ขอความกระจ่างเรื่องนิพพาน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย proofart, 17 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. proofart

    proofart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +23
    เท่าที่รู้มาคือการเข้านิพพานคือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด จาก 3 ภพ ดับขัน 5 พระพุทธเจ้าท่านเข้านิพพานไปแล้ว แต่ยังมีหลายท่านที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถอดจิตไปหา อะไรทำนองนั้นได้อย่างไรขอความกระจ่างหน่อยครับ

    ความรู้ผมยังน้อยขอรายละเอียดเรื่องนิพพานหน่อยครับ
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    จากหนังสือศิวโมกข์ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้ครับ
    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=15

    พระนิพพาน
    1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร
    ความหมายตามบาลีที่ท่านว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่
    2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา
    3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง
    4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก
    5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์
    6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
    7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
    - ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
    - สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่าง
    - ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้
    8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน
    9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์
    10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด
    11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจริง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา
    12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้

    ศูนย์พุทธศรัทธา
    สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานสาขาวัดท่าซุง
    เชิญท่านแวะชมและโมทนาบุญ
    มีข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มจากเดิมอีกหลายรายการครับ

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  3. พระทำ

    พระทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +5
    ไม่แปลกเลย เรื่องไปพระนิพพาน

    อยากไปเชียงไหม่ เอากายมนุษย์เน่าๆ นั่งรถรถทัวส์ไปก็ถึง

    'สวรรค์' กายมนุษย์เน่าๆ ไปไม่ได้มันคนละมิติกัน ต้องเอากายทีมีมิติเดียวกันไป เลยต้องทำสมาธิ เพื่อให้ใจเป็นทิพย์ เมื่อใจเป็นทิพย์ ละเอียดเสมอกัน หรือละเอียดกว่า ก็ไปสววรค์ได้

    'พรหมโลก' กายทิพย์มันไปไม่ได้ มันละเอียดไม่พอ ต้องทำใจให้ละเอียดถึงขั้นฌาน ละเอียดเข้าไป (รูปฌาน อรูปฌาน) ละเอียดเสมอกันแล้ว ก็เห็นพระพรหมได้ ถ้าจิตใจละเอียดไม่พอ ก็ไม่เห็นละ

    เลยไปอีก "พระนิพพาน" พระอรหันต์ขึ้นไป ถึงจะไปได้ ใจพระพรหมมีกิเลส ไม่ถึง ละเอียดไม่พอ ใจเทวดา ข้องอยู่ในกาม ยิ่งแล้วใหญ่เลย ใจมนุษย์กิเลสหนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    จะไปพระนิพพานต้องทำใจให้ละเอียดเท่าพระนิพพาน ถึงจะเห็นได้ การไปนั้น พระพุทธเจ้าวางหลักเอาไว้แล้ว ทำเอง ปฏิบัติเอง เห็นเอง รู้เอง ได้เอง

    ที่เขาวาดภาพตามผนังโบสถ์ วิหาร นรก สวรรค์ พรหมโลก ก็คนเป็นๆ ที่ยังไม่ตายแต่ทำใจเป็นทิพย์ไปรู้ไปเห็นมา คนที่ตายไปแล้วเกิดในสรรค์ กลับมาวาดให้ไม่ได้ ตายไปแล้ว

    ส่วนพระนิพพาน เขาก็เห็นเหมือนกัน ปั้นไว้ในโบสถ์ ในวิหารนั่นแหละ เหมือนบ้าง ไม่เหมือนบ้าง แต่ก็คือตัวแทนพระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2009
  4. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    พวกที่อ้างว่าไปดู ไปรู้ ไปเห็น แดนนิพพานถามมามากมายแต่ละรายไม่เหมือนกันเลย หรือเป็นตามที่หลวงปู่ดุลย์ อตุโลท่านสอนไว้ ที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริงแต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่จริง ก็คือไม่ได็เห็นนิพพานไปเห็นนิมิตลวงแต่ดันไปหลงว่าเป็นนิพพาน
     
  5. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,459
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ผมอยากนิพพานครับ พอเเล้วกับโลกนี้ ไขว่คว้าไปก็เท่านั้น สุดท้ายเอาอะไรติดไปไม่ได้เลย
     
