การฆ่าคนในสนามรบ เป็นบาปผิดศีลหรือไม่

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย telwada, 13 ธันวาคม 2007.

  1. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การฆ่าคน หรือฆ่า ศัตรู ในสนามรบของทหาร เป็นบาป และผิดศีลหรือไม่

    ทหาร หรือกองทัพ ย่อมต้อง อาศัยศีลธรรม หรือศาสนาเป็นเครื่องประกอบหรือเป็นปัจจัยในการรบ (หมายเอาเฉพาะศาสนาพุทธ)
    หากทหารหรือกองทัพ ไม่มีศีลธรรม ก็คงไม่ผิดอะไร กับกองโจรกองหนึ่ง
    ดังนั้นกองทัพ ของทหาร ล้วนต้องยึดศีลธรรมเป็นเครื่องบำรุงใจ
    "บนยอดธงชัยเฉลิมพล จึงมีพระพุทธรูปนั่งอยู่ในบรรณศาลา ประดิษฐสถานอยู่ เรียกว่า พระยอดธง"
    เพื่อเตือนใจให้กับทหารทุกนายทุกคน ได้รู้ได้สำนึก ได้จดจำ และยึดถือศาสนาไว้เป็นแม่นมั่น

    ในศาสนามีข้อศีล ข้อศีลในศาสนาพุทธคือ ศีลทั้ง 5 ข้อ ทหารล้วนย่อมยึดถือศีลห้าอย่างเคร่งครัด
    การยึดถือศีล 5 ของทหารอย่างเคร่งครัดนั้น ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ฆ่าศัตรู ผู้รุกรานชาติ แต่ทหารหาญเหล่านั้น จะละเว้นซึ่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โดยไม่มีเหตุอันควร
    เมื่อมีศัตรูมารุกราน ความจำเป็นในการป้องกัน และรุกไล่ศัตรู ย่อมต้องเกิดมีขึ้น นั่นหมายถึง ต้องฆ่า ศัตรู เพื่อยึดเอาที่หมาย และหรือป้องกันที่หมาย
    ศีล 5 ของทหารทั้งหลายยังมีอยู่ แต่มีไว้สำหรับ เพื่อนพ้อง และเหล่าประชาชนคนไทยทั้งหลาย ไม่ได้มีศีล 5 ไว้เพื่อมีเมตตาต่อศรัตรู
    แต่ก็มิได้หมายความว่า จะฆ่าศัตรู ให้หมดทุกคน
    เพราะการดึงศัตรู ให้มาเป็นมิตร นั้น เป็นเรื่องที่ทหารจะกระทำมากกว่า การฆ่า
    จึงไม่มีคำว่า "บาป" สำหรับทหาร เพราะ คำว่า"บาป" หมายถึง ความไม่ดี
    การสังหารศัตรู ผู้รุกรานแผ่นดิน เป็นสิ่งดี ไม่เป็นบาป ขอรับ

    ข้าพเจ้า (ยศ นาย นามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
    ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
    ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
    ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
    ข้าพเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
    ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยยุติธรรม
    ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการเป็นอันขาด

    ด้านบนนั้น เป็นคำกล่าว "คำสัตย์ปฏิญาณตน ต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล "
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    บาปสิ ทำไมจะไม่บาป

    คนที่เราฆ่าแบบสุ่มยิงนี้ ผลน้อย เพราะเขามองไม่เห็นว่าใครทำ แต่ถ้าสู้ประชิดตัว แน่นอน เจ้ากรรมนายเวรตามถูกคน

    คนที่เราฆ่าไปทั้งหมด สุ่ม หรือ ไม่สุ่ม ครอบครัวเขาต้องแล้นแค้นแสนสาหัส กรรมของการส่งจิตสาปแช่งย่อมมาถึง ไม่ต่างจากอุทิศส่วนกุศล

    โพธิสัตว์ที่เป็นผู้นำในการฆ่า ก็ต้องตกนรก เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้ชาติตระกูลที่ต่ำลง ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นมาเสริม

    คนฉลาดจึงต้องรู้วิธีหยุดสงครามที่สัดสั้นที่สุด สรรพสัตว์ตาย และเดือดร้อนน้อยที่สุด
     
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ในกระทู้เขียนไว้แล้ว อ่านให้ดี คัดค้านหรือแสดงความคิดเห็นแบบมีหลักการหน่อยก็จะดีขอรับ
     
  4. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    มีเวรกรรมติดตัวครับ ไม่มีอะไรฟรี ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น

    ตั้งความคิด ด้วยความไม่บาป โอกาสพลาด ตามใจกิเลส ตัณหา ความอยาก ได้กรรมติดตัวก็สูง

