นอนต่างถิ่น พักตามวัด ห้องพัก โรงเเรม คุณโยมเคยโดนผีหลอกไหม...

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 5 กุมภาพันธ์ 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    กลัว...เวลานอนค้างตามวัดหรือที่ไหนๆเช่น ไปทำบุญ เเล้วนอน ค้างที่วัด ป่าช้า
    ห้องพัก บ้านพักหรือในโรงแรมในต่างจังหวัด..
    เวลาไปนอนค้างต่างถิ่น
    เคยกลัวไหม....???

    โยมที่เป็นญาติ เล่าให้อาตมาฟังว่า อาจารย์ๆครั้งนึงผมไปสเปน
    น่าจะเป็นเมืองซาราโกซ่า
    เขาจัดให้พักในโรงแรมที่ดัดแปลงมาจากโบสถ์เก่า
    อายุ 500 -600 ปี
    นัยว่าชั้นใต้ดินยังเป็นที่ฝังศพเจ้าอาวาสหลายองค์
    ห้องแต่ละห้องอยู่กันคนละมุม
    เวลาส่องกระจกกลัวมีคนอยู่ข้างหลัง...

    เเละอีกท่านคุณโยมสมชาย เจริญผลสุข
    คนรู้จักเป็นเจ้าของโรงแรมในเมืองไทย
    มีคนมาพักตายในห้องพักของโรงแรม
    เขาจะจัดฉากให้คนเชื่อว่า แขกที่มาพักตายระหว่างทางนำส่งโรงพยาบาล
    แม้แม่บ้านโรงแรมเองก็ยังไม่รู้
    แล้วคืนนั้นก็เปิดห้องให้คนพักตามปกติ...เเละหลายปีก่อน คุณโยมจำได้ไหม...

    เครื่องบินของไทยชนภูเขาที่เนปาล
    เวลาแอร์และสจ๊วตไปค้างที่โน่น
    ตกกลางคืนจะมีพี่ๆ มาเคาะประตู
    ถามว่าทำไมยังไม่ได้กลับเสียที
    ว่ากันว่าคนที่เสียชีวิตกระทันหัน
    บางครั้งเขาไม่ทราบว่าตัวเองตายไปแล้ว...
    ใครเคยเจอแบบจะๆ ไหม...
    มีใครกลัวผีไหมคุณโยม ??? อย่าลืม สวดมนต์ ก่อนนอน
    บอกกล่าวเจ้าที่ เจ้าทาง เเผร่เมตตา..สวดมนต์เเผร่ผลบุญอุทิศให้ ผีก็เหมือนคน เราผูกมิตร ไปดีมาดี ไม่มีอะไร น่ากลัว..
    อาตมาเคยไปนอนวัดร้าง...ในภาคอิสาน ในจังหวัดหนองคาย สวดมนต์ เเผร่เมตตา นั่งสมาธิให้ นอนหลับฝันไป มีคนโบราณ มาหาเต็มเลย บางคนดีใจ กระโดดจะเข้ามากอดเเต่เข้ามาไม่ได้..บางคนโห่ร้องดีใจ.. บางคนมาขอเสื้อผ้าใส่..เเปลกไหมคุณโยม จำได้ว่าตื่นนอน จำวัดราวๆตี3 สวดมนต์ นั่งสมธิยันเช้าเลย......สุข สงบ สว่าง ไม่มีอะไรน่ากลัว ไปกว่าความคิดเราเอง ไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็น มักจะเจอ ยิ่งอยากเจอ ยิ่งอยากเห็น ยิ่งอยากได้ อยาากมี อยากเป็น จะไม่เห็นอะไรเลย (ความคิดส่วนตัวนะคุณโยม)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  2. T.cha

    T.cha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +641
    พักโรงแรมมาทั่วภาคเหนือ เดินทางคนเดียว นอนวัดถือศีลบ้าง แต่ชีวิตนี้ ยังไม่เคยเจอผีเลยซักครั้ง เพราะปกติแล้วจะสวดมนต์เช้าเย็นแผ่เมตตา และนั่งสมาธิในโรงแรมบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยเจออะไรแม้ซักนิดเดียว ไม่ว่าจะกลิ่น หรือเสียงหรือเป็นตัวๆ เป็นแสง ไม่เคยเห็นเลยครับ...
     
