กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ท่าน Nopphakan พูดเกริ่นนำร่องมาแบบนี้
    ..ภาษาบอลเรียกว่า..เขี่ยลูกมา..ให้ยิงประตู..อิอิ เข้าทางล่ะจ่ะ

    พระท่านรูปที่กล่าวถึง..นั้นพระอาจารย์ท่านก็แนะนำว่า
    ควรเข้าไปกราบ.. ฝึกขอความรู้คุณธรรมจากท่าน ท่านเมตตาสูง คุณธรรมด้านอภิญญาท่านก็สูงแต่ท่านมักเน้นไปทางเมตตา

    ด้านภูมิวิปัสนาญาณท่านก็เลิศล้ำ....ญาณหยั่งรู้วาระต่างๆชำนาญก็ว่องไวนัก

    หลวงปู่ท่าน...จะแนะนำแก้ไขการประพฤติปฏิบัติให้ถูกจริตเหมาะกับแต่ละบุคคล
    ตามพื้นภูมิสันดานเดิมแต่อดีตกรรม
    การเดินทางคุณธรรมก็จะไปได้รวดเร็ว

    สถานที่การบำเพ็ญก็เหมาะสม ป่าไม้ใหญ่ ร่มเย็น อาคารที่พักก็สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก
    ข้อบังคับกฏเกณท์ต่างๆก็ไม่เคร่งครัด หรือย่อหย่อนจนเกินไป

    พระอาจารย์กระผมท่านก็ว่า...มีโอกาสก็ควรไปศึกษาจากท่านให้ได้...
    เอ็งไป... ท่านก็รู้แล้วว่าเอ็งลูกศิษย์ข้า...

    ว่าแล้วต้อง....เดินทางไปกราบศึกษาธรรมจากท่านให้ได้

    +++++++++

    และแล้ว...ติ๊งเน่ง เต่งเตง..ๆๆ

    วันหนึ่งก็เดินทางไปที่วัดแห่งนี้...พร้อมกับครอบครัวของเพื่อนรุ่นน้อง
    ที่ภรรยาและลูกสาวน้อยน่ารัก วัยอายุไม่กี่เดือนไปด้วย

    นับเป็นช่วงจังหวะดี...ยิ่งนัก

    หลวงปู่ท่านกำลังออกมารับญาติโยมที่เรือนรับรองหลังเล็ก ..นอกเวลาเดิมพอดีเชียว
    ท่านทักท่านถามไถ่.. ญาติมาโยมทุกคน..ได้รับแจกแบงค์ 20 บาทจากหลวงปู่กันถ้วนหน้า
    โดยเฉพาะเจ้าหลานตัวเล็ก ท่านดูเหมือนจะเอ็นดูเป็นพิเศษ..

    เพราะเจ้าหนูแกจะยิ้มหัวเราะชอบใจ เวลาหลวงปู่ทัก ...จะว่าเป็นเด็กขี้ประจบ ก็ไม่น่าเกลียดอ่ะ
    ..ได้ตังต์คามือไปตั้งหลายแบงค์..อ่ะ อิจฉาว่ะ

    พ่อแม่เด็ก..รวมทั้งในเรือนกุฎิ ได้แบงค์มงคลจากหลวงปู่.. หน้าชื่นหน้าบานกันทุกคน

    แต่มีอยู่คน ในเรือนนั้นที่ไม่ได้อะไรเลย..จะทักถามสักคำก็ไม่มี ทั้งที่อยู่ด้านหน้าใกล้ท่าน
    แขกไปใครมา..ท่านถามหมดด้วยความเมตตา
    แล้วมีเว้นอยู่คน...ให้ทายว่าคนนั้นคือใคร..เอ้อ???

    คน..คนนี้พยายามยื่นมือรับแบงค์จากท่าน หลวงปู่ท่านก็ไม่ให้...
    คน..คนพยายามจะพูดกับท่าน...หลวงปู่ท่านก็ไม่สนใจ
    คน..คนนี้...ท่านเดินผ่านไป-มา เล่นกับเด็กใกล้ๆต่อหน้า
    แล้วก็ให้เรา.....ไม่มีตัวตนซะงั้น
    เอ..สงสัยหรือว่า.....เราหายตัวได้นะนี่!!!!

    แล้วให้ทายว่าคนนั้นคือใคร..เอ้อ??? อยู่กันหลายสิบคน เว้นเราอยู่นั่นล่ะ

    จนเพื่อนรุ่นน้องแปลกใจ!!

    "เอ่อพี่ เหมือนหลวงปู่ท่านแกล้งพี่เลยเนอะ"
    ไม่รู้มันพูดด้วยเห็นใจ หรือสมเพชเรากันแน่

    (พ่อแม่,,ลูกชุดนี้..ได้ตั้งหลายแบงค์ คิดจะแบ่งซักใบมั๊ย....น้ำใจ อ่ะเงียบมิด)

    เราก็ได้แต่อมยิ้มแบบมีเลศนัย...แล้วกลับไปฟ้องพระอาจารย์ถ้ำ
    (ตามประสา...คนชอบขี่ม้า 3ศอก..ที่ดี)

    ท่านก็ได้แต่เคี้ยวหมาก...ชอบใจ หัวเราะ หึๆ

    "...เออเอาเถอะน่า ยังไงท่านก็ยังเมตตา...อยู่วันยังค่ำนั่นแหล่ะ"

