ความวิปลาสของพุทธไทยที่นับถือพระผู้เป็นเจ้าฮินดู

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ชินท์, 7 มกราคม 2008.

  1. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92
    (tm-love) ดังปรากฏกันอย่างแพร่หลาย ที่พระสงฆ์ไทยได้ทำการปลุกเสกเครื่องลางวัตถุมงคล ในส่วนที่เป็นไสยศาสตร์แบบพื้นบ้านซากความเชื่อโบราณของวัฒนธรรมนับถือผีแบบพื้นบ้าน โดยส่วนดั่งเดิมนั้นยังพออลุ่มอล่วยไปได้บ้าง จะมีน่าขยะแขยงก็แต่เพียงส่วนน้อยเช่น ปลัดขิก กุมารทอง ไอ้งั่ง อีเป๋อ เป็นต้น แต่ที่พบเห็นกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน มีการนำเทพเจ้าของศาสนา พรห์ม-ฮินดู มาปลุกเสกด้วยวิธีที่อ้างว่าเป็น พุทธาภิเศกกกันอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่กลัวว่าสิ่งนันที่กระทำโดยพระสงฆ์อันเป็นพุทธบุตรจะมิ่นเหม่ต่อการเป็นมิจฉาทิฏฐิ การเป็นเดียรฐีนอกรีดแต่ประการใด

    ทำไมผมถึงอ้างเช่นนั้น การเชื่อในเทพเจ้าฮินดู เช่น พระนาราย พระศิวะ พระพรหม และเทพบุตรต่าง ๆ เช่น คเณศวร เป็นต้นนั้น ก็หมายถึงเชื่อใน ปรมาตมัน และอาตมันแห่งพระผู้เป็นเจ้าว่ามีอยู่จริง เชื่อว่ามีพระเจ้าสรา้งโลก ซึ่งขัดต่อหลักการทางพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังเป็นการทำลายพุทธศาสนา เคยสำนึกกันบ้างไหม ในอินเดียนั้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ภัยที่กระทำยำ่ยีพุทธศาสนาอย่างร้ายกาจและรุนแรงหาได้เป็นศาสนาจากอารเบียไม่ หากแต่เป็นศาสนาเทวนิยมที่เกิดในอิเดดียเองนี้แหละ และก็คือศาสนาพรห์ม - ฮินดูตัวฉกาจ .... ขอพระสงฆ์และสาธุชนทั้งหลายจงคิดซักนิดก่อนที่จะกระทำผิดแนวทางของพุทธศาสนา
     
  2. putipongb

    putipongb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,843
    เห็นด้วยครับ ผมเห็นรูปพระสงฆ์มีหัวฤาษีที่แท่นพระ แล้วกราบไหว้บูชา พระศีล227ข้อแต่ไปกราบฤาษี กราบเจ้าแม่กวนอิม(ถึงท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม) ส่วนใหญ่พระพวกนี้เล่นไสยศาสตร์ ดูหมอ รักษาโรค
     
  3. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    ผมขอมองในอีกแง่มุมนะครับ
    ครูบาอาจารย์บางรูปท่านศึกษาวิชานอกพระพุทธศาสนามาก่อนบวช พอท่านมาบวชแล้วท่านก็ใช้วิชาเหล่านั้นเป็นเครื่องมือ หรืออุบายในการสอนพุทธศาสนาให้กับผู้ที่ปัญญาบารมียังอ่อนอยู่
    สัตว์โลกมีระดับภูมิปัญญาที่หลากหลาย แล้วแต่การสะสมมาของแต่ละท่าน
    ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นแล้ว ไม่หวังในลาภสักการะ ท่านอาจจะใช้วิชานอกพุทธศาสนาช่วยดึงศรัทธาของผู้คนให้หันมามีศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาก็ได้
     
  4. พระมีความสุข

    พระมีความสุข Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +31
    เราต้องมองให้หลายๆด้านเหมือนกระจกหกด้าน อยู่ที่เจตนาด้วยต้องการทำเพื่ออะไร หากเจตนาดีก็อาจจะเป็นอุบายอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ในกรอบพระธรรมวินัย ใครทำเช่นไรย่อมได้อย่างนั้น ทำไม่ดีเดี๋ยวก็ฉิบหายเองอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ที่สำคัญต้องนำธรรมะของพระพุทธเจ้านำมาเผยแพร่และนำไปใช้ให้มากๆในชีวิตประจำวันเหมือนเราเอาน้ำดีไปไล่น้ำเสียไม่นานน้ำนั้นก็จะใสไปเองคิด ดู ติดและตามอย่างมีสติก็ดีแล้วครับ
     
