ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จร่างพระธรรมพระเจ้าซ้อนเงา(ภาคหล่อเลี้ยงพ่อจักรพรรดิเงา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    เพชรพญานาค มณีนาคโชติ

    ผมเป็นห่วงเพื่อนๆพี่ๆหลายท่านจริงๆนะ เพราะว่าตลาดเรื่องอัญมณีที่เเต่งเติมเรื่องราววิจิตรพิศดารเหล่านี้ทำของออกมาขายกำลังไปได้ดี

    เรื่องที่จะเล่ากันวันนี้เป็นเรื่องของเพชรพญานาคหรือมณีนาคโชติ ผมเห็นมีขายเกลื่อนหลักร้อยหลักพันยันหลักหมื่น ก็ขอให้รับทราบไว้เป็นภูมิคุ้มกัน

    ผมมีโอกาสไปเดินท่าพระจันทร์ซื้อขาหมูซื้ออะไรกินก็เลยถือโอกาสเดินเลยไปดูช่วงด้านหน้าๆนี่เเหละ ไปพบเข้า มันเหมือนจริงๆกับที่ให้น้องลองซื้อจากกระทู้ที่เปิดขายในนี้มา พวกเราเชื่อหรือไม่ที่เขาเอามาขายเราหลักร้อย3-4-5ร้อย ท่าพระจันทร์ขาดเม็ดละ20ซื้อเยอะๆเหลือ10บาท

    ดีขึ้นมาหน่อยที่เขาเอามาขายหลักพันหลักหมื่น ขายที่นั่นไม่เกินหลักร้อย จะเอารูปทรงไหน พระขรรค์หรือกระบองหรืออะไรต่างๆเหมือนกันเป้ะ ยิ่งซื้อเยอะยิ่งได้ส่วนลด

    เราก็มาคิดเอะใจว่าเอ้ะเเล้วทำไมพี่ๆที่ชอบไม่เคยมาเดินท่าพระจันทร์กันหรอ ถ้าจะไปโดนต้ม ไหนๆโดนต้มทั้งทีเดี๋ยวเราบอกเเหล่งซื้อให้เลยดีมั๊ยจะได้ประหยัดเงินกัน ข้อที่ว่าเพชรพญานาคของเขาขีดกระจกไม่เป็นรอยหรือขีดเเล้วขาด พระกรุนาดูนองค์ละ20บาทไปให้ใครส่องก็ปลอม ผมดูยังไงก็ปลอมก็ยังทำได้เลย

    พออ่านประวัติ เชื่อมั๊ยว่าประวัติพิมพ์ข้างบนบอกเป็นฝนโบกขรพรรษเกิดด้วยบารมีของพระพุทธกัสสปะพิมพ์ข้างล่างบอกเป็นเนื้อเป็นเลือดพญานาค เป็นเกล็ดท่านก็มีเเค่พิมพ์เองยังสับสนคนก็อุตส่าห์เชื่อเป็นหมูในอวยกันไป

    อีกประการหนึ่งเวลาเราอ่านเราไม่รู้สึกเอะใจหรือสะดุดซักนิดหรือ ว่าเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดเเสง คำๆนี้มันมีมาจากไหน ทำไมมันดูคล้ายละครไทยเรื่องดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดเเสงที่ผมเคยดูเสียเหลือเกิน คือหลายอย่างนั่นเเหละ ถ้าฝนโบกขรพรรษตกมากลายเป็นมณีส่องสว่างไปถึงเมืองบาดาลจริง ทำไมคนสมัยนั้นที่เป็นอริยบุคคลก็มากไม่เเสวงหาเพชรพญานาคเก็บไว้ล่ะทั้งๆที่มันมีเกลื่อนพื้นดินขนาดนั้น เเค่อ่านเราก็นึกตลกเเล้ว ว่าเค้าจับมาผูกเรื่องได้ขนาดนี้ทำไมคนอ่านไม่ได้คิดกันบ้าง

    รู้อยู่เเก่ใจว่าเป็นของเก๊ เเต่ก็ต้องการคำยืนยัน จึงได้เรียนปรึกษาพ่ออาจารย์

    พ่ออาจารย์ให้ความรู้เรื่องเพชรพญานาคว่า เพชรหรืออัญมณีชนิดนี้มีอยู่จริงๆนะเจ้า เเต่ไม่ได้มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนที่เขาเอามาเร่ขายกันทั่วไปหรอก เเค่เห็นไม่ต้องคิดก็รู้เเล้วว่าเเบบนี้มันไม่ใช่

    เพชรพญานาคนี้เป็นของที่เขาจะให้เฉพาะกับผู้ที่มีอดีตมีชาติเวรผุกพันธ์กับเขา เขารักใคร่เขาเป็นห่วงเขาถึงให้ กายสิทธิ์ชนิดนี้หายากเเละมีค่ามากกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งอีก เราก็เคยเจอนะเเค่รั้งเดียวเเต่ไม่ได้หยิบมาครอบครองเพราะเราไม่ได้มีเชื้อสายความผูกพันธุ์กับวงศ์บาดาล

    เพชรพญานาคจริงๆนั้นก็คือเพชรนี่เเหละ เเต่เป็นเพชรที่เธอสามารถเดินเข้าไปขายในร้านเพชรได้เป็นเพชรน้ำงามน้ำเอกที่เถ้าเเก่ที่ไหนเห็นก็อยากได้เพราะเป็นเพชรที่ไม่สามารถประเมินอายุได้ อย่างต่ำก็มีอายุพันปีขึ้นไปเเละเพชรเเบบนี้ก็ไม่ปรากฏในโลกให้มีผู้ครอบครองบ่อยนัก พูดง่ายๆคือมีไว้รวย รวยกว่าถูกหวยรางวัลที่1เพราะขายได้เเต่ห้ามขาย

    เพชรนี่เขาจะให้เฉพาะกับคนของวงศ์บาดาลที่มีอดีตมีความรักความผูกพันธุ์กับเขา เขาเวทนาสงสารในชะตาชีวิตจึงจะบันดาลให้ไปพบเพชรของเขาส่องเเสงทอประกายอยู่เเบบนี้ มันคนละเรื่องกับนิยายเพชรพญานาคเลย ไม่มีความใกล้เคียงกันทั้งรูปพรรณสัณฐานเเละอานุภาพ

    เพชรพญานาคของจริงเธอจำไว้นะว่ายิ่งกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ส่องแสงได้ในยามราตรี อันตรธานหายไปได้ และผู้ที่ได้ครอบครองผู้นั้นจะรวยมีกินมีใช้ไม่รู้ขาดไม่รู้สิ้น ยิ่งถ้าใช้เป็นด้วยกายสิทธิ์ชนิดนี้ยิ่งให้คุณ108พันประการ เมื่อผู้ครอบครองตายไปเพชรนี้ก็จะหายไปเองไม่มีการสืบต่อเป็นทรัพย์สมบัติผลัดกันชมเช่นสิ่งอื่น

    ผมเลยถามพ่ออาจารย์ว่า คนเขางมงายในพุทธคุณ ว่าเพชรพญานาคนี้มีพุทธคุณ เพราะอะไร ท่านว่าจะยากอะไรมีงานปลุกเสกก็เอาไปรวมๆไว้ก็เท่านี้ เศษกรวดหินดินทราย เอามาให้เราเสกให้มีพลังมีพุทธคุณเราก็ทำได้ ถ้าผู้ใดรู้ธาตุเเละใช้เป็นการจะทำของให้มีพุทธคุณมีพลังมันไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเขาพึงใจพอใจที่จะนำสิ่งที่สร้างขึ้นโดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ มีจุดประสงค์ลวงโลกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงชาวบ้านไปใช้เเล้วอุ่นใจเเบบนั้น ให้เขาเอาก้อนหินมาให้เราเสกเป่าเเล้วเอาไปห้อยยังจะดีซะกว่า เพราะเจตนาไม่บริสุทธิ์เเต่ต้น ต่อให้องค์เสกมีคุณวิเศษเเค่ไหน มันก็ได้ชื่อว่าวัตถุอัปมงคลไปแล้ว
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    การใช้วัตถุมงคลให้ถูกโฉลกกับตนเอง

    เป็นคำถามที่ชอบถามว่าผมควรใช้อะไร มีอะไรเเนะนำมั๊ย ใครจะไปเเนะนำคุณได้หากตัวเราเองยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าโฉลกกับอะไร

    ยกตัวอย่างของผม ผมจะโฉลกกับประเภทพระผงพระเเกะสลักเเต่พวกที่หล่อด้วยความร้อนพระปั๊มพวกนี้เเรงเเค่ไหนผมก็ใช้ไม่ค่อยขึ้น

    แล้วทีนี้เราจะทราบได้อย่างไรว่าตัวเองโฉลกกับอะไร เเน่นอนว่ากว่าคุณคิดที่จะเช่าพระนี่คุณต้องมีประสบการณ์กันเเล้วในระดับหนึ่ง การจะดูว่าตัวเองโฉลกกับพระประเภทไหนก็ใช้การสังเกตุการณ์ตัวเราเองนั่นเองว่าใช้วัตถุมงคลประเภทใดขึ้นเป็นพิเศษ

    กล่าวง่ายๆเลยจากที่เรียนถามพ่ออาจารย์ ในกรณีของท่านนั้นโฉลกท่านไม่ถูกกับเครื่องรางประเภทชูชก เราเองก็ไม่รู้นะเเต่กี่วัดกี่สำนักต่อให้มอบให้ท่านฟรีท่านก็ไม่รับ ไม่ให้มีในเคหสถานบ้านเรือนท่านเด็ดขาดเพราะท่านว่าเราไม่ถูกกันดวงชะตาเราขัดเป็นอริกัน ท่านถึงกับพูดหยอกมาว่าถ้าจะให้เราใช้ชูชกที่เที่ยวขอเขาไปทั่วเราทำพระเวสสันดรที่มีเเต่ให้ดีกว่า คนขอกับคนให้ ผู้ให้ย่อมมีความสุข

    เครื่องรางบางอย่างก็เหลือเกิน เช่นชูชกนี่นะเขาบรรยายไว้ว่าเป็นเฒ่าทมิฬหินชาติทาสเมถุน พระพุทธเจ้าของเราเปี่ยมไปด้วยลักษณะของมหาบุรุษว่าด้วยมหาปุริสลักษณะทั้ง 32 ประการเช่นใด ชูชกก็พึงมีลักษณะบุรุษโทษครบถ้วนทุกประการชนิดที่ว่าหาได้ยากยิ่งในโลกที่ใครเกิดมาจะมีลักษณะอัปมงคลติดตัวครบทุกประการเช่นนี้ ในโลกนี้ยากนักจะหาได้ ท่านว่าเเม้รูปของพระพุทธเจ้ามีอยู่ในเคหสถานใดก็ถือว่าเป็นรูปมงคล ดังนั้นรูปของชูชกปรากฏที่ใดเราก็พูดได้เต็มปากว่าอัปมงคลที่นั่น (มุมมองของพ่ออาจารย์ไม่ได้กระทบถึงวัตถุมงคลวัดใดนะครับ)

    ถามท่านว่า เเล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่โฉลกกับสิ่งใดๆ ท่านมองหน้าเเล้วตอบเรามาตรงๆว่าก็เราไม่ชอบ อาจจะเพราะเราใช้ความคิดมากไปก็ได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเปิดใจนะเเต่ชูชกกับเราไม่ถูกกันจริงๆ ก็เลยบอกท่านว่าเดี๋ยวนี้เขาเสกชูชกกันก็ไม่ได้เชิญชูชกจริงๆมาเเต่ไหน ส่วนใหญ่จะผูกเป็นพยนต์ขึ้นใหม่ทั้งนั้นไม่น่าจะมีปัญหานี่ครับ ท่านก็ย้อนเข้าให้ว่า จำเป็นหรือที่จะต้องผูกพยนต์ไว้ในรูปลักษณ์ที่เป็นอัปมงคลเช่นนั้น(ก็ดูท่าว่าท่านจะไม่ชอบจริงๆนั่นเเหละ)

    ก็เลยถือโอกาสของเราซักท่านต่อเสียเลยว่าอย่างไร จะมีวินิจฉัยอย่างไรให้คนที่ต้องการรู้เรื่องโฉลกกับวัตถุมงคลของตัวเอง ท่านว่า มันก็ไม่ได้ยากอะไร แค่มองอะไรเเล้วเธออิ่มใจรู้สึกว่าความรู้สึกที่เธอมีทั้งหมดมันอิ่มเอิบตื้นตันอยากได้มาบูชาไม่ตะขิดตะขวงไม่สงสัยไม่ขาดความเชื่อมั่น การเลือกวัตถุมงคลก็เหมือนการเลือกเนื้อคู่นั่นเเหละ จะเลือกท่านมาใช้อะไรก็ตอบเเทนไม่ได้นอกจากความรู้สึกจริงๆของเราเอง ว่ามันใช่มั๊ยรู้กันเฉพาะตน อะไรที่เรารู้สึกว่ายังไม่ใช่นั่นก็ไม่ใช่ของคู่บุญของเรา เเต่อะไรที่รู้สึกว่าใช่เเล้วปล่อยผ่านไป นั่นก็ถือว่าเราทิ้งของคู่บุญของเรา

    ก็เลยเรียนถามท่านเรื่องสุขภาพ เรื่องการไปงานศพที่อยุธยาว่าเป็นอย่างไร ซึ่งโดยรวมก็คือท่านยังเเข็งเเรงดีเเต่ภาระกิจค่อนข้างมาก เพราะพี่สะใภ้ท่านที่เสียก็คือภรรยาของพี่ชายที่เสียไปแล้ว ซึ่งพี่ชายท่านนี้ท่านรักมาก เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องในครอบครัวผมเลยไม่กล้าถามอะไร เพราะตอนเเรกรู้ว่าบ้านพี่ท่านพระเยอะมาก555+

