ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เรื่อง: ดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นผีลงนรก !!!

    [​IMG]

    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งในสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ พระองค์พร้อมด้วยพระสาวกประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูป ได้เสด็จมาถึงพระนครแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏชื่อว่าพระนครพาราณสีในปัจจุบัน ชาวเมืองทั้งหลายครั้นได้เห็นพระองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ต่างก็พากันตื่นเต้นดีใจด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก ชักชวนกันบริจาคทรัพย์ถวายอาคันตุกทานเป็นการใหญ่ ชาวบ้านได้รวมตัวกัน ๒ คน บ้าง ๓ คนบ้างเป็นเจ้าภาพภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์เป็นเวลาหลายวัน

    คราวหนึ่ง ยังมีลูกชายเศรษฐี ๔ คน ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขาต่างก็มีทรัพย์มากมายถึงคนละ ๔๐ โกฏิ ลูกชายของ เศรษฐีทั้ง ๔ นั้น กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น และเป็นเพื่อนรักกันมาก เมื่อเห็นชาวบ้านพากันบริจาคทานถวายอาหารเลี้ยง พระภิกษุสงฆ์เป็นการใหญ่เช่นนั้น แทนที่จะเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันทำบุญกับเขา กลับมีใจดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยได้คิดไปว่า “พวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่เขลา เพราะบ้าศรัทธา ทำไปทำไมกันบุญทาน ทำแล้วก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติไปเปล่าๆ การบูชาพระพุทธเจ้าและการรักษาศีลก็เหมือนกัน จะทำไปทำไม? คิดไปเท่าไรๆ ก็มองไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ เสียเวลาเปล่า” ว่าแล้วทั้ง ๔ คน ก็ปรึกษากันว่า จะจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านี้อย่างไรดี เพราะพ่อแม่ได้หาทรัพย์สมบัติไว้ให้มากมาย ลำพังจะกินจะใช้อีกกี่สิบชาติก็คงจะไม่หมดไปง่ายๆ

    เพื่อนคนหนึ่งก็เสนอขึ้นว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรา พากันไปหาซื้อสุราอย่างดีที่สุด เอามาดื่ม โดยมีเนื้อที่มีรสชาติดีที่สุดเป็นกับแกล้มเป็นประจำ อย่างนี้ชีวิตของพวกเราคงมีรสชาติขึ้น ทุกคนเห็นด้วยกับเราหรือไม่?”

    ทุกคนต่างก็เห็นดีเห็นงามกับคำเสนอของเพื่อน และมีคนหนึ่งเสนอเพิ่มเติมว่า นอกจากจะดื่มสุราที่มีรสดีที่สุดเท่าที่จักหาได้ในเมืองนี้แล้ว ควรให้คนใช้หาข้าวปลาอาหาร ชนิดที่มีรสเลิศต่างๆ มาบริโภคเป็นประจำตลอดไป ขณะที่อีกคนหนึ่งก็เสนอว่า กินเหล้าเมายาบริโภคอาหารดีๆ ถ้าหาก ว่าขาดนารีสวยๆ มันจะเป็นท่าอะไร ฉะนั้น พวกเราจะใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจดึงดูดสตรีมาประเล้าประโลมพวกเราด้วย

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชายหนุ่มทั้ง ๔ ต่างก็ตั้งหน้าประกอบอกุศลกรรม ทำความชั่ว เสพสุรายาเมาเป็นประจำ (ผิดศีลข้อ ๕) นอกจากนั้นยังกล้าประพฤติผิดลูกเมียคนอื่น (ผิดศีลข้อ ๓) คือ เมื่อเห็นสตรีสาวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ลูกเขาเมียใคร เมื่อตนพอใจแล้ว เป็นต้องหาอุบายเอาตัวมา เป็นเครื่องบำเรอความสุขของตนจนได้ โดยใช้เงินที่มีอยู่จำนวนมากเป็นเครื่องล่อใจ พวกเขาพากันล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่สั่งสมไว้ให้ไปในทางที่ชั่วช้าลามกอยู่อย่างนี้เป็นประจำ

    เมื่อพวกเขาทั้ง ๔ คนตายไปแล้ว กรรมชั่วทั้งหลาย ที่ได้กระทำไว้ ทำให้ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสหาประมาณมิได้ ต้องถูกไฟในอเวจีมหานรกอันแรงร้าย เผาไหม้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างเว้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว!!

    อันว่าสัตว์นรกที่เสวยทุกข์โทษถูกไฟนรกในอเวจีมหานรกไหม้ร่างกาย ก็ได้รับความแสบปวดแสบร้อนอยู่นานสิ้นเวลาพุทธันดรหนึ่งแล้วก็สิ้นกรรม จึงพากันจุติจากอเวจีมหานรกนั้น แต่ว่าเศษกรรมชั่วที่ทำไว้ยังไม่หมดสิ้น ดังนั้น พวกเขาจึงพากันมาเป็นสัตว์นรก ในนรก ‘โลหกุมภี’ ซึ่งมีความกว้างใหญ่ประมาณ ๖๐ โยชน์ ต้องเวียนว่ายให้ไฟไหม้ เผากายตนอยู่ในนรกโลหกุมภีอันกว้างใหญ่นั้น ครั้นเวียนว่ายอยู่ภายในหม้อนรกเหล็กแดงโลหกุมภี สิ้นเวลานานนักหนาแล้ว ก็พยายามกระเสือกกระสนจะว่ายขึ้นมาเบื้องบน ให้ได้พวกเขาต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก

    โดยหวังที่จะว่ายขึ้นไปถึงปากหม้อนรกโลหกุมภีให้จงได้ บางครั้งพอจวนจะถึงปากหม้อก็ต้องกลับจมลงไปอีก ทั้งนี้ก็เพราะสภาพของสัตว์นรกที่ตกลงไปในหม้อนรกเหล็กแดงใหญ่ที่ชื่อว่าโลหกุมภีนั้น ย่อมมีสภาพเหมือนกับข้าวสารที่เขาเอาใส่แล้วต้มเคี่ยวในหม้อน้ำซึ่งกำลังเดือดพล่าน!! มีอาการดำผุดดำว่ายโผล่ขึ้นมาแล้วก็จมลงไป และโผล่ขึ้นมา อีกแล้วก็จมลงไปอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปเป็นนิตย์

    ชายหนุ่มเจ้าสำราญทั้ง ๔ คนนี้ก็เหมือนกัน ขณะนั้นพวกเขามีสภาพเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่กำลังถูกเคี่ยวอยู่ ในหม้ออันเดือดพล่าน การจะโผล่ศีรษะขึ้นมาปากหม้อ จึงเป็นความหวังอันเลือนลางเต็มที!! แต่พวกเขาก็หาหมดความพยายามไม่ อุตสาหะว่ายตะเกียกตะกายเรื่อยไป

    และในที่สุดหลังจากที่ได้ใช้ความพยายามอยู่เป็นเวลาถึง ๖๐,๐๐๐ ปี (นับปีในมนุษย์โลก) คราวหนึ่งทั้ง ๔ ซึ่งอยู่ในนรกโลหกุมภี เสวยทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสมาเป็นเวลาช้านาน ได้ผงกศีรษะขึ้นมาเจอหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงที่ปากหม้อพอดี ต่างคนต่างดีใจ ใคร่จะระบายความทุกข์ให้เพื่อนฟังถึงความผิดที่ตนได้เคยกระทำไว้ แต่ทุกคนก็พูดได้เพียงคนละคำเท่านั้น ก็ต้องจมหายลงไปในหม้อนรกอีก และดำผุดดำว่ายทนทุกขเวทนาอยู่ในหม้อเหล็กใหญ่ที่มีน้ำเดือดพล่านในนรกนั้นอีกนานแสนนาน
    ........................................................................................................

    จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นว่า ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ คนนั้น แต่เดิมทีเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก แต่มีความประมาทและโง่เขลา ทั้งๆ ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก และเสด็จมาโปรดประชาชนยังบ้านเมืองของตน แทนที่พวกเขาจะมีใจเลื่อมใสรีบขวนขวายประกอบการกุศลเช่นคนทั้งหลายอื่น กลับมีน้ำใจชั่วช้าคิดดูหมิ่นในบุญ ประกอบแต่กรรมชั่วต่างๆนานา ครั้นตายไปจึงต้องตกนรกอเวจีและโลหกุมภี ครั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานหนักๆเข้าจึงได้รู้สึกสำนึกตน แต่การที่พวกเขาเพิ่งมาสำนึกตนและได้แต่พร่ำบ่นรำพันอยู่ในนรกนั้น มันก็สายไปเสียแล้ว

    ส่วนพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะนี้ยังไม่สายเกินไปสำหรับการกลับตัวกลับใจ อดีตที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถ ทำอะไรได้ แต่ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีได้ หากเคยทำความชั่วก็จงกลับตัวกลับใจ แล้วเร่งรีบประกอบคุณงามความดีอันเป็นบุญเป็นกุศลไว้ให้มากๆ เพราะกุศลกรรมความดีที่เราทำไว้ในวันนี้จะช่วยส่งผลให้เราพบแต่ความสุขไม่ว่าโลกนี้หรือโลกหน้า แต่ถ้ายังมีจิตใจชั่ว เกิดความมัวเมาประมาท พลาดพลั้งกระทำแต่อกุศลกรรมอยู่เนืองๆ โดยไม่นึกถึงวันตายเลย กรรมชั่วที่ทำไว้นี้ก็จะส่งผล ให้เราเจอแต่ความทุกข์ทรมานอยู่ร่ำไป

    ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่กลัวบาปกรรม มัวแต่เพลิดเพลินกับความสุขเพียงเล็กน้อย มีกิ๊ก ดื่มเหล้าเคล้า นารี ทำผิลศีลธรรมต่างๆนานา สิ่งเหล่านี้หากคิดพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มันสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองทั้งในชาตินี้ และชาติต่อไป ฉะนั้นคนที่ดำเนินชีวิตเช่นนี้จงกลับตัวกลับใจ และนำตัวเองออกจากขุมนรกตั้งแต่วันนี้ดีกว่า ก่อนที่จะสายเกินไป

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 89 เม.ย. 51 โดย มาลาวชิโร)

    ที่มา www.manager.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  2. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    15 ก.ค. 56 โลกนี้คือละคร

    ในห้องเล็กๆ ที่ได้ไปร่วมพบปะสังสรรค์ประจำปีที่ได้จากกันมา ๔๑ปี ในแต่ละปีเพื่อนๆจะเปลี่ยนหน้ามาเพราะบางคนก็อยู่ต่างจังหวัดจะมาเป็นบางปี

    แต่ละปีจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ที่ดีขึ้น เช่น ทราบว่านายคนนี้ได้เลื่อนเป็นนายพลตรี พลเรือตรี คนนี้เป็นประธานศาลฎีกา คนนี้ไปเป็นผู้ว่าหรือรองผู้ว่า คนนี้เป็นผู้กำกับปีนี้ได้ย้ายจากจังหวัดนี้ไปอยู่จังหวัดนั้น ฯลฯ ที่แย่ลงคือ จาก 405คน ร่วงไป 44คน อีกคนที่มาแล้วเปิดหมวกให้ดูคือ เซียร์แห่งไทยรัฐ ที่ศีรษะเขาเล่าให้ฟังว่า เลือดคลั่งสมองต้องเจาะเอาเลือดออก

    ขากลับคอยยืนส่งครูบาอาจารย์ขึ้นรถ เจอครูประจำชั้นท่านก็ทักและพูดว่า เดี๋ยวคุยกัน ตัวเองคิดในใจ เดี๋ยวของครูนะปีหน้านะครับ...ฮา ตถตา

    ครับ ขอให้ครูทุกท่านที่ได้เจอกันมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แล้วปีหน้าค่อยคุยกัน

    ลูกศิษย์
    น.ด. ๙๔๔๔
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เทวตานุสติ

    [​IMG]

    คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า ระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี หรืออยากเป็นเทวดา เป็นเอินทร์เป็นพรหม หรืออยากบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์จะต้องมีความปรารถนาด้วยกันทุกคน แต่เมื่อมาได้เพียงมนุษยสมบัติ ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะตกแต่งให้มนุษย์ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่อไป มนุษย์ที่มีสมบัติ คือมีอวัยวะครบครันบริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ นับว่าดีอยู่แล้ว ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงเถิด

    เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ทีเดียวมันเป็นมนุษย์แต่ชื่อ หรือไม่มนุษย์สมบัติมาเฉย ๆ ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมี “มนุษยธรรม”ด้วย มนุษยธรรม คือคุณธรรมที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมีมากที่เป็นเบื้องต้น ได้แก่ การเอ็นดู เมตตา ปรารถนาหวังดีต่อกันและกัน แล้วก็มีกตัญญูกตเวที อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์

    คนเราถ้าหากไม่มีเมตตาหวังดีต่อกันแล้ว มันก็ไม่ผิดแผกจากสัตว์เดรัจฉานเลย เอาแต่ได้เอาแต่ดี เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของคนอื่น ก็เหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์มันไม่มีเมตตาปรานีแก่กัน เช่นอย่างวัวควาย เมื่อเกิดมาก็มีแม่ของมันเลี้ยง พ่อของมันไม่ทราบไปไหนต่อไหนแล้ว แม่เลี้ยงลูกโดยสัญชาตญาณของมัน รักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน แต่เวลาเติบใหญ่แล้วก็ลืมหมด ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกเป็นเต้า ไม่มีการสงเคราะห์กันนั่นแหละที่เรียกว่ามันไม่มีมนุษยธรรม