  5. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92

    การปลุกเสกกราบไหว้บูชาเทวรูปของฮินดูด้วยความงมงายดีตริงไหนพระคุณเจ้า ชาวพุทธมหายานเข้าใจในกิเลสมนุษแสวงกุศโลบายที่ดีมาก มนุษย์รู้สึกอ้างว่างเดียวดายหลังจากพุทธปรินิพพาน ก้ได้อุปโลกค์ถึงความมีอยู่ของ เมตตาและกรุณาคุณธรรมต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้าให้เป็นปุคลาธิษฐานในรูปของธยานิโพธิสัตว์ต่าง ๆ เพื่อแทนพระเจ้าที่งมงายของฮินดู ที่นี้ลองเปรียบเทียบกันระหว่าง ธยานิโพธิสัตว์ กะ พระเจ้าฮินดู ไหนน่านับถือกว่ากัน อย่างพระนารายณ์ เทพแห่งการปกป้อง ก็มีความโกรธ มีโมหะ มีความกำหนัดด้วย อย่างเมื่อครั้งอวตารมาในรูปของ ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหม์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ)เพื่อปราบกษัตริย์(ผู้เป็นมนุษย์) ในปางนี้พระนารายได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ของพวกวรรณะกษัตริย์จนหมดสิ้นไม่เว้นเด็ก และในปางที่กลก่าวอ้างว่า อวตาลเป็นพระพุทธเจ้า พุทธาวตาลนั้น ก็เพื่อทดสอบศรัทธาของมนุษย์ ว่ยังมั่นคงต่อพระเจ้าอยู่มั้ย ใครเชื่อพระพุทธเจ้าก็จะถูกหลอกไปนรก ดูดิพระคุณเจ้าพวกพราห์มกระทำเยี้ยงนี้กับศาสนาเรา กับพระพุทธเจ้าพระคุณเจ้ายังให้มองเป็นกุศโลบายให้ทำดีอีกเหลอ ถ้าอ้างแบบนั้นจริง ๆ ทำไมไม่ไปใช้เทพของเราละ ของชาวพุทธแท้ ๆ อวโลกิเตศวรมหาโพธิสตัว์ ธยานิโพธิสัตว์ ผูซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ก็อย่างมุ่งไปมที่ความขลังความศักสิทธิ์นะ โดยวิศัยพุทธต้องมุ่งที่ปัญญา
     
  6. *จอมขมังเวทย์*

    *จอมขมังเวทย์* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +280
    นั่งนิ่งๆ ตรองนิ่งๆ ไคร่ครวญนิ่งๆ สติถึงสติ แล้วให้มันผ่านไป*********
     
  7. Mettigo

    Mettigo ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +690
    ผมไม่ได้ปฏิเสธความมีอยู่ของเทพพยดาเจ้าเหล่าพรหมทั้งหลาย แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงรับรองว่ามีแต่พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันขึ้นไปที่จะมีศรัทธาไม่คลอนแคลนไปจากพระรัตนตรัยก็ตาม แต่การที่พระภิกษุพุทธบุตรเป็นผู้ทรงศีล ๒๒๗ แล้วมีรูปเคารพของศาสนาอื่นไว้กราบไหว้บูชาก็อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ ถ้าเป็นรูปฤาษีก็พอจะทำใจได้ เพราะท่านเป็นครูของเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อนเทวดาก็เป็นผู้บำเพ็ญความดีงาม ถ้าเป็นรูปเทพเจ้าในศาสนาอื่นก็ไม่สนิทใจนัก เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับผม
     
  8. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    มันอยู่ที่ปัญญาของผู้รับต่างหาก ถ้าปัญญาดี รู้จักไตร่ตรอง เราก็สามารถเช่ามาบูชาได้ไม่ผิด เพราะถือว่าเป็น เทวตานุสติ ซึ่งเป็นคำสอนในหมวด อนุสติ 10

    ตราบไดที่เรามีปัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร คนผลิตให้เช่าเขาก็ไม่ได้บอกว่า เช่าแล้วจะนิพพานเสียเมือไหร่ ดังนั้นจะมาบอกว่ามันไม่ใช่ทางหลุดพ้น ก็ไม่รู้จะบอกอย่างนั้นทำไม คนขายเขาก็ไม่ได้อ้างอย่างนั้น ทุกวันนี้เราทำอะไรหลาย ๆ อย่างมันก็ขัดต่อการหลุดพ้นทั้งนั้น แทบจะทุกอริยาบท ไปเดินเที่ยวห้าง ไปดูหนัง มันขัดต่อการหลุดพ้นทั้งนั้น แล้วจะเปรียบเทียบกันอย่างไร ว่าใครหลงทาง (จากการหลุดพ้น) มากกว่ากัน ระหว่างคนบูชาพระฮินดู กับคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ

    ชาวพุทธที่นับถือเทพฮินดู ถ้า "ถืออย่างมีปัญญา" คิดว่าท่านเป็นเทวดา หรือเทพ 1 องค์ พิจารณาดูว่าทำความดีอย่างไรจึงได้เป็นเทวดา ทบทวนว่าตามหลักศาสนาของฮินดู ท่านมีคุณอย่างไรต่อมนุษย์ นอกจากจะเข้าหลักเทวตานุสติแล้ว ก็ยังเป็นการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งเป็นบุญ 1 อย่างในปุญญกริยาวัตถุ 10 และยังเป็นการบูชาบุคคลควรบูชา ซึ่งเป็นหลักข้อ 3 ของมงคล 38 ประการ กลายเป็นเรื่องดี ๆ ไปอีกเรื่อง

    คนเราปัญญามากน้อยก็ไม่เท่ากัน จะไปว่าเขามันก็ไม่ใคร่จะถูก เพราะคนที่ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้หลุดพ้นจากวัฏฏะเช่นกัน พระท่านจึงสอนว่า "อัตนา โจทยัตนัง" จงเตือนตนเองด้วยตนเอง เรารู้ดีที่กว่าเราทำอะไรอยู่ ได้แค่ไหนแล้ว ดูตัวเราให้ดี อย่าไปกล่าวโทษคนอื่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

    สังคมจะอยู่อย่างมีความสุข เมื่อทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในแนวความคิดของกันและกัน โดยเฉพาะเรื่องศรัทธา เป็นเรื่องใหญ่ คนเรามีศรัทธาต่อสิ่งที่ตนเองศรัทธาต่าง ๆ กันไปหลายแบบ ว่ากันไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิด แต่มันฝังรากลึกมาแล้วไม่รู้กี่ชาติ ๆ
     