    ก็เลยถามว่าไปอยุธยาครั้งนี้ มีอะไรดีๆบ้างมั๊ยครับ ท่านเล่าให้ฟังว่า เราได้พบดวงพระวิญญาณดวงหนึ่งนะ จะว่าไปแล้วชีวิตท่านน่าสงสารมากเราก็เลยเเผ่เมตตาอุทิศเป็นพระราชกุศลถวายไปเพราะท่านถูกใส่ร้ายจนสิ้นพระชนม์ แต่ดวงจิตนี้ก็ไม่ธรรมดาจริงๆนั่นเเหละ พระองค์เป็นยอดนักรักยอดนักกวีเลยทีเดียว คุณเคยได้ยินชื่อของเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์บ้างมั๊ย ผมก็เลยรับไปว่าเคารพท่านอยู่ นึกถึงอยู่เสมอครับเพราะผมชอบเล่นทางกวีมาเเต่เด็ก

    พ่ออาจารย์ได้เล่าว่า ท่านมาพบเราเเละทำให้เรารู้เห็นอะไรบางอย่าง กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ก็คือสมเด็จพระมหาอุปราชาเเห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ เธอไม่ได้ทรงพระปรีชาเเต่เรื่องโคลงกลอนเท่านั้นนะ ในเรื่องการรบความรักทุกด้านล้วนทรงพระปรีชาสามารถเเหลมหลัก พูดง่ายๆเลยว่าถ้าพระองค์อยู่ต่อได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ เวลาที่กรุงศรีจะเเตกนั้นจะไม่ปรากฏมีในสมัยของพระองค์ท่านอย่างเเน่นอน

    แต่ก็นะคนเก่ง เก่งจนโดดเด่นไปซะหมดศัตรูก็เลยมีมากเท่าๆกับคนรักเป็นเงาตามตัว ท่านโดนพระบิดาลงโทษเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น เพราะเหตุจากคนรักของท่านได้เข้าถวายตัวเป็นเมียพ่อ ก็เรื่องรักสามเศร้านั่นเเหละ เพราะพ่อท่านก็รักเมียคนนี้มาก ทีนี้ศัตรูท่านก็นำความกราบบังคมทูลว่าท่านทำชู้กับเมียพ่อ ตอนนั้นท่านเองก็ป่วย เรียกว่าถึงไม่ต้องพระราชอาญาสิ้นพระชนม์ พระองค์ท่านก็ไม่อาจจะดำรงค์พระชนม์ชีพต่อไปได้นานนัก เเละกรุงศรีเองก็ถึงกาลเเตกดับที่จะให้มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอยู่ต่อนั้นก็เป็นไปเสียไม่ได้ พ่ออาจารย์ท่านว่าฟ้าท่านวางเเผนวางกฏเอาไว้กันหมดเเล้ว

    เมื่อความทราบเเละมีหลักฐานซึ่งเป็นหลักฐานที่พระองค์ทรงเขียนไว้ในสมัยที่เริ่มรักกันก็ยิ่งกลายเป็นเครื่องพันธนาการว่าพระองค์ผิดจริงๆตามคำกล่าวเท็จนั้น พระบิดาของท่านก็ให้เจ้าสามกรมเข้ามาทำคดีซึ่งในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นมหาศัตรูอย่างเเท้จริงกับกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ การให้ศัตรูมาทำก็เหมือนบีบให้พระองค์ต้องรับผิดทั้งๆที่พระวรกายตอนนั้นลำพังโรคก็หนักหนาเเล้ว พระองค์ต้องโดนกระทำการทรมานทรกรรมต่างๆซึ่งไม่ธรรมดาเลยทั้งเฆี่ยนทรมานสารพัดตามฉบับการทรมานนักโทษสามัญชนสมัยอยุธยาทีเดียว ยากนักที่มนุษย์ธรรมดาๆจะทนได้ ด้วยขัตติยมานะพระองค์ก็ทรงทนมาตลอดจนทนไม่ไหวจึงต้องรับเป็นสัจ

    ซึ่งพ่อท่านเองนั้นไม่ใช่จะไม่รักท่านเสียเลย เเต่เพราะตอนนั้นทุกอย่างมันถึงที่ของมันจริงๆทั้งชะตากรุงจะขาดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่พ่อจะฆ่าลูกได้เพียงเพราะเหตุจากการใส่ความเท็จจึงเกิดขึ้นกับสมเด็จพระมหาอุปราชาพระองค์นี้ ท่านถูกเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์ไปเเบบนั้น ซึ่งมหาศัตรูเจ้าสามกรมนั้นภายหลังก็สิ้นพระชนม์ไม่ต่างจากท่านเท่าใดนัก เรียกได้ว่ากรรมตามสนองอย่างรวดเร็วจริงๆก็ว่าได้

    ยังมีอีกเยอะนะที่ท่านเปิดให้เรารู้เราเห็น การทรงงานของท่านเรียกได้ว่ามีบุญหนักอึ้งเลยเเหละเพราะท่านบูรณะวัดสมัยนั้นตั้งมากมาย เรื่องความรักนี่ก็เเล้วใหญ่ขุนเเผนนั้นเทียบท่านไม่ได้เลยงานประพันธ์กวีนิพนธ์ของท่านนี้หาตัวจับยากโด่งดังมาถึงทุกวันนี้ คุณรู้มั๊ยว่าเสียงท่านเพราะยิ่งกว่านกการเวกเสียอีก ท่านขับโคลงกาพย์ให้เราฟังยังหวานติดหูเราไม่มีวันลืมเลย

    เเต่เราก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะเรื่องมันผ่านไปแล้วเป้นร้อยร้อยปี จะให้เราเเก้ต่างให้พระองค์นั้นก็ย่อมได้ เอาเป็นว่ารู้เเก่ใจไว้ว่าพระองค์ท่านบริสุทธิ์เเละสิ้นพระชนม์เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เเล้วกัน เพราะถ้าพระองค์อยู่กรุงศรีคงไม่มีวันเเตกเป็นเเน่

    ปากเราก็ไวถามไปเลยว่าคนเรียกท่านว่าเจ้าฟ้ากุ้ง ตัวจริงท่านหล่อมั๊ย ทำไมคนบอกเหมือนกุ้ง ท่านก็รับว่ารูปทรงระหงษ์คมคายไม่เช่นนั้นสตรีจะปรารถนากันทั้งกรุงรึไง ที่ว่าชื่อกุ้งเพราะตอนที่ท่านเป็นโรคหรอกทำให้เวลาเสด็จไปไหนท่านเดินห่อๆตัวหลังค่อมๆคนเลยเรียกกันไปว่าเจ้าฟ้ากุ้ง

    ก็เลยถามต่อว่าเเล้วท่านมาพบเพื่ออะไร อาจารย์ท่านว่าก็ไม่มีอะไรมากเเค่ท่านอยากให้เรารู้เราเห็นความเป็นจริงบางอย่าง อย่างน้อยมีพยานให้พระองค์ท่านซักคนก็ยังดี ดีกว่าให้ประวัติศาสตร์จารึกลงไปว่าท่านลอบทำชู้เมียพ่อจนต้องโดนประหาร หลังจากนั้นผมก็ถามอะไรท่านอีกมากมายไม่ขอเล่าทั้งหมด เพราะส่วนตัวเคารพครูกลอนพระองค์นี้มาตั้งเเต่หัดเเต่งกลอนเรียนภาษาไทยช่วงนั้นจะออกงานประกวดบ่อยมาก ก็เลยซักท่านเยอะจนท่านบอกว่าเอาไว้เราจะเชิญพระองค์ท่านมาถามให้ทีหลังอีกทีก็เเล้วกันเพราะรู้จักกันเเล้ว ก็เป็นอันว่าต้องจบไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    ฝากพระคาถาให้ใช้กันอีกบทหนึ่ง

    คาถานี้อยู่ที่กำลังใจผู้ใช้เลย พ่ออาจารย์ให้ลงเป็นวิทยาทานเพื่อสงเคราะห์พวกเราทั้งหลาย อ่านอุปเท่ห์ให้ดี ว่าเราปรารถนาอะไรเเล้วก็สวดก็นึกตามอุปเท่ห์นั้นๆ ก็จะพอคลายทุกข์โศกของโลกนานัปประการในทุกวันนี้ได้

    อาทะยันตามิขิละปัทธะวิพุทธายะ ปะระยัตตังตุกาทา สุราเมมะริยะจีนาสสะยันติ

    ให้พวกเธอจำไว้ให้ขึ้นใจท่องเสียไว้ให้มั่น
    * สวด7ครั้ง ที่ว่าอันตรายร้ายแรงทั้งปวงหายไปสิ้น
    * ผิว่าตนมีโรค ไม่อยากป่วยด้วยโรคอีก ให้สวด9ครั้ง ตั้งสติระลึกถึงคุณแห่งพระนิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    * ผิว่าอยากให้คนอื่นเขารักเรา อยากให้เพื่อนรักเราแบบนี้ ให้สวดเเล้วคิดถึงพระจันทร์
    * ผิว่าจะมิให้ผู้ใดโกรธเคืองเรา ให้สวดแล้วคิดถึงพระจันทกุมาร
    * ผิว่าอยากมีความสุข ให้สวดแล้วคิดถึงพระยา 10 ตนได้เเก่พระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยายม พระกาฬ พระนารายณ์ พระอิศวร ท้าวจตุโลกบาลทั้ง4
    * ผิว่าเรามีความทุกข์ ให้สวดแล้วคิดถึงพระยายม
    * ผิว่าอยากมั่งมีร่ำรวยข้าวของเงินทอง ให้สวดเเล้วคิดถึงพระยาเวสสุวรรณ
    * ผิว่าอยากมีเดชเดชะ ให้สวดเเล้วคิดถึงพระไอสวรค์
    * ผิว่าไม่ต้องการให้ไฟใหม้เรือน ให้สวดเเล้วคิดถึงพระอิสาน
    * สวด7รอบ ถ้าคิดอยากได้เงินหรือทองคำให้คิดถึงพระยาอินทราธิราช

    พ่ออาจารย์เมตตามอบให้ศิษย์ไว้เป็นวิทยาทาน
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    ก่อนที่จะสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย หรือจะใช้ตะกรุดเเละพระเครื่องทั้งหลาย ให้เธอสวดบูชาพระธรรมเจ้าก่อน เพราะพระธรรมนี้เป้นของดีในโลกเป็นสัจธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่โลกมาทุกยุคทุกสมัยเเม้เเต่ก่อนมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นให้ระลึกถึงพระธรรมก่อนพร้อมว่าคาถาดังนี้

    โอม นะโม สิทธิ กาลังสะหุม

    การใช้คาถาการสวดมนต์ต่างๆก็จะยิ่งประสิทธิเข้มขลังขึ้นนักแล พ่ออาจารย์พลฝากไว้ให้เป็นวิทยาทาน
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    สำหรับบทนี้ให้จดเอาไว้ ใครที่มีวัตถุมงคลพ่ออาจารย์ อาทิตะกรุดเวทย์สวรรค์ จตุรามูรติ ตรีมูรติ พระศิวะโพเลนาถ ศิวะสังกร นารายณ์บรรทมเกษียรสมุทรเหล่านี้ เมื่อจะใช้อาราธนาให้ท่องคาถาบูชานั้นๆถ้ามีเเล้วจบด้วยพระคาถานี้ หากเป็นของที่ไม่มีคาถาบูชาก็ให้ใช้คาถานี้จบได้เลย จดจำท่องไว้ให้ขึ้นใจสั้นๆ

    อะนะวะชะสะระมะ กิตติสิทธิ ละกะละกะ

    ท่านว่าเเม้ไม่ต้องพกองค์ท่านเพียงท่องคาถานี้อาราธนาไปก็ใช้ได้เเล้ว วัตถุมงคลที่เป็นรูปมหาเทพชั้นสูงต่างๆนี้พ่ออาจารย์ท่านลงวิชาเฉพาะไว้ เมื่อเราบูชาจบด้วยพระคาถานี้ พระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม เทพยเจ้าทั้งหลายที่อยู่ในจักรวาลนี้ก็ดี จักรวาลอันอื่นก็ดี เทพยดาทั้งหลายที่มีวิมานอยู่เหนืออากาศอยู่ในอากาศ ยักษ์พรหมทั้งหลายที่อยู่รักษาบ้านเมืองรักษาพระศาสนา พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามเเละเทพยดาเหล่านี้ก็จะลงมารักษาบุคคลผู้นั้นมิให้เป็นอันตรายต่างๆนาๆตลอดจนรับฟังปัญหาเเละคำอธิษฐานทั้งปวง (ใช้ได้เฉพาะวัตถุมงคลบางรายการที่พ่ออาจารย์ลงวิชาเฉพาะไว้ดังที่เเจ้งไว้เเล้วข้างต้น)
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    พ่ออาจารย์ท่านเมตตาอยากให้ผู้ที่บูชาพระเจ้าสัวปฐมบูรพาจารย์ มหาราชธนบดีเศรษฐีนั่งบัลลังค์ พระอนุรุทธะเถระ ได้ของไปแล้วใช้งานได้จริงดีกว่าเก็บไว้ดูเล่นเฉยๆ ประกอบกับท่านสัมผัสได้กับอะไรบางอย่างมาสักระยะหนึ่งเเล้วที่ท่านบอกว่าของทางด้านโชคลาภนี้สำคัญนักหนาเพราะต่อไปเศรษฐกิจการทำมาหากินของคนจะฝืดเคืองลงมาก ท่านไม่อยากให้ศิษย์หรือคนที่บูชาของท่านต้องแย่กว่าคนอื่น คนอื่นเเย่ได้เเต่ศิษย์เราจะให้ต่ำลงไม่ได้ ท่านจึงเมตตามอบพระคาถามาให้อีกบทเอาไว้ใช้คู่กันตามวิชาที่ท่านลงไว้ดีเเล้วในพระทั้งสามแบบ