    ส่วนคนเราไม่เป็นอย่างนั้น เรายังมีเมตตาปรานีโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน หวังหาความสุข ความเจริญต่อกันรู้จักบุญคุณของกัน เหตุนั้นมนุษย์จึงมีพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องแสดงความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน นอกจากมนุษยธรรมแล้ว ยังมีข้ออื่นอีก คือ มีศีล 5 เป็นเครื่องอยู่ ศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษามนุษย์ให้เจริญต่อไป เมื่อเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร กล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัยแล้ว มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก

    ชุมชนใดถ้ามีศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ ชุมชนนั้นจะค่อยเจริญงอกงามขึ้น ถ้าไม่มีศีล 5 ก็นับวันจะเสื่อมลงไป จะมีแต่คิดอิจฉา มีแต่เบียดเบียนพยาบาทอาฆาตจองบ้างจองผลาญซึ่งกันและกัน ชุมชนใดไม่มีศีล 5 ก็เป็นสัตว์ไป ลองคิดดูเถิด กฎหมายบ้านเมืองซึ่งท่านตราออกมาเป็นพระราชบัญญัตินั้น ล้วนแล้วแต่อนุโลมตามศีล 5 กฎหมายมาตราต่าง ๆ ต้องมีศีล 5 อยู่ทั้งนั้น ศีล 5 นี้เป็นพื้นฐานของชาวโลก โลกมีศีล 5 แต่ไหนแต่ไรมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติก็มีอยู่อย่างนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วจึงทรงสอนศีล 5 อนุโลม ตามของอันมีอยู่แต่ก่อน ศีล 5 ประการนี้เป็นเหตุให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจากอุปัทวันตราย

    ฉะนั้น เบื้องต้นที่จะเป็นเทวดา ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมเสียก่อน เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า “ มนุสฺโส ” เกิดขึ้นมาเป็น มนุสฺโส แล้วจึงค่อยเป็น “ มนุสฺสเทโว ” ต่อไปถ้าไม่เป็น มนุสฺโส ก็เป็น มนุสฺสเทโว ไม่ได้ การที่จะเป็นมนุสฺสเทโวได้ ก็ต้องมีธรรมะเป็นครื่องอยู่ เปรียบเหมือนกับพวกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำการค้าขาย ก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการ ก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะ มีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “ หิริ ” ความละอายแก่ใจ และ “ โอตฺตปฺป ” ความเกรงกลัวต่อบาป

    ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญผู้มีความละอายต่อบาปกลัวต่อบาป จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอ จึงละอายและกลัว การกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี แม้แต่เพียงคิดเฉย ๆ ว่าจะทำความชั่ว เป็นต้นว่าคิดจะขโมยของเขา ก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปไม่กล้าทำ เช่นนี้เรียกว่ามี หิริ โอตฺตปฺป

    หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ก็ตาม ต้องมีหิริ และ โอตฺตปฺป เนื่องจากได้เห็นจิตของตน เห็นความนึกความคิดความปรุงของจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทำความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์ ธรรม 2 ข้อนี้จึงได้ชื่อว่าธรรมที่ตกแต่งมนุษย์ให้เป็นเทวดา ฟังดูคล้ายๆ กับว่าธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดา อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพูดอุปมาอุปไมยฟัง แต่เราสามารถทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของเราได้ด้วยการตั้งสติ กำหนดดูให้รู้จักจิตของตนเสียก่อน เมื่อมันคิดนึกแส่ส่ายไปทางอกุศลก็รู้จักละอายและกลัวต่อบาปแล้วงดเว้นเสียนี่แหละเป็นธรรมซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา

    ธรรมไม่มีตนไม่มีตัว เป็นนามธรรม เปรียบง่าย ๆ เหมือนกับคนค้าขาย คนกระทำการค้าขาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้า ไม่ใช่การค้าขายทำให้เป็น เราเป็นคนทำต่างหากจึงค่อยเป็น อันนี้ก็เหมือนกัน เราระลึกขึ้นมาได้ เราเห็นใจของตนอยู่เสมอ จึงมี หิริ โอตฺตปฺป ช่วยให้มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 สมบูรณ์บริบูรณ์หมดทุกอย่าง ท่านจึงว่า

    หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
    สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
    เทวธรรม คือ หิริ โอตฺตปฺป เท่านั้น ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา


    คนเราเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าอยากดีขึ้นไปเป็นเทวดาต้องมีคุณธรรม 2 อย่างนี้จึงจะเป็นเทวดาได้ ถ้าหากอยากดีอยากเป็นเทวดาแต่ไม่มีคุณธรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุนั้นจึงควรที่จะสร้างคุณธรรมนั้นให้มีขึ้นในตนเมื่อมีขึ้นแล้วก็เพิ่มพูนให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น การมีหิริโอตฺตปฺป และรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ได้อาจสามารถเป็นพรหมได้ เรียกว่า พรหมจรรย์ การรักษาศีล 10 ศีล 227 เรียกว่า พรหมจรรย์โดยแท้ ก็อาศัย หิริ โอตฺตปฺป นั่นเอง หากเป็นโดยลำดับ

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะรักษา ควรที่จะระลึกถึงธรรมอันที่ทำให้เป็นเทวดาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นอนุสติรักษาตนอยู่ด้วยความสงบได้ ไม่เป็นไปเพื่อความกำเริบวุ่นวาย มีความสุขความสบายตลอดเวลา

    เทวตานุสติ โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที 4 ฉบับที่ 42 โพสต์โดยคุณ สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์

    ที่มา www.kanlayanatam.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • B541031p3.jpg
      B541031p3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.7 KB
      เปิดดู:
      2,114
    • B541031p7.jpg
      B541031p7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      409.7 KB
      เปิดดู:
      63
    • B541031p8.jpg
      B541031p8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      354.9 KB
      เปิดดู:
      68
    • B541031p9.jpg
      B541031p9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      358.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • K541018p4.jpg
      K541018p4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.4 KB
      เปิดดู:
      52
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พิษไต้ฝุ่นซูลิกถล่มจีน ยอดผู้เสียชีวิตและสูญหาย 295 คน

    [​IMG]

    จีนยืนยันยอดผู้เสียชีวิตและสูญหายจากพายุไต้ฝุ่น “ซูลิก” อยู่ที่อย่างน้อย 295 ราย หลังเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม และอาคารบ้านเรือนพัง

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ว่า รัฐบาลจีน เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า อย่างน้อย 295 คนได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิต หรือสูญหาย หลังจากฝนตกหนักและพายุไต้ฝุ่น “ซูลิก” พัดถล่มจีน ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม และอาคารพังถล่ม โดยมีฝนตกหนักในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิต 68 คน สูญหาย 179 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 40 คน และสูญหาย 2 คน ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ ส่วนในมณฑลกวางตุ้ง มีผู้เสียชีวิต 3 คน และสูญหาย 2 คนหลังซูลิกถล่มเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

    เจ้าหน้าที่ประเมินความเสียหายจากไต้ฝุ่นลูกนี้ เฉพาะเมืองเหวินโจว ของมณฑลเจ้อเจียง เมืองเดียวได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรง 210 ล้านหยวน หรือ 34 ล้านดอลลาร์

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:11 น.

    อินเดียประกาศคนหาย 6,000 คน ตายแล้ว

    [​IMG]

    อินเดียเชื่อ คนสูญหายเกือบ 6,000 ราย เสียชีวิตไปแล้ว หลังน้ำท่วมใหญ่และดินถล่ม ทางเหนือของประเทศ

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่า ประชาชนเกือบ 6,000 คนที่ถูกขึ้นบัญชีหายสาบสูญ ภายหลังน้ำท่วมใหญ่และดินถล่มในรัฐทางเหนือของประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว ได้รับการสันนิษฐานจากทางการอินเดียว่า เสียชีวิตไปแล้ว โดยนักแสวงบุญ นักท่องเที่ยว และชาวบ้านได้ถูกกระแสน้ำท่วมพัดพาไป หลังเกิดฝนตกหนักในรัฐอุตตราขันด์เมื่อเดือนมิ.ย. ทำลายหมู่บ้านและเมืองหลายแห่งจนราบเรียบ

    แต่เท่าที่ผ่านมา มีการยืนยันผู้เสียชีวิตราว 1,000 ศพ และหายสาบสูญหลายพันคน ท่ามกลางปฏิบัติการกู้ภัยครั้งใหญ่ของทหารในเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ นายวิชัย บาฮากูนา มุขมนตรีรัฐอุตตราขันด์เปิดเผยว่า ขณะนี้ ผู้สูญหายราว 6,000 คน ถูกเชื่อว่า เสียชีวิตไปหมดแล้ว และทางการกำลังเริ่มต้นกระบวนการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ครอบครัวที่เดือดร้อนจากอุทกภัย

    นายบาฮากูนากล่าวว่า ตัวเลขผู้สูญหาย 5,748 คนนั้น ได้ถูกสรุปแล้วว่า เสียชีวิตทั้งหมด ดังนั้นกระบวนการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ครอบครัวต่างๆ จะเริ่มขึ้นในวันอังคาร(16ก.ค.) โดยทางการรัฐอุตตราขันด์จะจ่ายชดเชยให้แก่ชาวบ้านท้องถิ่น ส่วนรัฐบาลในรัฐอื่นๆของอินเดียจะจ่ายชดเชยให้แก่ประชาชนของตัวเอง แต่ในส่วนของผู้สูญหาย 924 คนที่เป็นชาวรัฐอุตตราขันด์จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนของรัฐ ซึ่งนายบาฮากูนาบอกว่า แต่ละครอบครัวจะได้รับเงินรายละ 500,000 รูปี หรือราว 2.6 แสนบาท

    นอกจากนั้น ทางการรัฐอุตตราขันด์จะตั้งกองทุนสำหรับเด็กกำพร้าคนละ 500,000 รูปี ทั้งนี้ พายุฝนและดินถล่มได้เข้ากระหน่ำบ้านเรือน โรงแรม และถนนต่างๆ ในช่วงที่มีการแสวงบุญของรัฐอุตตราขันด์ หรือที่รู้กันในชื่อดินแดนแห่งพระเจ้า สำหรับกองทัพอินเดียที่ได้รับการสนับสนุนจากฝูงเฮลิคอปเตอร์ สามารถช่วยเหลือนักแสวงบุญกับนักท่องเที่ยวได้กว่า 100,000 คนที่ติดค้างอยู่ตามหมู่บ้านหรือเมืองตากอากาศหลายแห่ง ภายหลังเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลา 18:59 น.

    เศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ยวบ

    [​IMG]

    เศรษฐกิจจีนในเดือน เม.ย.-มิ.ย. ชะลอตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน อยู่ที่ร้อยละ 7.5 และเป้าของรัฐบาลตลอดทั้งปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 7.5 ต่ำสุดในรอบมากกว่า 20 ปี

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ในช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ชะลอตัวลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน โดยประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ขยายตัวร้อยละ 7.5 เมื่อเทียบกับเมื่อปีก่อน ลดลงจากร้อยละ 7.7 ในเดือน ม.ค.-มี.ค. ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

    หลังจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ขณะนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่พร้อมยอมรับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ข้อมูลการค้าที่อ่อนแอ และการดำเนินการของทางการเพื่อควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคาร ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอ่อนแอ โดยเหริน เสียนฟาง นักเศรษฐศาสตร์จากไอเอชเอส โกลบอล อินไซจ์ท กล่าวว่า ขณะนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี อยู่ที่ระดับต่ำว่าร้อยละ 8 เป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนของความน่าวิตกกังวล

    รัฐบาลตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจตลอดทั้งปีนี้ อยู่ที่ร้อยละ 7.5 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบมากกว่า 20 ปี

    เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:41 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
  5. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    น้ำป่ายังไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือน และสวนผลไม้เมืองจันท์อย่างต่อเนื่อง

    [​IMG]

    จันทบุรี - น้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือน และสวนผลไม้ใน อ.ขลุง ชาวบ้านเดือดร้อน 5 หมู่บ้าน 70 หลัง สวนผลไม้เสียหายกว่า 1,000 ไร่

    วันนี้ (16 ก.ค.) เกิดฝนตกหนักเกิน 200 มิลลิเมตร ที่ ต.ตรอกนอง อ.ขลุง จ.จันทบุรี และเกิดน้ำป่าไหลลงจากเทือกเขาสระบาป เข้าท่วมบ้านเรือน หมู่ 1-5 ระดับน้ำ 1-1.20 เมตร น้ำท่วม 70 หลังคาเรือน สวนผลไม้กว่า 1,000 ไร่ นอกจากนี้ วัดตรอกนองล่าง ถูกน้ำท่วม รถไม่สามารถเข้าไปได้ ถนนเข้าหมู่บ้านหลายสายถูกน้ำท่วม ชาวบ้านไม่สามารถเข้า-ออก

    ล่าสุด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่บ้านถูกน้ำท่วม 2 ราย ออกมาอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งกระแสน้ำยังไหลเชียวกราก มีสีขุ่นแดง บางครัวเรือนไม่สามารถเก็บข้าวของได้ทันถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหาย ขณะที่จังหวัดสั่งเฝ้าระวังพื้นที่ทางน้ำไหล เชิงเขา เพราะเสี่ยงกับปัญหาดินโคลนถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก

    ทั้งนี้ หากสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเร่งอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่ทันที เนื่องจากน้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้นับเป็นน้ำป่าที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี และเป็นน้ำป่าระรอก 2 หลังจากเว้นไปเพียง 2 วันเท่านั้น

    นางลม้าย สาณเสน อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15/1 หมู่ 2 ต.ตรอกนอง กล่าวว่า ในรอบ 20 ปีไม่เคยเกิดขึ้นเลย ครั้งนี้ถือว่าหนัก และรุนแรงที่สุด มาเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ไหลแรง และชี่ยวมาก
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แผ่นดินไหว 7.3 ริคเตอร์ ใกล้ทวีปแอนตาร์กติกา

    [​IMG]

    เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 7.3 ริคเตอร์ นอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติกา ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่งหลายครั้ง แต่ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรง

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.3 ริคเตอร์ นอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติกา ทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรง

    รายงานของสำนักงานสำรวจทวีปแอนตาร์ติกา "ออร์กาเดส" ของอาร์เจนตินาระบุ แรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.03 น. ตามเวลาท้องถิ่น ( 21.03 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) มีความรุนแรงในระดับ 7.3 ริคเตอร์ ลึกลงไปใต้ทะเลนอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติการาว 10 กิโลเมตร

    แม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์ และศูนย์สำรวจของประเทศอื่นที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันไม่ได้รับอันตราย แต่มีรายงานพบการเกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่งหลายระลอก

    เดลินิวส์ วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลา 07:28 น.

