สมเด็จกรุวัดสะตือมีจริงหรือไม่

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ

 

องค์นี้ผมดูแล้วไม่ชอบธรรมชาติของพระครับ ผมว่าไม่ดี

 

สมเด็จวัดสะตือ



องค์นี้มีนามว่า องค์ลุงลอย
ลุงลอยเสียชีวิตไป 8-9 ปี แล้วครับ
ลุงลอยช่วงมีชีวิตมิได้เป็นคนทำมาหากินเหมือนชาวบ้านย่านอำเภอท่าเรือทั่วไป
กล่าวคือ ประกอบอาชีพเป็นโจรปล้นแต่ไม่ฆ่าคน ลองถามคนเก่า ๆ ในอำเภอท่าเรือดูครับ
พระองค์นี้ลุงลอยได้ลอบเจาะฐานพระนอน มุดเข้าไปเอามาได้ 1 องค์
แล้วลุงก็ใช้พระองค์นี้จนแกสิ้นชีวิต บั้นปลายของชีวิตก็ไม่ได้ดีนัก
แกเป็นโรคจิตหลอน พี่น้องต้องล่ามโซ่แกไว้ ขอบโวยวายว่ามีคนมาฆ่า
วิ่งเข้าไปซ่อนในกอไผ่ ซึ่งญาตหมดปัญญาเอาออกมา
ตอนแกเผานั้น หลานเห็นมาเป็นพระเสือใช้ จึงไม่เอาไว้ใช้
โยนใส่โลง แล้วเผา เผาเท่าไร่ก็ไม่เป็นไร ไม่ยอมไหม้
อาจจะมีสาเหตุอยู่ 2 ประการ
1. ลุงแกฝังลูกอมหลวงปู่ศุข ไว้ที่หัวไหล่ สั่งหลานไว้ว่าถ้าเผาแกไม่ไหม้
ก็ให้คว้านเอาลูกอมนี้ออกมา
2. สมเด็จวัดสะตือที่หลานแกโยนใส่โลงไปด้วย สร้างปาฏิหาริย์ โลงไม่ไหม้

คุณสัปเหร่อ เผาจนอ่อนใจแจ้งให้หลานแกทราบ เพื่อสอบถามว่าจะเอาอย่างไร
หลานแกก็บอกว่าให้ชักโลงออกมาเสร็จแล้วให้คุณสัปเหร่อคตว้านลูกอมออกมา
แล้วหยิบสมเด็จวัดสะตือออกมาด้วย
เสร็๋จแล้วก็ใส่ฟืนเผาใหม่อีกครั้ง เที่ยวเหลือแต่ขี้เถ้า
ปีนี้ ปี 2554 แล้ว เรื่องแบบนี้พูดไปใครจะเชื่อ

ปัจจุบันพระองค์นี้อยู่ที่นายณัฐวุฒิ เตียสุวรรณ
หลานลุงลอยชื่อนายเชาว์ ศิริไทย อายุ 64-65 แล้ว บ้านอยู่รามอินทรา 63
จะให้เบอร์โทรด้วย เดี่ยวแกด่าผม
เพราะคุณเชาว์ ฯ แกยังมีสมเด็จวัดสะตือ อีก2 กำมือ
ได้มาตอนที่หลวงพ่อสมบัติ วัดสะตือกวาดสมเด็จออกมาเผาทิ้งหมด
เจาะฐานพระวัดท่านจนไม่มีปัญญาซ่อมแล้ว
น้าเชาว์ฯ ถามหลวงพ่อทำอะไร
หลวงพ่อบัติตอบว่า มันชอบเจาะฐานพระกันนัก เผามันซะให้หมด
จะได้เอาขี้เถ้าไปทำยา (แกเป็นพระหมอยา)
น้าเชาว์แกเลยกอบออกมากอบนึง คงหลายสิบองค์
ปัจจุบัน ยังครอบครองอยู่ครับ
แกบอกไว้เรื่องหนึ่งครับ ตอนที่ลุงลอย (พี่ชายแม่) ไปเจาะขโมยมานั้น
พ่อคุณเขาว์คลานตามเข้าไปด้วยหยิบมาได้ 1 องค์เช่นกัน สีเขียว
แถมแกยังบอกอีกด้วยว่า ****อันนี้สำคัญมาก****
"สมเด็จวัดสะตือมีสองสีเท่านั้น เขียวกับดำ"
ตรงตรงหนังสือของสมเด็จโตที่หลวงตาบัติเผาไปพร้อมๆ กันด้วยนั่นเอง

พงษ์เทพฯ
0863256464

 

ขอ.โทษที่มาเจอคอลัมน์นี้ช้าไปหน่อย
แต่ก็มาแจมด้วยความยินดีครับย
อันนี้เป็นอีกองค์ที่ยืนยันได้ว่าเป็นสมเด็จกรุวัดสะตือเนื้่อสีดำ

