ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    55 ถามไปแบบงงอยู่เหมือนกัน เห็นเขาว่านิโรธสมาบัติ เป็นการดับของสัญญา และเวทนา การรู้เห็นสภาวธรรมอริยสัจ4 ในอนุโลมญาณก็ดูเเหมือนจะเป็นการดับไปในทุกอย่างรวมทั้งสัญญาและเวทนา
    และก็สงสัยต่อ นิโรธสมาบัติ ทำไมไม่ทำช่วงเวลาเป็นนาทีหรือชั่วโมงเท่าที่อำนวย ทำได้บ่อย เมื่อถึงสถานภาพนั้นก็ไม่ได้สนใจในอานิสงน์แล้ว ทำไมถึงทำกัน3,7,15วัน
     
  2. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    ความไฝ่ฝัน ของ ข้าน้อยก็คือ

    การดักรอใส่บาตร พระที่ท่านพึ่งออกจากนิโรจสมาบัติ นี่ล่ะค่ะ

    ตาม พงศาวดาร ว่า ใครใส่บาตรกะพระ ผู้ออกจากนิโรจน์สมาบัติ มา

    จะได้อานิสงค์ มหาศาลใน ๓ วัน ๗ วัน
    ได้เป็น มหาเศรษฐี บ้าง เป็น พระ มเหษี บ้าง

    ผู้ที่มีความขี้โลภบุญ แบบ ข้าน้อย นั้น หวัง ไว้นัก
     
  3. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,516
    คุณ เซเว่น

    ตาม อ่าน คล้ายๆ คำตอบ

    ที่หน้านี้ได้ค่ะ
    ที่พี่ท่านป๋า ระมิงค์ ตอบไว้ อย่างย่อ

    https://www.facebook.com/groups/405325989663060/?fref=nf
     
  4. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    สำหรับน้องราคุเรียวซายผมว่า ได้อานิสงค์เป็นพระมเหษีดีกว่า เอิ๊กๆ
    ได้บวกoptionมหาเศรษฐีด้วย
     
  5. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขอบคุณมากครับ ไม่ได้เล่นfaceมา2ปีแล้วมั้ง แล้วจะตามไปดู
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เป็นคำถามที่ล่อแหลมหวาดเสียวมากครับ....เพราะผู้ที่จะตอบเรื่องนี้ได้ ต้องเป็นพระอรหันต์ชั้นปฎิสัมภิทาญาณไปแล้ว และต้องคล่องในสมาบัติ๘ ไปแล้ว ขืนผมตอบไปนี่นรกจะกินกระบาล...

    แต่ถ้าจะเล่าเพื่ออ้างอิงเอาเรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนมา และจากที่เคยฝึกมาบ้างเล็กๆน้อยๆ เรื่องการเข้านิโรธสมาบัตินั้น หลวงพ่อฤษีท่าน เข้านิโรธสมาบัติ ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ลูกศิษย์เวลานั้นได้ร่วมกันทำบุญครับ...เคยมีตอนทำพิธีใหญ่ท่านจะเข้านิโรธแล้วพอออกมาพวกเราก็ได้ร่วมกันทำบุญกัน...

    ส่วนถ้าไม่มีกิจอันใด พระขีณาสพ ท่านจะเสวยผลสมาบัติ 7 วันโดยประมาณ เพราะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับใคร ท่านอยู่ของท่าน ไม่มีภาระ แบบนี้ท่านก็ทำของท่าน แต่ว่าไม่บ่อยนัก เพราะกระทบกับธาตุขันธุ์เหมือนกัน...

    ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า "ดับ" ของสัญญา เวทนา วิญญาณ นั้น คำว่า"ดับ" นี้เข้าใจความหมายกันคลาดเคลื่อน กล่าวคือ พวกเรามักไปเข้าใจว่าเหมือนการ สับสวิทช์ ดับไฟ แบบนั้น....

    สัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณนี้ กำลังดำเนินไปเพื่อจะเข้าเขต โคตรภูญาณ แล้วเกิดมรรคญาณ เป็นญาณที่ทำให้เห็น สภาวะธรรมอันบริสุทธิ์ เวลานั้น วิญญาณยังมีอยู่ เวทนายังมีอยู่ สัญญา ยังมีอยู่ หากแต่เพียง ทั้งสามนี้ ไม่มีอยู่ในเรา เท่านั้นเอง ไม่ได้ดับไปเพราะสิ่งใดๆไปดับ หรือปิดกั้น เพียงแต่เวลานั้น จิตเราไม่ได้อยู่รวมกันกับวิญญาณ เวทนา สัญญา อีกต่อไป สภาพของจิต เป็นเอกะจิต เป็นจิตหนึ่งเดียว เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์

    เมื่อมรรคญาณบังเกิดแล้ว ก็เลยต่อไปถึงผลคือความเห็นแจ้ง เวลาที่เห็นแจ้งนี้ ไม่มีสัญญา จึงไม่มีภาษาใดๆมากำหนดความหมายถึงสิ่งที่เห็นได้ การเห็นแจ้งนี้ ต่างจากการรู้ เสมือนหนึ่งเราหลับตามาชั่วชีวิต แล้วได้ลืมตาขึ้นมองดูแสงสว่าง เมื่อเห็นแสงสว่างแล้ว ก็ให้สิ้นสงสัยในความหมายใดๆของคำว่าแสงสว่าง คือฑิฐิทั้งหลายที่เคยมีมา จะถูกทำลายลงสิ้น เวลานั้นทั้งสามภพสะเทือนไปหมดนี่ แต่เดิมผมเข้าใจว่า แผ่นดินจะไหว สวรรค์จะสั่งสะเทือน พรหมโลกจะสั่นสะเทือน อย่างที่เฮียผมเคยเล่าให้ฟังตอนรุ่นๆ...

    จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ ที่สะเทือนคือ ฑิฐิ ความเห็นผิดที่ผ่านๆมา แม้ว่าจะรู้มาก่อนแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา แต่ก็เป็นแต่เพียงสัญญาเท่านั้น...ต่อเมื่อมรรคทั้ง ๘ ประชุมรวมลงกันเข้าแล้ว เกิดเป็นมรรคญาณ เข้าสู่ ผลของสภาวธรรมแล้วนั้น สัญญาได้ถูกเพิกไปแล้ว คือมีอยู่ แต่ไม่มีอยู่ในเรา คือ เอกจิตนี้ เมื่อนั้นแล้ว สิ่งที่เห็นจึงไม่เนื่องจากสัญญาเก่า ไม่เกิดเวทนา ไม่มีวิญญาณคือตัวรู้ภายนอกนี้อีกต่อไป...มีแต่ธาตุรู้ของเอกจิตนี้เอง...

    เมื่อจิตได้เห็นแจ้งแล้วในสภาวธรรม จึงจะถอยออกมา เห็นสัญญา สังขาร ว่ามีเหตุเนื่องถึงกัน แล้วก่อเกิดเป็นอุปทานอย่างไร อุปทานเกิดเป็นนามรูป สุข ทุกข์ แล้วย้อนกลับไปที่อุปทาน หมุนวนเวียนแบบนี้ให้เราได้ดู ได้รู้กระบวนการเกิดต่างๆ

    จะเกิดสภาวะเห็นไตรลักษณ์อีกระลอกหนึ่ง แล้วย้อนไปที่ธรรมอันเราได้เห็นแจ้งแล้วว่า สิ่งนี้ใดเกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่าจะไม่ดับไปย่อมไม่มี เมื่อนั้นแล้วจิตจึงวางลงเสียซึ่งปรมัตถธรรมที่ตนรู้ตนเห็น...การวางลงลักษณะนี้ คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมนั้น...เห็นว่าธรรมนี้เป็นประหนึ่งเรือให้เราได้อาศัยข้ามฝั่ง เมื่อข้ามพ้นแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นเอง หาใช่เราใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา....