    ประท้วงใหญ่ทั่วสหรัฐค้านผลตัดสินคดี "จอร์จ ซิมเมอร์แมน"

    [​IMG]

    ชาวอเมริกันเตรียมจัดชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศวันเสาร์นี้ หลังผลตัดสินของศาลรัฐฟลอริดา ที่ให้ "จอร์จ ซิมเมอร์แมน" พ้นผิดในคดียิงสังหารเด็กหนุ่มผิวสีวัย 17 ปี ค้านสายตาประชาชนส่วนใหญ่

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองแซนด์ฟอร์ด รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่ากระแสความไม่พอใจหลังอาสาสมัครเฝ้าระวังภัยในเมืองแซนฟอร์ด ชนะคดียิงสังหารเด็กหนุ่มผิวสีเมื่อต้นปีที่แล้ว กำลังลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วสหรัฐ โดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวประกาศจัดการชุมนุมใหญ่สุดสัปดาห์นี้

    แม้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐผิวสีคนแรก จะออกมาแถลงด้วยตัวเอง วิงวอนขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และอย่าก่อความรุนแรง พร้อมกับให้คำมั่นว่า กระทรวงยุติธรรมกำลังรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนใหม่ แต่การที่คณะลูกขุนศาลสูงรัฐฟลอริดามีคำพิพากษาเมื่อวันเสาร์ ให้นายจอร์จ ซิมเมอร์แมน อาสาสมัครเฝ้าระวังชุมชนในเมืองแซนฟอร์ด พ้นความผิดในคดียิงสังหารนายเทรย์วอน มาร์ติน เด็กหนุ่มผิวสีวัยเพียง 17 ปี เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2555 ระหว่างผู้เสียชีวิตกำลังเดินกลับบ้าน หลังออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ กำลังสร้างความโกรธแค้นและไม่พอใจอย่างรุนแรงไปทั่วประเทศ

    นายอัล ชาร์ปตัน นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังชาวอเมริกัน ประกาศจัดการชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานของรัฐบาลกลางทุกแห่งใน 100 เมืองทั่วประเทศ วันเสาร์ที่ 20 ก.ค. เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่มาร์ตินและครอบครัว

    ชาร์ปตันยังคงตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการสืบสวนหนึ่งในคดีที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ของสหรัฐ มีข้อน่าสงสัยอย่างมาก เริ่มตั้งแต่การที่ผ่านไปหลายสัปดาห์ กว่าเจ้าหน้าที่จะจับกุมตัวซิมเมอร์แมน และช่องโหว่ของกฎหมายรัฐฟลอริดา ที่ว่าด้วยการใช้อาวุธ "ป้องกัน" ตัวเองได้โดยไม่มีความผิด หากกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

    ขณะที่นายโรเบิร์ต ซิมเมอร์แมน จูเนียร์ น้องชายของซิมเมอร์แมน ให้สัมภาษณ์ในรายการของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ก่อนหน้าการตัดสินคดีว่า แม้จะเป็นฝ่ายชนะคดีในทางกฎหมาย แต่ในชีวิตจริงพี่ชายของเขาคงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขได้อีก เนื่องจากสังคมคงประณามเขาไปทั้งชีวิต

    เดลินิวส์ วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลา 08:55 น.

    รัสเซียจัดซ้อมรบใหญ่สุด ออกตัวไม่ต่อต้านประเทศใด

    [​IMG]

    รัสเซียจัดการซ้อมรบครั้งใหญ่สุด ระดมกำลังทหาร 160,000 นาย พร้อมรถถัง 5,000 คัน ทั่วไซบีเรียและตะวันออกไกล ย้ำไม่ได้มุ่งต่อต้านชาติใดชาติหนึ่งเป็นการเฉพาะ

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ว่า รัสเซียระดมกำลังทหาร 160,000 นายและรถถังประมาณ 5,000 คัน จัดการซ้อมรับครั้งใหญ่สุดตั้งแต่สหภาพโซเวียต ล่มสลาย โดยจะมีขึ้นทั่วไซบีเรีย และตะวันออกไกล ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็เฝ้าชมการซ้อมรบบนเกาะซากาลิน ในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยเมื่อวันอังคาร ทั้งนี้ การซ้อมรบเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามส่งเสริมการเคลื่อนทัพและเตรียมพร้อมสำหรับการรบ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และจะดำเนินไปตลอดสัปดาห์นี้

    นายอนาโตลี อันโตนอฟ รัฐมนตรีช่วยกลาโหมรัสเซีย ยืนยันต่อทูตทหารต่างชาติว่า การซ้อมรบครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมตามปกติ และไม่ได้ดำเนินการเพื่อต่อต้านประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ

    เดลินิวส์ วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 เวลา 16:25 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     
  7. มนุษย์835

    มนุษย์835 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +182
    สับสน วุ่นวาย คิดค้น แสวงหา ตอบโจทย์ เพื่อ....
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เดือนกรกฎาคม จะเกิดอุทกภัยแบบน้ำป่าไหลจากภูเขา !!!

    [​IMG]

    กรกฎาคม

    เดือนที่ 7 ในปีมะเส็ง 2013 ปรากฏการณ์ในราศีมิถุน ดาวจันทร์ทับดาวพุธ ทับดาวพฤหัสบดี เป็นที่พยากรณ์ได้ว่าต้นร้ายปลายดี จัดเป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไปด้วยกันได้ดีในภพที่ 3 นี้มีดาวอาทิตย์และดาวอังคารร่วมอยู่ด้วย ก็ต้องระวังการกระทบกระทั่งในด้านความคิดเห็นของประชาชนและสื่อต่างๆที่จะเป็นตัวเร่งความขัดแย้ง ดาวพลูโตและดาวเนปจูนทำมุมโยคต่อกันจากภพที่ 9 ไปยังภพที่ 11 ทำให้มีปัญหาในเรื่องของประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญไปอีกนาน เพราะฝ่ายพลูโตต้องการพัฒนา แต่ฝ่ายเนปจูนขัดขวาง และลวงโลก อำพรางสิ่งที่ซ่อนไว้ ดาวทั้งสองดวงใช้เวลาโคจรในแต่ละราศีนานมาก ดังนั้นประชาธิปไตยแบบไทยแลนด์จึงเป็นวงจรอุบาทว์ รัฐธรรมนูญจึงมีมากถึง 18 ฉบับ แก้ไขครั้งใดก็มีฝ่ายไม่พอใจทุกครั้ง

    เหตุการณ์ในเดือนนี้มีดาวศุกร์โคจรด้วยมาดของราชาโชคในภพที่ 4 ดาวฝ่ายดีปรากฏเช่นนี้ ทับดาวจันทร์ ก็จะมีเรื่องที่ทุกคนทุกฝ่ายพอใจ เว้นไว้ก็แต่นักการเมืองและคณะรัฐมนตรีที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ มีแต่อุปสรรค แต่ก็คงได้อานิสงส์ไปบ้าง ดังนี้ "ศุกร์จับจันทร์บริบูรณ์ ทายดุจพระสูรย์ประโยชน์อันเดียวมา สนอง" และ "ศุโกรโคจรถึงจันทร์ ลาภาอนันต์ อเนกด้วยศฤงคาร จักได้มิ่งมิตรเพาพาล ศัตรูบันดาล พินาศม้วยมรณา"

    จากคำพยากรณ์นี้อาจเป็นผลร้ายต่อรัฐบาลและการเมืองได้ เพราะดาวศุกร์มาจากภพที่ 12 เป็นวินาศลัคน์ และเป็นเจ้าเรือนในภพที่ 7 ซึ่งถูกดาวบาปเคราะห์คือดาวเสาร์ระห่ำ และพระราหูชอนไช เซาะกร่อนให้รัฐบาลบังเกิดความเซซวนจวนล้มมิล้มแหล่ แต่ด้วยเสียงข้างมากลากไป ก็ถูไถถ่วงเวลาไปวันๆ พอๆ กับม็อบขยันออกมาใช้กำลังหมู่มากกดดันที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Mobocracy คือไม่ได้อะไรดั่งใจก็ก่อม็อบชุมนุมประท้วง ข่มขู่ คุกคาม โดยอ้างประชาธิปไตยร่ำไปจนพร่ำเพรื่อ(ศัพท์นี้มีอยู่ใน Webster Dictionary)

    แม้ว่าดาวศุกร์ทับดาวจันทร์ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีความสุข แต่อย่าลืมว่าราศีกรกฎเป็นราศีธาตุน้ำ และดาวศุกร์ก็ธาตุน้ำ ดาวจันทร์ก็จัดว่าเป็นธาตุดินชุ่มน้ำ ดังนั้นตลิ่งถูกน้ำเซาะพังได้ง่าย น้ำท่วมหรือฝนตกหนักตลอดทั้งเดือน ในจังหวัดทางภาคเหนือและจังหวัดในภาคตะวันออก ตามพุทธทำนายที่ว่า "ล่วงได้ ปีมะเส็ง พ.ศ.2556 ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล"

    มองออกไปยังต่างประเทศ ยังมีโชคร้ายอยู่ในด้านเศรษฐกิจ แม้จะพยายามกู้วิกฤติกันเต็มที่ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะดวงโลกกับดวงเมืองไทยมีลัคนาสถิตในราศีเมษเหมือนกัน ข้อดีก็คือประชากรโลกมีความขยันขันแข็ง แต่ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพราะดาวอังคารซึ่งเป็นตนุลัคน์นั้น เป็นดาวเจ้าเรือนในภพที่ 8 หรือภพมรณะ กองทุนเงินกู้ระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้นเพื่อสนองนโยบายทุนนิยม ทุกประเทศจึงเป็นหนี้ การทำสัญญาที่มีลับลมคมใน รวมถึงรัฐบาลมักไม่มีความโปร่งใส เพื่อหาประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศของตนเท่านั้น

    แต่ยังหาทางไปเอาผลประโยชน์จากชาติอื่นอีกด้วยเพราะชาติมหาอำนาจยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงความคิดที่จะเป็นเจ้าโลก แต่ในปี 2013 ที่นำมารวมกันแล้วได้ 6 (2+0+1+3) มีคำพยากรณ์ว่า เป็นเลขแห่งการตอบสนองในด้านวัตถุนิยม ธนาธิปไตย ทุนนิยมสามานย์ที่แพร่หลายจนทุกประเทศที่ยอมรับกลับมีแต่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากขึ้น และเป็นปีที่คนชอบความหรูหรา สะดวกสบาย เป็นประเภทที่เรียกว่าจมไม่ลง ส่วนภัยพิบัติจะเน้นที่การเกิดอุทกภัยแบบน้ำป่าไหลจากภูเขา

    สิงหาคม

    ดาวอาทิตย์ยังทรงคุณภาพเป็นมหาจักรในภพที่ 4 ทำมุมขัดแย้งกับดาวเสาร์และพระราหูจรในภพที่ 7 และดาวจรทั้ง 2 นี้ก็ส่งแรงโยคไปยั่วดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดีเดิมในภพที่ 9 คำพยากรณ์ก็จะเป็นความยากลำบากของเกษตรกร ที่ภาครัฐและราชการไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ ทำให้ขาดทุน พร้อมโดนฟ้าฝนกระหน่ำอย่างหนักจนผลผลิตเสียหาย เมื่อภาคการเกษตรเสียหาย ผลกระทบก็มาถึงประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภค เกิดการขาดแคลนอาหาร จัดเป็นภัยประการที่ 8 คือ ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร เป็นไปตาม ลักษณาการของดาวที่ร้อยเรียงเป็นโยคแก่กันจากภพที่ 3 มายังภพที่ 5 และภพที่ 7

    ในขณะที่ฝ่ายรัฐมัวแต่เร่งรัดโครงการคมนาคมที่ไม่จำเป็นและไร้ประโยชน์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง ที่ประเทศอื่นๆเลิกใช้ไปแล้ว เพราะอัตราค่าโดยสารแพงพอๆ กับค่าตั๋วเครื่องบินการกระทบของดวงดาวเชื่อมโยงไปถึง 4 ภพด้วยกัน คือดาวจร 3 ตำแหน่ง ส่งแรงกระแทกไปยังภพที่ 9 ทำให้สถาบันหลักของชาติสั่นสะเทือน เพราะผู้ประสงค์ร้ายที่มาในคราบของนักวิชาการที่ฝังตัวเป็นกาฝากในมหาวิทยาลัย และปลุกระดมให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจผิด เดือนนี้มีปัญหาหลายอย่างที่เกิดจากคนที่มุ่งหมายทำลายชาติ ระบบการศึกษามัวหมอง เกิดความอัปยศเสื่อมเสียในด้านศาสนาจะมีพระเถระผู้ใหญ่จากไป มีพระสงฆ์ทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีความเอนเอียงในทางการเมืองอย่างชัดเจน จนถูกสังคมต่อต้าน