  6. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    นิพพาน

    พระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทำทางเข้า-ออกนิพพาน ตั้งแต่ท่านยังไม่ปรินิพานเลย เพราะพระองค์ท่านรักษา สติสัมปชัญญะอย่างสมบูณร์บริบูรณ์ดีแล้ว เพราะนิพพานไม่ได้อยู่ที่ต้นไม้ ไม่ได้อยู่กับความตาย ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง มันมีอยู่ทุกที ที่ที่จิตเรานี้รักษาสมบูณร์ดีแล้ว ไม่ประมาท ตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง และท้ายสุด ทั่งทางโลกและทางธรรม จะว่าอยู่ข้างในก็ไม่ใช่ จะอยู่ข้างนอกก็ไม่เชิง "มี ก็คือ ไม่มี ไม่มี ก็คือ มี" เป็นสภาวะ ที่ธรรมชาติ เหมือน อวกาศ ที่รองรับทั่ง ดวงอาทิตย์ ที่ร้อนที่สุด และก็รองรับได้ ทั่งโลกเรานี้ได้ทั่งโลก ทั่งๆที่ เป็น แค่ สูญญากาศ เป็นสภาวะที่ไม่ร้อนไม่หนาว ไม่มีขอบ ไม่มีเขต กินอาณาเขต เป็น อนัน ท่านทั่งหลายก้ลองพิจาณาดูเอา
    งูขาว
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงนั้นอาจจะเกินความรู้ เป็นเมืองหรือเปล่านั้นคงยังไม่เห็นเนาะ

    ก็ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน เห็นเท่าที่เห็นได้ไปก่อน

    การละโทษะ หากจิตมันไม่มีโทษะ แบบนี้เป็น สุข พอเห็นไหม

    การละโลภะะ หากจิตมันไม่มีโลภะะ แบบนี้เป็น สุข พอเห็นไหม

    การละโมหะ หากจิตมันไม่มีโมหะ ก็ไม่สำคัญไอ้นู้นไอ้นี่ผิด แบบนี้เป็น สุข พอเห็นไหม

    ทีนี้มี สุข แล้วจากการไม่มี โทษะ โลภะ โมหะ เราติดสุขที่ได้นั้นไหม หากติดสุขมัน
    ก็ทุกข์อยู่ แต่มันปราณีตดั่งแก้วเจียรไนใสไปหมด

    ถ้าไม่ติดสุข แม้มันจะงามดั่งแก้วเจียรไน โอฬารใหญ่โตยังกะบ้านกะเมือง แล้วไม่ติดใจ
    ไม่โลภะ ไม่หลงกำเริบ ไม่โทษะเพราะคนมาดับ มาทำลายภาพงามๆเหล่านั้น แบบนี้ก็
    จะเป็นสุขอย่างยิ่ง

    สุขอย่างยิ่ง เพราะแม้มีสุข ก็ไม่ย้อมติดจิต มันมีของมันไปตามเหตุปัจจัย เพราะเรา
    ละโลภ โกรธ หลง ไว้ดีแล้ว

    สุขอย่างยิ่ง ก็คือ นิพพาน

    เห็นไหม เราเห็นเป็นส่วนๆ ไป สุดท้ายก็จะลงที่ปลายได้
    ดังนั้น หากตรงปลายเรายังไม่เห็น ก็มองเท่าที่เห็น รู้เท่าที่รู้
    รู้แล้วก็ไม่ติดในรู้ ไม่ติดใจ ไม่โลภ หมั่นใช้ใจรู้สึก ระลึกรู้
     
  8. kong_sorakrit

    kong_sorakrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,771
    ค่าพลัง:
    +3,426
    นิพพานอยู่แล้ว โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต

    พระธรรมเทศนาโดย

    หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต

    วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 กิ่งอำเภอหนองหิน จังหวัดเลย

    ขอแนะนำเพื่อเป็นธรรมทานในเรื่องพระนิพพานแก่ญาติธรรมทุกท่าน

    ไม่เนื่องด้วยอวิชชาและวิชชา นิพพานอยู่แล้ว
    ไม่หลงเบญจขันธ์ นิพพานอยู่
    ไม่เนื่องด้วยกาย ไม่เนื่องด้วยจิต ไม่เนื่องด้วยการปฏิบัติ นิพพานอยู่แล้ว
    นอกเหนือสติ สมาธิ ปัญญา ฌาณ ญาณ นิพพานอยู่แล้ว
    บนพื้นฐานแห่งความไม่ยึดติด
    บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ตัวเอง
    บนพื้นฐานแห่งการไม่ยีดติด ปราศจากความหมาย ไร้ความเเตกต่าง
    นิพพานอยู่แล้ว1
    นิพพานอยู่แล้ว2
    นิพพานอยู่แล้ว3



