อานิสงส์เกาะบุญชายผ้าเหลืองลูกชาย

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย paang, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    [​IMG]

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน



    ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา ในเรื่องของเณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ปรากฎว่าบิดามารดาเป็นพราน แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลในพระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน

    ต่อมา เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ คือเชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายม ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฎว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก เขาจึงนำไป เมื่อนำไปแล้ว ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว ก็ต้องลงขุมได้ทันที

    แต่ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้ นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก ก็ปรากฎว่ามีหวายใหญ่มารองรับ เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก เณรก็ไม่สึก เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้ นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม

    พระยายมก็สอบถามว่า
     
  2. อหิงสกะกุมาร

    อหิงสกะกุมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +145
    เอ๋ ขอบคุณ ขออนุโมทนา

    แต่สงสัยว่า บุญทำไมถึงกันได้ครับ

    ทั้งๆที่เคยอ่านว่า บุญทำแทนกันไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ
     
  3. nai_sit

    nai_sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +166
    รบกวนผู้รู้ ช่วยอธิบายด้วยนะครับ
    ผมก็สงสัยเช่นเดียวกันครับ
    ขอบคุณครับ
     
  4. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    สาธุ....

    จะเป็นไปได้ไหมครับ....สามเณร จะอุทิศบุญกุศลที่ได้บวชยกให้แก่ บิดามารดา เป็นการตอบแทนบุญคุณ แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ด้วยการอุทิศกุศลให้
     
  5. titapoonyo

    titapoonyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,133
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +12,769
    เกาะชายผ้าเหลือง...พ่อ แม่ได้บุญจริงหรือ

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    [​IMG]