    วงการวิทยาศาสตร์ หันมาสนใจวิชาโหราศาสตร์ เพราะทึ่งในการทำนายถึงภัยธรรมชาติล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ และสามารถล่วงรู้ได้ล่วงหน้าหลายปี

    ในทางการเมืองตลอดทั้งเดือนไม่มีความเคลื่อนไหวจนถึงวันที่14 สิงหาคม ดาวศุกร์เสริดมายังภพที่ 5 ยังผลให้การเมืองเริ่มมีปัญหา หนี้สาธารณะเบอะบาน การใช้งบประมาณไม่โปร่งใส เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ในช่วงนี้เรื่องของหวยออนไลน์บ่อนกาสิโน กลับมากล่าวขวัญและทำกันให้ได้เพื่อมอมเมาประชาชนให้มีความหวังกับการเสี่ยงโชค มากกว่าจะหาทางอื่นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือจัดทำให้เป็นรัฐกึ่งสวัสดิการ ไม่มีการให้ฟรีก็จะเหมาะสม ดาวศุกร์นี้มาจากภพวินาศ + กดุมพะ + ปัตนิ หมายความว่า รายได้ของรัฐจะมีมาหาได้จริง แต่ก็ถูกล้างผลาญไปกับโครงการไร้ประโยชน์หรือทุจริตกันแบบลับๆ โดยมีต่างประเทศให้ความร่วมมือ ในอดีต สหรัฐให้เงินกับรัฐบาลเผด็จการในการพัฒนามหาศาล แต่ก็ตักตวงและเอาผลประโยชน์กลับคืนไป มาในยุคนี้ก็มีข้อเสนอที่เนียนขึ้น เช่น องค์การอวกาศสหรัฐจะมาใช้อู่ตะเภา โดยอ้างว่าจะสำรวจสภาพอากาศบ้างอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่จริงทั้งหมด อีกไม่กี่วันต่อมาดาวศุกร์โคจรวิปริตเข้าสู่ภพที่ 6 จะมีการใช้เงินในด้านการแพทย์สาธารณสุข หรือเกิดโรคระบาด ข้าราชการประพฤติมิชอบ มีการวิ่งเต้นเตรียมซื้อตำแหน่งกันเกรียวกราว

    ในภพที่ 3 เป็นภพนำร่องชี้ทิศทางของชาติ มีดาวพฤหัสบดีเป็นประ คือความไม่มั่นคงในด้านการต่างประเทศ การติดต่อซื้อขาย หรือทำสัญญา ก็เสียเปรียบ มีดาวอังคารอยู่ด้วยคงเป็นการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกหลอกอีกเช่นเคย ภาพรวมก็คือรัฐบาลไม่มีอะไรดีขึ้น รอวันเปลี่ยนแปลงที่ดูมืดมนเหมือนคนไทยตกอยู่ในแดนสนธยา สังคมยังอุดมด้วยอาชญากร ยาเสพติด ความฟุ้งเฟ้อ

    ในด้านภัยพิบัติ สงบราบเรียบดี ต่างประเทศก็ไม่มีเหตุร้ายแรงนอกจากปัญหาเศรษฐกิจ และการแข่งขันกันมีอำนาจเหนือดินแดนที่มีทรัพยากรน้ำมัน จนถึงขั้นต้องใช้กองกำลังปะทะกันแล้วจึงหันมาเจรจา

    กันยายน

    ในทางการเมืองน่าจะได้ผู้นำคนใหม่หรือรัฐบาลชุดใหม่แบบโละทิ้งของเก่าไป เพราะขืนบริหารต่อเรื่อยๆไป ชาติไทยไร้อนาคตแน่ นักการเมืองฝ่ายค้านรุกหนักโดยมีมวลชนเป็นกองเชียร์ การตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น จนสามารถยื่นให้ป.ป.ช.เชือดได้หลายคน หลายเรื่องทุจริตเดือนนี้มีเงื้อมเงาแห่งการเกิดสถานการณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆอย่างชัดเจน ดาวศุกร์ยังโคจรเร่งรุดต่อไปยังภพที่ 7 ไปรวมกลุ่มกับดาวเสาร์และพระราหู แม้ว่าดาวศุกร์จะได้มาตรฐานเกษตร

    แต่ก็เป็นคู่ศัตรูกับดาวเสาร์ที่เป็นพินทุบาทว์รอคอยอยู่แล้ว ดังหลักโหรอ้างอิงไว้ว่า "ศุโกรโคจรลี ถึงราศีที่โสรา สดายุต้องภัยยา เพราะวาจาจนตัวตาย จะเสียหายทรัพย์สิ่งสิน สิ้นชีวาขาดบรรลัย" และดาวศุกร์ถึงพระราหูก็กล่าวไว้ว่า "ศุโกรโคจคลา ถึงฐานาอสุรินทร์ ทศกัณฐ์อายุสิ้น ศรนรินทร์ต้องกายา ลูกเมียและข้าไท จะพลัดพรากจากเคหา เกรงชีวาจะมรณา ด้วยภัยยาแห่งศัตรู" นอกจากนี้ยังต้องอุบาทว์พระยมอีกด้วย จึงสรุปได้ว่าในช่วงที่ดาว 3 ดวงนี้มีองศาไล่เลี่ยใกล้เคียงกันในระหว่างวันที่ 17 ถึง 22 กันยายน ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจหยุดพัก อาจยุบสภาหรือลาออก แต่หากยังคงอยู่ต่อไปก็หมดความชอบธรรม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงเดือนนี้ กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว บริหารงานผิดพลาด แต่ละคนอยู่ใต้อิทธิพลของคนเสื้อแดง จึงทำให้ไร้เสียซึ่งศักดิ์ศรี มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี นอกจากนี้อาจมีคนสำคัญทางการเมืองเสียชีวิต

    ในด้านภัยพิบัติ นับได้ว่าเป็นเดือนน่ากลัว เพราะดาวอาทิตย์ยกสู่ภพที่ 6 เป็นอริแก่ดวงเมืองที่นำปัญหาใหญ่มาให้ เช่น เกิดแผ่นดินไหว เพราะมฤตยูเล็ง เกิดอุทกภัย เพราะดาวศุกร์ ธาตุน้ำ เข้ามาในราศีธาตุลม และมีพระราหูธาตุลมร่วมอยู่ด้วย ก่อให้เกิดพายุใหญ่และฝนตกหนักยาวนานติดต่อกัน จนเขื่อนและอ่างเก็บน้ำรับไว้ไม่อยู่ ในเวลาเดียวกัน ดาวพุธ ธาตุน้ำ มาสมทบทับพระราหู ซึ่งเป็นคู่ศัตรูร้ายแรง จนใครก็ยับยั้งพิบัติภัยไว้ไม่อยู่ และดาวอาทิตย์นี้คือผู้นำที่ต้องอยู่ในภาวะแห่งความยุ่งยาก ถูกถลุงถล่มหนักจนอยู่ไม่ได้

    หากสถานการณ์เป็นไปตามคาด ด้านเศรษฐกิจก็จะตกต่ำเมื่อถึงภัยมหันต์ในข้อที่5 ข้อที่ 6 และข้อที่ 7 ทำให้ฐานะการเงินคลอนแคลน ระส่ำระสาย รายได้หลักจากการส่งออกก็หยุดชะงัก การท่องเที่ยวก็ซบเซา การทำมาหากินของประชาชนประสบความยากลำบาก เต็มไปด้วยความทุกข์ และพึ่งพาใครไม่ได้

    สำหรับประเทศที่จะมีภัยพิบัติมากคือ อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ส่วนทางประเทศตะวันตก แถบฝรั่งเศส เยอรมนี จะเกิดแผ่นดินไหวหรือไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทางฝั่งทวีปอเมริกาเหนือก็จะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุ เช่น เครื่องบินตกมีผู้สูญเสียชีวิตมาก.

    ตุลาคม

    ในปีนี้ดาวอังคารโคจรเป็นปกติ นับว่าโชคดี เพราะหากเกิดพักร-มน-เสริด ในราศีสิงห์ ก็ให้โทษแก่ชาติบ้านเมืองแบบหมดทางแก้ไข แต่ดาวอาทิตย์ที่ให้แสงไปยังภพต่างๆ จรมาในทุสถานภพที่ 6 เป็นอริลัคน์ ดวงของผู้นำย่อมหมองหม่น อำนาจวาสนาเสื่อมลงไปจนถึงกลางเดือนก็จะยกเข้าสู่ราศีตุล ภพที่ 7 ยิ่งทำให้พบกับปัญหาหนักทั้งเรื่องส่วนตัวและการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะดาวอาทิตย์เป็นนิจ ที่หมายถึงความเสื่อมโทรมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน เมื่อมากระทบกับดาวเสาร์พระราหู ซึ่งเป็นดาวคนละขั้ว จึงเป็นเดือนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดาวศุกร์ในราศีพิจิกเป็นมรณะลัคน์และเป็นประ ทำให้เสถียรภาพทางการเงินการคลังง่อนแง่น หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และจะต้องกู้เงิน ล้วนแล้วแต่เผชิญกับวิกฤติจนเอาตัวไม่รอด ภาคเอกชนและประชาชนส่วนมากขาดสภาพคล่อง รวมถึงเจอผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ รัฐบาลอยู่ต่อไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเดือนตุลาคมนี้

    สิ่งที่นักโหราศาสตร์หวั่นเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่มีความสุขสงบ ก็เพราะอิทธิพลของดาวเสาร์ที่เล็งดวงเมืองทำมุม 180 องศา ซึ่งมีผลต่อความแตกแยกของคนในชาติ รัฐบาลอยู่ได้ไม่นานนับจากวันที่ 4 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป และเรื่องของภัยธรรมชาติที่รุนแรงเกิดทั้งแผ่นดินไหวและอุทกภัย ดังนั้นกว่าจะถึงปี พ.ศ.2556 รัฐบาลก็อาจเปลี่ยนไปแล้ว และก็จะเป็นการบันทึกไว้ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนสุดท้าย

    อย่าได้อุตริเอาสตรีมาเป็นผู้นำ เพราะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเกิดอาเพศวิปริตหลายเรื่องเนื่องจากดวงเมืองกำหนดให้ตำแหน่งสำคัญนี้ต้องเป็นบุรุษเพศ เพราะมีดาวอาทิตย์กุมลัคนาในราศีเมษ ที่มีดาวอังคารเป็นตนุลัคน์ ดาว 2 ดวงนี้คือเพศชาย และในภพที่ 10 มีดาวเสาร์เป็นดาวเจ้าเรือน ก็จัดว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นชาย หรือต้องอดทน มีความหนักแน่นและเก่งในการวางแผนงานอย่างรอบคอบ ไม่ผิดพลาด ดังนั้นในทัศนะของโหรจึงถือว่าสตรีเพศต้องห้ามเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเป็นไปแล้ว เรา-ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไรโดยไม่ต้องบรรยายถึงความสามารถว่ามีหรือไม่มี ดังนั้นดาวเสาร์ระห่ำเป็นพินทุบาทว์ ก็น่าจะจัดการให้นายกรัฐมนตรีเป็นชายได้โดยเร็วพลัน ก่อนที่ชาติจะกลายเป็นรัฐล้มเหลวและทวีความอาเพศ อัปมงคลไปทั่ว

    สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ความหนาวเย็นจะมาถึงเร็วก่อนถึงเวลา และความร้อนก็จะเกิดขึ้นสลับไปมาพร้อมอุบัติภัยที่เหนือความคาดหมาย ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะเมืองไทย แต่จะเกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้างเกือบทุกประเทศ และอาจมีการจากไปของบุคคลที่เคยมีความสำคัญ มีบทบาทและเป็นต้นตอของปัญหาจนถึง พ.ศ.นี้ เมื่อดาวอังคารจรเข้ามาบีบเบียนหลังลัคนา และดาวเสาร์กับพระราหูเบียนหน้าลัคนา ดาวบาปเคราะห์ทั้ง 3 นี้ล้วนแล้วให้โทษกับชะตาบุคคลและดวงเมือง ไปจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ดาวอังคารจะเป็นดาวฆาตสำหรับคนราศีกันย์

    พฤศจิกายน

    ในฐานะนักวิเคราะห์ดวงเมือง ก็ต้องขอออกตัวว่า ดวงชะตาบ้านเมืองในปี พ.ศ.2556 ปีมะเส็งนี้ ค่อนข้างทำนายยาก จะเอาให้แน่ชัดก็คงจะไม่ได้ แต่จะไล่เรียงที่มาที่ไป เพราะดาวมาชุมนุมที่ราศีตุลกันตลอดทั้งปี ยืนพื้นด้วยดาวเสาร์จรเป็นพินทุบาทว์ โดยความหมายคือดวงแตก ดวงช้ำ ถามว่าใครช้ำ ไล่ดาวเสาร์ที่มาจากภพศุภะ หรือภพที่ 9 เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศศาสนา การค้นคิดทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ระดับสูง นักวิชาการ สถาบันสำคัญของชาติ การใช้สติปัญญา และความสงบร่มเย็นของชาติ ซึ่งทั้งหมดถูกทำลายให้แตกละเอียด เรื่องดีๆไม่ปรากฏ มีแต่เรื่องทรยศ และดาวเสาร์ก็ดี พระราหูก็ดี มาจากภพกัมมะหรือลาภะ คือดาวทั้งสองเป็นดาวเจ้าเรือนที่ใช้แทนกันได้