    ตั้งความคิด ด้วยความบาป โอกาสพลาด ตามใจกิเลส ตัณหา ความอยาก ได้กรรมติดตัวก็น้อยลง

    ทหารก็เหมือนคนที่ต้องผิดศีลเพื่อไล่หนู แมลงสาบ มด ปลวก ออกจากบ้าน
    ทำไปเพื่อรักษาบ้าน กับทำไปเพราะความโกรธ เกลียด หรือเล่นสนุก แม้จะทำการกำจัดด้วยวิธีคล้ายกันหรือเหมือนกัน แต่ กรรมต่างกัน ตามเหตุเจตนา
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    หลักการคือ บุญส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป

    ถามว่าฆ่าสรรพสัตว์บาปไหม เราก็ศรัทธาว่า บาปหมด

    ถามว่าฆ่าสรรพสัตว์มีกุศลเจืออยู่ไหม ในบางกรณีก็ต้องศรัทธาว่ามี

    แต่ไม่ได้เอามาล้างกัน ทุกอย่างได้รับการชดใช้หมด

    รับส่วนไหนก่อน ส่วนไหนหลังก็กำหนดไม่ได้

    ทางที่ควรจึงต้องหาทางออกจากวงจรนี้ คือ พ้นสังสารวัฏ
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ก็บาป...

    สงครามบางทีไม่ได้มีขึ้นเพื่อตอบสนอง ความอยากใหญ่ของคน
    อย่างที่นักแต่งนิยาย เค้าจินตนาการไปซะทั้งหมด

    ถ้ามีคนหยาบช้า ใช้อำนาจบาตรใหญ่
    มาข่มเหงคุณ จะเอาไอ้นั้นจะเอาไอ้นี่
    ไม่มีให้ก็ข่มเหง ลูกเขา เมียใคร ฆ่าข่มขืน
    ทรัพย์สมบัติเรือกสวนไร่นา ปล้นสดม ฆ่าคนวางเพลิง

    คนบางจำพวกก็ไม่ได้เกิดมา ให้ใครมากระทืบเล่น
    ที่นี่เป็นโลกมนุษย์ ไม่ใช่นิริยภูมิ ไม่ใช่นรก
    เรามีสิทธิที่จะสู้...
     
  7. แม่ทัพธรรม

    แม่ทัพธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +141
    เทวดามั่วหว่ะ หัวสมองเท่าป.4 ทำเป็นมาสั่งสอน

    อยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง ขนาดผมเป็นเด็กผมยังเข้าใจหลักธรรมคำสอน

    มากกว่าผู้ใหญ่หัวหงอกที่อ้งาตัวเป็นพระศรีอาริย์ อย่างคุณเลย


    ผมว่าคุณไม่ต้องสั่งสอนคนอื่นหรอก ไปโรงบาลศรีธัญญาดีกว่า


    อย่างคุณหนะ มันเข้าข่ายบ้าแล้ว ไปหาหมอเช็คสมองเหอะ ไอ้เทวดาท่าจะบ๊อง
     
  8. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    จริง...
    ที่สงครามส่วนใหญ่มีขึ้นเพื่อตอบสนอง
    ความทะยานอยากของใครบางคน

    หรือ...
    ในตอนแรกมีขึ้นเพื่อป้องกันตัวจริงๆ
    แต่ในที่สุดก็มีคนหาผลประโยชน์ บนกองทุกข์ของคนอื่นจนได้

    สำหรับผม...
    ทหารในอุดมคติ ควรเป็นกองอาสา และ โปร่งใส
    นอกจากจะตะบันหน้าคนโน้นคนนี้ได้
    ก็ต้องตอบคำถามได้ มีหลักฐานชัดเจนว่าเหตุใดจึงทำ
    ทำด้วยความสมัครใจ บอกให้รู้ว่าเราคือคนบาป...

    แต่คนฉ้อฉน ก็ตะหลบตะแลงปลิ้นปล้อนไปได้เรื่อยๆ
    ก็หาเหตุผล ใช้ทรัพยากรของผู้อื่น เพื่อผลอันฉ้อฉล ของตนอยู่เนืองๆ
    อ้างส่วนรวม เพื่อตอบสนองส่วนตน...