    บัดทุมมะสะมิง นะสาระชะเพิง สาราชะพะลาลิง พรหมมะทะสัมปุระปุปะทะสิง จะตุพะเลิง สะมังคะละสะนะสัทนินิสัพพะเชิง กะสะยักขะคันตะทิยิทุรักเข อะนาคาจะหิจะนัง พานิชุงคุนะเสวิตตะตับโป ทิโยพยาสัมมาตะ โอมผ่องผ่องวิเชยยะสะมาดตะสัพพะสิทธิสวาหุม

    พระคาถาบทนี้ให้เป็นทานไว้ใช้สวดคู่กับพระเจ้าสัวปฐมบูรพาจารย์ มหาราชธนบดีเศรษฐีนั่งบัลลังค์ พระอนุรุทธะเถระ ทั้งสามอย่างนี้โดยเฉพาะอันอื่นใช้ไม่ได้ หลังจากสวดบูชาปกติเเล้วก็ให้สวดตามนี้เพราะท่านลงวิชาไว้เฉพาะเจาะจง แต่มีข้อแม้อยู่ว่า

    พระคาถานี้เมื่อจดไปแล้วสำหรับคนที่บูชาของทั้งสามสิ่งเหล่านี้ ให้หาวันดีคืนดี เช่นวันพระ วันพฤหัสข้างขึ้น วันที่เป็นศุภฤกษ์มงคลทั้งหลายเลือกมาวันหนึ่ง เอาพระคาถานี้ท่องจำเสียให้ขึ้นใจจำเสียให้ได้ในวันเดียวนั้น(ต้องว่างจริงๆเพราะภาษายากนิดนึง)

    หลังจากนั้นให้สวดบูชาวัตถมงคลทั้งสามชนิดนี้เเละตั้งความปรารถนาของเราเอาไว้ในใจด้วยนะขณะที่สวด ปรารถนาอะไรนึกอยากได้อะไรคิดไว้เลย นึกไว้เเล้วค่อยสวดคาถาบูชาเป็นปกติพอมาจบที่คาถานี้ก็นึกสิ่งนั้นที่เตรียมไว้ขึ้นมา ปรารถนาเอาลาภยศทรัพย์สมบัติอันใดในโลกก็จักได้สมความปรารถนาทุกสิ่งแล แต่ถ้าเกินกรรมที่เราจะได้ เขาก็จะช่วยเร่งเวลาขึ้นมาให้อันนี้ต้องทำความเข้าใจไว้ก่อนนะ
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    คาถาบทนี้ท่านว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่จะให้ไว้เป็นวิทยาทานเป็นสิทธิเเก่ลูกๆทุกคน เหมือนมีอาวุธชั้นเยี่ยมถืออยู่ในมือกัน ให้พิจารณาใช้อย่าสวดพร่ำเพรื่อเกินกว่าความจำเป็น

    ทุสาอัด กูจักสูบเอาหกสิบสองมนต์วิชามาเต่ากูเนอ วิชากูไปข้างซ้ายก็ให้แล่นมาสู่พ่อครูกูเนอ วิชากูไปข้างขวาก็ให้แล่นมาสู่พ่อครูกูเนอ โอมกุญแจเหล็ก โอมกุญแจทอง กูจักสูบเอาพระยาฝนแสนห่าก็ให้มาทุ่งนา พระฤาษีออกจากถ้ำก็ให้มาหาพ่อครูกูเนอ พ่อครูกูสวดเเล้วให้มึงแล่นกลับคืน พ่อครูกูกลืนกินได้ โอมกับกับมหากับกับ อุอะวะนะอะอุทุสาขบครูผู้เจ้าเป็นตาครู สาธุๆ

    พระคาถานี้ท่านให้ไว้ใช้สูบเอามนต์ต่างๆที่พึงมีรวมไปถึงใช้สูบมนต์ของพระเครื่องเเละวัตถุมงคลได้ด้วย เเต่อย่าใช้พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะวัตถุมงคลของพ่ออาจารย์ท่านลงกันลงแก้ทางไว้เเล้ว คนละวิชากับการคัดการถอนเเต่เป็นการสูบซึ่งอันตรายมาก เมื่อจะทำกับวัตถุมงคลใดก็เหมือนการสูบวิชามารวมไว้ที่ของเราที่ร่างกายเราที่ครูเรานั่นเอง ถ้าเเน่ใจว่าจิตเราเเข็งสามารถใช้สูบจากผู้ทรงคุณเเละวิชาที่ต่ำกว่าเราได้เลยทีเดียว ท่านว่าขึ้นอยู่ที่อำนาจจิตเราด้วยว่าจะสำเร็จเเต่มากหรือน้อย ให้ไว้เป็นวิทยาทานท่องเล่นๆอย่าไปคิดมากเพราะถ้าทำเเล้วเจอคนที่เขาเเข็งกว่าเราบารมีเราสู้เขาไม่ได้ตัวเราจะเเย่เอง

    พ่ออาจารย์ฝากไว้ เอาไว้ใช้สูบจากธรรมชาติเช่นนี้ก็พอได้อยู่ถือว่าเป็นประโยชน์ เวลาไปเที่ยวตามป่าเขาห้วยธารต่างๆที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ก็เอาบทนี้เก็บไปภาวนาสูบของดีเข้ามาใส่ตัวเอง
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    เอาใจท่านชายทั้งหลายที่ขาดความมั่นใจในตัวเองหน่อย พ่ออาจารย์ท่านมอบคาถามาให้บทหนึ่งไว้ให้พวกเราไว้ใช้กันเวลาขาดความมั่นใจจะไปจีบสาวไปทำอะไรก็เเล้วเเต่เช่นสมัครงานอย่างนี้ เขาจะเห็นเรามองเราเเบบดูดีเว่อร์ๆ อันนี้จำไว้นะครับเก็บไว้ให้ลูกหลานทำก็ได้

    พุทธานะโม ธาพุทโมนะ


    ให้เอาดินสอมาเขียนอักขระเหล่านี้ลงบนฝ่ามือตัวเอง นั่งเสกไป108จบตามเม็ดประคำ เราปรารถนาให้เขาทั้งหลายเห็นรูปเรางาม เขาเห็นรูปเรางามดุจพญาเทพยดาเเล ลืมไม่ลงเป็นตะลึงจังงัง เวลาทำให้ตั้งใจทำจิตให้ดี

    พ่ออาจารย์ท่านว่ามอบไว้ให้เป็นของเล่น ให้พวกเราได้ลองทำกันดู เพิ่มความมั่นใจให้เเก่ตัวเอง
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้

    เห็นขอคาถาย่นระยะทาง ปรึกษาท่าน ท่านให้มาไม่ถึงกับย่นระยะทาง ท่านให้มา2บท

    รถีสเมนันติ ปรามสันโต กาสววัตถัมหิ ภาลมีคาวันเน อาคัจฉุนติ
    อันนี้ท่านให้เสกน้ำมันไว้ลูบแขนลูบขา เวลาเดินจะได้ไม่เมื่อย

    นะหะชาติ
    หัวใจภัคคลา ท่านว่าภาวนาไว้จะยืนอยู่กับที่หรือจะเดินจะไปไหนก็ดีที่ต้องใช้เวลาเร่งรีบ จะไม่มีสัตว์ใดมาเบียดเบียนเราได้เลย ทางโล่งปรอดโปร่ง
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาฝากมาให้ (อ่านกันด้วย)

    เห็นสอบถามกันมามากถึงวิชาอ้อป้องทั้งหลาย อยากให้เด็กๆจนถึงพวกเรานี่แหละท่อง ก็เลยดำเนินการณ์ให้เรียบร้อยขอมาลงให้ตามนี้

    วิชาอ้อบรรลุหัวใจอรหันต์
    โอกาสะๆ ผู้ข้าขออัญเชิญโลกกธาตุ เทพพระบาทหัวใจองค์ 1 สัพพัญญูเจ้า จงเสด็จเข้ามาในหัวใจก้ำหลังแห่งผู้ข้า แล้วขอให้ผู้ข้าแจ้งส่องสระยาน ขอให้ผู้ข้าเป็นคือดังพระอรหันตา มรรคะยานในบทพระอาจารย์สำเร็จลุนว่าไว้ ขอให้ผู้ข้าจบเพสพร้อมด้วยวินัย อภิธัมโม ใจแจ้งจอดฮอดพระคาถาว่า พุทโธวิภัตติ ธัมโมวิภัตติ สังโฆวิภัตติ พุทโธว่า ธัมโมว่า สังโฆว่า พุทโธเว้า ธัมโมเว้า สังโฆเว้า ชะมะจิตติ ชะมะจิตตัง ชะมะจิตโต จังจังจังสะหับ สารีปุตตังยังยังยังมี สารีบุตรเจ้า ให้บังเกิดเลิศด้วยปัญญา โมคคัลลานัง ยังยังยัง ให้บรรลุมีด้วยปัญญา พระกัจจายนะมหานามะ ตรัสรู้ด้วยปัญญา กัสสะปะกัตตา กัตตุปัญญานัง สัพพเทวา อินทราเทวา พรหมมาเทวา มันทาตุ ระยิตาวะ สาสาสามามามา จะกัตตะวานาโมระมังจาคะ โสตังตัง มัคคผละหา กุสสลังธัมมัง สันติมังมัตติมัง พุทธะปุญญํง ธัมมะปัญญา สังฆะปัญโญ โญโญโญภิกขุโนภิกขุนังภิกขุณี มีภิกขุอรหันตา ตรัสรู้ปัญญามะมะมะ

    ให้สวดพระคาถานี้เป่าใส่หมอนยามนอน เป่าใส่หนังสือ ให้อ่านหนังสือสามหน้าหรือหกหน้า วันที่สวดให้อ่านสามหนครบสามคืนราตรีล่วงไปได้ สวดอ้อบรรลุหัวใจพระอรหันสำเร็จลุนให้อ่านมื้อละสามหนครบเจ็ดวันราตรีล่วงไปได้แล ถ้าครบเจ็ดวันแล้ววันแปดรุ่งมาให้อ่านเจ็ดหนซ้ำอีกเป็นการใช้ได้แล

    อ้อจำหนังสือ
    สติมัง สติมา เมื่อผู้ข้าอ้าปากเว้า ผญาออกสนสนในไทย ขอให้ผู้ข้านี้มีผญาปัญญาไหลมาเหมือนน้ำมหาสมุทร อย่าสุดอย่าเปื้อนคำเก่าหลายที่ พุทโธสว่าง ธํมโมสว่าง สังโฆสว่าง
    ค่าคายค่าครู ขัน5 ผ้าขาว1วา เทียน5คู่หนัก เทียนหนัก1บาท1คู่ เงิน25สตางค์ เรียนวันอังคาร

    อ้อป่องจำหนังสือ
    นะเคลื่อน โมเพื้อน พุทเผือน ธะหันตวา ยะทันใจ อุมะอิ
    คายขัน5 ผ้าขาว1วา เทียนเล่มบาท1คู่ ไข่ไก่1ใบ เงินบาทห้าสิบ ดอกไม้ขาว เทียนน้อย5เล่ม ใช้เสกน้ำล้างหน้าเช้าเย็นประมาณ7วัน ถ้ายังไม่จำ ให่เอาใบบัวหลวงมา7ใบ วันละ1ใบ เอาใบบัวมาเเล้วเอาน้ำใส่ขันสัมฤทธิ์ เอาน้ำใส่ให้เต็มเอาใบบัวปิดปากขันไว้ เอาเข็มมาสวดคาถา จบ1ก็เเทงลงไป1ครั้ง แล้วก็เสกไปถึง7จบก็เเทงไป7รู ทำไปจนครบ7วันเรียนเเต่งครูวันอังคาร

    อ้อป่องเรียนหนังสือ
    โอมอ้อ กูนี้ชื่อว่าอ้อพระเจ้าเเต่เเถน แนนพระเจ้าเเต่เชื้อ ชื่อพระเจ้าเอยมาเเต่กะกุกแก้ว นำองคสัพพัญญู พ่อครูบอกให้ฮู้กูกะฮู้ โอมสะโอมติ
    ค่าคายครูขัน5ขัน8เทียน5เล่ม เทียน8เล่ม เทียนหนัก1บาท1คู่ ผ้าขาว1วา เงิน12บาท

    พิจารณาเอาว่าจะใช้บทไหนจำหนังสือหรือเรียนหนังสือ ไม่เห็นใครเขาจะเปิดเผยกันเท่าใดนัก จดกันไว้กันสูญหายนำไปตีความพิจารณาเเล้วลองใช้กันดูนะครับ
     
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    สัพเพเหระ

    ผมมีความภูมิใจจริงๆนะ ที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะการทำวัตถุมงคลของพ่ออาจารย์พูดได้เลยว่าท่านตั้งใจเเละทุกอย่างต้องทำกับมือ ดังนั้นจึงจำกัดในเรื่องของเวลาเเละปริมาณ หากวันไหนลงตะกรุดได้ซักดอกไม้ก็ไม่ได้เเกะ เป็นเสียแบบนี้เห็นจนชินตา

    ความคิดของผม ก็เที่ยวมาเยอะนะเห็นมาหลายครูบาอาจารย์ ส่วนมากจะเป็นพระปั๊มโรงงานซึ่งเราเห็นว่ามวลสารนั้นเขาจะใส่กันจริงตามที่บรรยายรึเปล่าเราไม่รู้ ที่ดีกว่าหน่อยก็ใช้เครื่องใช้ลูกศิษย์ช่วยจะหาครูบาอาจารย์ที่ต้องมานั่งทำเองทุกขั้นตอน ภาษาบ้านผมเรียกว่าทำสากกะเบือยันเรือรบผมก็เพิ่งเคยเห็นท่านคนเเรกนี่แหละ กล้าพูดได้เต็มปาก ยังคิดอยู่ว่าอนาคตถ้าจะต้องมีเหรียญซักรุ่นจะทำอย่างไร คงไม่ได้มีเเน่ๆเพราะท่านไม่ได้ปั๊มเอง