    ดังนั้น ความรับผิดชอบในหน้าที่ของฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐมนตรี ผู้นำ จึงหย่อนยาน ไร้ประสิทธิภาพ ขาดปัญญา ทำให้ประเทศชาติไม่มีความสุขสงบ การบังคับใช้กฎหมายมีหลายมาตรฐาน เป็นปีที่มีการเล่นพวก เลือกข้างกันมากที่สุด ข้าราชการ ข้าของแผ่นดินไม่มีจิตสำนึก ไม่อินังขังขอบต่อหน้าที่ ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปสู่จุดแห่งความล้มเหลวด้วยอิทธิพลของดาวเสาร์และพระราหูจรเล็งดวงเมือดวงโลกเป็นพินทุบาทว์จร คือร้ายให้มันร้ายไป ความหวัง ความต้องการ เสรีภาพ สิ่งที่ดีที่สุด ย่อมไม่มีอย่างแน่นอนในมะเส็งนี้ ความอุบาทว์กลาดเกลื่อนดังนั้นเป็นยุคที่ตัวใครตัวมัน และกลับไปอ่านภัย 10 ประการอีกครั้ง ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่ามันคือกลียุค รัฐบาลผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

    ในด้านอื่นๆที่สำคัญพอๆ กับการเมือง คือรายได้และเศรษฐกิจของชาติดูเหมือนดี แต่พอสแกนเข้าไปก็จะพบความล้มเหลวพร้อมหนี้สิน เงินกู้และการใช้งบประมาณอย่างทุจริต เพราะพระราหูก็ดี ดาวศุกร์ก็ดี มาจากภพวินาศ แล้วก็มาชุมนุมวกไปเวียนมาร่วมกับดาวเสาร์และพระราหูจร เป็นภาพเชิงซ้อนให้เห็นว่าตลอดเวลา ไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรที่บ่งชี้ถึงความเจริญก้าวหน้า หรือพูดง่ายๆ ว่า ประเทศไทยและชาวโลกไร้อนาคต จึงอยู่ไปวันๆ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ฝ่ายที่ครองอำนาจก็กอบโกย ฝ่ายรักชาติบ้านเมืองและสถาบันก็แสดงออกกันเต็มที่ เพื่อพิทักษ์ปกป้อง คะคานอำนาจไว้ ส่วนประชาชนก็ดิ้นรนกันเองเพื่อเอาตัวรอดให้พอมีกินมีใช้ ดาวศุกร์จรเป็นมหาจักร แต่อยู่ในภพศุภะตลอดทั้งเดือน พอทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้บ้าง ว่าตลาดการค้าต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นส่งออกหรือนักท่องเที่ยวจะนำรายได้เข้ามามากกว่าปีที่ผ่านไป

    สภาพอากาศเลวร้าย แปรปรวน โรคระบาด ทำให้มีการล้มตายไม่น้อย ส่วนภัยธรรมชาติก็เล่นบทร้าย แล้วก็อ่อนแรงลง สลับกันไปอย่างน่าเบื่อพื้นที่ควรเฝ้าระวังคือภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสานบางส่วน

    ธันวาคม

    การชุมนุมของดาวกระจายออกไปจากภพที่ 7 แล้ว แต่ดาวอาทิตย์ยกสู่ภพที่ 8 หรือเรือนมรณะ รัฐบาลหรือผู้นำจะปิดกั้นไม่ให้สังคมล่วงรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล มีการทุจริต มีความเปลี่ยนแปลงจากดีเป็นร้าย และจากร้ายเป็นดี จับตาคำทำนายวันสิ้นโลก 21 ธันวาคม 2012 ที่ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่ประชาชนและประชากรทั้งโลกจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงความคิด มีการปฏิรูปสังคม มีการตกผลึกในพันธสัญญาและร่วมมือกันจัดการกับทรราช เพราะดาวจันทร์จรเข้าเรือนตัวเอง ได้มาตรฐานเกษตร และดาวอังคารเป็นอริลัคน์ทำให้ต้องเผชิญต่อภาระหน้าที่ มีการเคลื่อนไหวไปทั่วทั้งโลกแต่ไม่ใช่การจลาจล ประกอบกับชาติตะวันตกใกล้จะถึงวันคริสต์มาส

    สิ่งที่จะได้เห็นคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจทัศนคติจากฝูงชนที่หลงผิดจะกลับใจ แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะเปลี่ยนจากการเป็นฝ่ายดีเป็นฝ่ายร้าย หมายถึงยังมีทั้งเทพและมาร แต่กระแสของเทพหรือฝ่ายดีย่อมมีมากกว่า เป็นการสิ้นสุดปีที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพราะดาวมฤตยู เนปจูน ทำมุมประชิดกัน จึงมี 2 ฝ่ายชัดเจน ดาวเนปจูนในราศีที่ 10 เป็นภพลาภะของดวงเมืองดวงโลก มาขัดขวางมิให้ความร่วมมือในสังคมเกิดความกลมเกลียว ปรองดอง และดาวนี้ชักจูงให้คนที่เกิดในราศีกุมภ์บังเกิดความคิดที่สวนกระแสแห่งความถูกต้อง ดีงาม ชอบธรรม

    ถัดมามีดาวพลูโต ซึ่งเป็นดาวฝ่ายในภพศุภะ ที่ราศีธนูมีดาวพฤหัสบดี เทพแห่งคุณธรรม เป็นดาวเจ้าเรือน จึงมีกำลังและพลังฉุดรั้งให้คนหันหน้าเข้าสู่ระบบคุณความดี มีการพัฒนาให้โลกเกิดความสุขสงบได้ 2+1+1+2+2+0+2+2 = 12 (วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ที่ชาวมายันกล่าวไว้ว่าจะเริ่มตั้งแต่วัน เดือน ปี นี้เป็นต้นไป) เป็นเลขที่ก่อให้เกิดการทำลายล้างได้ ถ้าเป็นคนก็เหมือนกับติดคุก ถูกขังลืม แต่ถ้าเป็นภาพรวมของโลกและสังคม ก็คือจุดเปลี่ยนผ่านจากความเลวร้าย เพื่อไปสู่ความสงบสุข รุ่งเรืองของประเทศชาติ แม้จะต้องใช้เวลารอคอยจนกว่าจะถึงปี พ.ศ.2560 (ค.ศ.2017)

    ดังนั้นการล้างโลก ล้างชาติให้สะอาด จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคนที่ต้องร่วมมือกันทำไปเรื่อยๆตั้งแต่บัดนี้ และแล้วความรุ่งโรจน์โชติช่วงของคนไทยและชาวโลกก็จะอุบัติขึ้น พร้อมกับความเชื่อในเรื่องพระจักรพรรดิพระศรีอาริย์ ตามที่ได้สาธยายมาแล้วในตอนต้น

    ขออำนาจแห่งบุญ ความดีที่ผู้เขียนได้ทำไว้กับประเทศชาติ ดลบันดาลให้ทุกท่านมีทางรอดพ้นภัย มีชีวิต มีลมหายใจเพื่อรอดูโลกในปี พ.ศ.2561 หรือ ค.ศ.2018 ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปัจจัยให้เกิดความสวัสดีมีโชคชัย ชนะใจตนเองให้ได้ และมีพลังพิชิตความเลวร้ายทั้งปวงที่อาจเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2556 สำหรับผู้อุดหนุนหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ที่ไม่ยอมเป็นขี้ข้าให้ใครมาบงการ.

    หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันอังคารที่ 1 มกราคม 2556 เวลา 00:00:14 น.

    ที่มา กรหริศ บัวสรวงผ่าดวงเมืองและสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี2556
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น !!!

    [​IMG]

    ไซอิ๋ว 2013 คนเล็กอิทธิฤทธิ์หญ่าย เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี-ผจญภัย นำแสดงโดย ซูฉี, หวงเป่า, จางเหวิน, หลัวจื้อเสียง และโจว ซิ่วนา เรื่องราวถูกดัดแปลงให้แตกต่างไปจากไซอิ๋วฉบับก่อนๆ โดยเวอร์ชั่นนี้เล่าว่า เมื่อโลกเต็มไปด้วยปีศาจ และมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส นักล่าปีศาจ อย่าง ซวนจาง หนุ่มผู้เก่งกล้า เขาเชื่อว่า เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้

    เขาจึงยอมเสี่ยงทุกทั้งปราบปีศาจน้ำ ปีศาจหมู รวมทั้งปีศาจของเหล่าปีศาจ ซึ่งก็คือ ซุนหงอคง ก่อนจะรับเหล่าปีศาจมาเป็นสาวก และสอนให้พวกเขารู้จักความรัก ความเมตตา ในขณะเดียวกัน ซวนจาง ก็ได้พบความหมายที่แท้จริง ของความรักที่ยิ่งใหญ่ การชดเชยบาปของตน อย่างไรก็ตามเพื่อช่วยชีวิตของมนุษย์ เขาทั้งสี่จึงเริ่มออกเดินทางไปยังทิศตะวันตก ที่เต็มไปด้วยความท้าทายที่รอพวกเขาอยู่

    สำหรับ ไซอิ๋ว เวอร์ชั่นภาพยนตร์แห่งปี ค.ศ.2013 มี "โจวซิงฉือ" นักแสดงคนดัง รับหน้าที่ทั้งการเขียนบท เป็นผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง โดย โจวซิงฉือ เผยว่า ได้แนวคิดการทำหนังเรื่องนี้มาจากเพลงกล่อมเด็ก 300 เพลง ซึ่งมีเพลงที่ตัวเองชอบร้อง นอกจากนี้ในเรื่องยังมีอาวุธพิเศษเพิ่มเติมความสนุก อาทิ ห่วงบิน เป็นอาวุธที่เคยปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องฤทธิ์แค้นฝ่ามือยูไล อย่างไรก็ตาม ไซอิ๋ว 2013 ฉบับผู้กำกับโจวซิงฉือ เขาจะทำหน้าที่เฉพาะงานเบื้องหลังเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า ต้องการโฟกัสกับหนังให้เต็มร้อย เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด

    ไซอิ๋ว 2013 กำหนดเข้าฉายในบ้านเรา 27 มิ.ย.นี้ หลังจากการเข้าฉายในเมืองจีนทำสถิติโกยรายได้สูงสุดเฉพาะการฉายวันแรกที่ 373 ล้านบาท

    ที่มา ลุ้นของที่ระลึกหนัง ไซอิ๋ว 2013 | เดลินิวส์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2013
  10. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    ถ้าเป็นแบบในหนัง ภัยพิบัติต่างๆ สงสัยมาจากหงอคงกำลังสู้อยู่กับตัวร้าย ที่แท้กำลังปกป้องโลกอยู่นี่เอง.
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=le9XZje40kE]Dragon Ball Z Ultimate Tenkaichi: All Ultimate Attacks 【HD】 - YouTube[/ame]
     
  11. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดาคู่โลก ที่เกิดขึ้นกับสรรพสัตว์ไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์ เทวดาก็มีอายุ หมดอายุก็จุติ แล้วไปเกิดเป็นอย่างอื่นตามผลของกรรมไม่ว่า กุศลหรืออกุศล
    ภัยพิบัติก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่พึ่งมาเกิดขึ้นให้บรรดาเราๆตระหนกตกใจกันเมื่อวานซืน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้วซะที่ไหน
    มีภัยพิบัติหรือไม่มี มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ต้องตาย กันทุกๆวันอยู่แล้ว
    ปัญหาคือ เราพร้อมจะตายไหม พระพุทธเจ้าท่านพร่ำสอนให้เจริญมรณานุสติ ท่านพุทธทาสท่านก็สอนให้เตรียมตัวตายก่อนตาย
    ท่านผู้ทรงภูมิ ทรงญาณท่านทำนายมา เตือนมา ก็ฟังๆท่านไว้ เพราะถึงแม้ท่านไม่เตือนมาเราชาวพุทธแท้ๆก็ควรจะได้มีปรกติ ปฏิบัติบูชาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นปรกติวิสัยอยู่แล้วมิใช่หรือ ทาน ศีล ภาวนา
    ทาน ศีล ภาวนา เราท่านปฏิบัติแล้วก็ไม่ใช่เพื่อให้หยุดยั้งการตายหรือภัยพิบัติ แต่เพื่อให้ตายอย่างมีเสบียงไว้รองรับภพใหม่ชาติใหม่ หรือถึงขั้นสุดยอดคือนิพพานไปเลย

    ฉะนั้น ก็ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจกลัวกันเกินกว่าเหตุ ดำรงชีวิตปรกติในครองธรรม ทาน ศีล ภาวนา

    ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านการสื่อสารเจริญมากๆ เกิดอะไรตรงส่วนไหนของโลกก็รู้กันทั่วโลกภายในวันเดียว ฉะนั้นที่เรารับรู้ถึงการเกิดภัยพิบัติเกิดขึ้นถี่ๆรอบโลกนั้นเป็นเพราะการสื่อสารที่ฉับไวหรือไม่ หรือมันพึ่งมาเป็นแบบนี้แล้วเมื่อก่อนไม่เป็น อย่างนั้นหรือ

    การที่เรากลัวความตายจากสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านผู้ทรงญาณมาเตือนถึงภัยพิบัติ จนเรารู้สึกกังวลวิตกจริตนั้น น่าจะผิดวัตถุประสงค์ของท่าน เพราะไม่อย่างนั้นแล้วการที่พระพุทธองค์โปรดสอนพระอานนท์ว่า ให้นึกถึงความตายเป็นมรณานุสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ยิ่งน่ากลัวขนพองสยองเกล้ากว่ารึ
    ฉะนั้น เราน่าจะปรับ mind set ทัศนคติของเราเสียใหม่ว่า ท่านมาเตือนเพื่อให้เราเพียรใน ทาน ศีล ภาวนา มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา แทนการมานั่งหวาดหวั่นวิตกจริต
    แล้วเราท่านจะไม่หวั่นไหว ยิ้มเย้ยภัยพิบัติที่จะมาเยือนได้ เพราะเราพร้อมอยู่แล้วในกุศลกรรมที่สั่งสมเตรียมเป็นเสบียงมา
     