    ทำไมผมถึงรู้...
    ผมชอบดูภาพยนตร์ฮอลีวูด ภาพยนตร์สงคราม
    เลยเก็บเอามาเล่าให้ฟัง
     
  9. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ต้องดูเหตุและจุดประสงค์ของการฆ่าครับ คนไทยสมัยก่อนฆ่าเพราะพม่ามา
    รุกรานประเทศไทยเรา ฆ่าเพราะต้องป้องกันประเทศ จะเรียกบาปหรือไม่ผม
    ไม่รู้ แต่เป็นกรรมต่อกันระหว่างผู้ถูกฆ่ากับเราแน่นอน
     
  10. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ตอบคุณเทวดาครับ

    ประเด็นที่คุณกล่าวมานั้น ผมได้อ่านอย่างถี่ถ้วน พิจารณาเห็นว่า คุณเป็นคนที่มีความรักชาติมากคนหนึ่งครับ...ผมเองก็รักชาติเช่นกันครับ

    สิ่งที่คุณเขียนมานั้น อ่านแล้วน่าประทับใจหลายอย่าง แต่ผมเห็นว่าน่าจะประทับใจกว่านี้ จนถึงขั้นถือว่าประทับใจที่สุด ดีที่สุด คือ "ทหารไม่ต้องฆ่าใครเลย" ครับ

    เพราะถึงแม้ที่คุณจะบอกว่า ทหารนั้นพยายามมีศีลอยู่ และจะฆ่าก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น แต่อย่างไรก็จัดว่าเป็นการฆ่ามนุษย์อยู่นั่นแหละครับ และการฆ่ามนุษย์นั้นจะไม่ว่าด้วยเหตุอะไร เช่น โดยอารมณ์ชั่ววูบ, โดยไม่รู้ว่าเป็นบาป, โดยจำเป็นก็ตาม เป็นต้น แต่ถ้าประกอบไปด้วยองค์ 5 ครบถ้วนแล้ว ย่อมจัดเป็นอกุศลกรรม เป็นกายทุจริต เป็นบาป มีทุคติ วินิบาต นรกเป็นเบื้องหน้า แม้ทางทหารจะถือกันว่า "ไม่บาป" ก็ตาม

    พระพุทธเจ้านั้นทรงพระปรีชาสามารถหาใดเปรียบ พระองค์ได้ทรงมีพระปัญญารู้แจ้งแทงตลอด และเคยประสบกับพระองค์เองมาแล้ว สมัยที่พระองค์เป็นพระเตมีกุมาร ทรงระลึกชาติได้ว่าพระองค์เคยเป็นพระราชามาก่อน แล้วทรงตัดสินประหารนักโทษที่เรียกว่าสมควรตายด้วยความจำเป็นแห่งหน้าที่กษัตริย์ แต่พระองค์เองก็ยังไม่ทรงพ้นจากนรกไปได้เลย พอมาเป็นพระเตมีจึงไม่ปรารถนาจะฆ่าใครอีก จนถึงขั้นทำตัวใบ้ ง่อย และตั้งใจอดทนอย่างนั้นว่าจะไม่ฆ่าใคร แม้คนนั้นจะมาฆ่าพระองค์ก็ตาม

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้เรามีศีล ให้เราไม่ฆ่าใครหรือฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม พระองค์ทรงมองเห็นถึงว่าการฆ่ากันนั้นมีแต่จะก่อเวรกันไปไม่สิ้นสุด การสิ้นสุดได้จริงๆ คือ "การหยุดฆ่า" ครับ

    การที่ฆ่ากันไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ล้วนเกิดจากรากเหง้าคือ อวิชชา ที่แสดงตัวออกมาในรูปของการกระทำอันประกอบขึ้นจากจิตที่ถูกกิเลส ถูกโลภะ โทสะ โมหะครอบงำ มีความไม่รู้อันถูกต้อง จึงได้ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา...

    แท้จริงสิ่งต่างๆ ในโลกไม่ใช่ของๆ เราเลย แผ่นดินต่างๆ ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นเพียงสมมุติเอา ถือกันเอาเองทั้งนั้น เราเกิดมาเพียงตัวเปล่า แล้วก็ไปเพียงตัวเปล่ากันทุกคน แม้ว่าฟันเลี่ยมทองก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุแห่งความไม่รู้นี้เมื่อเรามาเจอแผ่นดินก่อน หรือมาอยู่แผ่นดินแถวนี้ก่อน เราจึงไปยึดเอาเองว่านี่แผ่นดินของเรา นี่เป็นประเทศของเรา ใครจะมาแย่งของๆ เราไปไม่ได้ ถ้าใครจะมาแย่งก็ต้องตาย นี่อย่างนี้มันเกิดเพราะในลักษณะนี้ และเมื่อคนอื่นเขาจะมาเอาจึงเกิดการฆ่าฟันกันขึ้น และเมื่อถูกเขาแย่งได้ เราก็แย่งคืน ด้วยการรบกันกลับคืนอีก ไปๆ มาอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเราจะยึดแค่ไหน ยึดอย่างไร เราก็จะไม่สามารถเอาเป็นของเราทีแท้จริงได้ ในอดีตไม่ว่าเมื่อใด ประเทศใด จะมีกองทัพนับแสน นับล้าน ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด เช่น สมัยกรีก-โรมัน ,สมัยเจงกิสค่าน, ประเทศไทยของเราเอง ฯลฯ ก็ล้วนคิดแบบนี้ว่าจะต้องปกป้องประเทศของเราด้วยวิธีการหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ สงคราม แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีประเทศใดเลยที่จะอยู่ได้ค้ำฟ้า ทุกเมืองก็ย่อมสูญสิ้นไปตามกาลเวลาเสมอ ไม่พ้นกฏแห่งสัจธรรมอันเป็นไตรลักษณ์ไปได้ แต่กฏแห่งกรรมที่ทำกันไว้ไม่ได้จบไปพร้อมกับประเทศด้วย มันยังคงติดตามบุคคลๆ เหล่านั้นไปตลอดจนกว่าหมดวิบากกรรมนั่นแหละ จึงได้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์อย่างที่เห็นทุกวันนี้

    ตรงนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วถึงเหตุ ว่าการปกป้องประเทศด้วยการรบกัน การฆ่ากันนั้นไม่ใช่ทาง ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เพราะถ้าใช้ทางนี้ย่อมเป็นก่อเวร และจะก่อเวรกันเรื่อยไปไม่รู้จบสิ้น พระองค์จึงทรงสอนให้เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร สอนถึงวิธีที่จะแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เป็นการปกป้องประเทศชาติอย่างแท้จริง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละจะเป็นการเสริมสร้างสันติสุขอันยั่งยืน แท้จริง และจะมีการเป็นอยู่อย่างเมตตากรุณาต่อกัน ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น อยู่กันอย่างสันติในทุกสรรพสัตว์ในสากลโลก

    เป็นธรรมดาปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยะย่อมเข้าใจตรงนี้ได้ยาก จึงแทงไม่ตลอดสัจธรรมของพระองค์ เพราะศีลธรรมนั่นเสื่อมลงไปทุกขณะ ผู้รู้แจ้งแทงตลอดก็มีน้อย ผู้เข้าถึงอรรถ พยัญชนะ รู้ทั้งทฤษฏี และปฏิบัติก็มีน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อไม่รู้บางทีสอนไปก็ผิด และเมื่อผิดก็เกิดการจำผิด ปฏิบัติผิด สืบต่อกันมาเรื่อยๆ ได้

    สุดท้ายนี้ขอยกประโยค "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" ที่บางท่านจะอ่านขัดความรู้สึกของใครบางคน ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้แพ้ คนแพ้จะอยู่ในโลกนี้ได้ยาก แต่แท้จริงอันเป็นโลกุตระแล้วย่อมเห็นแจ้งตามได้ว่า ผู้ชนะย่อมก่อเวร ดังนั้นแพ้เสียยังดีกว่าต้องก่อเวร แต่ยิ่งไปกว่า คือที่สุดได้แก่ เราไม่ต้องมีทั้งแพ้ มีทั้งชนะ ไม่ต้องมาสู้ รบราฆ่ากันอีกเลย แล้วโลกนี้จะพบความสงบสุขที่ยั่งยืนแท้จริง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2007
  11. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เขียนตอนต้นดี ตอนท้ายหลง
    ทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศ เป็นเรื่องการเมืองการทหาร
    การฆ่าศัตรูในยามสงครามเป็นหน้าที่ เอาศาสนามาเกี่ยวไม่ได้ เพราะอาณาจักร ใหญ่กว่าศาสนจักร ถ้าทหารมัวแต่ไปยึดศีลห้าไม่ฆ่าศัตรูเพราะกลัวบาป ก็ต้องถูกศัตรูฆ่า และเสียประเทศ
    ถามว่าเมื่อฆ่าศัตรูตามหน้าที่แล้วบาปไหม ก็ต้องตอบว่าบาป
    แต่มันเป็นการจัดลำดับความสำคัญว่าเป็นรองชาติ
    ชาติต้องมาก่อนศาสนา
    ฆ่าเขาแล้วก็มาทำบุญอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมต่อศัตรูของชาติต่อไป
    แต่การที่ทหารมาฆ่าคอมมิวนิสต์ที่เป็นคนไทยในสมัยก่อน ก็ถือเป็นหน้าที่ป้องกันชาติ
    และมาก่อนศาสนา
    แต่ตอนที่ทหารมาฆ่าประชาชนใน14ตค.16นี่ เป็นหน้าที่ที่ไม่ถูกต้อง แม้จะปฏิบัติตามคำสั่ง แต่คำสั่งนั้นมีวาระซ่อนเร้น ตัวนี้ผิดทั้งการไม่ได้ป้องกันชาติ แต่ป้องกันฐานอำนาจของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
    สรุปการฆ่าทุกชนิดเป็นบาปทั้งสิ้น ผิดศีลห้าข้อหนึ่งทั้งสิ้น
     
  12. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    อย่าโกรธผมนะ...ผมแค่มีคำถาม

    สมมุติว่าคุณมีครอบครัว มีทรัพยสิน มีของรักของชอบใจ
    ดันมีคนจะมาทำลายมัน ไม่ถามเรื่องยึดไม่ยึด
    คุณเสียมันได้หรือเปล่า ไม่ได้มาให้ใครอุทิศอะไรเพื่ออะไร
    แค่ถามคุณเสียมันได้หรือเปล่าหละ...?