    ก็เป็นความภูมิใจเล็กๆของเรานะที่เห็นเเล้วมันชื่นใจสบายใจเเล้วก็มั่นใจเเทนผู้บูชาด้วย ว่าเขาได้ของที่ออกจากมืออาจารย์พ่อและมาจากความตั้งใจท่านจริงๆ ยอดจะมาเยอะเเค่ไหนท่านก็ค่อยๆทำของท่านไปไม่รีบตามยอด ฤกษ์ต้องเป้ะ ทำไปเรื่อยๆเเบบนั้นไม่ให้กระทบงานของท่าน ท่านดูสุขุมเเละเป็นคนที่อยู่ด้วยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเเบบเเปลกๆ ที่สัมผัสครูบาอาจารย์มากล่าวได้เลยว่าตัวท่านมีกระเเสเเห่งความเมตตาแผ่ออกมามาก วัตถุมงคลบางชนิดบางประเภทในพิธีการทำต้องใช้เลือดของท่านประสระลงไปก็มี ท่านก็ทำให้อย่างไม่ลังเล ก็ขอให้พวกเราภูมิใจหรือใครที่มีวัตถุมงคลท่านก็เก็บรักษาไว้ให้ดีๆ อันนี้บอกจากใจเลยว่าพ่ออาจารย์ของเราน้ำใจท่านงามจริงๆ

    แล้วก็อีกสองประเด็น
    1. บางท่านถามผมว่าทำไมของตัวนี้เเพงจัง อันนี้ก็คุยสบายๆนะ ว่าถ้าเเพงทำไมไม่ไปมองหลักร้อยจะมองหลักพันหลักหมื่นทำไม เช่นตะกรุดวัวผมว่าท่านก็ลงเต็มเเผ่นไม่มีที่ว่างนะ แล้วก็อีกหลายๆอย่าง ลงเกินราคาเสียด้วยในความรู้สึกเราบางครั้งคลี่ตะกรุดวัดดังๆออกมาดอกละ4-5พันยังสู้ดอกละ700ของท่านไม่ได้เลย(ความรู้สึกส่วนตัวเพราะคลี่เล่นมาเยอะ) คือท่านทำให้เราเห็นว่าไม่ได้สุกเอาเผากินจะเเพงหรือถูกท่านทำให้เต็มที่ แล้วอีกประการหนึ่งที่ของบางอย่างเเพง มันก็เป็นสิ่งวัดใจคนบูชาเอง ที่ได้ไปแล้วจะได้ไม่เอาไปวางทิ้งไว้ได้เอาไปใช้จริงๆ จะได้เห็นคุณค่าของว่ากว่าจะได้มานั้นต้องออมต้องเก็บเพื่อบูชา เพราะมวลสารบางอย่างราคาเป็นหมื่นเป็นเเสนก็มี บางเรื่องผมก็ไม่อยากจะเล่า เเต่พูดได้ว่าพ่ออาจารย์ของเราไม่เคยเอาของใครฟรี ใครมอบอะไรให้ท่านจะให้เงินกลับไปหมด ท่านถือว่าได้ไม่เป็นหนี้สินหรือบุญคุณให้ใครเอาไปพูดได้

    2. การหลงประเด็น จากที่คุยๆมาบางท่านก็มาดี บางท่านก็ขาดความรู้ บางท่านก็ลบหลู่ บางท่านก็ลองของ ผมไม่ได้อะไรกับใครนะเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เเล้วอีกอย่างมันก็เป็นปากท่านการกระทำท่านเอง อันนี้เล่าไว้สนุก พอดีมีพี่ท่านหนึ่งโทรมาคุยกับผมถามเรื่องตะกรุดพญามาร ไม่รู้เราคิดไปเองหรือไม่ แต่ท่านไม่ได้อ่านเลยที่เราอธิบายไว้ช่วงหลังๆ เราก็เล่าให้ฟังเท่าที่เราพอจำได้ แต่ท่านก็ดูถูกพญามารคือมองท่านไม่ดีหาว่าท่านทำไว้ซะเเบบนั้นหรือผมคิดไปเองไม่รู้นะเพราะคำพูดความหมายมันสื่อว่ามองไม่ดี น้ำเสียงคนมันบอกอะไรหลายๆอย่างได้ดี ผมอยากจะถามซึ่งผมเเค่คิดในใจว่าคนเราเคยทำผิด ต้องผิดไปจนวันตายหรือไม่ เราคิดว่าท่านทำอะไรไว้เเล้วเรารู้หรือว่าท่านทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ฟ้าเเก่เเผ่นดินบ้าง

    ได้ลองถามพ่ออาจารย์ท่าน ท่านก็ตอบว่า พระโพธิสัตว์เเห่งอนาคตวงศ์ทั้ง10นี้ ไม่ควรมีความคิดก้าวล่วงหรือไปละเมิดท่านเลย เพราะเเม้พระอรหันต์ซึ่งดีกว่าเราก็ยังไม่สามารถวิสัชนาท่านได้ เเม้พระพุทธเจ้าของเราก็ยังไม่ทำอะไรท่านเเถมยังให้เกียรติเสียอีกโดยเฉพาะกับพญามารว่าท่านมีโคตรเสมอด้วยพระอินทร์

    ที่ท่านต้องมาทวงบัลลังค์ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเพราะคิดว่านี่เป็นบัลลังค์ของท่าน ที่ท่านมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพานไวๆก็เพราะกลัวว่าจะไม่มีสัตว์ผู้โง่เขลาจะหลงเหลือไปถึงยุคท่านให้ท่านได้ตรัสรู้โปรดสอน ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ทุกอย่างก็คลี่คลายโดยตัวเองเเละพระอุปคุตท่านก็เเสดงฤทธิ์ทรมานพระองค์จนเอ่ยปากปรารถนาพระพุทธภูมิ เพียงเท่านี้ทุกเรื่องเป็นอันว่ายุติ กิเลสเเละสิ่งล่อลวงต่างๆที่เกิดจากอำนาจของพระองค์ท่านก็เหมือนอุปสรรคที่จะทดสอบกำลังใจของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ที่ท่านทำกํเพราะก็มีหน้าที่ต้องดูแลทดสอบกำลังใจเป็นปราการด่านสำคัญที่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ไม้เว้นแม้เเต่พระพุทธเจ้าหรือเทพพรหมทั้งหลาย

    ถ้าตัวเราดีจริงจะไปกลัวอะไร มารมันก็อยู่ในใจเรานั่นเเหละ ท่านเป็นถึงจอมภพ จอมฟ้า เป็นกษัตริย์ของเทวดาในฝ่ายมาร ซึ่งมีทิพย์กายเเละทิพย์ภาวะสูงส่งเหนือพิภพทั้ง6แห่งสรวงสวรรค์ อย่าไปก้าวล่วงหรือพูดจาดูหมิ่นท่านมันจะเป็นเสนียดปากเป็นอกุศลเเก่ความคิดตัวเอง เหมือนเราจับผิดพ่อแม่เรา ดูถูกบุพการีของเรานั่นเเหละ ไม่มีเทวดาตำเเหน่งไหนหรอกที่ตั้งขึ้นมาเล่นๆเสวยสุขโดยไม่ต้องทำงานอะไร ยิ่งอยู่สูงภาระก็ยิ่งมากการทรงงานก็ยิ่งหนัก ถ้าการทำงานทำให้คนต้องมองพระองค์ในเเง่ลบตำเเหน่งนี้ใครเขาจะอยากทำ แค่มาอยู่ก็เหมือนโดนตีหน้าเเล้วว่าไม่ดีซึ่งต้องเเยกให้ออกระหว่างหน้าที่กับมหากรุณาของมหาโพธิสัตว์ใหญ่จะเอามาพูดให้แปดเปื้อนไม่ได้เพราะพระคุณส่วนนี้เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ สำหรับพระองค์ท่านซึ่งมีตำเเหน่งอยู่ในอนาคตวงศ์ทั้ง10ด้วย ก็มีหน้าที่ของพระมหาโพธิสัตว์อันมีพระชาติเเน่นอนเเล้วเพิ่มทวีขึ้นไปอีกการทรงงานก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เราเพียงเเค่บอกได้ว่าควรจะเคารพท่าน เพราะอนาคตเราอาจเกิดในยุคของท่านถ้าเราไม่ทันการบรรลุสัจธรรมก็อาจจะได้รอรับการโปรดจากท่านแบบนี้ เรื่องนี้เเม้เเต่โบราณจารย์ยังจับมาทำเคล็ดวิชาสร้างตัวนะขึ้นมาก็มี เรียกว่าวิชาพญามารกลับใจ การกลับของท่านนี่คือกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือจากก้นเหวเป็นผืนฟ้าไม่เหลือภาพลักษณ์เดิมๆเลยทีเดียว ก็ทำให้ได้มีหัวข้อสนทนากับพ่ออาจารย์เพิ่มเลยได้มาพิมพ์ไว้ให้อานกันเป็นวิทยาทาน
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    คาถาตอนเช้าๆ

    จะกล่าวถึงวิชาเสือสมิงของพ่ออาจารย์ ก็พอดีท่านให้พระคาถามาใช้กับเสือพยนต์ของท่านก็เลยเอามาลงให้เป็นวิทยาทาน เพราะว่าแปลกดี

    ในความคิดเราเสือจะต้องเป็นอำนาจเเต่นี่ใช้ได้หลายทางเป็นเสน่ห์ในตัวเองด้วย
    ราชสีโห มหานามะ เทวันโน สีหนาทกัง พุทธสังสีนะลาเท นะมาปัตเถราเชยยะ

    ท่านให้มาอาราธนาเสือท่านอมไว้ในปาก เป็นตบะเดชะ สะกดสรรพชีวิตโดยทั่วให้หวั่นเกรงครั่นคร้ามเกรงใจเรา

    ถ้าจะให้เป็นเสน่ห์ท่านให้เล่นลมหายใจตัวเอง ภาวนา7คาบลมหายใจ ท่านบอกว่าเป็นเสน่ห์ชู้สาว สมดั่งกับคำที่ว่าเสือผู้หญิงนั้นเลย

    เห็นว่าแปลกดีเอามาลงไว้ ผมชอบคำว่าเสือผู้หญิง555+
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    เรื่องพระสมเด็จองค์ปฐม

    พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งโลกธาตุ ทรงค้นพบวิชาว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อความพ้นทุกข์และสำเร็จตามพระประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติรวบรวมพระสูตรพร้อมทั้งทรงฝึกบุคคลเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และฝึกบุคคลเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์

    ระยะเวลาที่ทรงตั้งพระทัยมั่นค้นคว้าโดยไม่มีแบบอย่างและไม่มีครูผู้ฝึกเป็นเวลาประมาณมิได้แค่พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบ วิริยะธิกะพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำเพ็ญบารมียาวนานมากคือรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขย โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ
    1. ปรารถนาในใจ ๒๘ อสงไขย
    2. เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย จึงได้เป็นนิตยะโพธิสัตว์
    3. รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกจึงบำเพ็ญบารมีต่ออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะถึงกาลมาตรัสรู้ได้

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจะต้องทรงใช้เวลานานสักเท่าใดกว่าพระองค์จะทรงมาตรัสรู้สั่งสอนสรรพสัตว์และสืบทอดพุทธวงศ์ได้ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธวงศ์พระสัทธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และจุดประกายความสว่างในจักรวาลให้โลกได้เริ่มรู้จักการสั่งสมบุญบารมี

    เมื่อทรงใช้เวลาอันมิอาจจะประมาณได้จนพระองค์สามารถสรุปแนวทางอันแน่นอนแล้วก็ยังทรงเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่นานกว่า ๔๐ อสงไขย จึงทรงดูกาลที่จะทรงลงมาตรัสรู้บนโลกในพระชาติสุดท้าย ขณะนั้นมนุษย์มีอายุขัยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี หลังจากทรงผนวชได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก จึงถือเป็นการอุบัติแห่งปฐมบรมครูพระผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่งของโลกธาตุทุกสรรพวิชาในจักรวาลที่ไม่มีใครเทียบและเสมอเหมือนพระองค์ได้ ทรงโปรดเวไนยสัตว์และประกาศพระสัทธรรมสร้างรากฐานก่อตั้งพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

    พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขี แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ต่อมาก็ทรงมีพระนามซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงขอถวายพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงสมควรยกย่องพระองค์เป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง ส่วนพระนามอื่นๆนั้น ชนทั่วไปยกย่องเรียกขานพระนามอีกมากมายเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ได้ทรงรับการกล่าวขานพระนามมากมายเช่นกันด้วยความเคารพความศรัทธาอย่างยิ่ง

    คณาจารย์ครูบาอาจารย์ผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาด้วยท่านเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งพุทธวงศ์มา จึงมีความรู้ตามวิสัยแห่งพุทธะไปด้วยและท่านที่มีความกล้าหาญอดทนเป็นอย่างยิ่งที่นำเรื่องสมเด็จองค์ปฐมมาเผยแผ่ให้ชนทั้งหลายไม่ลืมต้นกำเนิดแห่งพุทธวงศ์ คือ พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เด่นชัดที่สุด ต่อมาสายหลวงปู่ปาน โสนันโท วัดบางนมโค, ศิษย์สายหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก, หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ แม่วาง เชียงใหม่ และน่าจะมีอีกหลายท่านแต่ยังไม่ถึงกาลเวลาหรืออย่างไรจึงยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควรบัดนี้น่าจะถึงกาลเวลาที่ผู้รู้จะได้ยังกิจนี้ให้สมบูรณ์ เพื่อประโยชน์เกื้อหนุนแก่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไม่มีประมาณจะยังจิตให้ แก่สรรพสัตว์ได้รักในการบำเพ็ญบารมีในทางที่ไม่ประมาทและเป็นความเจริญในชาติบ้านเมืองอันเป็นจุดนำไปสู่ความเจริญและสันติภาพของโลกด้วย
    การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
    1. ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับแสนมหากัป
    2. ศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขย กับแสนมหากัป
    3. วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย กับแสนมหากัป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • newchin9.jpg
      newchin9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45 KB
      เปิดดู:
      275
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    อานิสงค์ของการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐม

    จะนำอานิสงค์ของการสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมของหลวงพ่อวัดท่าซุง มากล่าวไว้ดังนี้

    ส่วนอานิสงส์ของการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ท่านลุง๒ลุง คือลุงนายบัญชีกับลุงพุฒิ(หมายถึงท่านพระยายมราช) ท่านบอกว่าการสร้างองค์ปฐมนี่ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอกนี่...บัญชีเล่มนี้(คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ท่านบอกถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก เพราะว่าการสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไป ที่เขามีน้อย ๆ บาทสองบาท สิบสตางค์ยี่สิบสตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด ก็ถามว่าบัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอกมันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด

    การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้าบัญชีสีทองไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น

    แม้แต่การหล่อพระรูปองค์ประธานปี36 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเมื่อเสร็จพิธี พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวว่า “พระองค์นี้มีลาภมากนะ”

    * เป็นที่น่าแปลกใจเเละเป็นความเชื่อส่วนตัวของผมว่าพ่ออาจารย์ของเราต้องมีบุญจริงๆที่ได้ดำริสร้าง และหลวงพ่อฤาษีลิงดำเองคงเห็นอะไรในตัวท่านจึงขอสัญญาไว้ แต่ท่านไม่ได้สนับสนุนให้คนบูชาพระเพื่อไปนิพพานโดยปราศจากการทำดีการลงมือปฏิบัติด้วยความเพียรพยายาม ท่านถ่อมตัวว่าเอาไว้เป็นอนุสติให้เราระลึกถึงพระองค์ท่าน แค่คิดระลึกถึงท่านจิตก็เป็นกุศลเเล้ว จิตที่เป็นกุศลหากนำมาฝึกหัดก็จะไปได้เร็ว
    การสร้างพระสมเด็จองค์ปฐมจากมวลสารเดิมของหลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อปานนั้น ให้พวกเราทำบุญร่วมสร้างด้วยกัน เพราะหากไม่มีผู้บูชาท่านก็จะไม่สร้าง นับได้ว่าบุญในการสร้างเป็นของพวกเราโดยเเท้จริง พ่ออาจารย์เป็นเสมือนตัวเเทนของเราที่ลงมือทำลงมือปฏิบัติให้ ท่านเคยออกปากว่า กุศลที่สร้างรูปพระพุทธเจ้าองค์ต้นนี่ใครเขาเป็นเจ้าของก็ขอให้บุญนั้นตกทับหัวทับกบาลเขาทุกคน ให้ติดตัวไปใช้ถึงชาติหน้าภพหน้า พระรูปองค์เล็กๆกับพระประธานองค์ใหญ่ๆสำหรับเราเเล้วก็มีค่าเท่ากันเพราะถือเป็นพระรูป นับได้ 1 องค์เหมือนกัน อยากได้บุญมากอานิสงค์เต็มเปี่ยม เวลารับ ให้เขาใช้ใจรับ อกุศลหนักเบาทั้งหลายที่เคยทำไว้จะงดระงับไปชั่วขณะ ให้เร่งเพียรทำความดีโดยที่มีพระองค์ท่านเป็นสักขีพยาน ชีวิตจะได้เจริญ นับเป็นทางออกหนึ่งสำหรับคนที่ยังผูกเวรผูกกรรมวนเวียนอยู่ในกฏเเห่งกรรม ที่จะลดทอนความรุนเเรงของกรรมที่เขารับได้
    และก็น่าแปลกอีกประเด็นหนึ่งคือ คำพูดของพ่ออาจารย์ที่ท่านนิมิตรเห็นฝูงปลาเต็มไปหมด ปกติท่านจะไม่พูดนิมิตรหลังเสก ที่บอกว่าใครได้ไปแล้วรวยเพราะพ่ออาจารย์ท่านได้นิมิตรตอนเสกแม่พิมพ์และเสกองค์พระเป็นฝูงปลาใหญ่น้อยมากมายหลายพันธุ์ประมาณมิได้ ท่านว่าเป็นครั้งแรกที่เห็นแบบนี้ ท่านหมายถึงปลาเหล่านั้นคือโชคลาภใหญ่น้อยมารอเกยให้เราประมาณมิได้คนได้ไปท่าจะรวยใหญ่
    ซึ่งก็มาสอดคล้องกับการเทหล่อองค์ปฐมองค์ประธานปี36 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่าเมื่อเสร็จพิธี พระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวว่า “พระองค์นี้มีลาภมากนะ”

    สรุปแล้วนอกจากบุญ ยังเป็นพระที่ให้อานิสงค์มากทางโชคลาภเเน่นอน มาทำบุญสร้างกันนะครับ มีจำนวนจำกัดไว้เพียง 99 องค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • imagesCACMX3I7.jpg
      imagesCACMX3I7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.3 KB
      เปิดดู:
      156
    • newchin9.jpg
      newchin9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45 KB
      เปิดดู:
      173
    • SAM_42761.jpg
      SAM_42761.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      177
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    สัพเพเหระ 108 1009

    พดคุยกันเช้าๆ เพราะผมตื่นตี3 ตี4 ทุกวัน ถ้าพิมพ์เช้ามากเดี๋ยวพี่ๆจะสงสัยว่าผมไปเที่ยวมาอีก

    เมื่อคืนเห็นPM ของพี่สาวท่านหนึ่ง ถามเรื่องวัตถุมงคล เห็นว่าเป็นประโยชน์ดีก็จะพูดรวมๆไว้ ก็ตามที่บอกว่าช่วงนี้พ่ออาจารย์ของเราจะออกวัตถุมงคลด้านโชคลาภเยอะกว่าเเต่ก่อน พี่บางท่านก็เข้าใจ เพราะยุคเศรษฐกิจนี้ถ้ามีเงินมันก็จะดูดทุกอย่างเข้ามาเอง ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือสิ่งดีๆอื่นๆ มันต่างจากสมัยก่อนที่ต้องขี่ม้าข้ามหมู่บ้านไปเกี้ยวสาว

    เเต่ว่าประเด็นอยู่ตรงที่มีหลายอย่าง โชคลาภเหมือนกัน จะเลือกบูชาอะไร แล้วเเต่ละอย่างโชคลาภต่างกันยังไง อันนี้บอกคร่าวๆคือ เห็นอะไรเเล้วชอบคิดว่ามันรู้สึกเป้ะเลย แปลว่าอันนั้นแหละใช่ พุทธคุณต้องลองเองถึงจะรู้ เพราะบางคนก็โฉลกต่างกัน เราวัดโฉลกจากอะไร ก็วัดจากความเชื่อของเราเอง บางท่านเข้าวัดไทยชอบทำบุญก็ไหว้พระบูชาเจ้าสัว พระอนุรุทธะเเบบนี้ บางคนเชื่อในเรื่องเจ้าจีน ก็ไปบูชาพระอวโลกิเตศวร ชอบทางพราหมณ์ชอบเข้าวัดเเขกรู้สึกผูกพันธฺ์แบบนี้ก็บูชาพระวิษณุนารายณ์หรือพระศิวะ ก็ทำนองนี้ เราต้องถามใจเราก่อนว่ารู้สึกเคยชินกับอะไรศรัทธาเลื่อมใสอะไร


    พระพุทธคุณ
    เห็นเป็นโอกาสดีที่จะพิมพ์ความรู้ที่ได้จากพ่ออาจารย์มา เพราะท่านทำพระสมเด็จองค์ปฐมพอดี

    มีหลายคนที่ได้ใช้ของท่าน ก็กล่าวยกย่องท่านว่าเป็นฆราวาสเรืองพระเวทย์บ้าง เป็นอริยบุคคลบ้าง คนที่มีตาในชอบกรรมฐานก็บอกเป็นพระโสดาบันเลยไปจนอนาคามี(ดีที่ไม่อรหันต์) บางคนก็ว่าเป็นพระมหาโพธิสัตว์ใหญ่ลงมาทำกิจในโลกมนุษย์

    ฟังหลายปากหลายคนเข้า มันอดสงสัยเเละคันปากไม่ได้ ก็เลยถามจากตัวท่านเอาเสียตรงๆเลย ท่านก็ยิ้มเล็กๆไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพียงเเต่พูดกับเราว่า รู้ไปแล้วช่วยทำให้คุณมีอะไรดีขึ้นรึเปล่า เราก็เป็นคนธรรมดานี่แหละเหมือนเธอเหมือนคนอื่นยังมีธาตุขันธ์ประกอบกันไม่ได้มีอะไรเเตกต่าง

    ฟังๆดูก็คิดว่าถ้าซักต่อไปจะไม่งามเพราะท่านถ่อมตัวขนาดนี้เเล้ว ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุย ท่านก็เล่าเรื่องสมัยอยู่ป่าถือธุดงค์ให้ฟัง ท่านว่าป่าสมัยก่อนมีอาถรรพ์มากนะ เวลามืดนี่คือมืดสนิท ถ้าโชคดีหน่อยพระจันทร์เต็มดวงมีดาวเยอะก็พอจะมีเเสงสว่างบ้าง เเต่ก็สวยงามนะ สวยมาก เธอเคยเห็นฟ้าที่มืดสนิทเเต่มีดาวเต็มทั้งท้องฟ้ามั๊ยล่ะ จินตนาการไม่ออกเลยเเหละว่างามขนาดไหน

    ก็เลยถามเรื่องผีกับท่านว่าท่านผ่านตรงนี้มาผ่านจุดๆนี้มา เคยเจอจังๆมั๊ย ท่านก็เมตตาเล่าให้เราฟังว่า สมัยก่อนที่เชียงใหม่บนดอย... ท่านได้ยินชาวบ้านพูดกันหนาหูเรื่องผีปอป ว่ามีผู้หญิงคนนี้เป็นปอป ซึ่งเขาเป็นเเบบสืบทอดลงมาเลยในตระกูลของเขา เราก็เลยลงพื้นที่ไปสำรวจก็รู้ว่าเป็นความจริง พอมีคนอาราธนาให้ไปปราบเพราะทนความเดือดร้อนกันไม่ไหว เราก็แบกกลดไปขออนุญาติปักกลดอยู่บริเวณบ้านข้างๆที่ติดๆกันกับเขา คิดในใจว่าจะดูลาดเลาเสียก่อนคืนหนึ่งค่อยเข้าไป ปรากฏว่าตอนกลางคืน บรรยากาศก็เริ่มผิดปกติ เราก็เข้าสมาธิไม่สนใจอะไร ภาวนาไปตามเเบบเดิมๆ พอออกจากสมาธิ เราเห็นนกฮูกตัวใหญ่ตาใสแป๋ว เขามาเกาะอยู่ตรงต้นไม้ใกล้ๆกับเราเเล้วก็มองมาทางเราอยู่นาน จากนั้นเขาบินไปเกาะตรงบ้านของคนที่เป็นปอปนี้ เรามองตามไปเพราะระยะสายตาไม่ได้ไกลกันมาก นกฮูกตัวนั้นบินหายเข้าไปในบ้านต่อหน้าต่อตาเรา เราก็มีจิตรู้อยู่ในใจว่าไม่รอดเเล้วต้องตายแน่นอน เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นข่าวไปทั้งหมู่บ้าน เพราะคนที่ชาวบ้านกลัวหนักหนา ผีปอปที่อาละวาดนั้น อยู่ดีๆเธอก็นอนตายเเบบไร้สาเหตุ เราจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร แค่แผ่เมตตาให้เขาไปเฉยๆตอนออกจากสมาธิเท่านั้น

    ท่านเล่าว่าในชนบทที่ห่างไกลความเจริญเเม้ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ พวกเดรัจฉานวิชาเเละผีต่างๆที่คนรุ่นก่อนได้เจอมาไม่ใช่เรื่องตลกหรือล้อเล่น ภูติผีปีศาจเหล่านี้เขาสร้างความเดือดร้อนจนคนเกรงกลัวเปรียบเสมือนมหันตภัยในสายตาของเขา แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าอำนาจพระพุทธคุณได้

    ก็เลยถามท่านว่าตอนธุดงค์ในป่า เคยเจอแบบจังๆมั๊ย ท่านเล่าว่า ฟังเอาไว้เป็นประสบการณ์นะ เพราะคนรุ่นใหม่คงไม่มีโอกาสได้เห็นเเล้ว มีครั้งหนึ่งเเถวป่าที่เชียงราย ตอนนั้นเราหาที่ปักกลดไม่ได้ เเล้วฟ้าก็มืดมาก มีดชนิดที่มองอะไรไม่เห็นเลย อาจจะเพราะต้นไม้หนาทึบก็เป็นไปได้ เราก็หลงทิศไม่สามารถปักกลดได้ ก็เลยตั้งสติบอกเจ้าป่าเจ้าเขา ขอให้เปิดทางให้กับเราหน่อย เพราะว่ายังไม่ได้ทำวัตรสวดมนต์เลย เเล้วก็เดินสุ่มต่อไปเรื่อยๆประมาณ15นาที เราเห็นแสงวาบๆ เเสงนั้นเป็นเเสงสว่างสีขาววาบขึ้นวาบลงอยู่เเบบนั้น เราก็นึกดีใจว่าในป่าลึกเช่นนี้ทำไมมีคนมาถือไฟฉายเดินอยู่ด้วย ก็เลยรีบเดินไปทางที่เขาอยู พอเข้าไปใกล้ๆ เราก็รู้เลยว่าไม่ใช่คน เป็นผู้ชายผิวซีดผมยาวรุงรังใส่เสื้อผ้าชุดสีเทาๆ แต่ที่หน้าอกของเขา มีแสงสว่างเปล่งออกมาวาบหายวาบหายอยู่ตลอดเวลา เราพยายามจะสนทนาด้วยเขาก็ไม่พูดด้วย ในใจตอนนั้นคิดถึงผีกระสือ ก็เลยคิดว่าหรือจริงๆเเล้วกระสือไม่จำเป็นต้องมีเเต่หัวกับไส้เเต่เดินมาทั้งตัวได้เเบบนี้ แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะไม่ได้เป็นผู้หญิงเเล้วเเถวนี้ก็ไม่ได้มีหมู่บ้านอะไร ก็เลยเดินตามเขาไป เขาพาเราไป อาศัยเเสงสว่างที่ได้จากตัวเขาเราก็หาที่ปักกลดได้