    เอาวะ..งั้นคราวหน้าลองใหม่


    ======
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2014
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มาโม้ต่อครับ..ได้อ่านเรื่องโดนเว้นครั้งแรกเนี่ย
    บอกตามตรงว่าเป็นอะไรที่ฮามากๆ..อ่านแล้วนึกย้อนถึงเรื่องตัวเองขึ้นมาในเสี้ยว
    วินาทีประหนึ่งว่าเป็นสัญญาความจำได้ที่ยังไม่ลบเลือนออกไปจากจิต...
    ส่วนตัวครั้งแรกที่โดนเว้นนะครับ..ก็ตอนไปวัดมีชื่อที่โคราช
    ที่ อ.ด่านขุนทด ..ท่านเคาะศรีษะแต่ละคน
    ดัง.โป๊กๆ.แป๊ะๆ เราก็ลุ้น.เพราะรู้สึกตื่นเต้นดี..พอท่านเดินมาถึง..
    ท่านก็มายืนมองหน้าเฉยๆ..แล้วก็ไม่เคาะ..๕๕๕๕๕ ท่านก็หันไปเคาะ
    คนที่อยู่ข้างๆเราแทน..ว่าไปก็งงๆ??? ไปอีกแบบ..แต่ไม่เป็นไร..เพราะช่วง
    นั้นยังวัยละอ่อน กระดูกยังนิ่ม เคี้ยวดังกรุ๊บๆ..แต่ๆส่วนตัวพอจะทราบนะครับ
    ว่าท่านมีเหรียญที่ท่านตั้งใจทำเอง..เวลาเจอใครบางคนท่านจะหยิบเอาจากย่าม
    ที่ท่านสะพาย..ว่ากันว่า ในย่ามนั้นปกติทั่วๆไปจะไม่มีของอะไรนะครับ
    ส่วนตัวเชื่อว่า แม้คนใกล้ท่านหลายๆคนก็ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะว่าจะมองไม่
    เห็นอะไร.(
    ฟังหูไว้หูนะครับ)
    และส่วนตัว..เคยได้เห็น..และก็ไม่ลืมที่จะขอ..จากพราหณ์ท่านหนึ่งที่ได้มา ๕๕๕๕
    แต่คำตอบที่ได้คือ ให้ไม่ได้ เพราะเก็บไว้ให้ลูกชาย ๕๕๕
    พอโตขึ้นมาอีกซักหลายหน่อย..ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเย็นมาบ้าง..
    .มีโอกาสไปวัดที่ขึ้นต้นพระพุทธ อยู่อำเภอ เชียงคาน ที่วัดอยู่บนภู ลงท้าย
    ด้วยเงินๆนี่หละครับ.....โอ้ๆๆๆๆ ที่วัดนี้ ลป.ท่านที่อยู่วัดนี้ กระแสเมตตา
    เย็นเหมือนน้ำในลำธารเหมือนๆกับ ลป. บ ที่โคราชเลยนะครับ..
    ท่านก็เตรียมเหรียญของท่านไว้ และก็ลงมือจาร ด้วยตัวท่านเอง.จำได้เลย
    ว่า ๑๖ เหรียญ..คริคริ อย่างไรเสียแล้ว..หนึ่งในนั้นก็ต้องเป็นของข้าพเจ้าแน่ๆ..
    แต่สุดท้าย...ก็เป็นคนเดียวในก๊วนที่ไม่ได้กับเค้า ๕๕๕๕๕๕ ฮิ้ววววววว
    ยังไม่หมดนะ ยังมีที่ไม่ได้อีกกับเค้าแต่ไม่เล่าดีกว่า อายยย

    แต่ๆๆๆ ยังไม่หมดนะครับ.. ต้องขอเกทับ อ.ท๊อป ซะหน่อย ตามประสาวัยรุ่น
    ยังมีตอนที่ไปที่วัด ฉรรพ..อะไรซักอย่างที่ อ.จุตรัส ชัยภูมิ ไปพบพระอาจารย์ สุ.. ไปกัน ๔ ท่าน
    ไอ้เราก็สุดส่าห์ รอคุยช่วงท้ายสุด กะว่าจะโม้มากหน่อย..
    ก่อนหน้านั้นเห็นท่านคุย ท่านดูดวง ให้ใครท่านก็จะมีของแจกให้ทุกคน..
    อย่างน้อยคนละชิ้นสองชิ้น..พอถึงตัวเรา..ก็เงียบเช่นเคย ไร้ซึ่งของแจก
    ใดๆทั้งสิ้น ๕๕๕๕๕ อีก ๓ คนเค้ารับเอารับเอา..๕๕๕๕

    ถ้าจะถามว่ารู้ไหมว่าทำไมไม่ได้ ตอบว่าพอรู้..และจะให้เล่าให้ฟังได้ไหม
    ท่านว่ายังไม่ถึงเวลาที่ควรจะเล่าให้ฟังสู่สาธารณะ เอาฮาๆดีกว่า สนุกดี...

    ปล.ป๋าท๊อป ยังมีเรื่องที่โดนเว้นอะไรอีกที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟังครับ..
     
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ดิฉันมีอยากทราบว่า "จิตใต้สำนึก" คืออะไรคะ ต่างจาก "ความรู้สึก" (อุปปาทาน) อย่างไรคะ ดิฉันได้ยินสรรพนามต่างๆเช่น "จิตเดิมแท้" หรือจิตเห็นจิต , จิตหลอกจิต , ฯลฯ บ้างล่ะ แต่ไม่เข้าใจค่ะ .... ดิฉันขอเล่าสู่กันฟังนะคะ

    มีอยู่ครั้งหนึ่งตัวดิฉันเองมีญาติคนจีนนะคะ พาไปที่บ้านเขาที่บ้านเขาก็กว้างค่ะ กลางบ้านก็มีไว้จัดพิธีกรรมค่ะ ญาติทางนี้เขากินเจค่ะมาจากฝ่ายภรรยาที่สืบกันมาเป็นรุ่นที่ ๗ แล้ว (ภาษาบ้านๆก็ ๗ ชั่วโคตรแล้ว) ญาติเขาบอกว่าเป็นของเจ้าแม่กวนอิม หรือการรับอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับกวนอิม (ตอนแรกดิฉันจับใจความประมาณนี้ค่ะ)
    ... ตอนนั้นน่ะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอกค่ะ หนึ่งคือญาติกัน สองคือพิธีทางศาสนา ดิฉันว่ามันดีหมดแหละ ไปถึงเขาก็ให้จดชื่อ ในนั้นมีพี่คนไทยด้วยค่ะ คนที่รับจดชื่อเราก็เขียนภาษาไทยได้ด้วย ตัวหนังสืองี้ดิฉันอายเลยค่ะลายมือสวย จากนั้นก็ทำตามที่เขาบอก ส่วนรายละเอียดในพิธีดิฉันขอข้ามนะคะ .....

    เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาต่างคนต่างกลับ ดิฉันเองพอมาถึงบ้านได้สักครู่ ก็เกิดอาการค่ะ คือ .. ไม่ใช่ผีเข้าหรืออะไรนะคะ แต่เหมือนกับจิตสั่งให้ดิฉันไปที่หน้าหิ้งพระแล้วคุกเข่าก้มลงกราบ ๓ ครั้ง แล้วมันโพล่งออกมาเลยค่ะ พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ .... มันเหมือนตัวดิฉัน คือ สติตามจิตไม่ทันค่ะ แต่ก็ทำไปแล้วด้วยความงงๆ ก็แปลกใจนะคะ และต่อมาไม่นานดิฉันก็ถึงบางอ้อ เมื่อไปเจอกระทู้หนึ่งที่ตอนนี้ล๊อคกุญแจไปแล้วในห้องพุทธภูมิ คือ ในพิธีเขาให้รหัสลับมาเขาบอกให้ท่องให้ได้แล้วจะได้ขึ้นข้างบนประมาณนี้ค่ะ เขาว่านี่คือการรับธรรมน่ะค่ะ นึกออกไหมคะ (อ น ต ร ธ ) ....
    นี่คืออาการของจิตในครั้งแรก