พงษ์เทพฯ

 

อันนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมเหรียญสมเด็จโต วัดสะตือ ปี 2513
ถึงได้รับความนิยมสุด ๆ และราคาก็แพงมาก ๆ
เรื่องมีอยู่ว่าผู้ที่ให้ข้อมูลเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อหมอ วัดโคกกระต่ายทอง
หนึ่งในจำนวนพระเกจิที่เข้าร่วมปลุกเศก ในครั้่งนี้ด้วย
หลวงพ่อหมอ ได้เล่าให้คุณเชาว์ ศิริไทย ฟังว่า
กูนั่งอัด(ปลุกเศก) อยู่นาน กูอัดพุทธคุณไม่เข้าหรอกว่่ะ พระองค์อื่นเก่ง ๆ ทั้งนั้น
(หลวงพ่อเป็นพระเมตตา รู้วาะจิต ให้หวยแม่น) โดยเฉพาะทางคงกระพัน
กูก็เลยนั่งดูพวกมันอัดพุทธคุณกัน มีงเชื่อไหม กูเห็นสายฟ้าฟาดลงมากลางวงที่มันอัดกันอยู่
มึง (คุณเชาว์) ไปหาพระรุ่นนี้ไว้ใช้นะ เขาเชิญสมเด็จโตถึงว่ะ ฟ้าฟาดลงมาเลย
ไม่มีใครเห็นหรอก แต่กูเห็น.......

คุณเชาว์เลยไปเข่ามาองค์หนึ่ง เลี่ยมทองเปิดหน้าเปิดหลัง สึกถึงเนื้อในมองไม่เห็นแล้ว
เวลาแกไปเที่ยวบ้าน เขายังมาให้ตั้งบ 9 พัน พร้อมเลี่ยมทอง (8-9 ปีเศษ แล้ว)
แกไม่ขายหรอก น้าแกมีเป็นร้อยล้าน 55555 แต่ก็ไม่ซื้่อนะ แกไม่เล่นพระ
เพราะพระแกขุดมากับมือ หูยานกรุอยุธยา ส่งให้เซียนห้างแถวบางนาดู
เซียนบนห้างเขาบอกว่าเสียดายทองที่เลี่ยม 555555
แกบอกว่าขุดมากับมือ ให้เขาไปหมดเหลือไว้ 2 องค์ให้ลูกสาว มันปลอมได้ไงวะ
ขำกลิ้ง......

 

องค์นี้ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าสมเด็จวัดสะตือ 100 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบันอยู่ในมือคุณเบียร์ ธรรมจารีย์
หากรู้จักในวงการพระก็ติดต่อขอเช่าได้ครับ

 

อีกองค์ครับ

 

องค์นี้เลี่ยมใช้ส่วนตัวครับ ได้มา 10 กว่าปีแล้ว

 

วัดสะตือ มีทั้งเนื้อเขียว เนื้อขาว

 

ถ้ากรุจากเพดานโบสถ์เก่าจะสวยมากครับ บางคนอยากได้จัดเหยียบบ่าพระขึ้นเพดานเลยครับ ส่วนศาลาดินที่ขุดกันแล้วเอาไปไม่เห็นอยู่ดีกันสักคน ขนาดเจ้าอาวาสเก่าอุปัชฌาย์ผมเองปล่อยให้เขาเอาไปไม่ดูแลทัดทานรักษาไว้ยังสมองฝ่อเลยครับ ของแบบนี้เขามีคนดูแลไม่เอามาคืนก็มีอันเป็นไป คนดีรู้วิธีที่จะครองได้ทำขออโหสิให้ถูกต้องก็ครอบครองได้ ของไปอยู่กับคนไม่ดีทำไม่ดีพุทธคุณท่านให้ได้ท่านก็ถอนได้เหมือนกันครับ อย่างที่บางคนเล่นกันไงครับพระแท้เซียนก็ว่าแท้ขายกันแพงๆ แต่คนบูชาเลวระยำโดนถอนไปก็ห้อยพระแท้ที่ไม่มีพุทธคุณแต่ขายกันได้แพงดูเหมือนสบายกันไป แต่ปั้นปลายหรือตายไปจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้นะครับ

 

ใครพอมีกระสุนดินดำเก็บหาเอาไว้นะครับ ที่พระอุระของพระนอนวัดสะตือมีจารึกไว้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการสร้างในปี 2414 ซึ่งสมเด็จโตท่านได้สร้างพระนอนองค์นี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงโยมมารดาของท่าน ตอนนี้เซียนในสมาคมฯแอบเก็บกันแล้ว องค์นี้เป็นองค์ที่คราบรักหลุดล่อนไปเกือบครึ่ง จำพิมพ์ทรงเนื้อหาไว้ให้ดีครับ เผื่อผ่านตามาจะได้ไม่หลุดมือไปครับ

 