    ไม่เนื่องด้วยวิถี ไม่เนื่องด้วยวิธีการ ไม่เนื่องด้วยปฎิบัติการ นิพพานอยู่แล้ว​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  9. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    นิพพาน

    มี(อัตตา) ก็ คือไม่มี(อนัตตา)

    ไม่มี(สมมุติ) ก็คือ มี(วิมุติ)

    ไม่มี(ว่าง) ก็คือ มี(ไม่สูญ)

    ไม่มีเหตุแห่งการเกิด-ดับ ไม่มีการบรรลุ เพราะไม่มีอะไรให้บรรลุ ธรรมทั่งปวงว่างเปล่า


    ด้วยธรรมนี้ขอบูชาพระคุณอาจารย์ตลอดไป
    งูขาว
     
  10. พระทำ

    พระทำ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +5
    พระนิพพาน สามารถไปได้ทั้งที่ยังไม่ดับขันธ์
    คิดดู ....
    เมื่อพระพุทธเจ้า ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน
    เมื่อพระอรหันต์ ท่านยังไม่แตกกายทำลายขันธ์
    ใจท่านไม่มีกิเลส แล้วใจของท่านที่บริสุทธิ์ ทรงสภาวะที่บริสุทธิ์ ใจท่านอยู่ที่ไหนล่ะ...

    ใจที่บริสุทธิ์นั้น อยู่กับกายมนุษย์ที่รอวันแตกดับหรือ ?
    ใจที่บริสุทธิ์นั้น อยู่กับกายทิพย์ (ที่เป็นท้าวสันตดุสิต) ที่ลงมาจุติหรือ ?
    .
    .
    .
    ใจของท่านก็เป็นพระนิพพาน อยู่กับพระนิพพาน ทั้งๆ ที่ยังไม่แตกกายทำลายขันธ์ (สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)

    ที่ไปเฝ้าพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ก็ไปเฝ้ากันได้อย่างนี้เเหละ ทั้งที่ยังไม่ดับกายทำลายขันธ์ โดยอาการอย่างนี้
     
  11. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    ขอโอกาสแสดงความคิดสักเล็กน้อยนะครับ
    ผมเองเข้าใจว่า
    นิพพาน เหนือโลก เราไม่ควรเอาคำของโลกหรือสมติบัญญัติ มาอธิบาย เพราะไม่สามารถอธิบายได้โดยละเอียด เหมือนอธิบายให้คนไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมเกลือ ให้รับรู้ถึงทะเล
    อธิบายอย่างไรเรา ผู้ไม่ถึงนิพพาน ไม่เคยเห็นก็ไม่เข้าใจอย่างเเจ่มแจ้ง
    ต้อง"รู้"เอง

    ดังนั้น "รู้" เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


    มีผู้รู้กล่าวว่า เมื่อเห็นว่า ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นอกจากความทุกข์ ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ขึ้นนอกจากความทุกข์ และไม่มีสิ่งใดดับไปนอกจากความทุกข์
    จุดมุ่งหมายของผู้ศึกษาธรรมะของมหาบุรุษ(พระพุทธเจ้า)นั้น
    เพียงแต่รู้ว่า นิพพาน เป็นบรมสุข ปราศจากทุกข์
    นั่นเพราะพ้นโลกไปแล้วจึงเที่ยง แต่ไม่มีเจ้าของ
    นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เรามีหน้าที่ทำนิพพานให้เเจ้ง โดย ขั้นแรกละการเห็นผิดว่ากายนี้ใจนี้ เป็นของเรา