  9. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92

    คุณตีประเด็นไม่แตก เทวตานุสติ หมายถึงระลึกคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นเทวดา คือผู้มีใจสูง ธรรมนั้นก็คือ หิริและโอตัปปะ คือความละลายต่อชั่วและกลัวในบาป ไม่ใช้เอาเทวดาบ้า ๆ บอ ๆ ของฮินดู นารายณ์ ศิวะ พรห์ม( อันหลังกำ่ก่วมเพราะคติพุทธเถราวาทได้ยัดเยียดให้พรห์มเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิในยุคหลัง คือหันมานับถือพุทธ เพราะเหตุนี้กระมังพรห์มจึงไม่เป็นที่นับถือของชาวฮินดูแท้ ๆ ดังปรากฎอินเดียกว้างใหญ่ มีโบสถ์พรห์มแค่สองแห่ง) มากรบไว้ มาแขวนคอ เพราะถ้าเป็นคนที่ใช้วิธีวิภัชวาท( คล้ายๆ กะโยนิโสมนัสสิการ) มาคิดให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า ไม่น่านับถือแต่ประการใดเลย อย่างพระศิวะ ขี้โกรธมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งได้บันดานโทสะตัดหัวลูกชายที่รักของปรวตี( อุมาเทวี) ซะขาดวิ้น ด้วยเหตุไม่ยอมให้ตนเข้าไปหาศํกติอันเป็นที่รัก ในขณะสนานกาย ส่วนพระอินเคยแอบเป็นชู้กะเมียฤาษีอันเป็นที่มาของพระนาม สหัสสโยนี เพราะโดนฤาษีสาปให้มีโยนีผุดขึ้นเต็มตัว ( อิอิ ) พระนารายณ์ ดังเคยอ้างแล้วในข้างต้น แถมอีกหน่อย ในปางที่อวตานเป็น พระกฤษณะเองก็ได้ใช้เลห์ช่วยให้ภีมะ(หนึ่งในพี่น้องปาณฑพ) ประลองกระบองเอาชนทุรโยธน์ในการประลองกระบอง จนโดนทุรโยธน์สาปแช่งให้ต้องตายโดยไม่มีใครรับรู้(หาอ่านได้ในมหาภารตะ) อย่างนี้ท่านยังจะนับถืออีกเหลอ

    เทวตานุสติของพุทธ ไม่ใช่การละลึกถึงเทพเจ้าฮินดูเทวะของพวกเดียรถี เทวะของพุทธต้องเปี่ยมไปด้วยหิริ และโอตัปปะ เทวะของพุทธแค่โกรธก็ตกสวรรค์แล้ว ขอบอกและก็ขอเตือนกลัวจะหลงทางเดินทางผิดคิดผิดคิดนอกรีดกลับมานะ เป็นห่วงจริง ๆ ในนามของชาวพุทธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2008
  10. ganesha