    ครั้งที่สอง เมื่อไม่กี่วันมานี้เองค่ะ ดิฉันก็ทำตามปรกติแม้ว่าช่วงหลังๆนี้กำลังใจตกไปเยอะมาก ทำให้ดิฉันคิดถึงคำของหลวงพ่อที่ท่านว่าประมาฯณว่า ถ้าเราไม่ทรงฌาณไว้ตลอดแสดงว่าเราเริ่มเลวแล้ว และคำกล่าวที่ว่า ถ้าเราไม่อยู่ในความดีความชั่วก็จะเข้ามาแทนที่ในทันที (ประมาณนี้นะคะ จำได้คร่าวๆ) ทำให้ดิฉันเห็น"ช่องว่าง" และ "เหตุ" ที่กำลังใจมันตกไปนั่นเองค่ะ
    คือ จิตมันอยู่ในอาการแปลกๆ คือพอดิฉันนั่งลงเริ่มสวดมนต์ยังไม่ถึง ๑๐ วินาที ดิฉันเกิดอาการอึดอัด จิตมันบีบให้เลิกสวด มัน ... ยังไงดีล่ะ มันร้อนในจิต มันไม่สบายอ่ะค่ะ มันรวมความว่าให้เลิกสวดประมาณนี้ค่ะ ดิฉันไม่คิดว่ามันเป็นการทดสอบหรอกนะคะ แต่คิดไปว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายค่ะ ... มันผ่านมาแล้วค่ะ กี่วันนี้เองค่ะ ดิฉันทำยังไงล่ะคะ ดิฉันนั่งสวดไม่ได้ กลัวก็กลัว เลยเดินสวดค่ะ ๕๕๕๕๕ ปฎิบัติธรรมท่านว่า เดิน ยืน นอน นั่ง นี่นา (จริงๆไม่ตลกนะคะ) :'(
    พอคืนต่อมามีอาการเดียวกันอีก ทีนี้ จิตสอบจิตค่ะ มาจากไหนไงไม่รู้ เขาถามว่า ...
    -กลัวอะไร .... ดิฉันก็ตอบไป
    -มั่นใจในศีลไหม ... ผิดศีลมั่งไหม .... ข้อนี้แปลกที่ดิฉันมั่นใจในศีลมากว่าไม่ได้ขาด ตอบแบบฉะฉานซะด้วยสิ
    - ฯลฯ นั่งตอบกันอยู่นาน ดิฉันคิดไปว่า ทำไมจิต จึงอยากให้ดิฉันมีแรงสู้หรือให้มั่นใจ ประมาณนี้ค่ะ


    คำถามคือ เรียกว่า อะไรคะ อาการประมาณนี้ ...

    "จิตใต้สำนึก" เหรอคะ ?
    "อุปปาทาน" เหรอคะ ?
    "??????".......
    จิตแบบนี้เชื่อได้หรือเปล่า ?
    ใช่ "จิตหลอกจิต" หรือเปล่าคะ ?
    ถ้าเป็นคุณนพ คุณนพจะเลิกสวดหรือสวดต่อ ?


    คุณนพคะ ถึงจะไม่เกี่ยวกับการปฎิบัติเท่าไหร่ แต่คิดว่าใกล้เคียงนะคะ

    สนทนาธรรมตามกาลค่ะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อืมๆครับ.ครั้งนี้คิดว่าคงไม่เหมาะที่ส่วนตัวจะอธิบายให้คุณอ่านละเอียดนะครับ..
    เพราะได้เขียนไปแล้วยาวมากแต่ก็ดันไปกดลบทิ้งซะงั้น.คงมีเหตุอะไรบางอย่าง..
    เอาว่าจะเขียนให้เป็นเรื่องสนทนาตามกาลและมีข้อเขียนให้ลองไปพิจารณาดู
    แล้วเทียบเองนะครับว่าตรงกับสภาวะใดๆ..

    ปกติเนาะ นักปฏิบัติถ้าจะก้าวพ้นสภาวะไปอีกระดับหนึ่งจะต้องเจอบทสอบ
    อยู่ประจำจนกว่าเราจะถึงระดับอยู่เหนือบุญเหนือบาปทุกๆอย่างที่เราทำเป็น
    เพียงกิริยาเท่านั้น ปฏิบัติหน้าที่ของเราไปโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก.
    และรอวันที่วาระมาถึง แล้วก็ไปเหมือนๆห่มเหลืองหลายๆท่านที่มีชื่อ
    และไม่มีชื่อทั้งหลาย..โดยปกติแล้วนักปฏิบัติถ้าเป็นฆารวาสก็จะเจอ
    บททดสอบจนถึงวินาทีที่จะสิ้นใจนั่นหละครับ.เพราะฉนั้นไม่ต้องให้นำหนักมากครับ
    เพราะอย่างไร ก็ต้องสอบตกมากกว่าสอบผ่านแน่นอน .

    เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องนามธรรม ให้อ่านแล้วพิจารณาตามดีๆนะครับ..
    ข้อความ ข้างล่างให้อ่านก่อนให้ดีๆ
    ๑.นักปฏิบัติที่พอมีความสามารถทางจิตไม่ว่าจะเคยสัมผัสนามธรรม
    แบบไหนมาหรือแม้กระทั้งจะยกกายทิพย์ออกจากร่างได้.
    จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าตัวเองไม่มีสติทางธรรม
    ถ้าไม่สามารถแยกกายกับจิตในระดับกำลังสมาธิระดับ
    ฌาน ๔ เป็นอย่างน้อยได้และในสภาวะกำลังสมาธิระดับนี้
    จะต้องตัดกายทิพย์ออกถึงจะพอสามารถมองเห็นกำลังสติทางธรรมได้
    เพราะถ้ายกกายทิพย์ได้กำลังสติทางธรรมจะมองไม่เห็นเพราะมันจะซ่อน
    อยู่ในกายทิพย์อีกที.เพราะว่ามันจะต้องร่วมกับตัวจิตเพื่อสร้างรูปร่างขึ้นมา.

    ๒.นักปฏิบัติแบบเกิดมาไม่เคยเจอผี.ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆก็ตาม.ถ้ายังแยกรูปแยกนาม
    แยกส่วนที่เป็นอารมย์ออกจากจิตตัวเองไม่ได้ ไม่เห็นกิริยาของจิต ไม่ทราบว่าอะไร
    คือความคิดที่เกิดจากจิต ไม่ทราบว่าอะไรคือความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    ถ้าไม่สามารถแยกแยะมันได้ชัดเจนเป็น ๓ ส่วนแล้วหละก็อย่าไปพูดเรื่องวิปัสสนาเพราะ
    จะเสียเวลาเฉยๆ..แม้มีความรู้มากมายระดับจักรวาลแต่มันก็จะเป็นปัญญาทางโลก
    จะไม่เข้าถึงปัญญาทางธรรมที่จะสามารถลด ละ กิเลสได้จริง ที่ต่อไปจะมาทำหน้าที่
    แทนความคิดของเราในอนาคต...