    ถึงตรงนี้ก็จะทิ้งผู้รู้คือสติว่า ครั้งนึงเราไม่มีสติ บัดนี้สติได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าไม่ดับไปเป็นไม่มี...เมื่อทิ้งสติคือผู้รู้ตัวนี้ไปแล้ว จึงจะเกิดตัวรู้ ที่ท่านเรียกว่ารู้ในรู้ จึงได้ทิ้งจิตเดิมลงเสีย คำว่าทิ้งนี้ ก็คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว...เมื่อนั้นก็จะเห็นใจ หรือพุทธะจิต หรือจิตเดิมแท้
    จะว่าไปแล้ว จิตนี้ก็ไม่ใช่จิตเดิมแท้เสียเลยทีเดียว เพราะจิตเดิมแท้แม้จะเป็นประภัสสร แต่ก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ด้วยเพราะยังขาดผู้รู้เห็นที่เป็นปัญญาญาณ ต่อเมื่อเจริญภาวนาไปถึงที่สุดแล้ว จิตเดิมแท้นี้ จึงเป็นจิตพุทธะ คือเป็นประภัสสรและมีปัญญาอันหลุดพ้นไปได้แล้ว....

    เมื่อวางปรมัตถธรรมได้แล้ว จึงได้ถึงธรรมในธรรม
    เมื่อวางจิตเดิมลงได้แล้ว จึงได้ถึงจิตในจิต
    เมื่อวางผู้รู้ลงได้แล้ว จึงถึงผู้รู้ในรู้

    หลังจากนี้แล้ว จึงจะมาพิจารณาเห็นสัญญา สังขาร และอุปทานก่อน เห็นจิต เห็นสติ เป็นวงรอบแรกที่เห็น
    จากนั้นค่อยๆขยายวงออกมาจึงเห็น เวทนา ก่อน เห็นวิญญาณ เห็นนามรูป เกิดดับ สุขทุกข์ มาตรงนี้เองที่บังเกิดนรก สวรรค์ขึ้น

    ดังนั้นคำว่า”ดับ” ของสัญญา เวทนา วิญญาณ นั้นจึงหมายถึงจิตได้ถอยออกจาก สิ่งทั้งสามนี้ ไม่ได้ดับแบบ Shut down อย่างที่เข้าใจกันครับ...ส่วนเรื่องการเข้านิโรธสมาบัติ ก็มีลักษณะการแยกออกไปของสัญญา เวทนา วิญญาณ แบบเดียวกัน ไม่ได้ดับไป เพียงแต่จิตหดลงจนพ้นสิ่งเหล่านี้ไป เป็นการชั่วคราว...

    ตอบไปแบบนี้ก็อย่าหาว่าผมบรรลุอะไรเลยนะครับ เพียงแต่ฝึกๆไป แล้วไปเห็นไปเจอมา พอมาเทียบเคียงกับตำราได้ทำนองนี้ครับ แต่ถ้าให้อธิบายเองก็คงไม่อธิบาย หรือถ้าจะให้อ่านพระไตรปิฎกแล้วมาตอบตามพระอภิธรรม ผมว่าจะงงกันไปหมดเหมือนกัน...
    เวลาฝึกจริงๆ กับภาษาที่สมมติขึ้นในภายหลังนั้น แตกต่างกันพอสมควร...
    เอาเป็นว่า ขอจบคำถามหวาดเสียวของท่านเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดี...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2015
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อยากจะบอกว่า ค่อยๆอดทนฝึกไปครับ ตำหรับตำรา อย่าไปอ่านมันมากนักเลย มาอ่านกันที่กายที่จิตนี้เถอะครับ...

    ฝึกไปแล้วเมื่อไรจะไปถึงซะที อันนี้บอกไม่ได้ แต่ที่บอกได้คือ ถ้ากำลังสติยังไม่พอ กำลังสมาธิยังไม่พอ ปัญญายังไม่มีกำลังอันแข็งแรงพอแล้ว การจะไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นไม่ได้...