    ganesha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +201
    เอาอย่างนี้นะครับผมขอแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้วยคนนะครับ คือผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือพุทธศาสนาแต่ก็นับถือเทพพราหมณ์ ฤาษี เทพจีน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามด้วยครับ เอาเป็นว่าผมอาจเป็นกระพี้ของพุทธะกระมังที่นับถือมั่วซั่วไปหมดอย่างนั้น คือมันเป็นศรัทธาหนะครับคำว่าศรัทธานี่คือการที่เรานับถือหรือเชื่อถืออะไรบางสิ่งบางอย่างโดยที่เราเองก็ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นมันดำรงอยู่หรือมีอยู่จริงหรือเปล่าด้วยตนเอง แต่ถ้ามีแต่ละคนพบเองเจอเองก็บอกเป็นปัตจัตตังไปไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นหรือเข้าใจได้หมด ดังนั้นศรัทธาในความหมายของผมคือการที่เราเชื่อว่าสิ่งๆนั้นมีอยู่ดำรงอยู่และเชื่อเพราะคาดหวังอะไรบางอย่างจากศรัทธา นะครับ ด้วยความเคารพนะครับผมว่าทุกศาสนาและความเชื่อทุกศาสนาต้องใช้ศรัทธาเป็นฐานเป็นจุดเริ่มต้นก่อนนะครับไม่มีศาสนาใดในโลกแม้แต่ศาสนาเดียวนะครับ ผมกล้าพูดว่าที่จะสามารถอธิบายเป้าหมายศาสนาหรือพิสูจน์ความเชื่อของศาสนาคนเองให้เห็นในเชิงประจักษ์ได้อย่างวิทยาศาสตร์ทุกเรื่อง(แม้พุทธก็ตาม) อย่าเพิ่งโกรธนะครับผมไม่ได้ปรามาศพุทธศาสนาแต่กำลังจะนำไปสู่ข้อคิดอันเบาปัญญาของผมต่อไป
    ที่พูดมาคือจะเสนอว่าทุกศาสนาต้องอาศัยศรัทธา ซึ่งศรัทธานั้นคือการเชื่อในใจเป็นพื้นฐานในใจก่อนว่าสิ่งๆนั้นมีจิง เช่นพราหมณ์ศรัทธาเรื่องเทพ ซึ่งมันพิสูจน์ไม่ได้(รวมถึงศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าหรือเทพ) ส่วนพุทธนั้นประเด็นที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ในหลักคิดนั้นก็เห็นด้วยนะครับแต่ผมเห็นจุดร่วมบางอย่างคือพุทธเองก็ไม่สามารอธิบายเชิงประจักษ์ได้หมดในแนววิทยาศาสตร์นะครับ ถามคุณๆนะครับที่นับถือพุทธ นิพพานมีจริงไหมครับถ้ามีคนถาม คุณอธิบายเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาตร์ยังไงครับ เน้นนะครับแบบวิทยาศาสตร์คือต้องเชิงประจักษ์ทุกคนเห็นได้เหมือนกันทุกที่เช่นน้ำเดือดที่ร้อยองศาในระดับน้ำทะเล ที่ไทยคนไทยเห็น ที่อื่นต้องเห็นเช่นกัน ไม่ว่าจีนฝรั่งเศสน้ำก็ต้องเดือดที่ร้อยองศาที่ระดับน้ำทะเลเมื่อเราให้ความร้อน ในขณะที่ต้องทดลองเหมือนกัน แต่ศาสนาทุกศาสนาไม่สามารถทำได้เช่นนั้นนะครับ มันจึงต้องไปพึ่งศรัทธา วกกลับมานิพพานเราจะอธิบายยังไงหากเรายังไม่เคยเห็นแล้วถ้าเราไม่เคยเห็นนิพพานเองแล้วทำไมเราจึงเชื่อพุทธศาสนา อ้างว่ามีพระอรหันต์มากมายไม่ได้นะครับเพราะมันพิสูจน์ให้เห็นเชิงประจักษ์ไม่ได้ครับและถ้าเหตุผลคุณให้เพียงว่าคุณเห็นว่าพุทธมีพระอรหันต์มีพระธาตุแล้วคุณเชื่อว่านิพพานมีจิงโดยที่คุณไม่เคยเห็นนิพพานนั่นไม่ใช่วิทยาศาสตร์นะครับ แต่มันคือศรัทธาเพราะคุณเอาใจเอาจิตไปเชื่อเขา เชื่อคนอื่น เชื่อคำสอน เห็นโน่นนี่เห็นคนอื่นแล้วเชื่อ ทั้งที่คุณยังงไม่เคยเห็นหรือพบนิพพานเองนั่นไม่ใช่คำตอบนะครับ การทดลองที่เหมือนกันย่อมส่งผลเหมือนกันหากปัจจัยตรงกันในเชิงวิทยาศาสตร์ คุณ บำเพ็ญเพียรตามพุทธเหมือนกันถึงนิพพานหรือได้ผลเหมือนกันไหม นี่ผมไม่รู้แต่ใครสามารถการันตีได้ว่าผลออกมาเหมือนประจักษ์เช่นเดียวกัน ก็อาจต้องอ้างไปถึงบุญบารมีในอดีตที่สั่งสมมา มันก็จะกลับมาสู่หลุมปํญหาเดิมที่ว่าคุณเชื่อได้อย่างไรว่ามีการสะสมบุญ เรื่องอดีตชาติ ชาติหน้าของพุทธเราพิสูจน์ให้เห็นในเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์อย่างไร สุดท้ายแล้วมันจะวกกลับมาสู่จุดเริ่มที่ผมเสนอไวว้คือคุณไม่มีทางรู้หรือพิสูจน์ในคำสอนหรือสิ่งที่ศาสนาบอกได้หมดโดยตนเองหรอกว่ามีอยู่จริง คุณก็ต้องเลือกนับถือศาสนาโดยอาศัยคำว่าศรัทธานั่นเอง