  3. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    อนุโมทนาสาธุ บุญเเละคุณความดี คุ้มครองรักษา
     
  4. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    สัมภเวสี

    สัมภเวสี เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง แต่มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ไม่เข้าใจสภาพอันแท้จริงของสัมภเวสี และยังมีความเข้าใจแตกต่างกันในกลุ่มชาวพุทธบางนิกาย ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นกับทุกชีวิต
    สัมภเวสี หมายถึงสัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น แต่สัมภเวสีนี้ ยังมีชาวพุทธอยู่จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือ ยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่ายมหายานบางนิกาย เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ คือสัมภเวสี เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่ ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ก็ยังมีอยู่ แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายานนิกายมนตรยาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗
    แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว สัตว์ที่อยู่ในอันตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น จิตเคลื่อนไปปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่างหรือไม่มีภพที่เกิดนั้น ไม่มีเลย เพราะจิต*นั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่ ( * นี้หมายถึงจิตของผู้ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภพ และรูปภพเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไปเกิดในอรูปภพหรืออรูปพรหมนั้น ไม่มีรูป มีแต่นามคือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ดังคำบาลีว่า "คูหาสยํ จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย" เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะต้องอาศัยวัตถุอันเป็นแหล่งที่อยู่ที่เกิดของมัน จะอยู่โดยตัวของมันเองโดยไม่อาศัยสสารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรออยู่ในอันตรภพ ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่ ๓๑ ภูมิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ คือ อบาย ๔ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ฉะนั้น ผู้ที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ดังพระบาลีว่า "สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น" ไม่มีการรอหาที่เกิด แต่การที่จะไปเกิดในภพใดในที่ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้นคนนี้ตายไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่ แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้เป็นอทิสสมานกาย มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบด้วยประสงค์จะแสดงหรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้รู้ได้ทราบเท่านั้น
    เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จะขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เรื่องหนึ่งมาเป็นหลักฐานยืนยันประกอบ เพื่อสนับสนุนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาข้อนี้
    เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๑ ปี ขอสมมติชื่อว่า ชุลีนาถ บ้านอยู่กรุงเทพฯ ได้ไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย สมุทรปราการ วันหนึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ขณะที่เธอทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนั้น เวลาพักกลางวัน เธอได้ออกจากโรงงานไปทานอาหาร ได้เดินข้ามถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงาน และได้ถูกรถยนต์ชนขณะข้ามถนน มีอาการสาหัส แล้วมีคนนำส่งโรงพยาบาลศิริราช แต่เธอได้ขาดใจตายที่โรงพยาบาลศิริราชนั่นเอง เพราะมีอาการสาหัสมาก แต่ทางบ้านก็ยังไม่ทราบถึงการจากไปของเธอ
    ในวันนั้น พอตกตอนเย็นครั้นสิ้นแสงตะวัน วิญญาณของเธอก็กลับมาที่บ้าน อาจจะเป็นเพราะห่วงแม่ โดยมาปรากฏในรูปร่างเดิมของนางสาวชุลีนาถนั่นเองและได้ไปนั่งถ่ายปัสสาวะอยู่ในที่ไม่สมควรจะถ่ายปัสสาวะ อาหญิงของเธอเห็นเข้าจึงได้ดุว่า ที่นั้นไม่สมควรถ่ายปัสสาวะ วิญญาณนี้ก็ไม่พูดอะไร เมื่อลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นบนบ้าน เดินสวนกับมารดาของเธอเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วผ่านเข้าห้องนอน มารดาเข้าใจว่าเธอเข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน แล้วมารดาของเธอก็ได้ลงมาข้างล่าง