ส่วนตัวก็เชื่อว่าพระกรุมีอยู่จริง ก็เก็บไว้บ้างนิดหน่อย
และเลี่ยมทองแขวนเดี่ยวองค์เดียวครับ ตอนนี้แค่รอเวลาให้ความจริง หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการสร้างถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น และรอเวลาให้วงการยอมรับมากขึ้นครับ ความคิดเห็นส่วนตัวครับ ผมว่าพระกรุนี้ดูง่ายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พิมพ์ทรงชัดเจน
ปล.แล้วแต่ความชอบส่วนตัวครับ ใครชอบแบบไหนก็สะสมแบบนั้น ไม่ผิดกติกาครับ

 

เก็บนิดหน่อยครับ

 

ไม่ต้องไปสนใจเซียนครับเราไม่ได้เอาไปซื้อขายแพงๆ. กรุงวัดสะตือของแท้มีครับถ้าพิมพ์สมเด็จก็ทำจากวัดระฆัวแล้วมาบรรจุกรุครับ ของดีราคาถูกใครพบก็เก็บไว้บูชาได้เลยครับ ของดีราคาถูก ถ้าคนที่อื่นบอกไม่มีของแท้มีแต่หลอกกัน คนเฒ่าคนแก่รุ่นตาผมคนบ้านวัดสะตือคงฮากันแล้วบอกว่า "เออโง่แล้วยังอวดฉลาดอีก" บรรพบุรุษผมพูดกันต่อๆมา ก็มีจริงตามนั้นครับ ตามปกติของท่านสร้างพระองค์ใหญ่ไว้ก็จะบรรจุกรุองค์เล็กไว้อีกเพียบครับทั้งที่พระนอนและเพดานโบสถ์เก่าครับ

 

เมื่อตอนที่น้ำท่วมเมื่อปี 54 องค์พระนอนวัดสะตือ โดนน้ำท่วมได้รับความเสียหายมาก ทางวัดจึงได้ดำเนินการบูรณะซ่อมแซมใหม่ทั้งองค์ถ้ามีพระเครื่องอยู่ในองค์ท่านก็น่าจะมีข่าวการขุดพบในตอนบูรณะบ้างนะครับ ทางวัดได้นำเอาผงปูนจากองค์ท่านและดินใต้องค์ท่านมาเป็นส่วนผสมสร้างพระสมเด็จขึ้นมาใหม่ เมื่อปี2555 ผมบังเอิญแวะไปที่วัดวันที่จัดพิธีพุทธาภิเศกพอดี เห็นทางวัดเก็บผงปูนและดินที่ขุดออกมาจากองค์หลวงพ่อโตใส่ถุง bigbag เอาไว้เต็มศาลา แต่ไม่เห็นมีข่าวว่าพบพระเก่าในองค์ท่านนะครับ

 

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พระกรุนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางครับ
เพราะยังไม่มีหลักฐานอะไรมาหักล้างได้ตอนนี้ครับ คงต้องรอไปก่อนครับ

 

คัดลอกรูปจากในอินเตอร์เน็ตมา ลองชมดูครับ
ขอบคุณเจ้าของรูปครับ
พระสมเด็จวัดระฆัง ครับ

 

ภาพที่ลงหนังสือครับ

 

ประวัติศาสตร์กว่าที่คนจะยอมรับพระกรุบางขุนพรหมยังตั้งหลายปีนะครับ แต่พอยอมรับแล้วไปลิ่วเลยครับ
พระสมเด็จกรุวัดสะตือเป็นพระที่บรรจุในองค์พระพุทธไสยาสน์ และพระเจดีย์ ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2414 ก่อนที่เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์โต จะมรณภาพ 1 ปี สร้างเพื่อระลึกถึงโยมมารดาของท่านเอง
โดยได้มาทำการก่อสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนปางพุทธไสยาสน์ ณ หมู่บ้านที่ถือกำเนิดที่วัดท่างาม ปัจจุบันคือ วัดสะตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งพระนอนใหญ่มีขนาด ยาว 52 เมตร กว้าง 9 เมตร สูง 16 เมตร องค์พระโปร่ง(ซึ่งใช้เป็นที่บรรจุพระไว้ภายใน)
พระสมเด็จกรุวัดสะตือถูกค้นพบเมื่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาปิดทองพระนอนวัดสะตือซึ่งเวลานั้นพระนอนอยู่ในสภาพทรุดโทรมมากจึงบัญชาการให้กรมโยธาเทศบาลได้จัดการปฏิสังขรณ์พระนอนใหม่เมื่อ พ.ศ. 2499 จึงได้พบพระสมเด็จพิมพ์ต่างๆ บรรจุอยู่ ส่วนตอนน้ำท่วมปี 54 ไม่เหลือพระในกรุแล้วครับ

มีภาพขององค์พระซึ่งหักมาให้พิจารณาเนื้อพระภายในด้วยครับ