  12. romancehawk

    romancehawk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +537
    ไปอ่านเจอในหลายๆเอกสาร ที่มักส่งเป็นลูกโช่ต่อๆกันมาว่า
    พระอินทร์บ้าง เทวดาบ้าง จะฆ่าคนชั่วให้ตายด้วยวิธีการต่างๆนานา เช่น ปล่อยเชื้อโรคมาบ้างอะไรบ้าง หรือนาคจะปล่อยน้ำ พ่นพิษ มาฆ่าคนชั่วคนเลวให้ตายกันให้สิ้นซาก

    ลองคิดสักนิด มันน่าจะเป็นการเขียนในเชิงอุปมาอุปมัยหรือทำนองบุคคลาธิษฐานหรือเปล่า
    ถ้าเรานึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่า มนุษย์และสัตว์ย่อมเป็นไปตามผลของกรรมที่ตนกระทำมาไม่ว่าดีหรือชั่ว กุศลหรืออกุศล ฉะนั้นจำเป็นไหมที่พระอินทร์ เทวดา และนาค ครุฑ ต่างๆจะต้องเปลืองตัวลงมาเข่นฆ่าผู้คนชั่วเหล่านั้น
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนนะว่า ฆ่าคนชั่วไม่บาป ฆ่าคนชั่วแล้วได้บุญ ถ้าเป็นเช่นนั้นพระพุทธองค์คงไม่ต้องปล่อยให้พระเทวทัตถูกธรณีสูบไปเองในที่สุดหรอก

    พระอินทร์และเทวดา ท่านเป็นเทวดาเพราะมี หิริโอตตัปปะ ละอายและเกรงกลัวบาป
    ฆ่าคนเป็นบาป ถึงบอกว่า ท่านไม่เปลืองตัวทำบาปหรอกยังไงคนชั่วมันต้องได้รับอกุศลวิบากอยู่แล้ว
    นาคครุฑก็เช่นกัน สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์ที่มีคุณธรรมเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะเป็นสัตว์มีอิทธิฤทธิ์แต่ก็เป็นภพภูมิเดรัจฉานอยู่ดี นาคครุฑเหล่านี้เขากลัวบาปกลัวเวรกรรม เขาต้องการสั่งสมบารมีเพื่อเกิดในภพภูมิสุงๆ เช่น มนุษย์หรือเทวดา
    ตรงนี้ไม่ได้ไปดูหมิ่นเหยียดภพภูมิ นาคครุฑ เขานะ ท่านลองไปอ่านชาดกเรื่องพระภูริทัติ หนึ่งในพระทศชาติดูแล้วจะรู้ว่าเป็นไปตามที่ได้เขียนไว้
    ฉะนั้น นาคครุฑเขาก็คงไม่มาเปลืองตัวทำบาปตัดรอนธรรมบารมี บุญบารมี ที่เขาได้สั่งสมมาหรอก คนชั่วตายไปคนได้ไม่คุ้มกับบุญบารมีที่เสียไป
    ทุกชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งกรรมอยู่แล้ว ถ้าเราหรือท่านเหล่านั้นเชื่อและเคารพพระธรรมคำทรงสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    หรือพระอินทร์ เทวดา นาค ครุฑ อยากจะเปลืองตัวเปลืองบุญกับเหล่าคนชั่วในโลกมนุษย์ ก็คงต้องตามใจท่านหละ แล้วสมมุติว่าท่านจะฆ่าคนชั่วจริงๆ แต่เราครองทาน ศีล ภาวนาไว้ เราจะกลัวอะไรละ ถ้าเราบอกว่ากลัวลูกหลง เทวดาท่านก็กลัวคนดีจะโดนลูกหลงเหมือนกันแหละ คนดีตายไปเพราะการกระทำของท่าน ท่านซวยดับเบิ้ลเลยหละ

    ลองคิดๆกันตามหลักเหตุ หลักผล ละกัน ถ้าเราประกาศตัวว่า เราเป็นชาวพุทธ
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เหตุที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุ 80 ปี !!!

    [​IMG]

    (คัดลอกเป็นบางส่วนจาก “ธัมมวิโมกข์” ปีที่ 27 ฉบับที่ 297 ธันวาคม 2548 ในหน้า 43 ถึง 47)

    สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ.... เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น องค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

    หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้ว มันก็ต้องตาย
    และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้ เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์ คือ ตาย ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เคยเทศน์ไว้ว่า.... คนที่มีการคล่องใน อิทธิบาท 4 คือ....

    ฉันทะ ความพอใจ
    วิริยะ ความเพียร
    จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
    วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ


    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือบรรดา พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้คือ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานไม่ได้ แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง หรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ.... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

    เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า.... อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย.... ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ.... เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

    เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก ในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน เจ้ารากษสตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2–3 ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า.... เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2–3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

    แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา นำกลับไปกินเป็นอาหาร ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

    พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า.... เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้ แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ ที่มีความสามารถ เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า.... คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส

    ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้ ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

    วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้ พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

    ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์ เข้าไปเฝ้าแล้ว.... พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

    พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

    รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า....

    ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้า จะต้องมีอายุ สองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่ง ก็ได้ หากว่า ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า.... “เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาต เข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น” ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศรีษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย
    ................................................................................

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า พระพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า สามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง ก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4 แต่ว่า ที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี ตามพระบาลี ท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่า รากษส ตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องนิพพานในอายุยังสั้น

    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ.

    เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.

    ที่มา www.dhammathai.org
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    โอวาทของพระโพธิสัตว์กวนอิม (สัจจคัมภีร์กัปป์สุดท้าย)

    [​IMG]

    พระศรีอาริยเมตไตรย พระโพธิสัตต์อวโลกิเตศวร ได้ฟังพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ให้ประคองช่วยเหลือเวไนยสัตว์ สิบชั่วร้ายไม่ดีงาม ฟ้าเบื้องบนจะจัดส่งผู้คุมตารางสวรรค์เทียนเหลอเซียน ลงมายังโลกมนุษย์ตรวจดูคัมภีร์นี้ หากผู้ใดถวายด้วยความศรัทธาเคารพ สามารถหลุดพ้นจากดวงแห่งภัยพิบัติได้ ทุกชีวิตในครอบครัวไร้ทุกข์ ไร้กังวล

    หากคนชั่วร้ายที่ไม่เชื่อและศรัทธา แต่คอยดูปี วอก,ระกา,จอ,กุน มีข้าวไร้คนกิน มีเสื้อผ้าไร้คนใส่ มีถนนไร้คนเดิน มีบ้านไร้คนอยู่ มีที่นาไร้คนทำ จวบจนถึงเดือนห้า เดือนหกนั้น งูพิษร้ายเกลื่อนเต็มไปทั่ว เดือนแปด เดือนเก้า คนชั่วร้ายจะตายสิ้น ซากศพเต็มเกลื่อน มีคนที่ละชั่วประพฤติดีไม่ต้องวิตกกังวล เศร้าสลดกับภัยพิบัติทั้งสิบประการนี้คือ

    1. อัคคีภัย - อุทกภัย
    2. ควันที่เป็นสัญญาณทำลายล้าง
    3. มึนซึมหมดสติตาย
    4. การหย่าร้างของสามี - ภรรยา
    5. งูพิษทำร้ายคน
    6. เศร้าสลดซากศพเต็มพื้นปฐพี
    7. ภัยสงครามฆ่าฟันกัน
    8. อากาศแปรเปลี่ยน วันคืนหนาวเย็น
    9. มีบ้านต้องยกให้ผู้อื่นอยู่
    10. เศร้าสลดไม่พบความสันติสุข

    บนถนนคนตายนับไม่ถ้วน หนึ่งหมื่นตายเก้าพัน มหันตภัยมาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พญานาคดุร้าย เกะกะระรานทั่ว เวไนยสัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนมหาราชจึงจัดส่งกวน, เจ้าสองขุนพลลงสู่โลกมนุษย์ และเทพยดาที่สัญจรอยู่เบื้องบน เหนือโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูคัมภีร์นี้ หากมีคนชั่วร้ายทั้งหลาย จะให้ข้าวยากหมากแพง พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏ กวนเจ้าสองขุนพลสู่แดนมนุษย์ จากปีจอเริ่มต้นด้วยโรคระบาดจนถึงปีกุน ประชาราษฎร์ในเก้าคน จะรอดตายเพียงหนึ่งคน จะเกิดมหันตภัยขึ้น เช่น

    1. วาตภัย
    2. อัคคีภัย
    3. ฟ้าผ่า ไฟฟ้าช๊อต
    4. ภัยสงคราม
    5. ภัยโรคร้าย
    6. อดอยาก ขาดอาหาร
    7. งูพิษร้ายกัด
    8. ภัยจากการคลอดบุตร
    9. อุทกภัย
    10. ภัยจากการสูญสิ้นมนุษย์ชาติ

    พระศากยมุนีพระพุทธองค์ ครองธรรมกาลหนึ่งหมื่นสามพันปี จนมาถึงปัจจุบันครบบริบูรณ์แล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยรับสืบต่อครองธรรมกาล เริ่มต้นแต่ปีวอก จนถึงปีชวด พืชพันธ์ธัญญาหารไม่สมบูรณ์ คนจะอดอยากตาย ภัยสงครามยากที่จะหลีกหนี หากมีคนนำคัมภีร์นี้เผยแพร่ไปทั่วทุกหน ทุกหนึ่งแพร่ไปถึงสิบ สิบแพร่ไปถึงร้อย ร้อยแพร่ไปถึงพัน จนถึงหมื่น จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ ถึงยุค เหยาซุ่น มาถึง ( เหยา หมายถึง บ้านเมือง จะมีคง ความรุ่งโรจน์ ซุ่น หมายถึง สังคมจะมีความยุติธรรม) ก็จะได้ร่วมสุขสันต์กับโลกแห่งบัวบาน

    ผู้ใดรู้แล้วไม่ยอมเผยแพร่คัมภีร์นี้ จะต้องพบภัยพิบัติทั้งสิบประการ ยากที่จะกลับมาเกิดอีก ผู้ใดเขียนถ่ายทอดเผยแพร่ออกไป ทุกคนในครอบครัวจะอยู่เป็นสุข พบแต่ความเป็นสิริมงคล สามารถรอดพ้นจากมหันตภัยได้ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบน นำความดีชั่วของชาวโลกกราบบังคมทูลต่อเบื้องบน องค์เง็กเซียนมหาราชทรงทราบข่าว ทรงพิโรธยิ่ง ต่อว่าบรรดาเทพยดาทั้งหลาย เสียแรงเปล่าที่ชาวโลกจุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ แต่ไม่ยอมอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย

    จวบจนบัดนี้ ในโลกเต็มไปด้วยคนชั่วร้ายไม่มีมโนธรรม จึงได้มีพระราชโองการให้เกิดภัยพิบัติหลายปี เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงประชาราษฎร์ ในเวลานั้นบรรดาเหล่าเทพยดาทั้งหลาย ได้กราบทูลพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์กวนอิมแห่งทะเลใต้ ได้ทรุดกายหมอบลงกับพื้นพระบรมมหาราชวัง ทูลขอให้ทรงโปรดกรุณาแก่ชาวโลกเป็นหลายครั้ง ว่าผู้ชั่วร้ายสมควรดับ ผู้ดีงามควรแบ่งแยก

    องค์เง็กเซียนมหาราช ทรงบัญชาชี้ขาด ทรงเห็นว่า ดี ชั่ว สองอย่างต่างกัน ให้สงครามเจาะจงเลือกที่เกิด ให้โรคระบาดเจาะจงเลือกคนเป็น และส่งจอมพลรับราชโองการเก็บกวาดล้างมนุษย์โลก ตามที่มีผู้ทำชั่วร้ายดังนี้