    อีกสักครู่หนึ่งต่อมา ก็มีคนจากโรงพยาบาลศิริราชมาบอกข่าวเรื่องการตายของนางสาวชุลีนาถให้มารดาของเธอทราบ แต่มารดาของเธอไม่เชื่อ และได้กล่าวยืนยันว่าลูกสาวของตนได้กลับมาบ้านแล้ว อาหญิงเขาก็ดุเอาเมื่อก่อนจะขึ้นบ้าน และได้เดินสวนทางกับตนไปเข้าห้องเมื่อครู่นี้เอง เข้าใจว่ามาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวในห้อง ชายผู้มากับข่าวก็กล่าวยืนยันเช่นกันว่า "ผมมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่เก็บศพของนางสาวชุลีนาถ เพื่อมาบอกข่าวให้ทางบ้านทราบ"
    มารดาของนางสาวชุลีนาถก็ยังไม่เชื่อ แต่เพื่อให้แน่ใจจึงได้ตามขึ้นไปดูในห้อง และได้เห็น น.ส.ชุลีนาถลูกสาวนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลย ด้วยความแปลกใจนางจึงได้เรียกลูกสาวออกมา และเมื่อ น.ส. ชุลีนาถลุกขึ้นออกมายืนอยู่ตรงหน้ามารดาก็ไม่พูดอะไร แต่ปรากฏว่ามีเลือดไหลอาบหน้า และเปื้อนไปทั่วทั้งร่าง เมื่อมารดาของเธอเห็นเข้าเช่นนั้น ก็ตกใจเป็นลมล้มลงสลบไป ภาพนั้นก็หายไปทันที
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาหญิงของนางสาวชุลีนาถได้เล่าให้ท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ในวัดโสมนัสวิหารทราบ และขณะนี้กระดูกของนางสาวชุลีนาถ ก็ถูกนำมาบรรจุไว้ที่พระวิหารวัดโสมนัสวิหาร แม้ในวันทำบุญบรรจุกระดูกนั้น มารดาของเธอก็ยังเศร้าโศกเสียใจถึงกับเป็นลมไปอีก เพราะมีความรักและอาลัยในลูกสาวของตนคนนี้มาก
    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วและสามารถมาปรากฏตัวให้ทราบเช่นนี้ คนโดยทั่วไปเรียกกันว่า สัมภเวสี แท้ที่จริงเขาเกิดในภพใหม่แล้ว แต่เกิดในกำเนิดแห่งโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้น มีรูปร่างสมบูรณ์ในทันที ถึงจะเกิดอยู่ไม่นานแล้วต้องเคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีกต่อไป ก็ชื่อว่าเกิดแล้ว และเขาสามารถแสดงร่างเก่าให้ปรากฏแก่ญาติพี่น้องมิตรสหายเป็นต้นได้ เรื่องทำนองเดียวกันนี้ หรือมีลักษณะคล้ายเรื่องนี้ ปรากฏว่ามีเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย แม้ในประเทศตะวันตกก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่รูปร่างที่แท้จริงของเขาเป็น อทิสสมานกาย คือ มีร่างกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ ท่านผู้ได้ทิพยจักษุเท่านั้นจึงสามารถมองเห็นกายของผู้ที่เกิดอยู่ในโอปปาติกะกำเนิดได้ แต่บางคนไปเกิดในโอปปาติกะกำเนิดไม่นานเพียง ๗ วันเท่านั้น แล้วก็เคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีก เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์หรือเทวดาชั้นสูง เป็นไปตามอำนาจพลังของกรรมที่ตนได้ทำเองไว้ส่งให้ไปเกิด
    เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องสัมภเวสีตามหลักพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท จึงขอนำคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์มากล่าวไว้ในที่นี้ คือ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ในอรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา หน้า ๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ สุขิตตฺตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด" โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัย ดังนี้
    ๑. คำว่า ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่า ภูตะ นี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่าจักเกิดต่อไปอีก ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่า สัมภเวสี คำว่า สัภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่อีกต่อไป (คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป)
    ๒. อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ (คือพวกที่เกิดในไข่หนึ่ง พวกที่เกิดในครรภ์หนึ่ง พวกที่เกิดในเถ้าไคลหนึ่ง พวกที่เกิดผุดขึ้นหนึ่ง) พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่และยังไม่ทำลายรกออกมา ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคลและพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า สัมภเวสี ในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่มาปรากฏในภพนั้น) ชื่อว่า ภูตะ นับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป
    ๓. อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์ที่เกิดในเถ้าไคล) และจำพวกโอปปาติกสัตว์ (พวกที่เกิดผุดขึ้น) ก็ชื่อว่า สัมภเวสี ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบทที่ตนเกิดสู่อิริยาบทอื่น ต่อจากนั้นไป (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบทอื่นแล้ว) จึงชื่อ ภูตะ
    ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น และเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง.
     