    คนส่วนใหญ่เรียกร้องสงครามเพราะ คิดว่าจะปกป้องของที่ตนรัก

    เค้าส่งใครไป...?
    คนที่ไม่มีอะไรจะเสียไปก่อน อาจเป็นอาสาสมัคร
    คนพวกนี้อาจจะไม่ครอบครัว ไม่มีบ้าน ไม่มีคนรัก
    คือไม่มีอะไรจะเสีย.. แล้วคนพวกนี้ก็ตาย...

    เมื่อมีเรื่องกัน พวกที่ไม่มีอะไรจะเสียก็ตายไปหมดแล้ว
    คราวนี้ทำไงต่อ...?

    ก็มาเอาพวกที่มีอะไรจะเสียนิดๆไป...แล้วพวกนี้ก็ตาย
    จากนั้นก็เป็นพวกไม่อยากจะเสียอะไร...แล้วพวกนี้ก็ตาย
    จากนั้นก็เป็นพวกที่เสียอะไรไม่ได้...ถ้าพวกนั้นยอมมานะ

    สรุปว่าสงครามเกิดจากอะไรแน่...?
    วิธีการระงับสงครามที่ถูกคืออะไรแน่...?
    ถ้ามีสงครามใครกันแน่ที่บาป...?

    นี้ยังไม่ได้ ไตร่ตรองเรื่องความสูญเสียของฝ่ายตรงข้ามเลยนะ

    ผมไม่ชอบสงครามหรอกนะ แค่พยายามทำความเข้าใจ
     
  13. siratsapon

    siratsapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +641
    ตอบคุณเทวดาครับ

    ประเด็นที่คุณกล่าวมานั้น ผมได้อ่านอย่างถี่ถ้วน พิจารณาเห็นว่า คุณเป็นคนที่มีความรักชาติมากคนหนึ่งครับ...ผมเองก็รักชาติเช่นกันครับ

    สิ่งที่คุณเขียนมานั้น อ่านแล้วน่าประทับใจหลายอย่าง แต่ผมเห็นว่าน่าจะประทับใจกว่านี้ จนถึงขั้นถือว่าประทับใจที่สุด ดีที่สุด คือ "ทหารไม่ต้องฆ่าใครเลย" ครับ

    เพราะถึงแม้ที่คุณจะบอกว่า ทหารนั้นพยายามมีศีลอยู่ และจะฆ่าก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น แต่อย่างไรก็จัดว่าเป็นการฆ่ามนุษย์อยู่นั่นแหละครับ และการฆ่ามนุษย์นั้นจะไม่ว่าด้วยเหตุอะไร เช่น โดยอารมณ์ชั่ววูบ, โดยไม่รู้ว่าเป็นบาป, โดยจำเป็นก็ตาม เป็นต้น แต่ถ้าประกอบไปด้วยองค์ 5 ครบถ้วนแล้ว ย่อมจัดเป็นอกุศลกรรม เป็นกายทุจริต เป็นบาป มีทุคติ วินิบาต นรกเป็นเบื้องหน้า แม้ทางทหารจะถือกันว่า "ไม่บาป" ก็ตาม

    พระพุทธเจ้านั้นทรงพระปรีชาสามารถหาใดเปรียบ พระองค์ได้ทรงมีพระปัญญารู้แจ้งแทงตลอด และเคยประสบกับพระองค์เองมาแล้ว สมัยที่พระองค์เป็นพระเตมีกุมาร ทรงระลึกชาติได้ว่าพระองค์เคยเป็นพระราชามาก่อน แล้วทรงตัดสินประหารนักโทษที่เรียกว่าสมควรตายด้วยความจำเป็นแห่งหน้าที่กษัตริย์ แต่พระองค์เองก็ยังไม่ทรงพ้นจากนรกไปได้เลย พอมาเป็นพระเตมีจึงไม่ปรารถนาจะฆ่าใครอีก จนถึงขั้นทำตัวใบ้ ง่อย และตั้งใจอดทนอย่างนั้นว่าจะไม่ฆ่าใคร แม้คนนั้นจะมาฆ่าพระองค์ก็ตาม