    ทีนี้มาประเด็นเรื่องเทพและความเชื่อหรือคำภีร์ต่างๆนะครับ คุณๆบอกว่าไม่มีเทพ ไม่มีพรหม หรืออาจบอกว่ามีแต่ประวัที่เขียนบรรยายเทพไว้นั้นเทพเลว เทพไม่ดี เทพนิสัยเสีย แล้วจะนับถือทำไม เรามาเริ่มทีละประเด็นนะครับ ในกรณีที่หากคุณเป็นพุทธหากคุณเชื่อศรัทธาในพุทธเบื้องแรกถามตนเองก่อนว่าเชื่อคำสอนใช่ไหม เชื่อพระไตรปิฎก หรือเรื่องเล่าชาดกต่างๆที่พุทธเจ้าเล่าไหม สมมติถ้าเชื่อมันจะเกิดเป็นว่าถ้าคุณไปศึกษาดีๆในคำภีร์พุทธของเถรวาทหรือหินยานนี่แหละไม่ต้องมหายาน พุทธสายนี้ไม่ได้ปฏิเสธว่าเทพพรหมไม่มีอยู่จริงนะครับ พุทธเขาเชื่อว่าเทพพรหมมีแต่ไม่ให้ไปยึดว่าเป็นเป้าหมายเพราะยังไม่สิ้นในวัฏฏะยังต้องเวียนว่ายอยู่นิพพานสิคือเป้าที่ไกลที่ควรไปกว่าเพราะหยุดวัฏฏะได้ ในคำภีร์อัคคัญญสูตร ฑีฆนิกายพุทธเจ้าอธิบายการเกิดของมนุษย์และสังคมโลกไว้ว่า เกิดจากพรหมลงมากินง้วนดิน แล้วติดรสจนรัศมีหายกลายเป็นมนุษย์จนเริ่มเกิดเป็นมนุษย์และสังคมมนุษย์ เกิดผู้ปกครองตามมา(ย่อๆนะครับลองหาอ่านเพิ่มเติมเอาแล้วกัน) ในไตรปิฎกกล่าวถึงเทพพรหมอยู่บ่อยมาก เช่นเทพพรหม ท้าวจตุโลกบาล มารองรับและคุ้มกันตอนเจ้าชายสิทธัตถะเกิด พุทธเจ้าเดินได้เจ็ดก้าว(คุณเชื่อว่าจริงไหมเป็นคำถามนะครับผมไม่ได้บอกว่าจิงหรือไม่) พระอินทร์มารับเอาพระเมาลีตอนสิทธัตธะตัดแล้วพระอินทร์นำไปยังดาวดึงเพื่อสักการะ อินทร์มาดีดพิณสามสายเตือนสติพระพุทธตอนที่พระอง์ทรมานตนว่าให้เดินทางสายกลาง ท้าวสหัมบดีพรหมมาอาราธนาให้พุทธองค์ประกาศธรรมแก่หมู่สัตว์หลังจากพระองค์ตรัสรู้เพราะเดิมทีพระองค์ไม่คิดจะเผยแผ่ธรรมเพราะพิจารณาว่าเป็นเรื่องยากแก่การเข้าใจของหมู่สัตว์โลกทั้งหลาย การเสด็จดาวดึงส์โปรดพุทธมารดาตอนลงมายังมนุษย์โลกไตรปิฎกบอกทั้งสามโลกเห็นกันหมดคือสวรรค์มนุษย์นรก ตอนเสด็จเทพพรหมตามลงมาส่งเสด็จจากดาวดึงส์ พุทเจ้าเคยปราบท้าวผกาพรหมที่มีทิฐิคิดว่าตนเป็นพรหมที่ใหญ่ที่สุดทุกอย่างพรหมเป็นผู้สร้าง พุทธองค์เสด็จไปปราบทิฐิถึงขนาดไปเดินจงกรมบนเศียรของพระพรหมแล้วผกาพรหมยังไม่รู้ตัว(ย่อๆนะหาเพิ่มเติมเอา) ชัยชนะผกาพรหมนี้ก็อยู่ในบทสวดที่พวกคุณสวดในบทพาหุงนั่นแหละที่ขึ้นว่า ทุคคาหะทิฐิฯ อะครานี้เราคุยประเด็นที่ผมยกมาเพราะเรื่องราวเหล่านี้อยู่ในคำภีร์พุทธหินยาน เถรวาทนี่แหละอยู่ในพระไตรปิฏกนี่แหละ แล้วมาถึงคำถามว่า คนที่นับถือพุทธทั้งหลายเชื่อเรื่องเหล่านี้ไหม(เป็นเพียงส่วนน้อยที่พูดถึงเทพพรหมที่ยกมาของพุทธ) ถ้าไม่เชื่อก็จบเพราะคุณไม่เชื่อเรื่องในคำภีร์หรือเรื่องราวในไตรปิฎก ถ้าไม่เชื่อแล้วท่านเป็นพุทธคงไม่ได้กระมังเพราะไม่เชื่อในคำภีร์หรือไตรปิฏก(อาจกลายเป็นกรณีเกลียดตัวกินไข่ไปเพราะเลือกเชื่อบางอย่าง) ถ้าเชื่อก็ถามตามต่อว่าทำไมเชื่อเคยเห็นเองหรือเกิดทันหรือ ไม่คิดว่าไตรปิฏกถูกเขียนถูกแต่งบิดเบียนความเป็นจริงหรือไม่สงสัยบ้างเลยหรือพิสูจน์อย่างไรว่าไตรปิฏกจิงแล้วควรเชื่อ ถ้าตอบว่าเชื่อเพราะเชื่อหรือเพราะศรัทธาโดยไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็จบ ได้ข้อยุติว่าเกิดจากศรัทธา พวกที่นับถือเทพเจ้าทั้งหลายหรือพระเจ้าทั้งหลายทั้งพราหมณ์ คริสต์ อิสลามฯลฯ เขาก็เหมือนกับคุณๆที่นับถือพุทธทั้งหลายแหละครับเขาไม่สามารถพิสูจน์ในเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์ได้เลยเขาอาศัย ตัวศรัทธาแหละครับเหมือนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายนั่นแหละ
    ส่วนประเด็นที่เขาเขียนบรรยายเทพว่าชั่วช้าสามานเลวทราม หรือดีงามน่าสรรญเสริญในคำภีร์หรือบันทึกที่เรียกอะไรก็สุดแล้วแต่นั้น(ไตรเวท ไบเบิล อัลกุรอ่าน) นี่ก็ใครเขียนครับ?มนุษย์ใช่ไหม หรือเทพเขียน ความสมเหตุสมผลผมว่าน่าเป็นมนุษย์เขียนนะและถ้ามนุษย์เขียนคุณรู้หรือเชื่อได้อย่างไรพิสูจน์อย่างไรว่าที่เขาเขียนทั้งฝ่ายที่บอกเทพพรหมเลว หรือเทพพรหมดีนี่จิงดังเขาเขียน อาจใช่หรือไม่ใช่หรืออาจไม่มีอะไรเลยก้ได้ ไม่มีใครบอกได้ สุดท้ายมันจะกลับมาสู่การเลือกของผู้ที่เขาเชื่อว่าเทพพรหมมีและดีนั้นก็ต้องใช้ศรัทธามันหนีไม่พ้นครับ เพราะไม่ใครพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้
    กลับมากรณีพุทธศาสนานะครับคุณอาจภูมิใจว่าเราเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ขนาดไอน์สไตน์ยังกล่าวถึง(อย่าลืมนะผมก็เป็นพุทธและศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่งด้วยขอบอกไว้ ณ ที่นี้ก่อน) ถ้าคุณภูมิใจในคำสอนในเรืองราวในไตรปิฎกแล้วนั้น คุณไม่ตั้งข้อสงสัยกันบ้างเหรอว่ามันจริงเหรอเรื่องราวที่สืบทอดผ่านมาทางไตรปิฏกนี่จริงเหรอเชื่อได้เหรอมันผ่านมานานเป็นพันปีแล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะถูกแต่งถูกเขียน ถูกบิดเบือนบ้างเหรอ การสังคายนาไตรปิฏกนี่ถ้าผมจำไม่ผิดนะขออภัยไว้ก่อนสามครั้งแรกที่ชำระไตรปิฏกไม่มีการจดจารบันทึกนะครับเป็นมุขปาฐะท่องจำปากต่อปากอย่างเดียว มาได้บันทึกเอาการสังคายนาครั้งที่สี่หรือห้าแล้ว จุดนี้ไม่สร้างจิตสงสัยบ้างเหรอครับ ที่ถามนี่ไม่ได้ยุให้แตกแยกหรือให้เลิกศรัทธานะครับ แต่จะพยายามชี้ประเด็นบางอย่างให้สังเกต ศิษย์ตถาคตพึงเป็นเยี่ยงนี้นะผมว่าเพราะพุทธองค์เองสอนกาลามสูตรว่าอย่าเชื่อคำภีร์ หรือแม้แต่ครูจารย์ให้พิสูจน์ทดลองเอาเองก่อน แล้วจึงเชื่อ แต่บางประเด็นหากมันพิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้คุณก็ต้องเชื่อด้วยศรัทธาแล้วแหละครับ ดังนั้นที่ผมจะเสนอคือว่าเราอย่าปรามาสศาสนาหรือศรัทธาของคนอื่นเขาเลย เพราะพุทธเราเองก็ยังต้องอาศัยความเชื่อและศรัทธาเช่นเขาเหมือนกันไม่สามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้เหมือนกัน เอาง่ายๆนะครับผมขอยกตัวอย่าง(ขอกราบขมาพระรัตนไตรท่านก่อนครับ) ในไตรปิฏกกล่าวถึงพญานาคอยู่หลายตอน เคยแอบมาบวชบ้าง หรือตอนต่างๆบ้าง ถามว่าคุณเคยเจอฟอสซิลพญานาคไหม? อย่าอ้างว่าคนละมิตินะครับเพราะมันจะพิสูจน์ไม่ได้แล้วทำให้เกิดการดิสเครดิตพุทธศาสนาว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไป พญานาคมีหงอนอยู่ในพุทธกาลสองพันกว่าปีเองทำไมไม่มีซากขณะที่ไดโนเสาร์อยู่ก่อนมาไม่รู้กี่ร้อยล้านปีแล้วมีซากฟอสซิลให้เห็น ชาวพุทธครับเคยอ่านชาดกที่พุทธองค์เล่าถึงอดีตในชาติก่อนๆของพระองค์(ตามคำภีร์ที่คนเขียนอะนะ) พระองค์เคยเกิดเป็นโน่นนี่เยอะมากสารพัดสารพันเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อบำเพ็ญบารมี เคยมีคนศาสนาอื่นถามผมนะว่าทำไมไม่มีอดีตชาติที่เคยเล่าว่าเคยบำเพ็ญบารมีโดยเกิดเป็นสัตว์ในยุคไดโนเสาร์บ้างละเพราะสัตว์ชนิดนี้เคยมีอยู่ในโลกนะ ผมตอบว่าไม่ทราบจริงๆผมพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกผมมีแต่ศรัทธา เหมือนคุณๆนั่นแหละ ดังนั้นนะครับด้วยความเคารพผมจึงขอเสนอข้อคิดอันเขลาปัญญาของผมต่อสาธารณะชนบ้างแล้วกันนะครับ ว่าทุกศาสนาในโลกหรือลัทธิใดๆก็ตามแม้จะเป็นลัทธิการปกครองประชาธิปไตย สังคมนิยมฯลฯนั้นไม่มีศาสนาใด หรือความเชื่อในลัทธิใดที่บอก อธิบาย แสดงให้คนเขาเห็นในเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์ได้ทั่วกันหรอกครับ ไม่มีใครเอาจุดหมายปลายทางของศาสนาตนมาแสดงให้เห็นหรือพาไปดูก่อนว่ามีจริงๆ เพื่อให้คนเขาเชื่อหรือยอมรับหรอกครับ มันต้องเริ่มที่จุดเดียวกันหมดและครับ "ศรัทธา" ครับ ดังนั้นข้อคิดที่ผมขอแลกเปลี่ยนคืออย่าปรามาสในศรัทธาของกันและกัน ของคนอื่นที่เขาไม่เหมือนเราเลย เพราะเราก็ไม่ต่างจากเขาเราไม่เหนือกว่า หรอกครับ พุทธก็ต้องพึ่งศรัทธาเหมือนกันครับผม

