำหรับคำถามของคุณนั้น หากคุณฝึกมโนมยิทธิคุณก็อาจขึ้นไปเรียนถามจากองค์หลวงพ่อได้โดยตรง แต่จากที่อ่านข้อความของคุณพัคพงศ์แล้ว รู้สึกว่าคุณน่าจะชอบในแนวทางของสุกขวิปัสสโกนะครับ หากเป็นเช่นนี้ ผมก็ขอนำเอาคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) มาให้คุณได้อ่านดูครับ

    อัชฌาศัย

    ความต้องการของอารมณ์เรียกว่า อุดมคติ หรือแบบที่ผู้ใหญ่โบราณสักหน่อย
    เรียกว่า อัชฌาสัย หรืออุดมคติ อัฌชาสัยในการปฏิบัติมีอยู่ 4 อย่าง ด้วยกันคือ

    ๑. อัชฌาศัยสุกขวิปัสสโก

    บางคนชอบแบบสุกเอาเผากิน เรื่องความละเอียดเรียบร้อย การรู้เล็กรู้น้อยแสดงฤทธิ์
    อวดเดช เดชาอะไรนั้น ไม่มีความต้องการ หวังอย่างเดียวคือความบรรลุผล ท่านประเภทนี้
    พระพุทธเจ้ามีแบบปฏิบัติไว้ให้เรียกว่า สุกขวิปัสสโก คือปฏิบัติแบบสบายเริ่มด้วยการรักษา
    ศีลให้บริสุทธิ์ เรื่องศีลนี้นักปฏิบัติต้องสนใจเป็นพิเศษ ถ้าหวังผลในการปฏิบัติแล้ว อย่าให้ศีล
    บกพร่องเป็นอันขาด แม้แต่ด่างพร้อยก็อย่าให้มี ถ้าท่านเห็นว่าศีลเป็นของเล็กน้อย ปฏิบัติยัง
    ขาด ๆ เกิน ๆ แล้ว ท่านไม่มีหวังในมรรคผลแน่นอน เมื่อมีศีลครบถ้วนบริสุทธิ์ผุดผ่องดีแล้ว
    ท่านก็ให้เจริญสมาธิ ตอนสมาธินี้ ท่านฝ่ายสุกขวิปัสสโกท่านไม่เอาดีทางฌานสมาบัติ
    พอมีสมาธิเล็กน้อยก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนา
    บ้าง พอสมาธิที่รวบรวมได้ทีละเล็กละน้อยเมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็มี
    กำลังตัดกิเลสได้จะได้มรรคผล ก็ตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌานหากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาน
    เพียงใด จะได้มรรคผลไม่ได้ นี้เป็นกฎตายตัวเพราะมรรคผลต้องมีฌานเป็นเครื่องรู้ ฌานนี้
    จะบังเกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ คือเกือบถึงปฐมฌาน ห่างกันระหว่างปฐมฌานกับ
    อุปจารฌานนั้น เพียงเส้นผมเดียวเท่านั้น จิตเมื่อตั้งมั่นในอุปจารสมาธิแล้ว ก็จะเกิดทิพย-
    จักษุฌาน คือเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ และได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เพราะตามธรรมดาจิตนั้นเป็น
    ทิพย์อยู่แล้วที่ต้องมาชำระกันใหม่ด้วยการฝึกสมาธิ ก็เพราะจิตถูกนิวรณ์ คืออกุศลหุ้มห่อไว้
    ได้แก่ความโลภอยากได้ไม่มีขอบเขต ความผูกโกรธคือพยาบาทจองล้างจองผลาญ ความ
    ง่วง เมื่อขณะปฏิบัติทำสมาธิ ความฟุ้งซ่านของอารมณ์ในขณะฝึกสมาธิ ความสงสัยในผล
    ปฏิบัติ โดยคิดว่าจะได้หรือจะสำเร็จหรือ ทำอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไรความสงสัยไม่แน่ใจ
    อย่างนี้ เป็นนิวรณ์กั้นฌานไม่ให้เกิดรวมความแล้ว ทั้งห้าอย่างนี้นั่นแหละแม้เพียงอย่างเดียว
    ถ้าอารมณ์ของจิตยังข้องอยู่ฌานจะไม่เกิดจะคอยกีดกันไม่ให้จิตผ่องใส มีอารมณ์เป็นทิพย์
    ตามสภาพปกติได้ จิตเมื่อถูกอกุศลห้าอย่างนี้หุ้มห่อก็มีอารมณ์มืดมนท์รู้สิ่งที่เป็นทิพย์ไม่ได้
    เพราะอำนาจอกุศลคือนิวรณ์ห้านี้จะพ้นจากจิตไปได้ก็ต่อเมื่อจิตทรงอารมณ์ของฌานไว้ได้
    เท่านั้น ถ้าจิตทรงอารมณ์ปฐมญานไม่ได้ จิตก็ต้องตกเป็นทาสของนิวรณ์ อารมณ์ปฐมฌาน
    นั้นมี ๕ เหมือนกันคือ

    ๑. วิตก คำนึงถึงองค์กรรมฐานที่ฝึกตลอดเวลา
    ๒. วิจาร ใคร่ครวญกำหนดรู้ตามในองค์กรรมฐานนั้น ๆ ไม่ให้บกพร่องตรวจตรา
    พิจารณาให้ครบถ้วนอยู่เสมอๆ
    ๓. ปีติ มีความเอิบอิ่มรื่นเริงหรรษา ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
    ๔. สุข เกิดความ สุขสันต์หรรษาทางกายอย่างไม่เคยปรากฏมาในกาลก่อนมีความสุข
    สดชื่นบอกไม่ถูก
    ๕. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์มั่นคงในองค์กรรมฐาน จิตกำหนดตั้งมั่นไม่คลาดจาก
    องค์กรรมฐานนั้นๆ

    ทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เมื่อเข้าถึงตอนนี้จิตก็เป็นทิพย์มาก สามารถ
    กำหนดจิตรู้ในสิ่งที่เป็นทิพย์ได ้ก็ผลของวิปัสสนา คือมรรคผลนั้น การที่จะบรรลุถึงได้ต้อง
    อาศัยทิพยจักษุญาณเป็นเครื่องชี้ ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่าเมื่อภิกษุบรรลุแล้วก็มีญาณบอกว่ารู้
    แล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็ทรงหมายเอาญาณที่เป็นทิพยจักษุญาณนี้ถ้าบรรลุอรหัตต-
    ผลแล้วท่านเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนวิสุทธิ วิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น ญาณ แปลว่า รู้
    ทัสสนะ แปลว่า เห็น วิสุทธิ แปลว่า หมดจดอย่างวิเศษ คือ หมดไม่เหลือ หรือ
    สะอาดที่สุด ไม่มีอะไรสกปรก (บอกไว้เพื่อรู้)

    ฉะนั้น ท่านสุกขวิปัสสโก ถึงแม้ท่านจะรีบปฏิบัติแบบรวบรัดอย่างไรก็ตาม ท่าน
    ก็ต้องอาศัยฌานในสมถะจนได้ แต่ได้เพียงฌานเด็กๆ คือปฐมฌาน เป็นฌานกระจุ๋มกระจิ๋ม
    เอาดีเอาเด่นในเรื่องฌานไม่แน่นอนนัก กล่าวโดยย่อ ก็คือ

    ๑. ท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ ชนิดไม่ทำเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีในเมื่อคนอื่น
    ทำบาป
    ๒. ท่านเจริญสมาธิควบกับวิปัสสนา จนสมาธิรวมตัวถึงปฐมฌานแล้ว ท่านจึงจะได้
    สำเร็จมรรคผล

    ท่านสุกขวิปัสสโก มีกฏปฏิบัติเพียงเท่านี้ ท่านจึงเรียกว่า สุกขวิปัสสโก แปลว่า บรรลุแบบง่ายๆ ท่านไม่มีฌานสูง ท่านไม่มีญาณพิเศษอย่างท่านวิชชา-
    สาม ท่านไม่มีฤทธิ์ ท่านไม่มีความรู้พิเศษอะไรทั้งสิ้น เป็นพระอรหันต์ประเภท
    รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่มีคุณพิเศษอื่นนอกจากบรรลุมรรคผล



    รายละเอียดอ่านได้จากลิงค์ข้างล่างทั้งสองอันนี้ครับ

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=217

    และ รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติพระกรรมฐานดูได้ที่

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=2


    ขอให้เจริญในธรรมนะครับ



    .
    .
     
  3. อโศก

    อโศก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +21
    จะถามใครต่อจากหลวงพ่อ

    ขอเรียนถามท่านผู้รู้ทั้งหลายนะครับว่า เมื่อไม่สามารถถามหลวงพ่อได้แล้วอยากทราบว่าต่อไปนี้ยังมี
    ผู้มีฤทธิ้ผู้ใดบ้างที่ยังพอตอบคำถามต่าง ๆ แก่ผู้ที่ยังไม่ได้มโนมยิทธิ
     
  4. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    คุณจะถามปัญหาเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ ถึงจะต้องให้ผู้มีฤทธิ์มาตอบ....

    หากเป็นคำถามเกี่ยวกับข้อธรรมมะและการปฏิบัติทั้งหลาย ผมขอแนะนำให้ไปกราบเรียนถามได้จากพระสุปฏิปันโนซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้ดังนี้ครับ

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ (หลวงพี่เล็ก) วัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี หรือที่บ้านอนุสาวรีย์ (เฉพาะวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ ของต้นเดือน)
    หลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) หน้าพระลาน จ.สระบุรี
    หลวงพี่สมปอง บ้านสบายใจ (ข้างวัดท่าซุง) จ.อุทัยธานี หรือที่บ้านตลิ่งชัน

    แต่หากต้องการถามเรื่องธรรมมะและมีเรื่องทางโลกผสมด้วยเรื่องส่วนตัว ก็ลองติดต่อสอบถามได้จาก

    นายเดชพูลศักดิ์ จารุพันธ์พานิช "คนเมืองบัว" หรือ อ.ไก่ http://www.konmeungbua.com/main.php

    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2006
  5. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ผมไม่ใช่ผู้มีฤทธิ์นะครับ...เพียงแต่อยากจะถามว่าต้องการจะทำอะไรครับ...
    เช่นปฏิบัติภาวนาแล้วมีปัญหาอยากถาม...ก็ลองถามมาได้...อยากรู้ครับ...(verygood)
     
  6. อโศก

    อโศก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอขอบพระคุณทุกท่านครับ

    กระผมเป็นผู้น้อยด้อยศักดา ขอขอบพระคุณทุกท่านเลยครับที่ช่วยกรุณาชี้แนะทั้งคุณพี่ TAMSAK และ
    คุณพี่ VARANYO กระผมรู้สึกอบอุ่นมากครับที่ได้รับความเมตตาจาก สมาชิกรุ่นพี่ทุกท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...