    มาถึงตรงนี้ถามท่านว่าไม่กลัวหรือครับ เป็นผมคงตกใจตาย ท่านบอกว่า ป่าเป็นสถานที่ ที่มีอาถรรพ์ พระธุดงค์ก่อนเข้าป่านี่ก็ต้องเตรียมกำลังใจกันไว้ในระดับหนึ่งเเล้ว เราสมาทานเอาชีวิตถวายเป็นพุทธบูชาไปแล้ว ชีวิตเรานี้เป็นของพระพุทธเจ้า มอบให้ท่านไปแล้ว ถ้าอยู่ก็ดีถ้าตายก็ดี เราไปทำความดีไปอบรมบ่มจิตใจตัวเองจะกลัวอะไร ถ้าตกใจก็มีบ้างเเต่สติเราไม่ได้หายไปกับความตกใจด้วย

    ก็เลยให้ท่านสรุปว่าสิ่งที่ท่านเจอคืออะไร ท่านบอกว่าเราเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน เเต่น่าจะเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาที่เราขอไว้ เราไปอาศัยพื้นที่ท่านเเสวงหาความสงบ ท่านเป็นเจ้าของที่ก็อำนวยความสะดวกให้เรา เราคิดเเต่ง่ายๆแบบนี้แหละ เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องถ้าเก็บมาคิดมากไปจะเป็นปัญหาโลกแตก

    จากที่ฟังท่านเล่าก็เลยเข้าใจว่าพระพุทธคุณนี้ไม่เคยทิ้งผู้ปฏิบัติ แม้จะมีเเต่กลดเเต่บาตรไม่มีอะไรเลย ก็ยังคุ้มครองอยู่เสมอ

    พ่ออาจารย์เล่าว่าสมัยท่านออกบวชนั้น ท่านคิดเสมอว่าตนเองเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดของสังคม เพราะเราต้องขอข้าวเขากินภิกขาจารไปทั่ว เป็นเพศที่อยู่เฉยๆคนก็เอาข้าวมาให้กิน ถ้าเธอเป็นคนธรรมดาไปขอข้าวเขากินใครจะเอามาให้เธอทุกวันจริงมั๊ย ดังนั้นเมื่อกินข้าวของเขา สิ่งที่เราจะตอบเเทนเขาได้ก็คืออุทิศชีวิตของเราเรียนรู้ค้นคว้าปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ เพื่อหวังอานิสงค์เเห่งการปฏิบัติบูชานี้จะได้ตกทอดไปถึงเขา ทดแทนบุญคุณข้าวคำน้ำคำที่เขาต่อชีวิตให้กับเราให้พ้นวันหนึ่งๆมาได้ ตอนบวชก็คิดเสมอเพียงเเค่นี้

    ก็เลยถามท่านต่อว่า มีอะไรดีๆจะเล่าเป็นวิทยาทานอีก ท่านตอบว่าถ้าเรื่องในป่านั้นก็มีเยอะ เล่าทั้งวันก็ไม่จบหรอกเพราะเราออกธุดงค์เสมอๆไปมาทั่วสมัยก่อน พอที่จะพูดจะบอกเเก่เราได้ว่าไม่มีสิ่งใดใหญ่พ้นกรรม ไม่มีอำนาจใดจะเกื้อหนุนช่วยเหลือเราได้มากกว่าอำนาจของพระพุทธคุณหรอก แม้เมื่อจวนตัวจริงๆ ตกไปสู่ที่มืด พุทธคุณก็คือเเสงสว่างที่จะทำลายความมืดให้เราเจอทางออกเสมอๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    ร่วมบุญ

    ข่าวสารนี้ลงไว้ถือว่าร่วมบุญกัน

    ใครมีพระธาตุ พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุต่างๆไว้ในครอบครอง ขอรับบริจาค เพื่อให้พ่ออาจารย์นำมาสร้างพระสมเด็จ

    ท่านปรารถนาจะสร้างพระสมเด็จเนื้อผง ฝังพระธาตุ เสกเก็บไว้ยาวๆเอาไว้เเจกตอนสิ้นปี ใครจะร่วมสร้างทานบารมีกับท่านก็เรียนเชิญได้ ได้ของดีไว้ใช้กันในหมู่พวกเราด้วย

    เเล้วก็ปรอท ถ้าใครมีปรอทของครูบาอาจารย์ต่างๆก็ขอรับบริจาคไว้ พ่อาจารย์ท่านจะนำมาเสกเพิ่มเติมเเละดำเนินการสร้างวัตถุมงคลต่อไป รับรองได้ว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลเเน่นอน
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    พระมหากัสสปะเถระเจ้า

    วันนี้จะมาเล่าเป็นวิทยาทานไว้อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ในอดีตสมัยท่านถือธุดงค์ไปทั่วตามป่าเขา

    เหตุการณ์นี้ทำให้พ่ออาจารยย์ท่านได้รู้จักกับครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นยอดพระอริยสงฆ์ในตำนาน เเละเป้นเหตุการณ์ที่ตัวท่านไม่มีวันลืมเเละนำมาเล่าบ่อยมาก

    ระหว่างที่ท่านอยู่ในป่า และมีความกระหายน้ำอย่างมากเนื่องจากอดน้ำมาเป็นเวลานาน ท่านก็ใช้สติกับความอดทนของท่านพิจารณาไปเรื่อยๆไม่หยุดที่จะเดินเเสวงหาสัจธรรมต่อไป

    เดินมาได้ซักระยะหนึ่ง ท่านได้พบกับหลวงปู่เเก่ๆรูปหนึ่งในใจก็คิดว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญู ธุดงค์ผ่านมาเส้นทางเดียวกับท่าน ก็เกิดความปิติเพราะได้เจอพระเถระอาวุโสในป่าใหญ่ ระลึกได้ จึงรีบเข้าไปกราบนมัสการขอทราบความเป็นอยู่ทุกข์สุขและเส้นทางการเดินป่าตลอดจนเเหล่งน้ำ

    พ่ออาจารย์หรือพระอาจารย์พลในตอนนั้น ได้เข้าไปกราบถามประวัติความเป็นมาของท่าน เเต่สิ่งที่ผิดปกติคือ ปากท่านไม่ได้ขยับ เสียงท่านไม่ได้พูด เเต่สามารถโต้ตอบทำความเข้าใจกับเราได้ด้วยความรู้สึกทางใจ พ่ออาจารย์ท่านเล็งเห็นว่าพระเถระผู้นี้มีญาณสมาบัติที่สูงมากเกินกว่าที่ครูบาอาจารย์เราหลายๆรูปควรจะมี จึงลืมเลือนเรื่องอดน้ำเกิดปิติขึ้นมาในใจอย่างหาที่สุดมิได้ เหมือนมาพบช้างเผือกกลางป่าพ่อแม่ครูอาจารย์กลางดง

    ปากไวเท่าใจคิดท่านจึงถามถึงชื่อและที่พำนักว่าพระคุณเจ้ามาแต่ที่ใด มีความตั้งใจจะจาริกไปถึงไหนจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไรไปเพื่ออะไร

    คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ท่านตกใจพอสมควร แต่เนื่องจากหลวงปู่ขาวได้สอนไว้ ว่าในป่านั้นถ้าเจออะไรผิดปกติอย่าทัก อย่าสงสัย ให้ครองตัวไว้ในสติทำให้ท่านตั้งสติได้เเละไม่ได้ซักถามอะไรต่อไปอีก

    คำตอบที่ทำให้พ่ออาจารย์ถึงกับสะดุ้งนั้น เป็นคำตอบที่ออกมาจากใจเช่นเดิม เพราะท่านคือพระมหากัสสปะเถระ เอตทัคคะเเละอสีติมหาสาวกแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เรื่องราวของท่านได้ไหลเข้ามาสู่สติสัมปชัญญะของพ่ออาจารย์มากมาย

    แม้ในกาลก่อนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยกย่องเเละให้เกียรติท่านไว้ถึงที่สุด ไม่เคยมีพระภิกษุใดที่ได้ครองจีวรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยได้ใช้พุทธบริโภคเดียวกันกับพระองค์ ไม่มีทั้งในอดีตเเละอนาคต นอกจากพระมหากัสสปะผู้นี้ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแลกเปลี่ยนบังสุกุลจีวรมาครองพระพุทธเจ้าครองจีวรของพระมหากัสสปะ เเละพระมหากัสสปะก็ครองจีวรของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดเหตุการณ์ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นมาแล้ว จะเรียกว่าการกระทำของพระพุทธองค์กับพระมหากัสสปะเจ้านั้นเป็นเหตุการณ์ที่ในอดีตไม่มีและอนาคตไม่ปรากฏก็ได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระองค์ท่านอีก ที่ไม่ว่าพระอรหันต์พระองค์ใดก็ตามก็ไม่สามารถจุดพระเพลิงให้ลุกขึ้นมามอดไหม้พระสรีระสังขารได้ จนพระอนุรุทธะต้องบอกกล่าวเเก่ที่ประชุมว่า เหล่าเทพยดาทั้งหลายมีประสงค์จะให้รอพระมหากัสสปะก่อน หากพระมหากัสสปะยังมาไม่ถึงไฟก็จะไม่สามารถลุกไหม้ได้

    พอท่านมาถึงพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่อยู่ในหีบทองก็ได้ปรากฏขึ้นมาตามคำอธิษฐานของพระมหากัสสปะให้ท่านได้ก้มลงกราบนมัสการ เสร็จแล้วก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกโชติช่วงมอดไหม้พระสรีระสังขารเเห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จะเห็นได้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ความสำคัญกับพระมหากัสสปะมากเพียงใด

    แม้ท่านจะนิพพานไปแล้วแต่สรีระสังขารของท่านยังอยู่ รอวันที่พระศรีอาริย์จะมาตรัสรู้เเละเชิญสรีระของท่านออกมาเผาให้มอดไหม้ในฝ่ามือของพระองค์ท่านตามชาติเวรที่ท่านผูกพันธุ์กันมากับพระศรีอาริย์

    ซึ่งการมาของพระมหากัสสปะเถระเจ้าในครั้งนี้ ท่านมาเพื่อชี้ทางให้พ่ออาจารย์ท่านเดินไปเจอลำธาร เเละให้มุ่งหน้าต่อไปตามทิศที่ท่านสั่งก็จะพบกับครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือลูกศิษย์ของท่านนั่นเอง เป็นครูบาอาจารย์ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในปัจจุบันนั่นก็คือหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั่นเอง

    การนิพพานนั้นคือดับสิ้นเเล้วซึ่งกิเลส ไม่เหลือเเม้เเต่กายสังขาร หากเเต่สังขารของท่านยังดำรงค์อยู่เพื่อรอพระศรีอาริย์ ดังนั้นเเล้วก็เป็นเรื่องสุดที่จะหยั่งถึงได้ในพระนิพพานของเราๆท่านๆเเม้เเต่ตัวพ่ออาจารย์เองเพราะว่าท่านก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นเช่นกัน ท่านก็ไม่สามารถจะวิสัชนาได้ว่าคืออะไร

    แต่ที่สำคัญคือพระรัตนตรัยเเละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่ทิ้งผู้มีความอดทนเเละประกอบกรรมดี ให้เผชิญกฏแห่งกรรมโดยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือแน่นอน

    พ่ออาจารย์ท่านก็จดจำรูปพระมหากัสสปะไว้จนชินตา ระลึกถึงท่านเสมอเเละถือว่าท่านเป็นครูผู้ชี้ทางสว่างองค์หนึ่ง เเม้เเต่รูปที่ผมหาในกูเกิ้ลมาประกอบ ท่านก็ยังกล่าวว่าไม่เหมือนเเละไม่ใกล้เคียงเอาเสียเลย มีความลับอะไรอีกมากมายในโลกที่เรายังไม่ล่วงรู้เเละเข้าไม่ถึง ท่านเล่าให้ฟังเล่นๆว่าเวลาเชิญครูพระมหากัสสปะท่านจะมาเป็นดวงแสงลูกใหญ่หมดจดเเละโต้ตอบกับเราได้ทางใจ ถือเป็นครูชั้นยอดอีกองค์หนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงท่านกันมากนักเเละท่านเองก็มีคุณูปการสูงสุดเป็นแบบอย่างเเห่งการถือธุดงควัตรแก่พระโยคาวจรทั้งหมดทั้งปวงนับตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังดำรงค์พระชนม์ชีพอยู่ด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    มวลสารวัตถุมงคล

    วัตถุมงคลนั้นรูปแบบถือเป็นสิ่งสำคัญเพราะจำเป็นต่อการปลุกเสกเพื่อเน้นพุทธคุณด้านต่างๆ แต่ที่ละเลยไม่ได้คือชนวนมวลสาร

    วัตถุมงคลนั้นมีมากมายหลากหลายประเภททั้งพระผง พระหล่อ เนื้อดินเนื้อะไรต่างๆแยกย่อยลงไปอีก

    การหาวัตถุมงคลดีๆมาใช้คู่กายนั้น ให้สังเกตุครูบาอาจารย์สมัยก่อนหลวงปู่ศุข สมเด็จโต หลวงพ่อเงิน และพระเถระทั้งหลาย ท่านจะทำวัตถุมงคลด้วยตัวของท่านเองไม่ว่าสังขารท่านจะเเก่เพียงใด อย่างน้อยก็ต้องให้ศิษย์ที่ดีเสมอท่านมาทำเเละท่านค่อยเสกแบบนี้เป็นต้น ยากนักที่จะหาพระผงโรงงาน รูปหล่อโรงงานในยุคนั้น เพราะพระที่สร้างทุกองค์แฝงไปด้วยความตั้งใจเเละเจตนาดีขององค์ผู้สร้าง พระเหล่านั้นจึงทรงกฤติยาคมเข้มขลังเป็นอมตะและมีสนนราคาสูง