  5. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ในชีวิตของคนเราเวลาที่มีความสุข ได้โชคลาภ ได้อะไรๆ ที่ต้องการนั้นมาจากที่ผลบุญที่ทำมานั้นได้ส่งผล แต่เวลาพบกับความทุกข์ พบกับอุปสรรคต่างๆ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น หยิบจับอะไรเป็นเสียหาย ไร้คนช่วยเหลือมองไปทางไหนก็มืดมน เหมือนที่เรียกกันว่า “มืดแปดด้าน” หรือที่คนทั่วไปชอบเรียกกันว่า “ดวงตก” นั่นแหละ ที่สาเหตุนั้นมาจากรรมอย่างแน่นอน ไม่ได้มาจากการเดินทางของดวงดาวแต่อย่างใดเพราะเรื่องการเคลื่อนย้ายองศาต่างๆ ของดาวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้มาส่งผลอะไรโดยตรงกับคนและสัตว์ทั้งหลาย อาจจะมีบ้างในเรื่องของกลางวัน กลางคืน น้ำขึ้นและน้ำลงซึ่งเป็นไปตามกลไกที่ธรรมชาติดำรงไว้เพื่อความสมดุล
    แต้อย่างไรก็ตาม ในความเข้าใจของคนมักจะเรียกกันว่า “ดวงตก” ในบทนี้ก็ขอเรียกแบบนั้นแล้วกันเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน แต่อย่าลืมว่ามาจากกรรมทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากดวงดาวที่ไหนเลยคุณโยม...เชื่ออาตมาเถอะ
    สำหรับกรรมที่ว่านี้เป็นทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ฝ่ายไม่ดี ที่มีกำลังและถึงเวลาส่งผล วิธีที่จะแก้ไขนั้นต้องพิจารณาเป็นอย่างแรกก็คือ กรรมปัจจุบัน ต้องย้อนกลับไปพิจารณาจากสิ่งที่เราทำมาไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพการงานใดๆ ก็ตาม ความคิด ความประพฤติของเรานั้นถูกต้อง ถูกธรรมหรือไม่ต้องหาสาเหตุให้เจอว่าเป็นเพราะอะไรถึง ต้องยอมรับความจริงถึงจะแก้ได้ ซึ่งร้อยทั้งร้อยไม่เชื่อว่ากรรมมีจริงหรือเพราะความไม่รู้ จึงละเมิดผู้อื่น สิ่งอื่นจนเกิดกรรมไมดีขึ้นมา
    เช่น เคยแอบไปเบียดเบียนใครเขามา เคยไปคดโกง ยืมเงินคนอื่น แอบพรากประโยชน์ผู้อื่น เห็นแก่ได้จนคนอื่นเขาเสียหาย ทำการค้าแบบไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นคนที่ประมาทในชีวิตยังคงเกียจคร้านไม่แสวงหาสิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกต้องมาสู่ชีวิต เป็นต้น
    เรื่องเหล่านี้เหมือนกับเราเดินทางชีวิตที่ผิดทางไปจากความสำเร็จ ความร่ำรวยที่เราปรารถนาจะได้ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็ตาม หรือเราเองนั้นเอาก้อนหินขนาดใหญ่ไปปิดทางน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือการไปสร้างบาปปิดทางบุญของตัวเองไว้
    เรื่องเหล่านี้เราต้องหาให้เจอเสียก่อน เพราะเหตุจากกรรมไม่ดีเหล่านี้ เป็นกรรมใหม่ที่เราปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนทิศทางเดินชีวิตเสียใหม่ เราเองก็รู้ว่าเราทำแบบนั้นเราได้ผลอะไรกลับมา เราเป็นคนที่ทำร้ายตัวเอง ทำตัวเองให้ดวงตกหรือไม่
    เรื่องไม่ดีเหล่านี้มันเหมือนจุดดำๆ หรือคราบสกปรกที่อาจจะเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่มันสะสมเรื่อยๆ จนผ้าที่เคยขาวนั้นดำสนิท ชีวิตจึงเหมือนอยู่ในความมืด จนคลำหาทางออกไม่เจอ หลายคนไปพึ่งหมอดู คนทรงเจ้าหรือไสยศาสตร์ที่ไม่ใช่ของจริง จนหมดเนื้อหมดตัวเหมือนอยู่ดีๆ ไปหาขี้โคลนมาใส่ผ้าขาวเข้าไปอีก ซึ่งขออนุญาตบอกถึง การแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาคือ
    ต้องปรับความเชื่อเสียใหม่ จากที่หลงผิดทางหรือเกิดมิจฉาทิฐิ (มิจฉาทิฏฐิ) ขึ้นในใจที่เป็นความมืดให้กลับมาสู่ทางสว่างหรือสัมมาทิฐิ (สัมมาทิฏฐิ) ต้องปรับใจตนเองเสียก่อน ถ้าไม่ปรับใจเสียก่อน ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
    ดังเช่นอยากจะไปเชียงใหม่แต่ดันขับรถลงไปทางใต้ ต่อให้อีกร้อยชาติ พันชาติก็ไปไม่ถึง ไม่ว่ารถยนต์จะมีกำลังดีแค่ไหนก็ตาม อยากจะให้ชีวิตดี แต่ยังหลงผิดไปว่าการทำกรรมชั่วนั้นจะทำให้ชีวิตดี