    1. พวกที่กล่าวโทษ ด่าว่าฟ้าดิน
    2. พวกที่ดำเนินชีวิตปฏิบัติตนผิดหลักฟ้า ฝืนหลักธรรม
    3. พวกที่ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่
    4. พวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าเป็นอาชีพ ฆ่าเป็นกีฬา
    5. พวกที่ลักขโมย ปล้นชิง หยิบฉวยทรัพย์สมบัติ สิ่งของของผู้อื่น
    6. พวกที่โกหกมดเท็จ พูดจาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ
    7. พวกที่ประพฤติผิดในกาม มักมากในตัณหาราคะ
    8. พวกที่ชอบดื่มสุรา ยาเมา สูบบุหรี่ หลงใหลสิ่งเสพติดของมอมเมาสติ
    9. พวกที่ไม่ยึดถือศีลธรรม จิตใจขาดหิริโอตตัปปะ ไม่สำนึกละอายใจในการทำชั่ว ไม่เกรงกลัวบาปกรรม
    10. พวกที่ทำลายพระศาสนา บิดเบือนหลักธรรม หลอกลวงเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    11. พวกที่เหยียบย่ำทำลายคัมภีร์หลักธรรม อักษรหนังสือ
    12. พวกที่ใจเหี้ยมโหด เข่นฆ่าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เพื่อผลประโยชน์ของตน
    13. พวกที่ทำลายผู้อื่น เพื่อมุ่งผลกำไรและความสุขส่วนตน
    14. พวกที่ค้าขายใช้เล่ห์เหลี่ยม ขูดรีด คดโกงตาชั่ง
    15. พวกที่ค้าขายสินค้าปลอม ยาปลอม หลอกลวงชาวบ้าน
    16. พวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายค้าขายเอาเปรียบคนอื่น
    17. พวกที่หาประโยชน์จากผู้อื่นด้วยการหลอกลวง ต้มตุ๋น
    18. พวกที่พูดจาหยาบคาย ชอบทุบตี ด่าว่าบุพพการี ปู่ย่า ตายาย
    19. พวกที่ชอบพูดจาให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น
    20. พวกที่อารมณ์ร้าย โมโหโกรธา ด่าว่าคนอื่นไปทั่ว
    21. พวกที่ชอบว่ากล่าว ตำหนิโทษผู้อื่น ด้วยใจอคติไม่เที่ยงธรรม
    22. พวกผู้ชายที่ไม่จริงใจต่อภรรยา พวกผู้หญิงที่ไม่เคารพซื่อสัตย์ต่อสามี
    23. พวกที่ชอบยุแหย่ทำลายชีวิตครอบครัวผู้อื่นให้แตกแยกล่มสลาย
    24. พวกพี่น้องที่ไม่รักใคร่ปรองดองกัน คอยแต่แย่งชิงดี ชิงเด่นฟ้องร้องแย่งชิงทรัพย์มรดก
    25. พวกวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่กลับทะเลาะเบาะแว้งไม่สามัคคีกลมเกลียว
    26. พวกที่ชอบยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่น ฟ้องร้องคดีความ
    27. พวกที่ไม่มีความจริงใจ เป็นคนลวงโลก สวมหน้ากากเข้าหากัน
    28. พวกหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกแต่งกายให้ดูดี แต่ภายในสกปรกโสมม
    29. พวกที่อาศัยอำนาจหน้าที่ ใช้อิทธิพลในทางที่ผิด
    30. พวกที่กดขี่ราษฏร ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินบ้านเมือง
    31. พวกที่ชักศึกเข้าบ้าน ล้างผลาญประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของตน
    32. พวกผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี กลับใช้อุบายวางแผนแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่
    33. พวกที่ชอบประจบสอพลอ พะเน้าพะนอยกย่องเชิดชูรับใช้คนเลว
    34. พวกที่คอยมุ่งร้าย รังแกคนทำงานที่ซื่อสัตว์สุจริต
    35. พวกคนพาลสันดานหยาบ ที่คอยก่อกวนให้ผู้คนเดือนร้อน อยู่ไม่เป็นสุข
    36. พวกคนร่ำรวย แต่ใจร้ายข่มเหงคนยากไร้
    37. พวกที่ชอบยกย่องคนรวย เหยียบย่ำคนจน
    38. พวกที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากช่วยเหลือ
    39. พวกที่พบเห็นคนอยู่ในฐานะลำบาก กลับเมินเฉยแล้งน้ำใจ
    40. พวกที่เห็นผู้อื่นร่ำรวย ก็เกิดความอิจฉาริษยา
    41. พวกที่เห็นผู้อื่นฐานะสูงส่งด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ ก็เกิดความโกรธแค้นชิงชัง
    42. พวกที่มีจิตใจอาฆาตมาดร้าย ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำสาปแช่งผู้อื่น
    43. พวกที่ร่ำเรียนคาถาอาคมทำร้ายผู้อื่น ทำเสน่ห์ยาแฝดฝังรูป ฝังรอย
    44. พวกที่ชอบฝึกวิชามาร ทำพิธีใช้ภูตผีกลั่นแกล้งทำลายล้างผู้อื่น
    45. พวกที่ชอบเผาป่า ทำลายสุสาน บุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    46. พวกที่กินทั้งกินขว้าง ไม่รู้จักพระคุณข้าว น้ำ อาหาร
    47. พวกที่ทุบตีเด็กเล็กไร้เดียงสาด้วยโทสะข่มเหง รังแกเด็กๆ ผู้ที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้
    48. พวกที่อกตัญญู ไม่รู้คุณคน
    49. พวกที่ประพฤติตน คิดแบบอย่างชี้นำ สอนให้เด็กอนุชนรุ่นหลังกระทำตามจนต้องกลายเป็นคนเลว ชีวิตไร้แก่นสาร
    50. พวกที่ถือตัวว่าอาวุโส สูงอายุ ใครว่ากล่าวไม่ได้ ทำผิดไม่ยอมรับ ตักเตือนไม่ยอมแก้ไข
    51. พวกอนุชนรุ่นหลัง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่ยึดหลักคุณสัมพันธ์
    52. พวกที่ไม่พิจารณาสำรวจดูกรรมดี กรรมชั่วของตนเอง
    53. พวกที่เคยตักเตือนให้ทำความดี กลับทุ่มเถียงดื้อด้านไม่ยอมฟัง
    54. พวกที่คอยเสาะแสวงหาแต่ช่องทางกระทำชั่วอยู่ไม่ว่างเว้น

    นี่คือห้าสิบสี่ข้อกรรมชั่ว แต่ละรายควบคุมสอดส่องเก็บกวาดเรียบ มิให้เหลือไว้ในโลกา ส่งเข้าสู่หนทางเปรตเดรัจฉาน ให้เขาเหล่านั้นสูญพันธุ์ทั้งครอบครัว ให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด ให้เขานองเลือด ให้กระดูกพวกเขาเหล่านั้นดั่งพงพี่ มีที่นาไม่มีคนเพาะปลูกไถ มีบ้านให้ผู้อื่นอยู่อาศัย หากเปลี่ยนแปลงแก้ไข ละความชั่ว สร้างความดี เขาจะหายเจ็บป่วย อายุยั่งยืน ดูเหล่าความคิดของเวไนยสัตว์ทั้งหลายรีบเร่งดำเนินปฎิบัติแต่ดีงาม กำหนดสามปีให้ตรวจทั่ว กลับมากราบทูลทันที องค์เง็กเซียนมหาราชทรงทราบ พระองค์ทรงมีพระราชโองการดังนี้

    ข้าฯ จะลงมา ตรวจตระเวนทุกหนทุกแห่ง ควบคุมสอดลส่องละเอียดถี่ถ้วน ข้าฯ จะดำเนินการตัดสินให้เกิดภัยสงครามระลอก- หนึ่ง ให้โรคระบาดอีกบางส่วน ภายในเวลาไม่กี่เดือนทุกหนทุกแห่ง เก็บกวาดคนชั่วร้ายให้หมดสิ้น ต่อให้เจ้าวิง- วอนไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มิตอบสนอง ต่อให้เจ้ากินยารักษาโรคไม่ได้ผล ถึงแม้ตำราเสินหนงยังอยู่. ถึงทานยาดีชั่วก็ต่างกัน คนดีมีคุณธรรม กินยารักษาได้ผล คนชั่วเลวร้ายกินยาแล้วไม่รอด บัดนี้ข้าฯ เห็นเหตุการณ์น่าเวทนา ไม่มีวิธีใดสามารถช่วยเวไนยสัตว์ได้ ต่อให้เจ้าจุดธูปบูชาข้าฯ เสียแรงเปล่าเห็น ข้าฯ เป็นเทพยาดาน่าเคารพ แต่ปัจจุบัน มีทุกข์ ไม่ยอมช่วยเหลือ ใช่ว่าข้าฯ นั้นจะบิดเบือนต่อเบื้องบน ข้าฯ ได้วิงวอนด้วยความรีบเร่งร้อนรน และเบื้องล่างก็กล่าวพูดสัจธรรมตักเตือนให้ได้

    บัดนี้ถึงกาลปลายกัปป์ ภัยพิบัติยุคสุดท้าย ปุถุชนธรรมดาเก้าตายไว้หนึ่งรอด สงครามอาวุธมีดพร้าเกิดขึ้นรอบด้าน โรคระบาดบุกรุกทุกแห่งหน ฟ้าอสุนีบาตฝ่าฟาดดังสนั่นสั่นสะท้าน อุทกภัยไหลหลากท้นท่วมบ้านเมือง วาตะพายุผกผันกวาดไปทุกหนแห่ง ภัยธรรมชาติแห้งแล้ง ชีวิตยากจะอยู่รอด พญามารเคาะประตูยามค่ำคืน โรคระบาดปรากฎในกลางวันประชิดตัว เสือร้ายออกจากป่าเขาจะหลบหนีอย่างไร งูพิษเต็มถนนหนทาง ยากที่จะเดินหนี มีสิบมหันตภัย ยากหลีกหนี เมื่อมหันตภัยสิบได้ผ่านจึงนับว่ายอดคน

    นี่แหละคือสิบมหาภัยอันยิ่งใหญ่ มีเพียงเตือนให้ท่านเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในจิตใจ สบโอกาสรีบๆ แก้ไข สำนึกผิดได้ยินได้รู้ เร่งกลับตัว กลับใจโดยทันใด อย่ารอจนภัยพิบัตินั้นมาถึง จะวิงวอนให้ช่วยเหลืออย่างไรก็ไร้ผล สร้างกุศลความดีกันแต่เนิ่นๆ เพื่อหลบหลีกภัยพิบัติ เหล่าเวไนยสัตว์รีบตั้งจิตศรัทธา เคารพกตัญญู ฟ้า บิดา มารดา จงรักภักดีต่อชาติ บ้านเมือง ประชาราษฎร์คนจนจงรู้จักเจียมตัว ผู้มั่งมีจงเร่งรับช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ยากไร้ ผู้เปรื่องปัญญาตักเตือนชี้แนะผู้ด้อยรู้ ให้ได้ผ่านพ้นภัยด้วยกันในโลกีย์ ผู้ไร้บุญบารมีตกลงสู่ทะเลทุกข์ มีบุญสัมพันธ์ ได้พบความสงบสุข

    บัดนี้ ข้าฯ แฝงกายยืมปากท่านไหว้วานบรรดาผู้ที่รู้จักอักษรเขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ หนึ่งเล่ม จะปกปักษ์รักษาให้ร่างกายสมบูรณ์ และแข็งแรง เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ สิบเล่ม ทั้งครอบครัวจะพ้นเคราะห์ภยันตราย เขียนถ่ายทอดให้ข้าฯ ร้อยเล่ม จะปกปักษ์รักษาให้อายุยั่งยืน อีกทั้งลาภ วาสนา มีเงินรีบพิมพ์แจกทันทีทันใด จะปกปักษ์รักษาให้ได้เกียรติทั้งยศศักดิ์อันรุ่งโรจน์ หากพบผู้ไม่รู้ตัวอักษร ช่วยบอกต่อให้เขานั้นได้ฟังและเข้าใจ

    ถ้าหากมีคนชั่วร้ายไม่ศรัทธา เคราะห์ภัยจะใกล้ตัวในทันใด จะเกิดปวดเศียรเวียนศีรษะหน้ามืดและตาลาย เจ็ดทวารเลือดไหล ไปเมืองผี ภายในสิบชั่วร้ายนี้ ข้าฯ มิอาจกล้ากล่าวได้ให้ชัดแจ้งคิดจะเผยความลับของสวรรค์ ก็กลัวเบื้องบนจะลงโทษทัณฑ์ หากท่านทั้งหลายไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาว่าไม่จริง ไม่นานภยันตรายจะมาใกล้ตัวท่าน หากชาวโลก ศรัทธาและเชื่อฟัง เบื้องบนอาจทรงโปรดช่วยให้ไม่เกิดภัยพิบัติ

    จงหัวหมินกั๊ว ปีที่ 5 จันทรคติ เดือน 10 คืนขึ้น 10 ค่ำ 3 ชั่วโมง ลงสู่ ณ กู่ซี่ (โกวจิน) หงีเลียงเกาะ สถานธรรมจิบเลียง * หนังสือนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1916 พ.ศ. 2459 รวม 77 ปี

    ที่มา mindcyber.com!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  15. bluejet

    bluejet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +2,181
    สรุปตัวอย่างข่าวภัยธรรมชาติจากทั่วโลกแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงโดยทั่วไปรอบโลก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=L0i2aTSZfNk]Signs Of Change The Past Week Or So July 2013 Part 2 - YouTube[/ame]
     
  16. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    19 ก.ค. 56

    บนถนนคนตายนับไม่ถ้วน หนึ่งหมื่นตายเก้าพัน มหันตภัยมาแล้ว พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พญานาคดุร้าย เกะกะระรานทั่ว เวไนยสัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนมหาราชจึงจัดส่งกวน, เจ้าสองขุนพลลงสู่โลกมนุษย์ และเทพยดาที่สัญจรอยู่เบื้องบน เหนือโลกมนุษย์เพื่อตรวจดูคัมภีร์นี้ หากมีคนชั่วร้ายทั้งหลาย จะให้ข้าวยากหมากแพง พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏ กวนเจ้าสองขุนพลสู่แดนมนุษย์ จากปีจอเริ่มต้นด้วยโรคระบาดจนถึงปีกุน ประชาราษฎร์ในเก้าคน จะรอดตายเพียงหนึ่งคน จะเกิดมหันตภัยขึ้น

    23 ธ.ค. 46 2 เทวดาโดดร่ม

    ทางเทวโลกได้ลงมาเก็บกวาด

    เก็บกวาด ฆาตชั่ว ไม่มั่ว
    อย่ากลัว ความผิด ติดตัว
    เป็นเพราะ หน้าที่ ของชัวร์
    ไม่กลัว ปาปบุญ หนุนทำ

    คนดี มีดี ที่ไว้
    คนร้าย เก็บไป เฉพาะที่
    ทุกคน ต้องสร้าง ความดี
    ให้มี เกราะบุญ คุ้มกัน

    เคอิสรา
     
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ลองอ่านความเห็นของคนอื่นบ้างน่ะครับลุงเค ท่าน romancehawk เขียนได้ดีเข้าใจง่ายอ่านปุ๊ปเข้าใจปั๊ปไม่ต้องแปล