    เพราะแม้ว่าจะเกิดขึ้นมา บอกว่า เห็นธรรมแล้ว แต่กำลังปัญญาไม่พอจะวางธรรมนั้นลง ติดอยู่ในปรมัตถธรรมนั้น ก็ไปไหนไม่ได้อีกหลายชาติ ถอยออกมาแล้ว ก็มั่นใจในธรรมแท้ที่ตนเห็น ใครจะค้านก็ไม่พอใจ เพราะเรามั่นใจของเราว่า ที่เราเห็นปรมัตถธรรมนี้ แท้แน่นอนแล้ว...แต่หารู้ไม่ว่า ปรมัตถธรรมที่แท้แล้วนั้น ก็ยังยึดมั่นถือมั่นไว้ไม่ได้ ...ปรมัตถธรรมที่แท้จริงนั้น เมื่อเอามายึดมั่นถือมั่นขึ้น ก็จะกลายเป็นธรรมเก๊ไปทันที...เพราะผู้นั้นจะเกิดฑิฐิ เกิดกังวล มีทุกขเวทนาทางใจเมื่อใครกล่าววาจาขัดกับสิ่งที่ตนเห็น...ดังนั้น หากอินทรีย์พละ ไม่พร้อมแล้ว การเห็นสภาวะธรรมจึงไม่เกิด เพราะเกิดแล้วจะวางลงไม่ได้นี่เอง..

    สติและจิตก็เช่นกัน จะมีใครที่ไหนกล้าทิ้งสติที่ตนฝึกฝนมาได้อย่างยากลำบาก...หรือผู้ใดจะทิ้งจิตที่ตนเฝ้าตามรู้ตามดูอยู่อย่างสม่ำเสมอลงเสียได้...นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้พวกเราทั้งหลายต้องฝึกฝนให้มาก ให้มีสติอันเป็นมหาสติ สมาธิอันเป็นมหาสมาธิ และปัญญาที่มองเห็นไตรลักษณ์อย่างมั่นคงดีแล้ว...สภาวะธรรมแบบนี้จึงจะเกิด และเกิดวงรอบเดียวก็สุดสิ้นสงสัย...

    แม้ต่อไปฌาณจะเสื่อม สมาธิจะเสื่อม แต่ฑิฐิของผู้เห็นธรรมแล้วนั้น ไม่เสื่อมลงไปได้อีก...
    ดังนั้นอย่ามัวเสียเวลา เอาแต่อ่าน เอาแต่สงสัย ครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่ คำสอนท่านยังอยู่ครบถ้วน เราเองต้องเร่งรัดตัวเองให้ยิ่ง อย่าเห็นแก่ความสนุกสนาน สะดวกสบาย หายใจทิ้งไปวันๆนึง...ทำให้มาก ทำให้ชำนิชำนาญ ทำจนเป็นปกติ แบบนี้จึงจะคู่ควรเป็นพุทธศาสนิกชนในบวรพุทธศาสนา...ได้ชื่อว่าเป็นผู้เคารพในพระศาสดาอย่างแท้จริง....

    สุดท้ายนี้ก็ขอกล่าวคำสวัสดีกับเพื่อนพ้องน้องพี่ เหล่ากัลยาณมิตรทั้งหลาย ธรรมใดที่ข้าพเจ้าได้รู้แล้วเห็นแล้ว ขอท่านทั้งหลายได้โมทนา ขอให้ได้รู้เห็นเช่นเดียวกับข้าพเจ้า โดยครบถ้วนทุกประการ และขอให้ท่านทั้งหลาย ได้ถึงซึ่งความเพียรพร้อม ในอิทธิบาท๔ จนไปให้ถึงความดับไม่มีเชื่อในชาตินี้ ทุกคนทุกท่าน...

    สวัสดี...
     
  8. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    สาธุคร่าพี่มิง....

    ขอบคุณพี่มิงที่เข้ามาโปรดพวกเราคร่า ^__^
     
  9. Superwoman1

    Superwoman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +244
    สาธุ
     
  10. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ขอบคุณครับท่านRaming
    คงไม่ถึงกับล่อแหลมมากหลอกครับ เพราะยังเป็นผู้ศึกษา
    นึกว่าพระอนาคามีที่จะสำเร็จพระอรหันต์ชั้นปฏิสัมภิทาญาณหรือพุทธภูมิเทีบบเท่าน่าจะช่วยชี้แนะได้
    แสดงว่าผมเข้าใจถูกการเข้านิโรธสมาบัติสามารถทำเป็นนาทีหรือชั่วโมงได้ หลวงพ่อฤษีท่านมีเมตตากับลูกหลานท่านมากจริงๆที่เข้านิโรธสมาบัติในเวลาอำนวยเพื่อพวกเขา
    การดับ ของสัญญา เวทนา วิญญาณ ผมเข้าใจตรงกันครับ เป็นการไม่ยึดติดไม่สืบเนื่องกัน ไม่ใช่การสูญสิ้น ดับสิ้นไป สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็มีอยู่