    สุดท้ายปลายทางชีวิตไม่มีใครรู้แน่ชัดพิสูจน์ชัดเจนในแบบที่ไม่ใช่ปัตจัตตังนะครับไม่มีใครบอกได้จิงๆ มันอาจมีนิพพาน อาจมีอัลเลาะห์ อาจมีอีเดน อาจมีสวรรค์พรหมโลก ปรมาตมัน อาตมัน หรืออะไรก็แล้วแต่ หรืออาจไม่มีอะไรเลยแม้สักสิ่งเดียวก็เป็นได้ ดังนั้นอย่ายึดมั่นเลยครับว่าเราถูกเขาผิด เราฉลาด เขาโง่ เพราะไม่มีใครตอบได้ครับว่าความจริงคืออะไรคนตายไปเจออะไรเจอตามแต่ละศาสนาบอกไหมถ้าเจอแล้ว สิ่งที่เจอของศาสนาไหนละถูกเพราะคนตายกลับมาบอกเราในเชิงประจักษ์ไม่ได้ครับ ตายแล้วอาจมีตามที่เขาบอกโน่นนี่ของศาสนาต่างๆ หรืออาจจบแค่นั้นไม่มีอะไรต่อเลยก็เป็นได้นะครับ ลองคิดกันดูนะครับศิษย์ตถาตคและสาวกของศาสนาต่างๆ ท้ายสุดก็มีด้วยประการฉะนี้ครับ