    ตัวอย่างในพระสูตรที่มีมา ในเรื่องของเณรสุบิน ท่านกล่าวว่า เณรสุบินคนนี้ปรากฎว่าบิดามารดาเป็นพราน แต่ว่าลูกชายมีจิตใจเลื่อมใสในศาสนาขององค์สมเด็จพระ พิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคติไม่ตรงกัน พ่อชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม่ก็มีอารมณ์จิตเหมือนกับพ่อ แต่ว่าสำหรับลูกชายกลับเป็นคนที่มีจิตน้อมไปในกุศลใน พระพุทธศาสนา หนีพ่อหนีแม่ไปบรรพชาเป็นสามเณร เป็นอันว่าพ่อแม่สามเณรไม่มีโอกาสจะพบกัน​
    ต่อมา เมื่อกาลเวลาเข้ามาถึง พ่อและแม่ก็ตายจากความเป็นคน ด้วยอำนาจกรรมที่เป็นอกุศล พระยายมก็สั่งคนมาเชิญไปเป็นแขกรับเชิญ คือเชิญไปในขุมนรก เชิญไปในสำนักพระยายม ก็สอบสวนตามความเป็นจริงว่า ทำกรรมที่เป็นอกุศลอะไรบ้าง แกก็รับทุกอย่างว่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ตั้งแต่สัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ อาศัยกฎของกรรมอันนี้ ก็ปรากฎว่าท่านทั้งสองจะต้องลงนรก เขาจึงนำไป เมื่อนำไปแล้ว ตามธรรมดาสัตว์นรกที่มีกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด เมื่อเข้าเขตของนรกแล้ว ก็ต้องลงขุมได้ทันที
    แต่ ว่าบิดามารดาของสามเณรนี้ลงไม่ได้ นายนิรยบาลจึงจับโยนลงไปเข้าขุมนรก ก็ปรากฎว่ามีหวายใหญ่มารองรับ เป็นหวายร่างแหรองรับเข้าไว้ ไม่ตกลงไปในนรก ทำอย่างนี้ถึง 3 วาระ คนทั้งสองลงนรกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าในเมื่อพ่อและแม่เห็นแสงไฟ ก็คิดขึ้นมาในใจว่า แสงไฟนี้คล้ายจีวรของพ่อเณรน้อย เพราะว่าเณรไปบวช ทราบว่าบวชก็ไปทวงให้สึก เณรก็ไม่สึก เห็นภาพเณรเพียงนิดเดียวเท่านั้น จิตใจนึกขึ้นมาได้ว่า เณรลูกชายของเรามีสีจีวรคล้ายเปลวไฟ เพราะไปบางตอนมันมีสีเหลือง จิตคิดเป็นอย่างนี้ เป็นอันว่าบิดามารดาทั้งสองศรีลงนรกไม่ได้ นายนิรยบาลก็นำกลับมาสำนักพระยายม
    พระยา ยมก็สอบถามว่า “กรรมใดที่เป็นกุศลนะ ท่านไม่เคยทำบ้างเลยหรือ”
    สำหรับ บิดามารดาของสามเณรก็กล่าวว่า “กรรมใด ๆ ที่เป็นกุศล ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ไม่เคยทำ มีอย่างเดียวคือมีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อสุบิน เธอไม่พอใจในการทำอกุศลกรรมความชั่ว สอนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เธอก็ไม่ทำ ในที่สุดเธอก็หนีไปบวชเป็นสามเณรน้อยในพระพุทธศาสนา”
    เป็น อันว่า พระยายมก็ทราบว่านี่บุญลูกชายบวชเณร ท่านจึงกล่าวว่า “ในเมื่อลูกชายบวชเณร เราสอบสวนในตอนก่อนทำไมเจ้าจึงไม่บอก”
    บิดา มารดาของสามเณรบอกว่า “นึกไม่ออก เพราะกรรมที่เป็นอกุศลบัง มันกดปากเข้าไว้ บังใจไม่ให้นึกถึง”
    เป็น อันว่าในเมื่อพระยายมทราบอย่างนั้น จึงได้กล่าวว่า เพราะอำนาจกุศลที่ลูกชายของท่านบวชเป็นสามเณรในพระพุ ทธศาสนา จึงเป็นเหตุบันดาลให้ลงในขุมนรกไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจงได้รับผลของกรรม คือความดีต่อไป ก็หมายความว่าไปเกิดบนสวรรค์
    นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับพระสูตรนี้ความจริงยาวมากกว่านี้ เวลามันมีจำกัด ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์แสดงให้เห็นว่า ท่านทั้งหลายที่มีบุตรชายบวชเป็นสามเณรก็ดี บวชเป็นพระก็ดี ในพระพุทธศาสนา แม้ว่าท่านจะไม่ยินดีหรือไม่ทราบ ท่านก็มีอานิสงส์มาก จะนั่งเทศน์ถึงอานิสงส์ถามกันไปตอบกันมาสิ้นเวลา 1 กัป ก็ไม่จบ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระนราสภจึงได้ทรงสรุปไว้ว่า “การอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพาน”
    บรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ย่อมทราบดีว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์มาก แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่าเป็นสามัญผล คือเป็นผลที่เสมอกัน คนที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการทรงสิกขาบท และสามารถที่จะกำหนดจิตปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานได้เสมอกัน ฉะนั้น จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก
    ในที่ สุดนี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนา ทั้งสามประการ ขอจงบันดาลให้บรรดาพุทธบริษัททุกท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้ว จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล และจงเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง 4 ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ หากทุกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ได้สิ่งนั้นจงสมความปรารถนาทุกประการ
    ทำไมพ่อแม่ ถึงเกาะชายผ้าเหลืองได้