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้เรามีศีล ให้เราไม่ฆ่าใครหรือฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม พระองค์ทรงมองเห็นถึงว่าการฆ่ากันนั้นมีแต่จะก่อเวรกันไปไม่สิ้นสุด การสิ้นสุดได้จริงๆ คือ "การหยุดฆ่า" ครับ

    การที่ฆ่ากันไม่ว่าจะเป็นระดับไหน ล้วนเกิดจากรากเหง้าคือ อวิชชา ที่แสดงตัวออกมาในรูปของการกระทำอันประกอบขึ้นจากจิตที่ถูกกิเลส ถูกโลภะ โทสะ โมหะครอบงำ มีความไม่รู้อันถูกต้อง จึงได้ยึดมั่นถือมั่นในอุปทานขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา...

    แท้จริงสิ่งต่างๆ ในโลกไม่ใช่ของๆ เราเลย แผ่นดินต่างๆ ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ทุกอย่างเป็นเพียงสมมุติเอา ถือกันเอาเองทั้งนั้น เราเกิดมาเพียงตัวเปล่า แล้วก็ไปเพียงตัวเปล่ากันทุกคน แม้ว่าฟันเลี่ยมทองก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุแห่งความไม่รู้นี้เมื่อเรามาเจอแผ่นดินก่อน หรือมาอยู่แผ่นดินแถวนี้ก่อน เราจึงไปยึดเอาเองว่านี่แผ่นดินของเรา นี่เป็นประเทศของเรา ใครจะมาแย่งของๆ เราไปไม่ได้ ถ้าใครจะมาแย่งก็ต้องตาย นี่อย่างนี้มันเกิดเพราะในลักษณะนี้ และเมื่อคนอื่นเขาจะมาเอาจึงเกิดการฆ่าฟันกันขึ้น และเมื่อถูกเขาแย่งได้ เราก็แย่งคืน ด้วยการรบกันกลับคืนอีก ไปๆ มาอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเราจะยึดแค่ไหน ยึดอย่างไร เราก็จะไม่สามารถเอาเป็นของเราทีแท้จริงได้ ในอดีตไม่ว่าเมื่อใด ประเทศใด จะมีกองทัพนับแสน นับล้าน ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด เช่น สมัยกรีก-โรมัน ,สมัยเจงกิสค่าน, ประเทศไทยของเราเอง ฯลฯ ก็ล้วนคิดแบบนี้ว่าจะต้องปกป้องประเทศของเราด้วยวิธีการหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ สงคราม แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีประเทศใดเลยที่จะอยู่ได้ค้ำฟ้า ทุกเมืองก็ย่อมสูญสิ้นไปตามกาลเวลาเสมอ ไม่พ้นกฏแห่งสัจธรรมอันเป็นไตรลักษณ์ไปได้ แต่กฏแห่งกรรมที่ทำกันไว้ไม่ได้จบไปพร้อมกับประเทศด้วย มันยังคงติดตามบุคคลๆ เหล่านั้นไปตลอดจนกว่าหมดวิบากกรรมนั่นแหละ จึงได้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์อย่างที่เห็นทุกวันนี้

    ตรงนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วถึงเหตุ ว่าการปกป้องประเทศด้วยการรบกัน การฆ่ากันนั้นไม่ใช่ทาง ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เพราะถ้าใช้ทางนี้ย่อมเป็นก่อเวร และจะก่อเวรกันเรื่อยไปไม่รู้จบสิ้น พระองค์จึงทรงสอนให้เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร สอนถึงวิธีที่จะแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เป็นการปกป้องประเทศชาติอย่างแท้จริง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละจะเป็นการเสริมสร้างสันติสุขอันยั่งยืน แท้จริง และจะมีการเป็นอยู่อย่างเมตตากรุณาต่อกัน ไม่ใช่เฉพาะมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น อยู่กันอย่างสันติในทุกสรรพสัตว์ในสากลโลก

    เป็นธรรมดาปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยะย่อมเข้าใจตรงนี้ได้ยาก จึงแทงไม่ตลอดสัจธรรมของพระองค์ เพราะศีลธรรมนั่นเสื่อมลงไปทุกขณะ ผู้รู้แจ้งแทงตลอดก็มีน้อย ผู้เข้าถึงอรรถ พยัญชนะ รู้ทั้งทฤษฏี และปฏิบัติก็มีน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อไม่รู้บางทีสอนไปก็ผิด และเมื่อผิดก็เกิดการจำผิด ปฏิบัติผิด สืบต่อกันมาเรื่อยๆ ได้