    ขอสิริแห่งจิตจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลาย



    ปล.ท้ายนี้กราบขออภัยหากสร้างความไม่พอใจ มิได้มีเจตนาก้าวร้าวครับแค่เสนอทัศนคติ เจตคติของปัจเจกชนอย่างผมคนเดียวครับ ถ้ามีอะไรแลกเปลี่ยนแนะนำหรือตำหนิก็น้อมรับครับ เมล์มาสนทนาแลกข้อคิดกันได้ครับผม ที่ suansuriya@hotmail.com ครับผม ด้วยความเคารพครับ โชคดีครับ
     
  11. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    คุณ 666
    พิจารณาดูว่าทำความดีอย่างไรจึงได้เป็นเทวดา(ประโยคของผม) กับ ระลึกคุณธรรมที่ทำให้คนเป็นเทวดา (ประโยคของคุณ) ไม่เหมือนกันหรือครับ ไม่ใช่ว่าตีประเด็นไม่แตก แต่จะบอกว่าถ้าคิดเป็น มันก็ไม่ขัดกับหลักศาสนาพุทธ

    และความชั่วร้ายของเทพฮินดูที่คุณยกตัวอย่างมา มันเป็นแค่นิยายเท่านั้นเอง
     
  12. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92



    มนุษย์นี้เก่งนะ มดตัวเล็ก ๆ ก็สร้างไม่ได้แต่กลับสร้างพระเจ้าได้
     
  13. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92


    ใช่ครับนิยายทั้งนั้น ต่อไปในอนาคตก็จะมีคนนับถือศาสนาStar war มีศาสดาคือ Yoda และเหล่าอัศวินเจไดเป็นนักบุญ และศาสนาStar war ก็จะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร์ที่เหล่าบรรดาพุทธศาสนิกชนชั้นใต้โคนตมอาหารของปูปลาทั้งหลายมีไว้บูชาในครัวเรือนและแขวนคอ เหมือนเทพนิยายฮินดูอันไร้สาระหาหลักฐานความจริงไม่ได้
     
  14. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92
    ต่อไปอาจจะมีสำนักทรงเจ้าพ่อโยดา เจ้าพ่ออนาคิน สกายว็อคเกอร์ ว่ามั้ย เทพนิยายฮินดูได้ทำสำเร็จมาแล้ว เสียใจที่ชาวพุทธหลายท่านยอมรับกันว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตาลปางหนึ่งของนารายณ์เพื่อทดสอบศรัทธาบ้าๆบอๆของมนุษย์ เสียดายที่เสียชาติเกิดเป็นชาวพุทธแต่ดวงตากลับมืดมัวไร้วี่แววของสติปัญญา เกิดอีกกี่ชาติกันกว่าจะได้โสดาบัน
     
  15. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ที่ไม่เห็นด้วยนั้นอยากจะบอกว่า การที่เป็นชาวพุทธ อย่างสมบูรณ์นั้น ทราบกันหรือไม่ว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร

    พวกท่านอยากเป็นพระอริยบุคคลกันหรือไม่ ...
    พวกท่านอยากบรรลุธรรมกันหรือไม่ ...

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านบอกว่า การทรงอารมณ์โสดาบันนั้น พวกเราก็ทำได้ ในเมื่อเรายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งก็ตาม แต่ขอใช้คุณธรรมของพระโสดาบันเป็นอารมณ์ของเรา ผมเชื่อว่า คนที่ปฏิบัติได้อย่างนั้น ก็ย่อมไม่ลงอบายภูมิเหมือนกัน เพียงแต่ยังปิดได้ไม่สนิทเท่านั้น

    แล้วท่านทั้งหลายเคยศึกษาอารมณ์ของพระโสดาบันกันบ้างไหม ว่าท่านทำอย่างไรบ้าง

    เบื้องต้น ท่านจะไม่ลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยเลย ท่านจะมีสรณะอันบริสุทธิ์ 3 อย่างเท่านั้น ที่สอง คือ รักษาศีล 5 ไม่ให้ด่างพร้อย ที่สาม การไม่ยึดติดในตัวตน

    จะเห็นว่าข้อเบื้องต้นของท่านคือ เข้าถึงสรณะอย่างสมบูรณ์ ใครมาจ้างให้ท่านด่าพระรัตนตรัย ท่านยอมตายดีกว่า นั่นแหละ

    ถ้าพวกท่านอยากหลุดพ้นโดยไว ไม่มีเทพใด ช่วยพวกท่านได้เลย และถ้าอยากให้พวกท่านเจริญในศาสนาพุทธนี้ ก็ควรมีสรณะอันประเสริฐ เพียง 3 นั่นคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น