    อานิสงส์การบวช
    ต่อแต่นี้ไป จะนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้า ว่าด้วยเรื่อง อานิสงส์การบรรพชา มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ความมีว่า องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เมื่อทรงพระชนม์อยู่ องค์สมเด็จพระบรมปรารถเรื่องการอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า การอุปสมบทบรรพชานี้มี อานิสงส์พิเศษ
    อานิสงส์อย่างอื่น มีการสร้างวิหารทานก็ดี การถวายสังฆทานก็ดี ทอดกฐินผ้าป่าก็ดี จัดว่าเป็นอานิสงส์สำคัญ แต่อานิสงส์นี้นั้น บุคคลที่จะพึ่งได้ต้องโมทนาก่อน หมายความว่า ถ้าบุตรธิดาของตนบำเพ็ญกุศล บิดามารดาไม่โมทนาย่อมไม่ได้ แต่ว่าการอุปสมบมบรรพชานี้แปลกกว่านั้น องค์สมเด็จ พระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า
    สมมุติว่า บุตรชายของท่านผู้ใดออกจากครรภ์มารดาวันนั้น บิดามารดาก็จากกัน ลูกกับพ่อ ลูกกับแม่ย่อมไม่รู้จักกัน เวลาที่บรรพชานั้น บิดามารดาก็ไม่ทราบ แต่ทว่า ถึงอย่างก็ดี องค์สมเด็จพระชินศรีตรัสว่า บิดามารดาย่อมได้อานิสงส์โดยสมบูรณ์
    นี่เป็นอันว่า อานิสงส์แห่งการการอุปสมบทบรรพชานี้แปลกจากบุญกุศลอย่างอื่น
    เป็นอันว่าขอ พูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า บุญอย่างอื่นลูกทำไปแล้ว พ่อแม่ไม่โมทนาย่อมไม่ได้อานิสงส์นั้น
    แต่ว่าการ อุปสมบทและบรรพชา บิดามารดาซึ่งคลอดบุตรมาแล้ว ต่างคนต่างจากกันไป พ่อแม่ไม่ทราบว่าบุตรมีรูปร่างหน้าตาเป็นประการใด เพราะจากกันไปตั้งแต่คลอดใหม่ๆ สำหรับลูกชายก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า บิดารมารดาเป็นใคร แต่ว่าอุปสมบรรพชาเมื่อไร บิดามารดาย่อมได้อานิสงส์สมบูรณ์ เหตุนี้การอุปสมบทบรรพชาจึงจัดว่า เป็นกุศลพิเศษ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงบัญญัติไว้
    ทีนี้จะว่ากัน ไปถึงอานิสงส์แห่งการอุปสมบทบรรพชา
    คำว่า บรรพชา นี้หมายความว่า บวชเป็นเณร
    คำว่า อุปสมบท นี้หมายความว่า บวชเป็นพระ
    สำหรับท่านที่ บรรพชาในพุทะศาสนาเป็นสามเณร อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านผู้ บรรพชาเองคือเณร ถ้าประพฤติปฏิบัติดี นี่เอากันถึงด้านการประพฤติปฏิบัติดี ถ้าปฏิบัติเลวการการบวชเณรก็ถือว่าเป็นการซื้อนรก ถ้าปฏิบัติดีนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า ท่านที่บวชเข้ามาเป็นเณรในพุทธศาสนาแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบพระธรรมวินัย สำหรับเณรผู้นั้น ย่อมมีอานิสงส์คือ ถ้าตายจากความเป็นคน ถ้าจิตของตนมีกุศลธรรมดา ไม่สามารถจะทรงจิตเป็นฌาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า ท่านผู้นั้นจะเสวยความสุขบนโลกมนุษย์ได้ถึง 30 กัป เช่นเดียวกัน
    การนับกัป หนึ่ง... คำว่ากัปหนึ่ง นั้น มีปริมาณนับปีไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเปรียบเทียบไว้อย่างนี้ว่า มีภูเขาลูกหนึ่ง เป็นหินล้วนไม่มีดินเจือปน ถึงเวลา 100 ปี เทวดาเอาผ้ามีเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดยอดเขานั้นครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้ 100 ปีปัด 1 ครั้ง 100 ปีปัด 1 ครั้ง จนกระทั่งหินนั้นหมดไป หาหินไม่ได้ เหลือแต่ดินล้วน นั่นจึงจะมีอายุได้ครบ 1 กัป