    สุดท้ายนี้ขอยกประโยค "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" ที่บางท่านจะอ่านขัดความรู้สึกของใครบางคน ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนให้แพ้ คนแพ้จะอยู่ในโลกนี้ได้ยาก แต่แท้จริงอันเป็นโลกุตระแล้วย่อมเห็นแจ้งตามได้ว่า ผู้ชนะย่อมก่อเวร ดังนั้นแพ้เสียยังดีกว่าต้องก่อเวร แต่ยิ่งไปกว่า คือที่สุดได้แก่ เราไม่ต้องมีทั้งแพ้ มีทั้งชนะ ไม่ต้องมาสู้ รบราฆ่ากันอีกเลย แล้วโลกนี้จะพบความสงบสุขที่ยั่งยืนแท้จริง...
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  14. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ในเมื่อสงคราม ก็ไม่ใช่เราก่อ
    ที่เรามา ก็ไม่ได้อยากมา
    เรามา ก็ไม่ได้มาปกป้องอะไร
    แล้วใครๆ ก็ไม่รักเรา...

    งั้นทำไมเราต้องแพ้...
    เราจะทำให้ทุกคนเป็นพระ
    เราจะเป็นมารซะเอง

    เพื่อคนอื่นเลยนะเนี๊ยะ
    หล่ออยู่คนเดียวไม่แบ่งใคร...
     
  15. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    หาทางเข้านะครับ โยงเข้าหาหลักศีลธรรมของท่านให้ได้ ภาวะการครองเรือนหรืออะไร ก็ว่าไป แต่ดูๆแล้วยากนะ ยากที่จะโยงกลับไปเรื่องทิฏฐิของตัวเองได้

    นี้ก็เป็นโอกาสดีแล้วนะ ที่ไม่มีเสือสิงห์เข้ามาโต้แย้งรุนแรง เขาคงเหนื่อยกับศึกอื่น ตอนนี้ท่านน่าจะพิจารณาให้เร็ว ก่อนที่จะถูกก่อกวน รีบโยงเข้าหลักศีลธรรมใหม่ของท่านให้ได้

    แต่ถ้ามันยาก ก็ลองทิ้งทิฏฐิเดิมลงชั่วครู่ บางทีอาจเห็นหนทางโยงใยเข้าทิฏฐิของท่านได้สดใสขึ้น -- เราขอเสนออย่างนี้นะ


    ยากส์นะ ที่จะได้มีโอกาสได้คุยกันอย่างสันติ ทุกคนยังยิดดีคุยอย่างสันติ ท่านต้องมองให้เห็นนะ และต้องรีบใช้โอกาสด้วย


    คุยอย่างสันตินะ ไม่ได้บอกว่า ผิดถูก ไม่ต้องโต้แย้งประเด็นนี้ละ เดี๋ยวปิดทางกันเอง ยุ่งเลย


    ขอให้ทุกท่านเจริญๆครับ
     
  16. นายจั๊บ

    นายจั๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,109
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเคยอธิบายเรื่องนี้ไว้ครับ ลองหาอ่านนะครับ
     
  17. อมตนคร

    อมตนคร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +299
    การฆ่าคนที่มีศีลย่อมบาปกว่าการฆ่าคนที่ไม่มีศีล ในกรณีของทหารหรือตํารวจที่ต้องฆ่าข้าศึกและผู้ร้ายนั้น ก็ถือว่าบาปเหมือนกันแต่บาปนั้นย่อมจะมีน้อยกว่าการฆ่าคนที่ดี แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ทําบาปไปแล้วก็ควรจะเร่งทําบุญสร้างกุศลให้มากๆเพราะกุศลกรรมดีจะช่วยทําให้ตนรอดพ้นจากอบายภูมิได้
     
  18. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,606
    ค่าพลัง:
    +1,817
    คุณกระทู้นี้ไม่เกี่ยวกับ หลักธรรม เอาแค่ศีล คุณไม่ต้องท้าให้ข้าพเจ้าโยงดอกนะ เรื่องขี้ปะติ๋ว เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นหลักธรรมชาติของมนุษย์ อยู่แล้ว หลักธรรมศรีอาริย์ ก็เป็นหลักธรรมชาติ ทำไมจะโยงไม่ได้ ยกเว้นไม่เข้าใจเท่านั้นจึงโยงไม่ได้

    ในที่นี้อย่าอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวก้นเข้ามากล่าวถึง เรามาถกกันถึงข้อศีล ในพุทธศาสนานี้แหละ ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น อันไหนอันนั้น อย่ามั่ว เพราะถ้ามั่ว มันก็ไม่มีที่ยุติ
    บางคนเก่งเถียง แบบข้างๆคูคู เถียงแบบไม่มีความรู้ เอาสีข้างเข้าถู พอเถียงไม่ได้ก็ยกเอาอันโน้นอันนี้มากล่าวส่อเสียดเพ้อเจ้อ ข้าพเจ้าอย่าแสดงความคิดเห้นจะดีกว่านะขอรับ