    ๓.ต่อจากข้อ ๒.ถ้าพอเข้าใจกิริยาต่างๆบ้างแล้ว..หากขาดความต่อเนื่องในการสร้างสติ
    ทางธรรมให้ต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้น ไร้จุดหมายปลายทางที่ชัดเจนในการฝึกเพื่อประโยชน์
    ต่อส่วนรวม โดยเผลอมุ้งเน้นเพื่อยกระดับตนเองฝ่ายเดียว..จะไม่ทันกิริยาของขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรมที่ตัวมันเองก็มักหลอกตัวเองและคอยปรุงร่วมกับตัวจิตของเราตามเครื่องรู้
    ตามประสบการณ์และความสามารถทางจิตของเราตลอดจนกิเลสฝ่ายละเอียดที่เราจะ
    ตามไม่ทันเนื่องจากขาดความต่อเนื่องในการเจริญสติและขาดความเข็มแข็งในการ
    ลดละกิเลสครับ..

    ข้อ ๔ นักปฏิบัติที่พอเดินปัญญาได้เนื่องจากแยกอารมย์ส่วนต่างๆได้แล้วไม่ว่า
    ความคิดที่เกิดจากจิต ไม่ว่าตัวจิต ไม่ว่าขันธ์ ๕ นามธรรม..ถ้าหากขาดการสังเกตุ
    กิริยาที่จิตรับอารมย์กระทบจากภายนอกแบบรู้ทันกิเลส และจิตไม่เกิดคือไม่กระเพื่อม
    และจิตรับรู้แต่ไม่ยึดร่วมด้วยตรงนี้ ให้นานมากยิ่งขึ้น และบ่อยๆกำลังสติทางธรรมที่มี
    จะไม่กลายเป็นมหาสติไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ จะเป็นกำลังสติทางธรรมแบบทั่วๆไป
    และความสามารถในการเข้าใจเรื่องนามธรรมก็จะยังไม่ชัดเจน และยิ่งถ้านอกจากไม่
    สังเกตุประกอบกับขาดความต่อเนื่อง..พวกที่มันสามารถแยกได้เป็นส่วนๆก็จะกลับ
    ซึมเข้าสู่จิต เราเรียกว่า กิริยานี้ว่า การซึมกลับ ซึ่งจะส่งผลให้ความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมของเรามันยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเดิมนี้ประเด็นแรกครับ..

    ที่นี้ถ้าเรามี ๑.จิตตัวหนึง ๒.กำลังสติทางธรรมตัวหนึ่ง ๓.ปัญญาทางธรรมตัวหนึ่ง.
    และ ๔.ตัวจิตที่มีกำลังจิตตัวหนึ่งซึ่งข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะกล่าวถึง..

    ให้เราพิจารณาหน้าที่ของมันแต่ละตัวดีๆนะครับ ว่าแต่ละตัวมันทำหน้าที่อะไร.
    และพิจารณาสิ่งที่เกิดผลกระทบที่เป็นฝ่ายนามธรรมที่เกิดกับจิตดีๆว่า
    ฝ่ายอารมย์ตรงนี้มันแยกเป็นสองส่วนคือ เหตุที่เกิดจากภายในจิตและ
    เหตุที่เกิดจากภายนอกจิต และส่งผลกระทบทั้งภายในอย่างเดียว
    ส่งผลต่อทางกิริยาทางกายและส่งผลต่อทางตัวจิตได้ไม่ว่าจะ
    เหตุเกิดจากภายในหรือภายนอกก็ตาม
    ...

    และต่อไปจะให้ลองพิจารณาดูว่า
    คำว่า''จิตใต้สำนึก" กิริยาตรงนี้มันเกิดได้เพราะขาดข้อไหน
    ในข้อที่ขีดเส้นใต้ครับ และเหตุมันเกิดจากภายนอกหรือว่าภายใน?

    "ความรู้สึก" เป็นกิริยาเรื่องนามธรรมเป็นฝ่ายอารมย์ มันเกิดจาก
    ภายนอกหรือภายใน ?

    ในทำนองเดียวกัน ''อุปปาทาน'' เป็นกิริยาที่เกิดขึ้นเพราะว่ามัน
    ไม่มีในข้อที่ขีดเส้นใต้.และเหตุเกิดจากภายนอกหรือภายใน.
    "จิตเดิมแท้"มันมีข้อที่่ขีดเส้นใต้มารวมด้วยหรือไม่ ?

    "จิตเห็นจิต'' คิดว่าตัวจิตเห็นหรือว่า ข้อที่ขีดเส้นใต้บางข้อมันเห็นครับ
    " จิตหลอกจิต" ตัวจิตที่หลอกตัวจิต หรือว่าเป็นเพราะความคิดที่เกิดจากจิต
    ปรุงร่วมกับจิต ซึ่งเราตามไม่ทันมัน เพราะเราขาดข้อที่่ขีดเส้นใต้เส้นไหน?
    หรือเป็นเพราะขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมันปรุงร่วมกับตัวจิตครับ ?

    ลองอ่านดูก่อนคุณ รุ้ง ให้ลองพิจารณาดู ถ้าสังเกตุได้จะเข้าใจ
    ทุกกิริยาที่ได้ถามมา และคงพอจะทราบคำตอบอื่นๆด้วยนะครับ..

    ปล.ประมาณนี้ครับ
    ;)
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คุณ Nopphakan เล่ามาก็ถูกอยู่นะครับ
    แต่คนอ่าน อ่านแล้วงงมาก ถึงมากที่สุด
    ผมก็เคยมีปัญหาแบบนี้เหมือนกันครับ คือ ฟังคำอธิบายแบบนี้แล้ว ผมไม่เข้าใจ หลวงพี่ หลวงพ่อ ท่านอธิบายผมก็ไม่เข้าใจ คงด้วยผมเข้าใจเรื่องนามธรรมได้ยากผิดปกติ...
    ขนาดหลวงพ่อยืนยัน ว่าที่ฝึกอยู่นี่ใช่แล้ว รู้แล้ว อาการกริยานี้ ใช่แล้ว ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปครับ...

    เดิมทีผมก็เข้าใจว่าผมนี่โง่เกินไป ไร้วาสนา ขาดบุญบารมี แต่ต่อมาผมก็พบว่า คนส่วนมากก็ไม่เข้าใจเหมือนผมนี่แหละครับ...
    ทางแก้ของผมจึงต้องฝึกให้มากขึ้น มากขึ้น และก็มากเข้าไปอีก เพื่อจะได้เข้าใจ คือเข้าถึงใจ แล้วเอาสิ่งนั้นๆมาอธิบายให้ง่ายๆ โดยให้ลองฝึกดู หรือถ้าใครที่ฝึกอยู่แล้ว ก็จะพาดพิงถึงผลที่ฝึกได้ของคนนั้นๆ ให้เข้าใจในนิยามที่สมมติเรียกกันขึ้นมา