    อยากจะมีความสุข มีเงินเยอะๆ รวยๆ แต่คิดไปว่าการไปเบียดเบียนคนอื่น โกงเขา ขโมยเขาเป็นเรื่องถูกต้อง ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้ บาปไม่เคยส่งผลให้เกิดบุญ บุญบริสุทธิ์นั้นก็ไม่เคยทำให้ใครบาป มันคนละทางกัน
    กรรมนั้นเหตุมันเกิดที่ใจ และกรรมทุกกรรมที่เราทำมาว่าจะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว จะหนักจะเบา จะถูกบันทึกไว้ในจิตใจทั้งสิ้น
    ไม่ว่าจะเกิดไปอีกร้อยชาติ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล เปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนภพภูมิไป แต่จิตนั้นยังเป็นดวงเดิมที่ได้มีการบันทึกกรรมนั้นไว้ตลอดเวลา กรรมใดที่เป็นอโหสิกรรมแล้วก็จะไม่ส่งผลอีก ถือว่ากรรมนั้นยุติลงไปแล้ว
    ต้องแก้ที่ใจเป็นอันดับแรก ต้องเชื่ออย่างไม่สั่นคลอนไม่สงสัยใดๆ ว่ากรรมนั้นมีจริง ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว ในบางครั้งอาจจะส่งผลช้าเพราะเป็นไปตามลำดับ ตามหน้าที่ ตามเวลา และมีปัจจัยอื่นประกอบด้วย แต่อย่างไรก็ต้องส่งผล กรรมหนักไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี อย่างช้า 30 ปีหรือในชั่วชีวิตคนจะได้เห็นกัน
    หากทำดีแล้วยังดวงตกอีก ทำอะไรก็ติดขัดไม่สำเร็จอีก อาจจะมาจากกรรมเก่าที่กำลังส่งผล โดยมีเจ้ากรรมนายเวรเขาตามรังควาน ตามอาฆาตมาดร้ายอยู่ จะใคร่ขอแนะนำเคล็ดวิชาจากครูบาอาจารย์ในการแก้ดวงตกที่มาจากกรรมเก่าให้ลองไปใช้กันดู (อย่าลืมว่าถ้าไม่เชื่อ ไม่มีความศรัทธาขอร้องว่าอย่าไปทำเลย เพราะไม่ได้ผล จิตมันไม่ถึงจะเสียเงินทองไปเสียเปล่าๆ)
    1. ให้รักษาศีล 5 อย่างมั่นคง เพราะการรักษาศีล 5 จะเป็นเครื่องมือช่วยในการป้องกันไม่ให้เราไปละเมิดกรรมไม่ดีต่อผู้อื่นอีก เป็นการหยุดการทำชั่วอย่างสิ้นเชิง ซึ่งคนดวงตกทั้งหลาย ถ้าหากยังละเมิดศีล 5 อยู่ผลกรรมที่จะได้รับ จนอาจจะทนทานไม่ไหวเลยก็ได้ เพราะแค่กรรมเก่ามาส่งผลยังลำบาก ยังดวงตกดิ่งนรกขนาดนี้ หากยังไปทำกรรมชั่วอีกคงหนักขึ้นหลายเท่า
    การรักษาศีลนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน อย่างน้อยต้องศีล 5 ถ้าดวงตกหนักมากอาจะจะต้องไล่ขึ้นไปอีกเป็นศีล 8 ศีล 10 หรือถึงขั้นต้องบวชเพื่อถือศีล 227 อาศัยร่มกาสาวพักตร์เป็นเกราะป้องกัน ดังที่คนโบราณหรือครูบาอาจารย์ในอดีตกาลท่านทราบทางแก้ไขเรื่องนี้ดี ท่านจึงมักจะให้บวชเสียถ้าหากคนนั้นพบกับวิบากกรรมหนักหรือดวงตกหนักๆ จนดูแล้วจะไปไม่รอด
    2. ใส่บาตรทุกวัน การใส่บาตรทุกวันนั้น เป็นการเสริมบุญให้กับตัวเองแบบง่ายๆ ที่ทำได้ (ให้ย้อนกลับไปอ่านเรื่องอธิษฐานจิตเสียก่อนทำบุญ ในบทแรกจะเข้าใจในการใส่บาตรทั้งหมด
    3. ทำสังฆทานใหญ่ เคล็ดวิชานี้มาจากครูบาอาจารย์ท่านสำคัญ ที่ขออนุญาตปิดชื่อของท่านไว้ก่อน ถ้าถึงเวลาเมื่อใดจะเรียนให้ทราบ ครูบาอาจารย์ท่านสำคัญท่านนี้ได้เมตตาให้กับคนดวงตกมาแล้วมากมายมหาศาลและเกิดผลดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีหลายท่าน นักการเมือง ทหารระดับใหญ่ของประเทศ นักธุรกิจการค้า คนทั่วไปที่กำลังรับผลกรรมเก่าจนยากจะรับมือไว้ เมื่อได้ทำครบถ้วนแล้ว ชะตาชีวิตดีขั้นอย่างทันตาเห็น ท่านเมตตาให้ทำดังนี้
    เตรียมอาหารคาวหวานครบ น้ำสะอาด ดอกไม้ธูปเทียน
    วัตถุทานที่จัดเป็นปัจจัย 4 คือ เครื่องบวชพระไตรจีวร บาตรพระพร้อมตาลปัตร ยารักษาโรค ของใช้ของสงฆ์ต่างๆ ตามที่สมควร หนังสือธรรมะ 1 เล่ม (ให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ให้ทั้งปวงเด้อคุณโยม)
    ถวายสังฆทานให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น
    ให้ไปถวายกับพระสงฆ์(ไม่ต้องเจาะจง) หรือพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูงเท่าที่เราจะหาได้ ถ้าหาไม่ได้จริงๆ หรือไม่ทราบให้ถวายกับเจ้าอาวาสวัด หรือถ้าอยากจะให้บุญมากมายมหาศาลให้ตั้งจิตถวายแด่พระพุทธเจ้าหรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทวีคูณ
    เวลาถวายให้เอากิ่งไม้นั้นตั้งขึ้นเหมือนที่เราเห็นในถังผ้าป่าทั้งหลาย เอาผ้าไตรจีวรนั้นพาด พระสงฆ์ท่านจะรับและชักออกไป เมื่อเสร็จสิ้นแล้วให้กรวดน้ำอุทิศบุญแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร
    การที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้ถวายอาหารคาวหวานให้ครบนั้น เพราะเจ้ากรรมนายเวรบางท่านนั้นอยู่ในภาวะหิวกระหาย ไม่มีใครทำบุญไปให้ ยิ่งหิวก็ยิ่งโกรธแค้นหลายเท่ากับคนที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ เครื่องบวชพระไตรจีวร นั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มทิพย์ในกรณีที่เขาไม่มีเสื้อผ้าจะสวมใส่
    การถวายพระพุทธรูปนั้นจะนำให้เข้าถึงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่งของเขาได้จริง หนังสือธรรมะจะทำให้เขาเข้าใจในพระธรรมที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้จริง ลดความอาฆาตมาดร้ายลง ถาดเงิน ถาดทองนั้นเป็นการช่วยให้เขามีภาชนะเก็บกักของทิพย์ที่เขาได้รับและจะนำมาใช้เมื่อใดก็ได้ การทำสังฆทานใหญ่นี้ทำเดือนละ1 ครั้งตรงกับวันเกิดสำหรับท่านที่ดวงตกมากๆ ต้องรีบทำเสียโดนด่วน เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
    หลายท่านที่ไม่มีเงินพอที่จะทำสังฆทานใหญ่แบบนี้ที่ต้องใช้เงินพอสมควร ขอแนะนำว่าให้ไปที่วัดใดก็ได้ที่มีการจัดเตรียมเครื่องสังฆทานไว้ให้แบบครบชุดที่เดี๋ยวนี้มีเกือบทุกวัด ให้ใช้วิธีทำผาติกรรมนำเงินใส่ซองจะ 10 บาท 5 บาทหรือเท่าใดก็ได้ ก็ครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนกัน หรือถ้าวัดนั้นไม่มีก็ขอเมตตาจากพระสงฆ์ท่าน ส่วนมากทุกวัดจะมีสิ่งของที่บอกไว้ครบ เราออกแรงขอท่านไปรวบรวมเอาสิ่งของดังกล่าวมาร่วมกันเป็นสังฆทาน แล้วขอผาติกรรมจากท่านก็ได้ เสร็จแล้วก็ไปคืนไว้ตามที่เอามา
    หรือท่านใดที่ดวงตกแต่ไม่มีเงินจริงๆ หรือไม่สะดวกอยู่ในที่จำกัดไปไหนมาไหนไม่สะดวก ก็ให้เร่งถือศีล 5 และสวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นการสร้างบุญโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียง 3 อย่างเท่านี้ก็แก้ไขได้แล้วเพราะบางเจ้ากรรมนายเวรเขาต้องการเพียงเราสำนึกผิดกลับใจ และส่งบุญให้ เขาก็พอใจพร้อมถอนตัวออกไปจากการจองเวรนี้
    หรือจะเพิ่มทานเข้าไปอีก เอาเงินสัก 1 บาทหรือสลึงหนึ่งก็ได้ใส่กระปุกไว้ก็ได้เพื่อจะให้ครบทั้ง ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วนในแต่ละวัน เมื่อเงินในกระปุกมีพอสมควรแล้วก็เอาไปถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานได้ ใช้วิธีนี้ในทุกเช้าโดยการทำทานหยอดเงินใส่กระปุกก่อนให้เป็นทาน อธิษฐานจิตเป็นสังฆทาน แล้วจึงสวดมนต์สมาทานศีล และทำสมาธิในทุกเช้า อาตมาเชื่อว่า...จากที่เคยลำบากมากเจ้าหนี้คอยตามรังควาน บ้านจะโดนยืด รถยนต์โดนยืด มีแต่เรื่องที่ทำให้เสียหายมากมายก็ทุเลาขึ้น จนดีวันดีคืนอย่างเเน่นอนเด้อคุณดยม...
    หรือแม้แต่ไม่มีเงินก็เอาแรงงานไปเช็ดถู ไปปัดกวาดลานวัด ทำความสะอาดหน้าพระประธาน พระพุทธรูปที่รายล้อมอยู่ตามศาลาวัด ไปช่วยเขาขนทรายขนปูนที่มีการก่อสร้างอะไรในวัดก็ตาม ไปช่วยกิจของสงฆ์ ทั้งไปช่วยโรงครัว โรงทานทำอาหารถวาย ช่วยล้างผลไม้ปอกผลไม้ ล้างจาน กวาดวัด ล้างห้องน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นของส่วนรวม แล้วอุทิศบุญที่ทำนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขา และอธิษฐานขอให้เป็นสังฆทานได้ทั้งนั้น อย่าไปคิดแต่เพียงว่าต้องใช้เงินอย่างเดียวเท่านั้น
    สำหรับการกรวดน้ำ ควรทำทุกครั้งหลังจากสร้างบุญเสร็จเพื่อที่จะได้ไม่ตกหล่น ถ้าลืมหรือติดธุระอะไรไม่ได้ทำ ถ้าเรานึกได้เมื่อใดให้กรวดน้ำใหม่ทันทีไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หายไปไหน ซึ่งเห็นได้จากบุญเก่าและบาปเก่าในอดีตชาติที่กำลังส่งผลให้เราอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนเช่นกัน