    การที่พระมาใช้อุบายของคนนอกศาสนา ย่อมเป็นการกระทำที่ผิด เพราะกำลังจะสอนคนให้ยึดติดกับวัตถุมากเกินไป สอนให้คนไปกราบไหว้เทพเจ้า ซึ่งศาสนาพุทธจะไม่สอนอย่างนั้นเลย

    ถ้าผมไปเจอพระที่สอนอย่างนั้น ผมจะไม่ทำบุญกับเนื้อนาบาปนั้นเลยสักนิด

    เหล่าเราชาวพุทธทั้งหลาย ต้องมีแค่สรณะ 3 เท่านั้น คือ พุทธ ธรรม สงฆ์ พวกท่านจึงจะก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

    มิฉะนั้น การที่พวกท่านท่องบทสวดมนต์ว่า

    1) .นัตถิ เม สรณัง อัญญัง พุทโธ เม สรณัง วะรัง(พุทธาภิคีติ)
    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    2) .นัตถิ เม สรณัง อัญญัง ธัมโม เม สรณัง วะรัง(ธัมมาภิคีติ)
    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    3) .นัตถิ เม สรณัง อัญญัง สังโธ เม สรณัง วะรัง(สังฆาภิคีติ)
    สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน
    ด้วยการกล่าวคำสัจนี้ ขอข้าพเจ้า พึงเจริญในศาสนาของพระศาสดา


    การที่พวกท่านกล่าวเช่นนี้แล้วยังไปกราบไหว้บูชา เทพทั้งหลาย แม้แต่ศาลพระภูมิก็ตาม แสดงให้เห็นถึงว่า พวกท่านมีสรณะอื่น สรณะของพวกท่านจึงยังไม่บริสุทธิ์ และการกล่าวเช่นนั้น จึงเป็นการโกหกต่อพระรัตนตรัย บาป!!!

    เชื่อผมหรือไม่ก็ตาม แต่จะบอกว่า ถ้าพวกท่านมีสรณะอันประเสริฐคือรัตนตรัยเท่านั้น พวกท่านจะเจริญในศาสนานี้


     
  16. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    ท่านทั้งหลาย ถ้าไม่สนิทใจที่จะสักการะ พระศิวะ พระนารายณ์
    ท่านก็สักการะ องค์อินทราธิราช ก็พระองค์เดียวกัน เพียงต่างหน้าที่
    ทุกศาสนา ก็มีสวรรค์ นรกเดียวกัน
    อยู่เพียงใครจะเข้าถึงแก่นของแต่ละศาสนา ได้เท่าใด
    ยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าใด ความผิดเพี้ยนในคำสอนย่อมมีโอกาสเกิดมาก
    จงภูมิใจที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
    เพียงแต่ว่า "พระธรรมกว้างใหญ่ไพศาล เกินจะรู้ทั่ว"
     
  17. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92

    อุบาสกธรรม ๕(ธรรมประจำใจชาวพุทธ)
    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]อุบาสกธรรม หมายถึง หลักธรรมประจำใจของผู้นับถือและใกล้ชิดพระพุทธศาสนา มี ๕ ประการ
    ๑ . มีศรัทธา คือ มีความเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเลื่อมใสว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าน่าจะอยู่จะดีจริง และเป็นแรงจูงใจให้เข้าไปพิจารณาคำสอน
    ๒ . รักษาศีล คือ เป็นคนมีจิตใจเป็นปกติ ไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง อันจะชักนำให้ประพฤติผิด กระทำชั่ว
    ๓ . ไม่เชื่อโชคลาภ เชื่อหลักธรรม คือ เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าสิ่งดี ๆ ย่อมได้มาจากการกระทำของตน ไม่เชื่อว่าความรู้ความเจริญเกิดจากความขลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เชื่อว่าความสุขความเจริฐเกิดจากความขยันหมั่นเพียร ความใฝ่รู้ การประหยัด การหลีกเลี่ยงอบายมุขทั้งปวง
    ๔ . ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา คือ ยึดมั่นในการทำบุญตามหลัก[/FONT]
     
  18. ชินท์

    ชินท์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +92
  19. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
  20. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    จริงๆแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนๆนั้นที่จะเลือกสิ่งที่ถูกหรือไม่ถูก เราคงไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดใครได้หรอก

    คนที่เขาเชื่อ เขาก็เชื่ออยู่อย่างนั้น จะเป็น เทพจีน เทพฮินดู เทพไหนๆ ก็ตาม ก็เหมือนกับเรา ที่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอยึดสามสิ่งนี้ไปตลอดกาล ใครจะมาบีบบังคับ เกลี้ยกล่อมให้นับถือ กราบไหว้บูชาเทพ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

    เคยผิดมาเหมือนกัน เจออะไรไหว้ด่ะ เพราะคิดว่าดี เป็นสิ่งมงคลแก่ตัวเอง แต่ลืมไปว่าสิ่งมงคลก็คือตัวเราเองนี่แหละ ที่เป็นคนดี

    ช่างเขาๆ ปล่อยวางๆ ที่แสดงความคิดเห็นไป ก็แค่อยากจะบอกให้รู้ ถึงข้อดีของการเข้าถึงไตรสรณคมน์ คนบางคน คงเป็นได้แค่นับถือพุทธตามบัตรประชาชนเท่านั้น เขาเหล่านั้น คงจะมีโอกาสน้อยมากที่จะบรรลุธรรม ขนาดข้อแรกของโสดาบัน ยังทำไม่ได้เลย อย่าหวังว่าแต่อรหันต์เล้ย ยาก!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...