    อย่าว่าแต่เรื่องจิตเดิมแท้ หรือ สติ เลยนะครับ เอาแค่ว่า อธิบายรสเปรี้ยวว่าเป็นยังไง มันยังอธิบายกันได้ยาก แม้จะให้ลองชิม มะนาว มะขามเปียก น้ำส้มสายชู คนก็จะรู้ว่าเปรี้ยวเป็นยังไง แต่สำหรับผมก็จะยังสงสัยอีกเพราะว่าเปรี้ยวจากมะนาว มะขามเปียก น้ำส้มสายชู แม้ว่าเปรี้ยวมีส่วนเหมือนกัน แต่เปรี้ยวของทั้งสามสิ่งก็ยังมีส่วนที่ต่างกันอยู่คือเปรี้ยวไม่เหมือนกัน จะรู้ว่าเปรี้ยวไม่เหมือนกันอย่างไรก็ต้องลองเอาไปทำเป็นอาหารดู...นี่แค่เปรี้ยวนะครับ แล้วพอจะอธิบายเรื่องของนามธรรม ขั้นละเอียด ในเรื่องของจิตในจิต มันยิ่งยากกว่ายากเสียอีก...เอาไว้มีเวลาจะค่อยมานิยามคำศัพท์เหล่านี้ให้ฟังอีกทีนะครับ...เล่าประสาคนที่ฝึกกันมาแต่ถ้าท่านที่นิยมอ่านมาแล้วใช้จินตมยปัญญาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดีอีกนั่นแหละนะครับ...เพราะถ้าเข้าใจเรื่องที่คุณรุ้งถาม คุณอ่านหนังสือของฮวงโป ของท่านเหว่ยหลาง(ฮุ่ยเหนียง) ก็จะเข้าใจ...
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอบคุณครับ คุณพี่raming พอเข้าใจที่สื่อครับ.
    เอาว่าถ้าคุณรุ้งอ่านแล้วเข้าใจได้ก็จะเป็นผลดี แต่อ่าน
    แล้ว คิดพิจารณาแล้วไม่เข้าใจ ส่วนตัวก็จะมาปรับ
    วิธีการอธิบายใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ

    ประมาณนี้ครับ
     
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    เอ่อออ.... ฮ่าๆๆ คุณนพคะ ดิฉันดูเหมือนจะเข้าใจในตอนแรกด้านบน เริ่มงงในช่วงกลาง และช่วงท้ายด้านล่าง กลวงโบ๋เบ๋เลยค่ะ
    เหมือนจะเข้าใจ แต่จับใจความไม่ได้อ่ะค่ะ

    ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดได้ก็ขอขอบพระคุณมากค่ะ
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ชิมิ ชิมิ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    เรียน คุณ Nopphakan กระผมอ่านแล้ว งง มาก ขอรับ:'(
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรียนคุณน้องรินริน. ถ้าจะเข้าใจเลยในขณะที่เรียนหนังสืออยู่คงจะเทพมากไปแล้ว
    เอาเรียนให้จบก่อน เหมือนพี่ๆเค้า ส่วนถ้าอ่านแล้วเข้าใจได้ก็ถือว่าดี
    ถ้าไม่เข้าใจก็เอาไว้ตรวจสอบกำลังสติทางธรรมตัวเองได้
    ไม่ว่าใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจมิใช่ประเด็นสำคัญตอนนี้.
    เน้นฮาๆมิได้ซีเรียส เด่ววาระมาถึงมันก็จะเข้าใจ
    ได้เองของมันแระ มิต้องเป็นห่วง ตอนนี้ขอไปฝึกเขียน
    ยันต์กลางอากาศไว้เล่นๆก่อนนะครับ เห็นเค้าโม้กัน
    ว่าเรื่องยันต์ที่ตนรู้ มันวิเศษ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
    อ่านแล้วขำๆ ว่างๆถ้าวาระมาถึงอีก
    จะมาเล่าเทคนิคต่างๆ ทั้งการเขียน การดึง
    และข้อควรระวังให้ฟังเสริมในกระทู้นะครับ
     
  11. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    กระทู้นี้มีคนเก่งๆเยอะดี ว่าแต่ ลป. บ ท่านอยู่ที่ไหนคะ
     
  12. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    น้องนิวขอตอบเล่นๆดูนะคะ ถูกผิดต้องขออภัยคะ อยากทดสอบตัวเอง อิอิ

    ที่นี้ถ้าเรามี ๑.จิตตัวหนึง ๒.กำลังสติทางธรรมตัวหนึ่ง ๓.ปัญญาทางธรรมตัวหนึ่ง.
    และ ๔.ตัวจิตที่มีกำลังจิตตัวหนึ่งซึ่งข้อนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะกล่าวถึง..

    ให้เราพิจารณาหน้าที่ของมันแต่ละตัวดีๆนะครับ ว่าแต่ละตัวมันทำหน้าที่อะไร.
    และพิจารณาสิ่งที่เกิดผลกระทบที่เป็นฝ่ายนามธรรมที่เกิดกับจิตดีๆว่า
    ฝ่ายอารมย์ตรงนี้มันแยกเป็นสองส่วนคือ เหตุที่เกิดจากภายในจิตและ
    เหตุที่เกิดจากภายนอกจิต และส่งผลกระทบทั้งภายในอย่างเดียว
    ส่งผลต่อทางกิริยาทางกายและส่งผลต่อทางตัวจิตได้ไม่ว่าจะ
    เหตุเกิดจากภายในหรือภายนอกก็ตาม
    ...

    และต่อไปจะให้ลองพิจารณาดูว่า
    คำว่า''จิตใต้สำนึก" กิริยาตรงนี้มันเกิดได้เพราะขาดข้อไหน =

    ๒.กำลังสติทางธรรมตัวหนึ่ง
    ในข้อที่ขีดเส้นใต้ครับ และเหตุมันเกิดจากภายนอกหรือว่าภายใน?

    "ความรู้สึก" เป็นกิริยาเรื่องนามธรรมเป็นฝ่ายอารมย์ มันเกิดจาก
    ภายนอกหรือภายใน ? =
    ๑.จิตตัวหนึ่ง
    ในทำนองเดียวกัน ''อุปปาทาน'' เป็นกิริยาที่เกิดขึ้นเพราะว่ามัน
    ไม่มีในข้อที่ขีดเส้นใต้.และเหตุเกิดจากภายนอกหรือภายใน. =
    ๓.ปัญญาทางธรรมตัวหนึ่ง.
    "จิตเดิมแท้"มันมีข้อที่่ขีดเส้นใต้มารวมด้วยหรือไม่ ? =
    ๓.ปัญญาทางธรรมตัวหนึ่ง.
    "จิตเห็นจิต'' คิดว่าตัวจิตเห็นหรือว่า ข้อที่ขีดเส้นใต้บางข้อมันเห็นครับ =
    ๔.ตัวจิตที่มีกำลังจิตตัวหนึ่ง

    " จิตหลอกจิต" ตัวจิตที่หลอกตัวจิต หรือว่าเป็นเพราะความคิดที่เกิดจากจิตปรุงร่วมกับจิต ซึ่งเราตามไม่ทันมัน เพราะเราขาดข้อที่่ขีดเส้นใต้เส้นไหน? =
    ๒.กำลังสติทางธรรมตัวหนึ่ง
    หรือเป็นเพราะขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมมันปรุงร่วมกับตัวจิตครับ ?