    ชาวพุทธเมื่อเล็งเห็นผล ทราบเหตุ ก็ขยันทำเหตุ แต่ไม่กังวลถึงผล


    อนุโมทนาในความดีที่จะเกิดขึ้นครับ
     
  12. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เมื่อจิตปฏิบัติสมควรแก่ธรรมนั้น ๆ แล้ว
    จิตก็จะสอนจิตตนเอง ในรูปของธรรมที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้เห็นสภาวะบรมสุข
    ตามระนาบของจิตที่บรรลุภูมิธรรมนั้น เพื่อให้เข้าใจในธรรมนั้น
    แล้วก็สรุปรวม ถ้าดับรูปนามของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายตลอดถึงดินแดนบรมสุขในนิพพานไม่ได้ ก็เป็นเพียงนิพพานโลกีย์


    ถ้าดับรูปนามสมมติได้สติปัญญาเกิด สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน


    นิพพานโลกีย์ - นิพพานโลกุตระ
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001900.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สาธุ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือ สภาวะที่จิตพรากจากขันธ์ไปแล้ว ไม่มีขันธ์ติด
    สอยอยู่อีก หากมีขันธ์(กายทิพย์ทั้งหลาย) ติดไปอีก ก็แปลว่า ไม่ได้พรากจากขันธ์
    ยังมีขันธ์อันเป็นของหนักอยู่ พอมีขันธ์อยู่ติดอยู่หนักอยู่แต่มองไม่เห็นเพราะมีใจ
    ยินดีในขันธ์ ก็เลยมองไม่ออกว่ามันหนัก มันมีอยู่

    สุดท้ายก็เข้าใจสภาวะ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไม่ตรงความเป็นจริง

    ต้องไม่ลืมคำว่า "ไม่เอาอะไรทั้งนั้น" ที่พระท่านสอนลงท้ายเสมอๆ เรียน
    ก็ต้องให้ถึงที่สุด ไม่ใช่หยุดเอาตามที่ยังมีความ "พอใจยินดี" ซึ่งพระท่าน
    ไม่ได้สอนให้ลงท้ายอย่างนั้น พอเข้าใจคำสอนไม่หมด ก็คิดเอาว่าต้อง
    ตายก่อนจึงทิ้งขันธ์ มองเห็นกายหยาบเป็นขันธ์ไปแล้ว แทนที่จะเห็นกาย
    ทิพย์เป็นขันธ์ละเอียดที่มีกำลัง ทิ้งตรงนั้นได้ก็มีกำลังส่งในการเห็น
    สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตรงตามความเป็นจริง
     
  15. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    นิพพาน ๒(ดับกิเลสมีเบญจขันธ์ และดับเบญจขันธ์แตกดับ)<o></o>

    นิพพาน ๓
    (ดับกิเลสมีเบญจขันธ์ และดับเบญจขันธ์เหลือแต่ธาตุดับธาตุสิ้นสลายหมดสิ้นไปด้วย)<o></o>

    นิพพาน ๔ (ความดับกิเลสของพระอริยะตามลำดับชั้น พระโสดาบัน- สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์)<o></o>

    นิพพาน คือความเย็นทางวิญญาณ เย็นทางอารมณ์<o></o>

    นิพพาน คือความไม่ร้อน (เพราะถูกไฟราคัคคิ-โทสัคคิ-โมหัคคิเผา)<o></o>

    นิพพาน คือความสะอาดในภายใน นิพพาน คือความสว่างทางปัญญา<o></o>

    นิพพาน คือความสงบทางอารมณ์ นิพพาน คือความอิ่ม ไม่หิว
    ด้วย ตัณหา<o></o>

    นิพพาน คือความบริบูรณ์ในความปรารถนา นิพพาน คือความพ้นจากห้วงมายาของโลก<o></o>

    นิพพาน ไม่ดำ-ไม่ขาว-ไม่ยาว-ไม่สั้น-ไม่มีผู้หญิง-ไม่มีผู้ชาย<o></o>

    นิพพาน มิใช่ความตาย หรือถึงได้เมื่อตายแล้ว นิพพานไม่ใช่เมืองแก้ว<o></o>คนสามัญเปรียบเสมือนอาหารดิบ (คนดิบ-คนเถื่อน)

    นิพพาน ดุจอาหารที่สุกแล้ว ผลไม้ที่สุกแล้ว<o></o>

    นิพพาน เปรียบประดุจภาชนะที่ขัดสีเกลี้ยงแล้วสะอาดแล้ว<o></o>

    นิพพาน เปรียบประดุจการนอนหลับเต็มอิ่มไม่ฝัน<o></o>

    นิพพาน เปรียบประดุจการเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว<o></o>