    และอีกประการ หนึ่ง ท่านพรรณนาไว้ในพระวิสุทธิมรรคว่า มีอุปมาเหมือนกับว่ามีถังใหญ่ลูกหนึ่งมีความสูง 1 โยชน์ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์เหมือนกัน มีคนเอาเมล็ดพันธุ์ผัดกาดมาใส่ในถังนั้นจนเต็ม ถึงเวลา 100 ปีก็เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นออก 1 เมล็ด ทำอย่างนี้จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผัดกาดนั้นจะหมดไป เป็นการเปรียบเทียบกันได้กับระยะเวลา 1 กัป
    นี่เป็นอันว่า กัปหนึ่งเราจะนับเวลาประมาณไม่ได้ เช่นกัปหนึ่งเราจะนับเวลาประมาณไม่ได้ เช่นกัปในปัจจุบันนี้สามารถจะทรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ถึง 10 พระองค์ เป็นระยะยาวนานมาก
    องค์สมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ท่านที่บวชเป็นเณรเอง และมีความประพฤติปฏิบัติดี ต้อง เป็นเทวดาหรือพรหมอยู่ถึง 30 กัป นั่นก็หมายความว่า อายุเทวดาหรือพรหมย่อมีกำหนดไม่ถึง 30 กัป และเมื่อหมดอายุแล้วจะเกิดเป็นพรหมใหม่ อยู่บนนั้นไปจนกว่าจะถึง 30 กัป หรือมิฉะนั้นก็ต้องเข้านิพพานก่อน
    สำหรับ บิดามารดา ของบุคคลผู้บวชเป็น สามเณร ย่อมได้อานิสงส์คนละ 15กัป คือครึ่งหนึ่งของเณร หมายความว่าบิดารมีอานิสงส์ 15 กัป มารดามีอานิสงส์เสวยความสุขบนสวรรค์หรือพรหมโลก 15 กัป เช่นเดียวกัน
    เป็นอันว่า บรรพชากุลบุตรของตนไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นสามเณรมีอานิสงส์อย่างนี้
    องค์สมเด็จพระ มหามุนีตรัสต่อไปว่า บุคคล ผู้ใดมีวาสนาบารมีคือมีศรัทธาแก่กล้า ตั้งใจอุปสมบทในพุทธศาสนาเป็นพระสงฆ์ แต่ว่าเมื่อบวชแล้วก็ต้องปฏิบัติชอบ ประกอบไปด้วยคุณธรรม คือมีพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ อันนี้องค์ สมเด็จ พระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
    ท่านที่ บวชเป็นพระด้วยตนเองจะมีอานิสงส์พิเศษที่องค์สมเด็จพระ บรมโลกเชษฐ์ตรัสไว้
    แต่ทว่า ภิกษุสามเณรท่านใดผิดบทบัญญัติในพระพุทธศาสนาก็พึงทราบว่า เมื่อเวลาตายก็มีอเวจีเป็นที่ไปเหมือนกัน อานิสงส์ที่พึงได้ใหญ่เพียงใด โทษก็มีใหญ่เพียงนั้น
    สำหรับบรรดา ท่านผู้ไม่ใช่บิดามารดาของบุตร กุลธิดาที่อุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ช่วยในการบวช นี่หมายความว่า เวลาเขาจะบวชพระครั้งหนึ่ง เราทราบเข้าก็ไปบำเพ็ญกุศลร่วมกับเข้าด้วยจตุปัจจัยมากบ้างน้อยบ้าง ให้สิ่งของบ้าง ช่วยขวยขวายในกิจการงานในการที่จะอุปสมบทบ้าง หมายความว่า เขาจะบวชลูกบวชหลานของเขา เราไม่มีลูกหลานจะบวช เขามาบอกบุญมาหรือไม่บอกบุญก็ตาม เอาจตุปัจจัยบ้าง เอาของที่จะพึ่งจะใช้ในงานบ้าง ไปช่วยในงานด้วยความเลื่อมใส ถ้าไม่มีจตุปัจจัย ไม่มีของ ก็เอากายไปช่วย ช่วยขวนขวายในกิจการงาน
    อย่างนี้องค์ สมเด็จพระ พิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่าท่านผู้นั้นจะมีอานิสงส์เสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ หรือในพรหมโลก คนละ 8 กัป แต่ถ้าหากเป็นคนฉลาด อย่างเช่นเขาบวชพระกัน 42 องค์ เราก็ช่วยกันบำเพ็ญกุศลช่วยในการบวชพระ ไม่เจาะจงท่านผู้ใดผู้หนึ่ง เรียกว่าช่วยหมดทั้ง 42 องค์ ก็ต้องเอา 42 ตั้งเอา 8 คูณ
    นี่เป็นอัน ว่า...อานิสงส์ที่ที่จะพึงได้ในการอุปสมบทบรรพาชา กุลบุตรกุลธิดาในพระพุทะศาสนาสำหรับผู้ช่วยงาน
    แต่สำหรับท่าน ผู้เป็น เจ้าภาพ ในฐานะ คนที่บวชไม่ได้เป็นบุตรของเรา แต่ว่าเป็นผู้จัดการขวยขวายในการอุปสมบทบรรพชาให้ อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า ท่านผู้จัดการบวชจะ ได้อานิสงส์ 12 กัป จะมีผลหลั่นซึ่งกันและกัน

    โดยหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ ธรรมปฏิบัติเล่ม 1หน้า 29-35
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    บุญบวชเป็นบุญพิเศษครับ เป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการทำบุญอื่นใด ในสมัยที่พระเจ้าอโศกทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้สร้างเจดีย์ 84000 องค์ทั่วชมพูทวีป ทรงสอบถามพระอุปคุตเถระว่าทรงเป็นญาติกับพระศาสนาหรือยัง พระเถระก็ตอบว่าทรงเป็นเพียงทายกผู้เลื่อมใสศาสนาเท่านั้น ต่อเมื่อได้บวชบุตรหลานของตนจึงจะเป็นญาติกับพระศาสนา
    ทีนี้ลองคิดเปรียบเทียบกับตัวของท่านเอง จะเห็นได้ว่าการเป็นญาติมีความผูกพันและสำคัญกว่าคนอื่นทั่วไปที่เราแค่รู้จัก มีอะไรเราก็แบ่งปันให้ญาติพี่น้อง ญาติมีเรื่องเดือดร้อนอะไร เราก็พร้อมที่จะยื่นมือไปช่วยเหลือโดยไม่ต้องร้องขอ การเป็นญาติกับพระศาสนาก็เหมือนกัน พระศาสนาก็พร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้ พระศาสนาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือหากเดือดร้อน การเป็นญาติจึงเป็นสภาวะพิเศษแม้ในโลกมนุษย์ แม้ในพระศาสนาก็เช่นกันที่ความเป็นญาติกับพระศาสนาเป็นสภาวะพิเศษ
    ส่วนอีกเหตุผลก็คือ การที่พ่อแม่จะได้บุญจากการที่ลูกบวชโดยอัตโนมัติแม้จะไม่รู้ไม่เห็นหรือไม่ได้อนุโมทนา เพราะว่ากายมนุษย์นี้ได้มาจากพ่อแม่ หากไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีชีวิต เมื่อไม่มีชีวิตก็หมดโอกาสบวชหรือสร้างบารมีใดๆทั้งสิ้น การบวชจึงเป็นการเอาสมบัติของพ่อแม่คือกายของเรานี้ไปใช้ในการสร้างความดี การบวชนั้นก็คือการถวายชีวิตของเราให้เป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย(จะชั่วคราวหรือตลอดไปก็แล้วแต่) เหมือนเราเอาทรัพย์ที่มีพ่อแม่เป็นเจ้าของร่วมกับเราไปถวายแก่พระศาสนา เมื่อเราสร้างความดีด้วยการบวช บุญจึงถึงแก่พ่อแม่โดยอัตโนมัติ
     
  7. phitsanulok-pityakom

    phitsanulok-pityakom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +212
    ล้ำลึกแท้ๆๆๆเลยฮะะะะะะะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...