    ลองอ่านดูก่อนคุณ รุ้ง ให้ลองพิจารณาดู ถ้าสังเกตุได้จะเข้าใจ
    ทุกกิริยาที่ได้ถามมา และคงพอจะทราบคำตอบอื่นๆด้วยนะครับ..

    ปล.ประมาณนี้ครับ
    ;)[/QUOTE]
     
  13. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    สมาธิผมระดับเด็กหัดเดิน ...ขอมานั่งซุ่มอ่านระดับผู้ใหญ่เขาคุยกัน รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างครับ ^___^
     
  14. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ขอถามคุณนพ หรือคนอื่นหน่อยครับ
    พญานาคนี้ เราเห็นมีมากทางภาคอีสาน
    แต่อย่างทางภาคเหนือ แถวแม่น้ำปิงงี้มันจะมีบ้างไหมครับ
    ถ้าบริเวณนั้นมี พอจะมีอะไรให้เป็นจุดสังเกตไหมว่าบริเวณนั้นมี
    พอดี คนที่บ้านสนใจ อยากจะสื่อสารกับพญานาคนะครับ
     
  15. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอเรียนถามพี่นพด้วยคนนะคะ
    พี่นพ เห็นเหมือนที่น้องนิวเห็นหรือเปล่าคะ
    ในอดีต น้องนิวเคยเป็นเมียพญางูใหญ่ (พญานาค)มาก่อน
    แต่งกายด้วยเครื่องประดับอันบอกถึงความเป็นมเหสีของท่านพญาผู้ครองนครแห่งเมืองที่อยูใต้บาดาล
    พี่นพมองเห็นหรือไม่คะ
    หากเห็นว่าเป็นคำถามที่ไม่สมควรแก่การกล่าว
    น้องนิวขออภัยนะคะและขอให้พี่นพข้ามไปอย่าได้สนใจคะ
    ขอบพระคุณค่ะ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตอบในส่วนเท่าที่ทราบนะครับ..คือจะมี พยานาคภูเขา พยานาคทะเล
    พยานาคแม่น้ำ พยานาคอากาศครับ..พอเข้าใจครับเราจะคุ้นๆกับ

    พยานาคแม่น้ำซะเป็นส่วนใหญ่และหนักมาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ซะส่วนมาก..แต่หากได้อ่านๆบางบทความแว๊ปๆแม้ว่า ที่ทะเล น้ำตก
    ในป่าเขาก็มักจะเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆมาบ้าง...คือพยานาคจะเด่น
    อยู่ใน ๓ เรื่องหลักๆ ๑.คือเรื่องการรักษา ๒.เรื่องของฤิทธิ์ และ ๓.
    ก็คือเรื่องความชำนาญในการเข้าสมาธิระดับสูงครับ...
    หลักการสังเกตุง่ายๆทั่วๆไปหากเราไม่รู้อะไร.ถ้าเราเข้าไปยืนอยู่บริเวณ
    ใดๆก็ตามแล้วเรารู้สึกว่าตัวเราเย็นๆขึ้นมาเฉยๆ พร้อมกับมีลมหมุนๆ
    รอบๆตัวเรา ทั้งๆที่บริเวณนั้นต้นไม้หรือสภาพแวดล้อมไม่ได้มีเหมือน
    ลมหมุนแบบธรรมชาติทั่วๆไป..ถ้าเป็นในถ้ำก็เป็นถ้ำที่มีช่องว่างทะลุ
    เข้าไปและในบริเวณถ้ำเย็นๆและดูสะอาด..ถ้าเป็นตามภูเขาสังเกตุยากครับ
    เพราะมักจะปรากฏเป็นงูตัวใหญ่มากแต่เรามักจะไม่เห็นศีรษะหรือหางต้อง
    สังเกตุลายที่เกร็ดเอาเอง..ถ้าในน้ำทะเลต้องอาศัยตาดีกว่าปกติเล็กน้อย
    คือสีที่เค้าพอแสดงได้จะออกทางเขียวปนแดง ส่วนทางอากาศให้สังเกตุ
    การรวมตัวกันเป็นรูปร่างบวกกับมีกลุ่มที่แสดงเป็นรูปร่างคล้ายๆเราร่วมด้วย
    ส่วนที่อยู่แม่น้ำโขงคิดว่าคงไม่ต้องเล่าอะไรให้ฟัง...
    ถ้าสีดำคือพยานาคทหารเอาว่ามีสีขาวปกติถ้าเป็นคนจะแต่งชุดสีขาวหลวม
    สีทองจะทรงเครื่องสวยงาม สีเขียวจะอยู่บนกล่องไม้ขีด ๕๕๕๕(ล้อเล่น)
    ถ้าจะเขียวปนแดงจะเป็นตอนที่เปลี่ยนร่างคล้ายๆมนุษย์
    แต่อาจจะแต่งตัวดูคล้ายใส่หมวกแปลกๆหน่อย
    ถ้าสีเขียวทั่วๆไปจะเป็นท่านๆ
    ที่คอยช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนาครับ.....
    ประมาณนี้หละครับ..เคยๆโม้ๆไว้อยู่ครับ..แต่กระทู้ไหนจำไม่ได้ครับ..
    ส่วนบุคคลที่เค้าจะมองเห็นทางเชื่อมไปยังบาดาลนั้นเค้าจะมีสัมพันธ์พิเศษ
    กับที่นั้นครับสังเกตุได้จะชำนาญการเข้าสมาธิระดับสูงถึงอรูปฌานได้
    ..ส่วนตัวถ้าถามว่าเคารพไหม ให้ความเคารพเช่นกันครับ.
    สุดท้ายบางกลุ่มที่เห็นเป็นใสๆได้ๆ นั่นเพราะเค้าไม่ได้รวมธาตุดินด้วยครับ.
    ถ้ารวมธาตุดินด้วยแล้วเป็นเหมือนงูยักษ์บริเวณนั้นๆยาก
    ที่เราจะลงไปเหยียบพื้นหรืออยู่ใกล้ๆได้ครับเพราะมันแฝง
    อันตรายไว้มากครับ..พูดจากประสบการณ์ตรงช่วงที่
    ยังเปรี้ยวๆอยู่ครับ..
    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ...
     
  17. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ผมได้มีโอกาสดูรายการหนึ่งที่มีพิธิกรเป็นหมอลักษณ์กับมดดำ
    พอดีวันนั้น เขาพูดเรื่องพญานาค คุณมดดำได้มีโอกาสเจอกับประสบการณ์พญานาคด้วย
    แม้แต่คุณอารท์ก็ยังมี แสดงว่าเขาต้องมีบุญไม่มากก็น้อยเลยถึงได้เจอแบบตรง ๆ
    หรือการจะเจอกันไม่เกี่ยวกับบุญ?
    เห็นบอกว่า ไปนั่งกันเป็นกลุ่ม แล้วหันไปอีกที หายไปแล้ว
    และยังมีจุดเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ด้วยเหรอ?
    แสดงว่าการเดินทางไปมา มันต้องอาศัยผ่านสถานที่หรือจุด ๆ หนึ่ง เหมือนประตูสินะคับ
    ไม่ใช่ว่าอยากข้ามมาก็มา อยากข้ามไปก็ไป

    พอดีเมื่อก่อนเคยเกือบจะสนใจเรื่องเกี่ยวกับนาคราช
    แต่พอดีไปอ่านเจอเทวโลกก่อน เลยสนใจเทวโลกมากกว่า
    แต่พอดีเร็ว ๆ นี้ได้ยินเรื่องพญานาคขึ้นมา ก็ทำให้เราเริ่มอยากรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง
    ไม่ทราบว่าใครเคยมีประสบการณ์ผ่าน ๆ หรือโดยตรงกับนาคราชบ้างอะคับ?