    แสดงว่าการเข้านิโรธสมาบัติ เพียงแต่จิตหดลงจนพ้นสิ่งเหล่านี้ไป เป็นการชั่วคราว
    เป็นการใช้สมาธิจากบาทฐานของอรูปฌาน แต่ในวิปัสสนาญาณมีทั้งสติ สมาธิและปัญญาญาณ
    ป๋าRaming อธิบายเป็นแบบท่านที่สามารถเห็นแจ้งแทงทะลุทุกขั้นในอริยเจ้าเลย
    แต่ก็มีแบบที่เจริญเป็นขั้นๆทีละขั้นตามสังโยชน์ ซึ่งในแต่ละขั้นแต่ละรอบวิปัสสนาญาณจะคล้ายกันเพียงแต่ในแต่ละรอบวิปัสสนาญาณมีความละเอียดในธรรมหรือความบริสุทธ์ของใจต่างกัน อย่างไรก็ตามภาพรวมหรือท้ายสุดก็วางการยึดติดตามแบบที่ป๋าRamingอธิบาย

    ขอบคุณครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    นี่แหละๆที่เขาว่ากันว่า"ถ้าอยากรู้ทางโลกให้ถามพระ ถ้าอยากรู้ธรรมะให้ถามโยม" สาธุๆๆค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      58
  12. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    อย่าไปเชื่อเขา ถามพระเหอะ ยังมีอยู่
     
  13. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    ..................
    *พระอยู่ที่"ใจ"ไงคะ แถมท่าน อ ระมิงค์ก็เคยบวชมาแล้วค่ะ
    *ทําให้นึกถึงชาวเขาที่หลวงปู่มั่นไปโปรด แค่ตามหาพุทโธทีเดียว ใจใสเลย
    *ว่าไปแล้วก็เลยนึกถึงพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลที่ไปจ้างคนให้ฆ่าตัวเองมากมาย จนกระทั่งถึงพระโคทิกะ(ถ้าจําไม่ผิด ที่สําเร็จวินาฑีสุดท้ายที่มีดเฉือนคอ)
     
  15. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ใช่แล้วครับ พระอยู่ที่ใจ ฆราวาสหลายๆคนก็มีใจเป็นพระ หรือ มีพระอยู่ที่ใจ
    อย่างคุณRamingเป็นต้น ปัจจุบันมีพระที่สอนตัวต่อตัวน้อยมาก จะมีก็ส่วนน้อยที่เป็นลูกศิษย์หรือเกี่ยวเนื่องกันมา ส่วนใหญ่ก็จะสอนแบบรวมๆหมู่มาก
    ดังนั้นมีฆราวาสเป็นกัลยาณมิตรย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2015
  17. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    สวัสดีคร่า...พี่มิงฝากตอบมาตามนี้คร่า

    หลักสูตรหลวงพ่อสอนมาดีๆไม่ทำชอบจะทำมั่วๆตามอำเภอใจอย่างงี้แล้วใครเขาจะไปแนะนำให้ล่ะ

    ถ้าจะฝึก ตำรามีหลวงพ่อเขียนเอาไว้แล้วก็ให้ไปอ่านแล้วตั้งใจทำให้มันจริงๆจังๆ อย่ามาทำเป็นเล่น ทำๆหยุดๆแบบนี้ ไม่เอา

    ป.ล. พวกเราทั้งหลาย ขอลาก่อนนะจ๊ะ ไม่ได้เข้าเวปแล้วเนื่องด้วยเสร็จภาระกิจ


    ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ส่งสารเท่านั้น หากมีสิ่งใดล่วงเกินก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ มีอะไรก็ให้พี่ท่านมิงรับไปเน้อคร่า:cool:
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,376
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2015
  19. Jommarnpamaidum

    Jommarnpamaidum สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +9
    :z16 ปีใหม่นี้เจอกัน ตามวาระนะครับ
     
  20. Snooty

    Snooty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +670
    ป๋ากลับมาแว้ววว น้ำตาจิไหล :'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...