    ข้อศีลในศาสนาพุทธนั้น ไม่ใช่ข้อห้าม ข้อศีลในศาสนาพุทธนั้น เป็นเพียงข้อละเว้น พวกคุณตีค่าพระพุทธองค์ต่ำเกินไป และการกล่าวของคุณ siratsapon นั้น แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในการรักษาศีล
    ข้อศีล มีไว้เพื่ออะไร สำหรับใคร
    เมื่อยามเกิดศึกสงคราม ที่ประเทศเราไม่ได้เป็นผู้ก่อ คุณคิดว่าหากไม่ปฏิบัติตามข้อศีล นั้น เป็นบาปหรือ
    ศีล 5 ในศาสนาพุทธ ดัดแปลงมาจาก ศีลในศาสนาฮินดู ในยุคสมัยนั้น
    คุณยกเอาพุทธประวัติมากล่าวอ้างในบางตอน
    แต่ยังมีบางตอนที่พระพุทธองค์ ทรงเป็นนักวางแผนการรบชั้นยอด สอนให้กษัตริย์เมืองหนึ่ง รบชนะอีกเมืองหนึ่ง
    คุณลองเสาะหามาให้อ่านได้ไหม ข้าพเจ้าจำได้แค่นี้
    การฆ่าศัตรู ผู้รุกรานประเทศ ทหารถือว่าไม่บาป และไม่ผิดศีล เพราะผู้ที่เราฆ่า มันจะทำลายบ้านทำลายเมือง และทำร้ายประชาชน ทหารและอื่นๆ ก็ต้องปกป้อง
    บาป หมายถึงอะไร หรือคุณ
    เอาแค่นี้ก่อนขอรับ
     
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ขออภัยครับคุณเทวดา ที่ผมชวนชักใบให้เรือเสีย

    แปลกใจนะครับ ที่ท่านพักเรื่องของท่านลงได้ ผมเพ้อไปเองจริงๆ

    มาคุยกันต่อเนอะ

    ก่อนอื่น บอกก่อนเลยว่า พ่อผมนะท่านเป็นทหาร สาย ก.ร.อ.ม.น. ระดับผู้การ

    ดังนั้นเรื่องรักชาตินี้มีอยู่แล้ว

    แต่อันนี้เป็นเรื่องประเด็น บาป หรือ ไม่บาป จริงถ้าจะขอใช้คำว่า อกุศล กับ กุศล นี้จะชัดเจนกว่า เพราะถ้าคำว่า บาป หรือ ไม่บาปนี้ จะมีการตีค่า จะมีการใช้ดุลยพินิจ ทำให้เรามีโอกาสคิดแบบลำเอียงได้

    ก็ กรณี ทหาร ที่รบ กับ ข้าศึก จะเห็นว่ามีการแบ่งฝ่าย ที่นอกเหนือไปจากสภาพมนุษย์ ทำให้เราลืมไปว่า ข้าศึก ก็ มนุษย์ เหมือนกับเรา แต่พอเอาคำว่า ข้าศึก ใส่เข้าไป ก็ทันที จะต้องเลือกข้าง แค่นี้ ตาชั่งก็เอียงแล้ว

    กรณีตัวอย่างผมก็ไม่สันทัด

    แต่จำได้ว่า ในพระชาติเตมีย์ใบ้ พระองค์ท่านไม่อยากขึ้นเป็นกษัตริย์ เหตุเพราะต้องว่าราชการตัดสินคดี บางคดีโทษของนักโทษหรือผู้กระทำผิดนี้คือ ประหาร พระองค์ท่าน เกรงว่าจะเป็น อกุศล เลยทำทีเป็น ใบ้เสีย แม้ถูกจับไปเผาก็นิ่งเสีย ยอมตายเองดีกว่าไปตัดสินใครให้ตาย นั่นแค่ตัดสินเองนะครับ ไม่ได้ลงมือจริงๆ พระองค์ท่านยังเห็นว่าเป็น บาป เลย

    ต่อให้เสนาว่าคดีแทน พระองค์ท่านก็เห็นว่าไม่พ้นกรรมอยู่ดี เพราะความที่เป็นผู้นำ ต้องรับผิดชอบการกระทำของลูกน้องทุกกรณี ทั้งต่อหน้า และลับหลัง

    กรณีตัวอย่างที่ยกมานี้ก็น่าคิดนะครับ หรือท่านว่าอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2007
  20. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ช่ายแว้ววว...เป็นผู้นำต้องรับผิดชอบ
    เพราะฉะนั้น "ผู้นำ" คือ บุคคลน่าจ๋งจ๋าน...
     

แชร์หน้านี้

Loading...