     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เอางี้นะครับ ถามมาก็ตอบให้ครับ. คำตอบก่อนหน้าที่ลองตอบ ไม่ได้ฟิกว่าจะถูกหรือผิดนะครับ
    แค่เอาไว้ความเข้าใจทางด้านนามธรรมเฉยๆ ผิดถูกหรือไม่รู้ไม่ใช่ประเด็น
    หลักเนาะ.นี้ประเด็นแรกนะครับ...
    และก็คืออย่างนี้ครับ น้องนิวครับ..ดวงจิตที่อยู่ในร่างกายเรา ณ ปัจจุบันนี้นะครับ
    มันผ่านการวนเวียนเปลี่ยนไปอยู่ในร่างกายอื่นๆมาไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว
    โดยปกติๆนะครับ..ถ้าเราไม่ค่อยสนใจอะไรมาก หากพอสามารถย้อนอดีตได้
    เบสิกเราจะสามารถย้อนได้อย่างต่ำๆถึง ๕ ถึง ๖ ชาติเป็นอย่างน้อยเพราะอะไร
    นะหรือครับก็เพราะว่ามันเป็นสัญญาความจำได้ที่จิตดวงนี้มันเคยผ่านมาแล้ว
    ทั้งสิ้น.การเข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์หากเรารู้เทคนิคเล็กน้อยเราก็จะย้อนของ
    เราได้เองครับ.มันมีตั้ง ๔ ถึง ๕ วิธีครับ เคยเขียนไว้แล้วเกือบ ๒ ปีแล้วมั่งครับ..
    ไว้ว่างๆมีโอกาศจะโม้ให้ฟังอีกรอบครับ ซึ่งถ้าพอเข้าสมาธิได้ระดับหนึ่งมันย้อน
    ได้ไม่ยาก หรือจะแบบลูกทุ่งก็ได้ ทั้งแบบฤาษี หรือแบบหลวงพ่อมีชื่อ หรือแบบ
    เฉพาะทางก็ได้ครับ..แต่ประเด็นความสามารถทำได้ตรงนี้มันไม่ใช่เนื้อหาหลัก
    ที่อยากจะสื่อให้ทราบเลยครับ...
    เนื้อหาก็คือ..สัญญาใดๆก็ตามที่เรามั่นใจว่าเราเป็น หรือสัญญาใดๆก็ตาม
    ที่ใครก็ตามที่เค้าได้เคยทักเรามานั้น..บุคคลที่ทักเรามานั่นในช่วงระยะเวลา
    ใดเวลาหนึ่งเค้าก็จะต้องเคยมีสัมพันธ์กับดวงจิตเราที่อยู่ในอีกร่างหนึ่งมาก่อนครับ..
    ..เช่น มีคนบอกว่าน้องนิวเคยเป็นพรหม แสดงว่าที่คนที่เค้าบอกเค้าก็จะต้อง
    มีสัญญากับดวงจิตน้องนิวที่เคยเป็นพรหมมาก่อน พอเข้าใจนะ..สัญญาในที่นี้
    ก็คือสัญญาที่ชัดที่สุดที่ออกมาจากจิตของเรา

    กับสัญญาในจิตบุคคลที่เค้าบอกเรา..
    แม้เค้าจะบอกว่า ย้อนไป ๑๐ ชาติเราเป็นอะไรมาบ้างแน่นอนว่าเค้าก็จะทราบ
    เฉพาะ๑๐ ชาติที่ดวงจิตเค้าเคยมีสัญญาด้วยครับ.

    .พอนึกๆภาพกว้างๆออกหรือยังครับ.
    เพราะฉนั้นไม่ต้องไปให้น้ำหนักในประเด็นนี้..
    เพราะฉนั้นโดยทั่วๆไปแล้ว เรามักจะย้อนไปยังอดีตชาติของดวงจิตเราที่โดดเด่น
    ที่สุด ที่คิดว่าดีที่สุด แล้วก็มายึดเป็นสัญญาในปัจจุบัน ว่าตัวว่าตนเคยเป็นโน้น
    เป็นนี้มา..ถ้าอย่างนี้มันหาได้ก่อเกิดประโยชน์และนำเราให้เข้าสู่ทางหลุดพ้นได้
    ช้าครับ และยิ่งไปแสวงหาคำตอบด้วยแล้วยิ่งจะทำให้เรากลับไปยึดติดกับภพกับ
    ชาติอีกครับ.ยิ่งจะทำให้ห่างไกลเข้าไปอีก..อย่างผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพที่ท่านย้อน
    เหตุอดีตให้ท่านนั้นท่านนี้ก็เพื่อให้เข้าใจเหตุในอดีต ที่ส่งผลให้เราเป็นปัจจุบันนี้ครับ
    เพื่อให้เรายอมรับตามความเป็นจริง..จะได้สร้างเสริมในส่วนในเรื่องของการปัญญา
    เพื่อลดละกิเลสต่อไปนั้นเองครับ ให้เราทราบได้ว่าชาตินั้นชาตินี้เราพลาด