    น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาดเพื่อสื่อได้ง่ายและเร็วเสร็จแล้วให้เอาน้ำนั้นไปเทราดใต้ต้นไม้กลางแจ้ง ในเวลาที่เทให้ตั้งจิตอีกครั้ง กล่าวขอให้พระแม่ธรณี ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ท้าวยมราช มาเป็นสักขีพยานในการสร้างบุญ ให้ท่านทั้งหลายที่เราอุทิศบุญให้มารับบุญไป ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นครบทุกประการตามหลักครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณ
    แต่ถ้าไม่แน่ใจว่า ดวงจิตวิญญาณที่เราตั้งใจอุทิศบุญไปให้นั้น ท่านจะมารับได้หรือไม่ เพราะบางดวงจิตวิญญาณถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่รับได้เขาก็รับไม่ได้ เช่น ถูกลงโทษในนรกชั้นลึกที่สุดเพราะกรรมหนักเขาก็มาไม่ได้ เหมือนนักโทษประหารหรือนักโทษขั้นเด็ดขาดที่ห้ามเยี่ยม ห้ามทุกอย่างไว้เพราะทำกรรมหนักไว้ แต่มีวิธีแก้ไขให้ขอเมตตาฝากบุญไว้กับพระแม่ธรณี ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ท้าวยมราชไว้ เมื่อใดก็ตามที่เขาพร้อมจะรับบุญได้ ท่านจะเมตตาส่งเคราะห์ส่งบุญให้ได้
    สังฆทานนั้นยิ่งทำบ่อย ยิ่งดีทั้งสองทางทั้งสร้างบุญใหญ่และลดกรรมไม่ดีได้เร็วมากยิ่งขึ้น
    4. ต้องสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน สองสิ่งนี้ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด การสวดมนต์เพื่อปรับฐานบุญและทำให้ตนเองเกิดมงคล และการทำกรรมฐานแก้กรรมหรือที่เรียกกันว่า “สมาธิแก้กรรม” นั้นเป็นของจริงที่พิสูจน์กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว
    การสวดมนต์นั้นควรทำในตอนเช้าและก่อนนอน อย่าลืมว่าต้องมีบทพื้นฐานดังที่กล่าวไปแล้วในบทปลุกเสกตัวเองให้ศักดิ์สิทธิ์บทก่อน และอยากแนะนำให้สวดบทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกครั้ง ถ้าอยากเอาให้ได้ผลแบบเร็วทันใจให้สวดเลยอายุตนเอง 1 บท เช่น อายุ 30 ปีให้สวด 31 จบ ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 15 วันอย่าขาด
    เมื่อสวดมนต์แล้วให้นั่งสมาธิและวิปัสสนาต่ออย่างน้อยวันละ 30 นาที เมื่อออกจากสมาธิเจริญภาวนาแล้วให้แผ่เมตตาอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวนทันที แบบเจาะจงด้วยว่า โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตามมารังควานให้เกิดอุปสรรคอยู่ในขณะนี้ให้มารับบุญที่เกิดขึ้นนี้ แม้ว่าดวงจะดีแล้ว ก็อย่าหยุดทำให้ทำต่อไป ดวงจะดียิ่งขึ้นร้อยเท่าพันเท่า
    5. สงเคราะห์ปล่อยสัตว์ ให้ไปปล่อยปลาหมอหรือปลาไหลวันละ 8 ตัวทุกวันติดต่อกัน 7 วัน หรือให้ครบ 7 ครั้งใน 1 เดือน การปล่อยสัตว์ก็ให้ไปดูเรื่องการสงเคราะห์ปล่อยสัตว์แบบได้บุญมาก ถ้าหาปลาหมอหรือปลาไหลไม่ได้ใช้ปลาอะไรก็ได้ที่คนเอามาทำเป็นอาหารแบบว่าเขาต้องตายแน่ๆ ถ้าเราไม่ไปช่วยเขาไว้ ไปที่ตลาดแล้วบอกแม่ค้าว่า ให้เลือกปลาที่คิดว่ากำลังจะฆ่าให้หน่อย ในสมัยพุทธกาล เณรน้อยที่แม้ถึงฆาตได้ช่วยปลาจากปลักให้ไปอยู่ในแหล่งน้ำสมบูรณ์ ยังรอดตายได้ แค่ดวงตกแค่นี้ยิ่งได้ผลหลายเท่า
    6. ร่วมสร้างถาวรวัตถุใหญ่ๆ ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร หรืออะไรก็ตามที่เป็นของใหญ่ๆ และเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก จะเป็นทานใหญ่ที่ก่อให้เกิดโชคลาภ สำหรับการร่วมบริจาคนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเงินมาก เท่าใดก็ได้ แต่ต้องให้ตรงกับจำนวนหรือมากกว่าที่ตั้งใจไว้ เช่น ตั้งใจทำ 1 บาทก็ต้อง 1 บาทอย่าไปลดบุญตัวเองด้วยการทำเพียง 50 สตางค์เพราะเสียดาย ให้ทำตามที่เราตั้งใจจริงๆ เท่าไหร่ก็เท่านั้น...ลองทำดูสัก1เดือนเด้อคุณโยม.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  6. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    โลโปเริ่มวิปลาสแล้ว
    อย่าไปสนใจ
     