    วัตถุมงคลทั้งหลายนี้ มีหลากหลายชนิด ถ้าเป็นพระหล่อก็ต้องเน้นโลหะเก่าหรือชนวนแผ่นยันต์ เอาว่าเข้มข้นกันเลยทีเดียวเเทบจะไม่ต้องให้มีโลหะใหม่เจือปน แค่คิดจะสร้างผู้สร้างก็ต้องเพียรพยายามเสาะหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ครบแล้ว ซึ่งต่างจากสมัยนี้ ยันต์108 นะปถมัง14นะเทพระได้นับแสนองค์

    พระเนื้อผงเช่นกัน การทำผงเเต่ละชนิดนั้นทำยากเเละเสียเวลามาก กว่าจะทำได้หลายชนิดบางอาจารย์อาจใช้เวลาเกือบค่อนชีวิต ผงเเต่ละแบบมีมวลสารเฉพาะเจาะจงลงไปอีก ก็ไม่เเปลกที่ครูบาอาจารย์จะหวงผงที่ตัวเองสร้างกันมาก สมัยก่อนเวลาทำพระครกหนึ่งต้องตำผงผสมลงไปด้วยใส่กันในปริมาณที่ผู้สร้างพอใจทำกันครกต่อครก ซึ่งมวลสารผงต่างๆนั้นก็มีมากมายหลายสิบหลายร้อยชนิด ตักใส่ชนิดนั้นชนิดนี้ผสมกันไป เเต่พระโรงงานนั้นเขาจะผสมผงให้เราเท่าไหร่ไม่สามารถรู้ได้เลย อีกกรณีหนึ่งคือสมัยโบราณจารย์ผงนั้นท่านลบกันเป็นปี ทำพระได้วาระเดียวก็หมดเเล้ว แต่สมัยนี้มีวิธีเอาผงเก่ามาขยายเเละเหนือสิ่งอื่นใดที่เห็นจนชินตา ผงไม่กี่กระปุก เทผสมก็ไม่หมดเพราะต้องกั๊กไว้ทำพระครั้งต่อๆไป แต่สร้างพระได้รวมทุกเนื้อนับหมื่นนับแสนองค์ ความแตกต่างจากอดีตกับปัจจุบันนั้นก็คือความตั้งใจเเละความประณีตของผู้สร้างนั่นเอง

    ทั้งนี้ก็มาดูกันที่เรื่องว่านยา สมัยก่อนจะทำพระเครื่องต้องออกป่าไปหาว่านยามาตากมาบด เเต่สมัยนี้มีว่าน108ขายบดพร้อมเป็นพุทธพาณิชย์โดยสมบูรณ์ เรียกว่าซื้อไปก็ตักใช้กันได้เลย เเล้วจะเอาความขลังอะไรมาเหมือนสมัยอดีตที่บูรพาจารย์ท่านทำไว้ กว่าจะได้ว่านยาเเต่ละชนิดต้องศึกษากบิลว่านต้องออกป่าหาเเหล่งว่านมีวิธีเก็บกู้เสกโดยเฉพาะเเต่ละอย่าง นี่คือความเหมือนที่เเตกต่างกันที่ผู้บริโภคมักจะลืมนึกถึงไป เพราะวัตถุมงคลที่ดีนี้นอกจากเจตนาดีเเล้ว ตัวชนวนมวลสารเองก็ต้องดีต้องบริสุทธิ์ด้วย องค์ผู้เสกความตั้งใจของผู้สร้างก็เป็นสิ่งสำคัญ

    ยกตัวอย่างเครื่องรางชนิดหนึ่ง นั่นคือเบี้ยแก้ สมัยก่อนนั้น กว่าจะได้เบี้ยซักตัวยากเลือดตาเเทบกระเด็น หลวงปู่รอด หลวงปู่บุญ กว่าจะให้เบี้ยลูกศิษย์ไปบูชาได้อย่างน้อยท่านก็ต้องทำกับมือท่านเองจนมั่นใจเเล้ว ต้องให้เขาเตรียมหอยเตรียมปรอทมาให้เขาเสียเวลาจะได้รู้ค่าของวัตถุมงคล วางทิ้งกันข้ามปีคอยกันหายอยาก อย่างของหลวงปู่ยิ้มนี่ก็ต้องออกเดินทางหาหอยเอง ต้องเลือกลักษณะการตายแบบประกบคู่ด้วยถึงจะเอามาทำเบี้ยแก้ได้ตรงตามตำรา แต่เดี๋ยวนี้เบี้ยแก้มีดาษดื่น ที่วัดทำที่หลวงปู่หลวงพ่อทำเรายังพอรับได้อย่างน้อยก็ผ่านมือท่านก็ยังเสกบ้าง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือทำเป็นธุรกิจ ทำทีละ500ตัว พันตัว สองพันตัว เสร็จเเล้วนิมนต์ปลุกเสกทีเดียวออกในนามวัดนั้นวัดนี้ เริ่มเห็นนจนชินตาเสียแล้วกับพุทธพาณิชย์แบบนี้หอยมีขายเป็นกระสอบ ปรอทมีขายเป็นกิโล ตำราเบี้ยแก้ที่เป็นยอดเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ยอดปรารถนาของผู้นิยมเครื่องรางที่มีอิทธิคุณครอบจักรวาลจึงกลายเป็นของเล่นของตลาดมีให้เห็นกันดาษดื่น ครูบาอาจารย์ผู้รจนาผู้สร้างวิชาเหล่านี้ขึ้นมาถ้าท่านรับทราบท่านจะรู้สึกอย่างไร จากเบี้ยแก้ที่ใช้เเก้ได้ทุกอย่าง ใครมีไว้บูชาก็ร่ำรวยได้เป็นเจ้าสัวเเบบนั้นกลายมาเป็นเบี้ยตลาดที่ห้อยยังไงคนใช้ก็ไม่รวย อันนี้เพียงเเค่ยกตัวอย่างเท่านั้น

    ดังนั้นจึงฝากเป็นข้อคิดเเละคติเตือนใจไว้ ใช้สติพิจารณากันให้ถี่ถ้วนก่อนจะบูชาอะไร ศรัทธาเราห้ามกันไม่ได้ แต่สติปัญญาเราฝึกฝนฝึกใช้ให้ชำนาญได้

    พ่ออาจารย์เองท่านก็อยู่ของท่านแบบเรียบง่ายตามมีตามเกิด จะมีงานมีพิธีที่ไหนเชิญท่านก็ไม่ไป ค่อยๆทำค่อยๆเสกของท่านทยอยๆทำ ซึ่งก็ไม่ได้ทำได้ทุกวันเพราะคำว่าว่างมันก็เป็นอุปสรรคหนึ่งจึงมักจะมีเวลาเเต่ช่วงกลางคืนแต่ก็ขอให้มั่นใจได้ว่าวัตถุมงคลนี้ผ่านมือท่านเเน่นอนทำเองทุกขั้นตอน ขอให้สบายใจ
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    สัพเพเหระ

    ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยสอบถามจากที่ลองนำวัตถุมงคลต่างๆของพระเกจิในยุคนี้ให้พ่ออาจารย์ท่านได้สัมผัส เพราะก็อยากจะทราบว่ายังมีอยู่มั๊ย พระที่มีบารมีดีๆเก่งจริงๆแบบพระเกจิสมัยก่อน

    ซึ่งพ่ออาจารย์ก็ได้ยืนยันเเละยอมรับว่า ยังมี ครูบาออ พระธาตุดอยจอมแวะ กับหลวงปู่พริ้ง วัดซับชมภู สององค์นี้ภูมิจิตภูมิธรรมไม่ธรรมดา มีโอกาสก็ให้ไปทำบุญกับท่าน จะได้บุญมาก และวัตถุมงคลที่ท่านสร้างก็ถือได้ว่ามีพุทธคุณแรง

    ระหว่างนี้ผมก็รอพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ที่ขอให้ท่านทำให้อยู่ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เพราะว่ามาเเรงมากจริงๆ เวลาอยู่ในห้องแอร์เงียบๆและรู้สึกว่ามีแรงกดดันสูงอยู่กับเรา ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พอเดินลงไปข้างล่างช่วง2-3ทุ่ม ไฟก็ติดๆดับๆวาบๆของมันอยู่แบบนั้นทั้งๆที่ไม่มีใครเปิดสวิสไฟเลย เห็นกันทั้งบ้านจนเเม่ตกใจ เราเองยังนึกในใจว่าเหมือนในหนังเลยวุ้ย เพราะปากดีไปพูดจาขอชมบารมีท่าน เพราะเรื่องฝันอาจจะยังไม่ชัวร์ เลยอธิษฐานว่า ถ้าท่านมาจริงๆก็ขอให้ทำอะไรให้เราเห็นหน่อยก็จะเชื่อ

    และอีกอย่างเป็นครั้งแรกที่พ่ออาจารย์นำปรอทเป็นของหลวงปู่ขาวที่เลี้ยงทองคำไว้หลายสิบปีมาบรรจุเข้าไปในองค์พระเจ้าชัยวรมัน ทำให้เป็นวัตถุมงคลที่เพิ่มความเป็นกายสิทธิ์มีฤทธิ์แรงและเร็วเข้าไปอีก

    เรียกได้ว่าเขาพนมกุเลน ตักกศิลาของประเทศกัมพูชา เทือกเขาที่รวมอาถรรพ์ลึกลับต่างๆที่พระธุดงค์หรือผู้เรียนไสยศาสตร์ล้วนปรารถนาอยากจะเข้าไปให้ถึง ก็พระเจ้าชัยวรมันที่2นี่แหละ ที่ประดิษฐานรากเหง้าความเชื่อ ตลอดจนขึ้นไปทำพิธีศักดิ์สิทธิ์และเสด็จมาประทับที่เขาพนมกุเลนนี้ จนกลายเป็นศูนย์กลางสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานเลยก็ว่าได้ เกิดเป็นตำนานผู้วิเศษและฤาษีลึกลับอายุนับพันปีมากมายที่เร้นกายคอยสั่งสอนผู้มีบุญอยู่ในบริเวณเทือกเขาพนมกุเลน ซึ่งก็นับได้ว่าเป็นลูกหลานที่ศึกษาสรรพวิทยามาจากพระองค์อย่างแท้จริง ซ้ำพระองค์ยังมีพระชายาเเละเหล่ามเหสีที่ว่ากันเป็นพญานาค สืบเชื้อสายมาจากวงศ์บาดาล คิดแค่นี้ก็รู้เเล้วว่าพระองค์ต้องเปี่ยมด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์จริงๆ ก็ลุ้นและรอองค์ประจำตัวของผมต่อไป

    ถามเรื่องเศรษฐกิจกับท่าน ท่านก็ไม่ตอบอะไรมาก เพียงเเต่บอกว่าจะค่อยๆดีขึ้น มีช่วงหนึ่งผมย้ำเรื่องเศรษฐกิจบ่อยมาก เพราะท่านพูดเสมอๆ สังเกตุได้เลยว่าคนรอบตัวเรา โดนปลดออกจากงานกันเป็นใบไม้ร่วงเลย ช่วงไหนท่านย้ำท่านพูดอะไรมามีหลายคนตามอ่านก็จะบอกว่าเเม่นจริงๆไม่ใช่พูดไร้สาระ เพราะครูบาอาจารย์เราย่อมจะไม่พูดเปล่าๆโดยเสียประโยชน์แน่นอน

    อีกเรื่องหนึ่งที่ติดใจเรามานาน ก็คืออนาคตเเละการรู้เหตุการณ์ล่งหน้า ผมเรียกว่าอนาคตังสญาณ ว่าพ่ออาจารย์พลต้องมีอะไรเเน่ๆ เพราะท่านแสดงออกให้เราเห็นหลายครั้ง จะไม่ถามเงียบไว้ก็ไม่เข้าท่า ก็เลยลองถามไป เหมือนหลอกถามให้ท่านตอบภูมิจิตภูมิธรรมท่านแบบนั้น ท่านก็รู้เเต่ท่านก็ตอบแบบปัดๆว่า เรารู้เฉพาะเรื่องที่เขาให้เรารู้แล้วก็เปลี่ยนเรื่องทันที

    ซ้ำยังย้อนถามเราด้วยว่าตั้งแต่บูชาพระอนุรุทธะเถระไปภาวนาคาถามาตลอด ก็สมควรจะเห็นจะเจออะไรกับตัวเองเเล้วไม่ใช่รึไง เราก็ยอมรับว่าเห็น แต่เป็นการฝันซึ่งมันแปลก เพราะจะฝันเห็นอนาคตที่เกิดกับตัวเองในช่วงเวลาไม่เกิน1-2วันตลอด บางทีนั่งสมาธิก็มีภาพเข้ามาว่าจะขึ้นรถเมล์สายนี้ยืนอยู่ตรงนี้มีผู้หญิงนั่งตรงนี้ใส่เสื้อสีนี้หน้าตาแบบนี้ บางทีก็จะเดินทางไปตรงนี้สถานที่นี้ลักษณะรอบๆเป็นแบบนี้ทั้งๆที่ไม่ได้คิดมาก่อน ก็ตอบท่านไปว่าตกใจเหมือนกันพอไปถึง เหมือนในฝันเลยนี่น่า แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเพราะเห็นแบบนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ชัวิตเรามีอะไรดีขึ้น เห็นเเต่เรื่องไร้สาระ