    นิพพาน คือภาวะความพ้นจากความเถื่อน<o></o>

    นิพพาน มีแต่อาการเคลื่อนไหว ตนผู้เป็นผู้โกรธเกลียดไม่มี<o></o>

    <o></o>
    <o></o>

    พ้นปุถุชน ก็ถึงอริยะ-พุทธะ / พันสังสารวัฏฎ์ ก็ถึงพระนิพพาน / พ้นมืด ก็สว่าง / พ้นโง่ ก็ฉลาด /
    พ้นสกปรก ก็สะอาด / พ้นโลกิยะ ก็ถึงโลกุตระ / พ้นร้อน ก็เย็น / พ้นเด็ก ก็ผู้ใหญ่ / พ้นดิบ ก็สุก / พ้นเห็นแก่ตัว ก็เสียสละ / พ้นทุกข์ ก็สุข / พ้นร้าย ก็ดี<o></o>

    อาลยสมุคฆาโล ผู้ละความอาลัยได้แล้ว<o></o>

    อนาลโย ผู้หมดความอาลัย<o></o>

    นิโรโธ ผู้ดับความทุกข์ได้<o></o>

    นิพพานัง ผู้ดับสิ่งเสียบแทงใจได้<o></o>

    ปิปาสวินโย ผู้ไม่กระทำบาป <o></o>

    มทนิมมทโน ผู้ละความเมาในวัยในชีวิตได้<o></o>

    วัฎภูปัจเฉโท ผู้ดับกระแสของวัฏฏะได้<o></o>

    ตัณหักขโย
    ผู้ดับตัณหา ๓ ประการได้
    <o></o>

    วิสุทโธ ผู้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์<o></o>

    วิมุตติ ผู้หลุดพ้นแล้ว<o></o>

    วิสังขาร ผู้หยุดปรุงแต่ง ผู้ที่สิ่งใดมาปรุงแต่งไม่ได้ ผู้หมดการปรุงแต่ง<o></o>

    อมตะ ผู้ไม่ตาย ผู้ถึงธรรมะที่ทำให้เป็นผู้ไม่ตายอีกต่อไป<o></o>

    ขอให้สำเร็จในสิ่งที่ต้องการ กล้าหาญในสิ่งที่ชอบ ประกอบกิจด้วยมานะ อย่าละเลยผู้มีพระคุณ เจือ
    จุนต่อผู้ต่ำต้อย อย่าด้วยมารยา ฉลาดในการคบเพื่อน ไม่แชเชือนในการงาน อาจหาญเมื่อมีอุปสรรค พลาดแพ้ เป็นครูอดสูทำไม ลุกขึ้นยืนหยัดติดขัดแก้ไข ชีพยังหายใจดิ้นไปจนได้ดี อย่าเคืองคำสอน อย่าถอนคำสั่ง จงระวังคนยุ อย่าลุอำนาจ อย่าขาดความสามัคคี อย่าดีคนเดียว อย่าเที่ยวนินทา อย่าว่าคนเมา อย่าเอาของสงฆ์
    อย่าขาดปลงกรรมฐาน<o></o><o>
    </o>
     
  16. Solotel

    Solotel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +38
    ผู้ที่เป็นพระอริยะขั้นแรกสุด คือพระโสดาบัน ซึ่งก็คือผู้ที่ถึงกระแสแห่งนิพพาน ซึ่งเป็นผู้ที่เห็นพระนิพพาน แต่ยังไม่สามารถเข้าพระนิพพานได้...

    นั้นก็หมายความว่าผู้ที่ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปนิพพานได้ ก็คือผู้ที่สามารถอยู่ในแดนนิพพานได้ ซึ่งก็คือพระอรหันต์...
     
  17. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    งั้นก็ไม่มีนิพานจิ ไม่มีงูขาว ไม่มี neung48 ไม่มีเวบพลังจิต แล้วไอ้ที่นั่งหัวโด่อยู่นี่เลยเวบพลังจิตคือใครหว่า ตัวอะไรหว่า หยิกก็เจ็บ จาว่าไม่มีได้งัย มานมีอยู่ชัดๆ อิอิ
     
  18. นาระกันทา

    นาระกันทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +206
    " นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน แต่เป็นภาษาปฏิบัติ "
    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...