  7. Tom & Jerry

    Tom & Jerry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +536
    พระอาจารย์จิรวัฒน์ พำนักอยู่วัดไหนหรือเจ้าคะ โยมจะได้ขอโอกาสไปกราบ ทำบุญกับท่านบ้างค่ะ
     
  8. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
    ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
    ๓. ปูตีมุขเปตวัตถุว่าด้วยบุพกรรมของเปรตปากเน่า

    ท่านพระนารทะถามเปรตตนหนึ่งว่า

    [๘๘] ท่านมีผิวพรรณงามดังทิพย์ ยืนอยู่ในอากาศ แต่ปากของท่านมีกลิ่น
    เหม็น หมู่หนอนพากันมาไชชอนอยู่ เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้?


    เปรตนั้นตอบว่า

    เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสมณะลามก มีวาจาชั่ว สำรวมกายเป็นปกติ ไม่
    สำรวมปาก ผิวพรรณดังทองข้าพเจ้าได้แล้ว เพราะพรหมจรรย์นั้น แต่
    ปากของข้าพเจ้าเหม็นเน่าเพราะกล่าววาจาส่อเสียด ข้าแต่ท่านพระนารทะ
    รูปของข้าพเจ้านี้ท่านเห็นเองแล้ว ท่านผู้ฉลาดอนุเคราะห์กล่าวไว้ว่า
    ท่านอย่าพูดส่อเสียด(ยุยง,เสี้ยม,นินทา)และอย่าพูดมุสา ถ้าท่านละคำส่อเสียดและคำมุสา
    แล้ว สำรวมด้วยวาจา ท่านจักเป็นเทพเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าใคร่.

    จบ ปูติมุขเปตวัตถุที่ ๓.



    *การพูดยุยง เกิดได้ด้วยเจตนา 2 อย่างคือ

    1. เจตนาจะให้ตัวเองได้เข้าเป็นที่ชอบของผู้ที่กำลังพูดให้ฟัง จึงพูด เช่น เพราะอยากเข้าใกล้คนชื่อเอ รู้ว่าคนคนนี้ไม่ชอบคนชื่อบี เลยนินทาคนชื่อบีให้ฟัง เพื่อที่จะตีสนิท

    2. เจตนาจะให้เขาแตกกันจริง ๆ เพราะไม่ชอบ เกลียดอีกฝ่าย เลยยุยง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2014
  9. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นพระนิพพาน”
     
  10. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
    เเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
  11. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเเละบุญกุศลที่บำเพ็ญนี้
    จงบันดาลให้ท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ
    เเละประสบสิ่งอันพึงปรารถนาทุกทิพาราตรีกาลเทอญ สาธุ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...