    แต่มีอยู่เพิ่งไม่กี่วันนี้ จะไปเที่ยวนี่แหละ เดินยิ้มแย้มปกติอยู่ดีๆก็มีอาการเดินไปสะดุ้งไป เหมือนมีพลังงานรุนเเรงพยายามจะเข้ามาในตัวเรารู้สึกอย่างกับโดนฟ้าผ่ายังไงแบบนั้น พุ่งเข้ามาทางหัวเป็นอยู่2-3ครั้งติดๆกันเลยเหมือนจะยึดร่างกายเราให้ได้ เดินเซไปเซมาเพราะก้าวขาไม่ออกจนเพื่อนต้องประคองไว้ พวกวินมอไซด์ตรงข้ามยังตะโกนมาถามว่าเราเป็นอะไรรึเปล่า เราก็งงๆเพราะไม่เคยเจอ มองฟ้าก็มืดๆไม่รู้สึกอะไรแปลก แต่ใจเต้นขาสั่นตัวสั่นไปหมดเลย พอไปเที่ยวเสร็จรู้สึกโล่งเหมือนมีอะไรข้างในหลุดออกไปจากตัวเราสองสามรอบ

    ท่านก็เลยเรียกเข้าไปเจิมหน้าเป่าหัว ท่านว่าสัมผัสพิเศษเปิดเเจ่มใสขึ้นกว่าเดิม ให้รักษาอารมณ์กับการปฏิบัติธรรมไว้ เพราะถ้าหลงผิดคิดชั่วทำตัวเองให้เสื่อม ของพวกนี้ก็จะถดถอยไปด้วย เสียเวลามานั่งเริ่มต้นใหม่ ถ้าเกิดอาการแบบนี้อีก ให้จำไว้ว่ากำลังจะทำในสิ่งที่ไม่สมควร ครูบาอาจารย์ไม่อยากเห็นไม่อยากให้ไปก็อย่าไปฝืน ให้กลับไปฝึกให้มากขึ้นจะได้ชำนาญและรู้เห็นอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เป็นเรื่องของตัวเองเฉพาะตัวเอง แบบนี้ที่เขาเรียกว่าเปิดโลก เปิดให้รู้ให้เห็น ก็รู้สึกสะดุ้งนิดๆเหมือนพ่ออาจารย์จะรู้ว่าเราไปเที่ยวมา ก็ยังคิดดีใจว่าดีนะที่ของไม่เสื่อม เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลจากที่ได้บูชาพระอนุรุทธะเถระมา

    ที่สังเกตุได้จากตัวเราอีกอย่างก็คือแคล้วคลาด เพราะหลายครั้งที่มีความรู้สึกเหมือนรถจะชน เเต่ก็ไม่ชนซักที เพราะเวลาเดินตามถนนไม่ค่อยจะมองหรือสนใจอะไรบางทีก็เดินไปอ่านพวกหนังสือไป ซักแป้ปก็เหมือนจะโดนรถเฉี่ยว เเต่ทุกครั้งเฉี่ยวเเค่เเขนเสื้อเราไปนิดๆ ไม่เคยโดนเนื้อตัวเราเลย อันนี้สังเกตจากตัวเอง เพราะรู้สึกว่าเจอทุกวัน รถบางคันยังจอดมามองหน้าเราเลยเพราะนึกว่าจะชนหรือเฉี่ยวเราไปแล้ว

    อีกเรื่องหนึ่ง ได้ยินพ่ออาจารย์พูดมาสองรอบเเล้ว ว่าช่วงนี้ให้ระวังคนเล่นคุณปล่อยของเอาไว้ เพราะมีเยอะเเละมีมากขึ้น สมัยนี้แปลก คนหันไปสนใจวัตถุอาถรรพ์เลี้ยงผีเลี้ยงพรายกันมากแสวงหาไสยศาสตร์ฝ่ายต่ำ คนทำก็คุมไม่ได้ คนเลี้ยงก็ทิ้งขว้างไม่ก็คุมไม่อยู่ อันตรายเกิดกับตัวเองก็ยังนับว่าดีหน่อย เพราะหาเรื่องเองรับกรรมเองก็เป็นสิ่งสมควรจะได้จำเเละเลิก เเต่ถ้าร้ายไปตกกับคนรอบข้างคนที่เขาไม่รู้อะไรด้วยนี่แหละน่ากลัว เราเองก็เจอมาสามวันติดๆกันเเล้วกับคุณไสยที่เขาปล่อยมาในอากาศ คุณไสยเหล่านี้มีทั้งปล่อยออกไปแบบเฉพาะเจาะจงให้ทำร้ายใครเป็นคนๆก็มี หรือปล่อยออกไปไม่ได้เจาะจงเลือกคนรับก็มีใครดวงตกหรือปากพล่อยไปรับเข้ามานี่ยิ่งกว่าเจอภัยพิบัติกับชีวิตเขาเองเสียอีก ถ้าไม่รู้ตัวมันจะส่งผลในระยะยาว ก็ให้ระวังตัวกันไว้ ถ้าคนไหว้พระสวดมนต์หรือมีครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษานี่ก็ไม่เป็นไร

    ก็มาลงเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงเเละถือว่าสดุดีครูบาอาจารย์ไปเลยเสียทีเดียว เพราะที่เราไม่รู้ไม่เห็น เพราะมีท่านเราจึงได้รู้ได้เห็น ลงไว้เป็นอาจาริยบูชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,116
    ค่าพลัง:
    +16,533
    เจ้ากรรมนายเวร

    พ่ออาจารย์ได้กล่าวและอธิบาย ถึงเหตุผลเเห่งความตกต่ำและอุปสรรคปัญหาชีวิตของคนเรา ซึ่งส่งผลครอบคลุมในวงกว้าง ทั้งเรื่องสุขภาพ ปัญหาส่วนตัว เพื่อน คู่ครอง การงานหน้าที่และอื่นๆอีกมากมาย ดังนี้

    ชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลงไม่แน่นอน ด้วยชีวิตนั้นเป็นไปตามกฏแห่งกรรมที่ตามสนองตนเอง อันเป็นสิ่งที่ตนได้กระทำสั่งสมมา ทุกๆชาติที่เราเกิดนั้น จะมีมั๊ยที่ไม่ได้ผูกเวรกับผู้ใด

    กฏแห่งกรรมที่เราได้ลงมือทำเองนั้น ได้จัดสรรค์ภพชาติใหม่ให้แก่เรา กฏแห่งกรรมที่เราเคยทำไว้นั้นได้จัดสรรค์ชีวิตเราทั้งหมด รวมไปถึงบิดารมารดาญาติใกล้ชิดเพื่อนสนิทต่างๆ ล้วนเเต่เคยผูกชาติผูกเวรมีกรรมร่วมกันมาถึงต้องเกืดมาเจอกันอีก

    อันเจ้ากรรมนายเวรเจ้าบุญนายคุณนี้ ไม่มีผู้ใดเลยจะสามารถหลีกหนีได้ เพราะเป็นลีลาเเละท่วงทำนองเเห่งชีวิตของเรา ที่ต้องดำเนินไปตามกรรมที่เราเองได้ลิขิตขึ้นมา เจ้ากรรมนายเวรเจ้าบญนายคุณเจ้าเคราะห์นายบาปทั้งหลายเหล่านี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีหลายจำพวก

    ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตเรา คอยช่วยเหลือเกื้อกูลเราก็มี คอยขัดแข้งขัดขากลั่นแกล้งใส่ร้ายเราก็มี

    แต่ที่หนักกว่านั้น ที่มีชีวิตอยู่เรายังพอได้เห็น เเต่ที่ตามเราแบบไม่มีชีวิตนี่สิ ทำอย่างไรเราจะรู้จะเห็น ที่ตามมาด้วยความระลึกถึงอาจเคยผูกพันธ์กันเคยช่วยเหลือกันก็ดีไป เพราะเขาตามมาอำนวยพรให้โชคลาภแก่เรา

    แต่แน่หรือที่จะมีดีมาสงเคราะห์มากกว่าร้าย หนักหน่อยเจอพร้อมๆกันทั้งที่ตาเห็นเเละไม่เห็นเลยก็มี พอมีคนขัดแข้งขัดขาชะตาตกผีซ้ำด้ามพลอยเจอเรื่องเลวร้ายถาโถมเข้าใส่ทำให้ชีวิตถึงจุดตกต่ำไปก็มี จะโทษใครเขาก็ไม่ได้ ก็เนื่องจากกฏแห่งกรรมเองที่เราเป็นคนทำ ทำให้เขามาตามมาทวงมาเเก้เเค้นของเขา

    แค่ผีร้ายวิญญาณเฮี้ยนยังพอว่า ถ้าเป็นภูติพรายก็จะยิ่งส่งผลให้เราหนักกว่าเก่าเพราะจำพวกนี้จะมีฤทธิ์มากขึ้น ซ้ำร้ายกว่านั้นถ้าคู่กรรมคู่เวรเราไปเกิดเป็นมหิทธิกาเปรตหรือปีศาจและอสูรกายเเล้ว จำพวกนี้ในส่วนใหญ่จะไม่มีอารมณ์ยับยั้งชั่งใจเลย ผลร้ายที่เขาจะสนองเรานั้นรุนเเรงชนิดที่ว่าอยากจะตายจากโลกเสียให้พ้นๆไปก็มี หนักกว่านั้น ถ้าคู่กรรมคู่เวรเป็นเทวดาที่มีลำดับศักดิ์สูงถึงชั้นมเหศักดิ์เทวราชก็จะมีบริวารมากมายเข้าไปอีก เทพบางองค์ก็ดำรงค์ตนดีเป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐินั้นก็มาก ถ้ามีความแค้นเป็นละอองธุลีนัยน์ตาเเล้วเทพเจ้าก็คือมารดีๆนี่เอง

    จะเห็นได้ว่าการผูกภพชาติผูกเวรของเรานั้นไม่มีวันที่จะจบสิ้น มีทั้งดีเเละชั่วปะปนกันไป วันใดเขาระลึกถึงพระคุณเเละความเเค้นเเต่หนหลังได้เขาก็จะมาตามเอาคืนจากเรา

    คนที่เราผูกเวรไว้เราไม่มีทางรู้เลยว่าภพต่อไปเขาจะไปเกิดเป็นอะไรในภพภูมิไหน อย่าสำคัญผิดคิดว่าจะมีเเต่มนุษย์ที่เป็นใหญ่อยู่ในฟ้าดินนั้น ทั้งมนุษย์ เดรัจฉาน เปรต นรก อสูร เทพเจ้า(ในหมวดยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์เเละเทวดา) เทวปุตตมาร พรหม และปลีกย่อยอีกมากมาย จะเห็นได้ว่ามีภพภูมิซ้อนทับเราอยู่มากประมาณมิได้ ภพภูมิเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งรอรับการผุดเกิดเวียนว่าย ที่ไม่มีวันจบสิ้นตราบใดที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงสัจธรรมได้

    เจ้ากรรมนายเวรเจ้าบุญนายคุณเจ้าเคราะห์นายบาปนายชะตาเหล่านี้ มีหน้าที่สนองคุณและเพ่งโทษเเก่เรา ที่ให้คุณก็อยู่ในส่วนของเขา ประสบช่องก็คอยช่วยเหลือ ที่เพ่งโทษเห็นช่องโหว่ที่จะกลั่นแกล้งซ้ำเติมได้เขาก็ไม่ยับยั้งเหมือนกัน มนุษย์นั้นร้ายมากกว่าดีคนเกลียดมากกว่าคนรัก แต่ละภพชาตินั้นจึงคิดไม่ออกคำนวณไม่ได้เลยว่าไปทำอะไรใครมาบ้าง

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ไขและบรรเทาโทษเหล่านั้นอยู่เลย นอกจากการสวดมนต์ให้ทานเเผ่เมตตาให้เขาให้พอทุเลาลงในระดับหนึ่งแล้ว

    มติเเห่งครูบาอาจารย์วิชาทางไสยศาสตร์ก็ยังมีวิธีแก้เคราะห์กรรมที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรให้ได้ผลชะงักเช่นกัน ซึ่งพ่ออาจารย์เองก้ได้พิจารณาเห็นควรว่าจะทำ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ผู้ยากที่ยังรับผลอยู่ในกฏแห่งกรรมเหล่านี้ ให้คลายปมคลายความอาฆาตพยาบาท และตราบใดที่ยังบูชาอยู่เจ้ากรรมนายเวรฝ่ายบาปเคราะห์นั้นย่อมไม่สามารถส่งผลแก่เราได้

    พ่ออาจารย์หวังจะให้ได้ใช้เวลาในช่วงชีวิตที่เหลือนั้นที่เจ้ากรรมนายเวรไม่ส่งผลด้วยอิทธิคุณอำนาจเเห่งพระเวทย์เเละไสยวิธี ให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเเผ่เมตตาให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นคลายความโกรธเกรี้ยวลง และต้องปฏิบัติบ่อยๆสม่ำเสมอด้วย เพราะว่าหากพ้นภพชาตินี้แล้ว ภพชาติใหม่เราก็จะเจอแบบเดิมอีกหากเราไม่รู้จักปลดปล่อยพันธะของเวรกรรมเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง

    ก็คอยติดตามกันไว้ ใครมีฟันของบิดามารดาก็เตรียมส่งมาได้เลยถือเป็นวัตถุมงคลประจำตัวเราเอง ถ้าได้ฟันพ่อฟันเเม่จะยิ่งเป็นมงคลเพราะจะได้ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยคุณแห่งบิดามารดา เหมือนอาราธนาพระอรหันต์เอาไว้กับตัว ชีวิตจะไม่รู้ชั่วเเละไม่ตกไปสู่ที่ต่ำ

    นอกจากนี้ผ้าถุงของเเม่ถ้าใครมีก็ตัดเป็นชิ้นเล็กๆไว้คู่กับฟันส่งมาได้ เป็นวัตถุมงคลที่ทำให้เฉพาะตัวของใครของมัน วันเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก อันนี้สำคัญมาก ถ้าไม่ลืมเวลาตกฟากจะยิ่งดี

    พ่ออาจารย์ถือว่าท่านช่วยทำช่วยเสกของเพื่ออนุเคราะห์ลูกๆผู้ประสบปัญหาเเละความเดือดร้อนโดยเฉพาะ อันนี้ก้ติดตามกันดีๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...