    เพราะเรื่องอะไรกันหรือ? เราควรจะจับบริษทที่ผู้เป็นเลิศท่านกล่าวให้ดีๆ
    แล้วน้อมมาพิจารณาดีๆจะทำให้เราทราบวัตถุประสงค์ได้ว่า
    การที่เราย้อนไปรู้อดีตนั้นประโยชน์ที่แท้จริงมันคืออะไรครับ ถ้าเราย้อนไปต่อ
    ให้น้องนิวย้อนกลับไปดูไดโนเสาร์ได้..อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะครับ.ย้อนไปดูว่า
    ชาตินั้นชาตินี้เป็นโน่นเป็นนี่..ปัญหาที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษว่า
    ทำไมถึงแม้ว่าในอดีตที่ผ่านมา เราเคยเป็นอะไรที่คิดว่าสำคัญ ทำไมชาติ
    ปัจจุบันนี้ เรายังคงได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ครับ ? และเป้าหมายจริงๆ
    ที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออะไรครับ..
    ถ้าคิดอะไรไม่ออกจะเขียนบอก
    ให้ฟังเล่นๆดังต่อไปนี้ครับ...
    ๑.เราหนีมาเกิดหรือเปล่าครับ..อย่างพวกที่โดนยมทูตตามมาเอาดวงจิตกลับไป
    ๒.เรามีบารมีมากพอจากภูมิหนึ่งแล้วได้มาเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไปยังปลายทางได้ครับ
    ๓.เราอยู่ภูมิสูงกว่ามนุษย์แล้วเราลงมาก่อน เพราะหากเราอยู่ภูมินั้นโอกาสที่ภูมิ
    ต่อไปเราจะลงข้างล่างสูง..
    ๔.เราวนเวียนๆอยู่กับภูมิมนุษย์นี้ไม่รู้กี่ชาติแล้ว..
    ๕.เราเคยอยู่อบายภูมิ ขึ้นมาเป็นสัตว์ แล้วพัฒนามาเป็นมนุษย์..
    ๖.เราอยู่เส้นทางเดินในสายพระโพธิสัตว์อยู่ เพราะในชาติใดชาติหนึ่ง
    เคยปรารถนาว่าจะเป็นผู้บรรลุสัมมาโพธิญาน..
    ๗.กรณีเป็นมนุษย์เราเคยเกิดเป็นทั้ง ช ทั้ง ญ หรือไม่ก็ กึ่งๆชายๆ กึ่งๆ ญ เพราะอะไร
    ๘.เราเคยปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ หรือเป็นผู้เป็นเลิศ แล้วเรามีความคิดว่าชาตินี้
    เราขอเข้าสู่การหลุดพ้น...
    ๙.หรือเรามีสัญญาในอดีตว่าเราแค่ลงมาเพียงแค่มาแวะเที่ยวเล่นพอถึงเวลาแล้วก็กลับ
    ๑๐.เราเคยตั้งเป้าว่าเราจะอยู่ดูและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนกว่าจะสิ้นยุค
    พุทธกาลนี้ครับ.....
    ปล.สภาพจิตใจที่เราได้รับความกระทบกระเทือนมาในอดีต จนถึงปัจจุบัน
    ไม่ว่าจะเรื่องอะไรๆก็ตาม ที่น้อมนำให้ตัวจิตดวงนี้เห็นความทุกข์นี้ได้
    ความสามารถต่างๆที่เราสามารถทำได้..เครื่องรู้ต่างๆที่เกิดที่ผ่านมา..
    นำมาพิจารณาย้อนคิดเทียบเหตุและผล กับปัจจุบันที่เราเป็นอยู่นี้
    จะทำให้เราทราบคำตอบได้ด้วยตัวเองว่า เราอยู่ในข้อไหน และปัจจุบัน
    เราควรที่จะเลือกแนวทางเดินให้จิตดวงนี้ได้อย่างไรด้วยการพิจารณา
    ให้รอบคอบด้วยตัวของเราได้เอง มากกว่าการที่จะต้องมาสนใจหรือต้อง
    ค้นหาคำตอบ.ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราเคยเป็นอะไรมาจะยังประโยชน์กว่าครับ...
    ปล.พอเข้าใจนะครับ..แต่สนใจจะย้อนอดีตแบบไปรู้ว่าเราเคยเป็นอะไรมา
    บอกได้เลยครับว่าไม่มีประโยชน์ครับ..ยกเว้นเราย้อนเพื่อให้รู้เหตุรู้ผลใน
    ปัจจุบันเพื่อให้จิตน้อมนำเข้าสู่การเดินปัญญาอย่างนี้ไม่ว่ากันครับ...
    เพราะแม้ว่าเราจะย้อนได้ถึงยุคไดโนเสาร์ มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันได้ว่า
    จิตเราจะดีและจะสามารถหลุดพ้นได้ในชาตินี้ครับ...
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,424
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอถามก่อนว่า #Rep 325
    คุณ loveyou จะถามใครครับ..
    คือตามปกติถ้าไม่เอ่ยชื่อถามผม ก็คงจะไม่ตอบครับ กลัวว่าจะเสียมารยาท
    และจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดครับ หวังว่าคงเข้าใจ..แต่ถ้าเอ่ย
    ชื่อกันมาก่อน พอจะตอบประเด็นที่คุณสงสัยได้หมดครับ..
     
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    เรื่องนี้ไม่มีใครถามผม..แค่อยากโม้ตามประสาคนบ้า..ละเมอ

    ตอนเด็ก..เคยจุดไม้ขีดตรา..พยานาค
    เผาหญ้าเกือบไหม้บ้าน..ดีที่พ่อกลับมาทันซะก่อน..ไม่งั้นละ่วอด

    พอหนุ่ม..เริ่มแก่หน่อยๆ
    มีพระอาจารย์ท่านให้ดูหงอนพญานาคขนาดใหญ่...จากถ้ำภูเขาควาย

    จากนั้นหลายเดือนต่อ...ก็ได้ไปทอดกฐินที่จ.หนองคาย
    ปวดหลัง..ปวดเอว จนน้ำตาเล็ด..ตลอดเส้นทาง
    ที่สุดก็เจอ หงอนพญานาคชิ้นหนึ่ง แกะสลักเป็นพระพุทธรูปสวยงามมาก
    และได้นำกลับมาบูชาที่บ้าน

    จากนั้นได้นำมาใส่ถาดเลี้ยงน้ำ ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง..ตามคำทักของพระ
    .เกิดปรากฏกลิ่นคาวคลุ้ง..ออกมาเหมือนกลิ่นปลาเค็มแถบระยอง..
    ทั้งที่ปกติ..จะไม่เคยมีกลิ่นใดๆออกมา

    จานั้นก็ได้อีกชิ้นใหญ่จากวัดแห่งหนึ่ง...

    แล้วก็บ้าฝันไปเรื่อย..เจอพญางูจออางยักษ์ สีเขียวเท่าต้นตาล

    เจอพญางูใหญ่..สีดำผัว-เมีย รักษาพระธาตุพนม อ.ชุมพลบุรี จ.สุริทร์ มาหยอกเล่น..สนุกมาก

    เจอผู้มารอตักบาตรนายพร้อมลูกน้อง เพื่อรอตักบาตรขบวนพระหลายสิบรูปเดินลงจากภูเขา...
    เราก็เลยทักกันไปมา ..ว่าท่านเป็นพญานาค จำแลงมาใช่มั๊ย
    ..ขอดูร่างจริงหน่อยเถอะ อยากทรรศนาเหลือเกิน

    สุดท้าย...รับปาก เลยแปลงร่างคืนสภาพเป็นพญานาคชั้นเจ้านาย .สีนำ้้เงินเหลื่อมม่วง
    ทะยานพุ่งไปบนท้อง บริวารสีเขียวทั้งสอง..เหาะตามไปมาในอากาศ

    เพลินตาดีเสียนี่...กระไรเลย ฝันได้เป็นตุเป็นตะ

    บ้าดีไม๊เล่า...
    นั่งภาวนาในถ้ำเล่นๆ..ยังมีเสียงเลื้อยครืดๆ ของงูขนาดยักษ์อยู่ใต้พื้นดินที่นั่งอยูเลย...

    ดูเอาเถ๊อะ!กับคนเพ้อเจ้อพรรณนี้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...