     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ประวัติพญายมราช !!!
    (เทวดาที่ทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ)

    [​IMG]

    ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)

    ท้าวพญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

    ซึ่งบริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหายาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

    ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

    ด้วยในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

    ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

    ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้าน ที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

    บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ ของพญามัจจุราชและคณะ
    ผศ.พระครูสุนทรธรรมโสภณ (วิเชียร ปญฺญาวุฑฺโฒ)
    ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘


    ความนำ

    ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจ หรือข้อตกลงเบื้องต้นกับผู้อ่านก่อนว่า ผู้เขียนได้เขียนในขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มิได้ละเมอเพ้อฝัน หรือสติฟั่นเฟือนวิกลจริตผิดปกติโดยประการทั้งปวง แต่มีแรงบันดาลใจจากการมรณะภาพของพระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร แห่งวัดภูหินดัง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ผู้เป็นเสมือนอาจารย์ที่เคยสั่งสอน ให้ข้อคิดเตือนสติในยามที่ผู้เขียนมีแนวคิดและพฤติกรรมเฉไฉออกนอกความถูกต้องดีงาม ท่านเป็นแบบอย่างแห่งจริยะความประพฤติ ท่านเป็นเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานร่วมแล้วมีความอบอุ่นใจ มีความสุขใจ ท่านคอยแนะแนวการทำงานอย่างมีระบบ วางแผนงานอย่างสุขุมรอบคอบ

    มีการติดตามประเมินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว ท่านเป็นเพื่อนรุ่นพี่ ที่รักและห่วงใยเอื้ออาทรต่อน้อง คอยให้กำลังใจในการทำงานด้วยดีเสมอมา ซึ่งความจริงคุณลักษณะตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านได้ใช้กับเพื่อน กับรุ่นน้องและกับศิษย์ ตลอดทั้งกับประชาชนทุก ๆ คนไม่เพียงผู้เขียนเท่านั้น เมื่อท่านมาด่วนจากไปแบบที่เราไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ และเป็นตัวแทนแห่งความรู้สึกนึกคิดของผู้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่เคารพ และจากสิ่งที่หวงแหนทั้งมวล ฉะนั้นการเขียนคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชในครั้งนี้เป็นเพียงการระบายความรู้สึกนึกคิดอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการเริ่มวิธีคิดแบบทวนกระแส เพื่อสนองกระแสความรู้สึกให้รู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ประสบกับความพลัดพรากแล้วชวนกันคิดตามกระแสธรรม ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

    บันทึกคำทักท้วงการปฏิบัติหน้าที่

    ข้าแต่พญามัจจุราชผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นเจ้าแห่งความตาย ข้าพเจ้าและคณะ มีความเคลือบแคลงสงสัย ในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านและคณะ ต้องการทราบความจริง และขอทราบความกระจ่างชัด ถึงระบบระเบียบ หลักการและเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ จึงต้องการให้ทบทวนการปฏิบัติหน้าที่เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาหลังจากได้ตริตรองพิจารณาด้วยเหตุและด้วยผล ตรวจสอบสภาพความเป็นจริง ตลอดทั้งเหตุผลความจำเป็นแล้ว จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะนั้น เสมือนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไปโดยปราศจากเหตุผลและความจำเป็น ไม่มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงของบุคคลและสถานที่

    ข้าพเจ้ามีความสงสัยและขอกล่าวหาว่า พญามัจจุราชและคณะได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการเลือกปฏิบัติ หลายครั้งพวกข้าพเจ้าเหล่ามวลมนุษย์ได้ใคร่ครวญพิจารณารอบคอบแล้วเห็นว่า บางคนยังไม่สมควรที่จะต้องเอาชีวิตเขาไป ท่านพญามัจจุราชกลับส่งทหารและบริวารมาไล่จับไปโดยเร็วและง่ายดาย แต่ขณะเดียวกันมีบางคนที่อยู่อย่างไร้ค่า แถมยังก่อความทุกข์ความเดือดร้อนให้คนอื่น ก่อปัญหาให้กับสังคม ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นเพื่อนมนุษย์ มีพฤติกรรมที่หลอกลวงต้มตุ๋นเพื่อนมนุษย์ เช่น ครองเพศเป็นพระสงฆ์แต่ความประพฤติเป็นมหาโจรปล้นศรัทธา คอร์รับชั่นความเชื่อของชาวบ้าน เป็นการทุจริตศรัทธาของประชาชน

    บ้างครองเพศเป็นพระแต่จิตใจเป็นยักษ์เป็นมารที่มีแนวโน้มากขึ้นทุกวันในสังคมมนุษย์ อย่างพวกที่ผลิตอาวุธออกมาเข่นฆ่า ยกกำลังทหารพร้อมด้วยอาวุธนานัปการไปยึดครองประเทศอื่น ไปทำลายล้างผู้คน ไปปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอื่น ไปเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินข่มเหงรังแกสารพัด เข่นฆ่าผู้คนล้มตายไปมามาย พญามัจจุราชกลับเมินเฉยปล่อยให้กลุ่มบุคคลประเภทนั้นลอยนวล พญามัจจุราชให้กฎเกณฑ์เข้าไปดำเนินการในเอาชีวิตของผู้คนอะไร ทำไมไม่ยึดประโยชน์สุขที่จะเกิดแก่มหาชน

    ขณะนี้พวกข้าพเจ้ากำลังรวบรวมหลักฐาน ในการปฏิบัติหน้าที่อันดูเหมือนที่ไร้ซึ่งเหตุผลเหล่านั้น เพื่อดำเนินการประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ หากไม่สามารถชี้แจงเหตุผลให้กระจ่างชัดจนเป็นที่พอใจของพวกข้าพเจ้าเหล่ามนุษย์แล้ว ในขั้นตอนต่อไปจำเป็นต้องดำเนินการยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนพญามัจจุราชและคณะ ในฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติ หรือไม่ ขอให้พญามัจจุราชโปรดได้ชี้แจงเหตุผลในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะบางกรณีมาจับในขณะที่ทำงานอันเป็นประโยชน์สุขต่อสังคม บางคนมียศมีตำแหน่งใหญ่โตแล้วใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ ใช้ไปในทางเบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น

    บางคนมีกำลังแข็งแรงก็ใช้กำลังที่ตนมีนั้นไปก่อกรรมทำเข็ญ ไปปล้นไปจี้ ไปเบียดเบียนคนอื่นก่อความปั่นป่วนเดือดร้อนให้กับสังคมบ้านเมือง คือ”ประเภทมีชีวิตอยู่ก็วุ่นวาย ตายไปคนก็สมน้ำหน้า” แบบนี้ก็ควรตาย ขอให้พญามัจจุราชทำงานโดยใช้หลักของนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มองในมิติเหตุที่จะตกกับสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว ดังกรณีต่อไปนี้

    ๑. มาจับไปในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อมวลมนุษยชาติ ในฐานะเป็นคนของประชาชน ถือได้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทำการบำบัดความทุกข์บำรุงสุขทางใจของมนุษย์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และมีความตั้งใจในการทำงาน ตั้งใจในการทำหน้าที่ของความเป็นพุทธบุตร สมตามที่ได้กล่าวปฏิญาณว่าจะมอบกายถวายชีวิต จะยอมเป็นทาสพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ จะกระทำทุกอย่างด้วยความจงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรมและสงฆ์ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และก็กระทำตามที่ได้กล่าวปฏิญาณไว้อย่างมั่นคงด้วยดีอย่างสม่ำเสมอ

    ๒. บางคนอายุยังน้อย เป็นวัยที่กำลังทำงาน และเป็นการทำงานที่เป็นไปเพื่อความสุขของมหาชน ที่สำคัญเพราะมีพระภิกษุน้อยรูป เป็นบุคคลน้อยคนในสังคมมนุษย์ปัจจุบันที่มีวิธีคิดที่เข้าถึงรากฐานของวัฒนธรรมของความเป็นสงฆ์ คือ ความคิดเพื่อส่วนรวม เพื่อความสุขความเจริญของส่วนรวม นั่นคือวัฒนธรรมของสังคมสงฆ์ เพราะการกระทำที่เป็นไปเพื่อหมู่คณะ เป็นระบบความคิดที่เป็นสังฆะโดยแท้ หรือที่เรียกว่าจิตสาธารณะ คือความรู้สึกที่เห็นคุณค่าของส่วนรวม ทำงานเพื่อความสุขของส่วนรวม

    ๓. บางทีความกระทบกระเทือนทางร่างกายเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่พอแก้ไขเยียวยาได้ คือถ้าเป็นรถ เป็นเรือ หรือเป็นวัตถุก็พอซ่อมได้ ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทุบทิ้งทั้งคัน ทุกทิ้งทั้งร่างกาย เพื่อให้เปลี่ยนสถานภาพทางร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบมักง่ายแบบสุกเอาเผากิน ของพญามัจจุราชและคณะอย่างเห็นชัดเจน

    มาตรการสำหรับปฏิบัติการที่เร่งด่วน

    ๑. ยื่นเรื่องเพื่อประท้วงและให้ทบทวนในการปฏิบัติหน้าที่ และอาจถึงขั้นยื่นเรื่องเพื่อขอถอดถอนพญามัจจุราชและคณะให้พ้นจากตำแหน่ง หากเห็นว่ามีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเลือกละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะพวกเราเหล่ามนุษย์เห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ของพญามัจจุราชและคณะ

    ๒. หลักการและเหตุผล กฎระเบียบ กฎกติกาที่พญามัจจุราชใช้ดำเนินการในการจัดการกับมนุษย์มาโดยตลอดนั้น เป็นกฎระเบียบที่อาจไม่ทันสมัย ไม่มีความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของบริบทต่าง ๆ ทางสังคมในยุคปัจจุบัน จึงเห็นสมควรให้มีการทบทวนกฎระเบียบ และระเบียบวิธีการปฏิบัติของพญามัจจุราชและคณะให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง อาจถึงต้องยกเลิกกฎบางข้อที่ไม่ทันสมัย

    ๓. พวกเราเหล่ามนุษย์ต้องเร่งรีบหาวิธีการ จึงได้มีการระดมสมอง(Brain storming) เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อหามาตรการในการปฏิบัติร่วมกัน และมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า”จะเร่งรีบดำเนินการ หากเห็นว่ามีสิ่งใดที่ควรกระทำ จะเร่งทำความดี โดยการคิดดี พูดดีและทำดีอย่างเร่งด่วน โดยจะไม่พัดวันประกันพรุ่ง เพื่อมิให้พญามัจจุราชและคณะ เคลื่อนไหว และดำเนินการใด ๆ ได้ทัน พวกข้าพเจ้าจะรีบกระทำก่อนเพื่อมิให้พญามัจจุราชตั้งตัวได้ทัน

    ๔. ตั้งหน่วยเฝ้าระวัง หน่วยนี้ทำหน้าที่เคลื่อนที่เร็วในการเตือนภัย เพื่อให้ความรู้กับเพื่อนมนุษย์ เตือนสติในการเตรียมความพร้อม ในสิ่งที่ทำ คำที่พูด อารมณ์ที่นึกคิด เพื่อให้เหล่าเพื่อนมนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาทในเพศ วัย และฐานะ ให้เป็นผู้มีความรู้ตัวทั่วพร้อมมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพราะพญามัจจุราชจะทำงานแบบตรงไปตรงมาแบบไม่เกรงใจใครใด ๆ ทั้งสิ้น

    ๔. ความจริงหน่วยงานหรือองค์กร ตลอดทั้งบุคลากรที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงในการทำหน้าที่เตือนภัย ให้สติกับประชาชน หน่วยงานแรกได้แก่วัดหรือพระสงฆ์ในฐานะผู้นำด้านจิตวิญาณ ประการแกรพระสงฆ์ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ วางตัวให้เหมาะสมกับสมณภาวะแล้วเตือนค่อยให้ประชาชนเป็นผู้มีสติไม่ประมาทในเพศ วัย ฐานะตามด้วย และหน่วยงานและบุคลากรที่ควรทำหน้าที่อันทรงคุณค่านี้ คือสถานศึกษา ข้าราชการ ผู้ซึ่งถือว่ามีการศึกษา อบรมและมีการพัฒนามาดี เพราะโดยหลักแล้วผู้มีการศึกษา ผู้ที่ได้รับการพัฒนามาแล้วต้องเป็นที่ช่วยเหลืออนุเคราะห์คนอื่น ให้เหมือนพี่ต้องช่วยเหลือน้อง

    การศึกษาและการพัฒนาหากสร้างให้เกิดจิตสำนึกอย่างนี้ ถือว่าสุดยอดของการพัฒนา แต่นี้เพราะความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการจัดการศึกษาและการพัฒนา เพราะผู้ที่ได้ชื่อว่ามีการศึกษาและมีการพัฒนากลายเป็นผู้ที่ก่อปัญหา ก่อความเดือดร้อนให้สังคมเสียเอง ประเด็นนี้ จึงเป็นเด็นทีท้าทายความรู้ความสามารถของหน่วยเฝ้าระวังเตือนภัยให้สติเป็นอย่างมาก

    กฎแห่งความเป็นจริง

    ความจริงคำว่า “พญามัจจุราช”นั้นเป็นเพียงคำศัพท์ที่ใช้แทนกฎธรรมชาติ ที่ใช้แทนกฎแห่งความตายของสรรพชีวิต ในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายคงคุ้นเคยกับคำสอนที่เกี่ยวกับความตาย เป็นต้นว่า ”ความเป็นมันไม่ยั่งยืน ความตายมันยั่งยืน เราต้องตายเป็นแท้ ความเป็นของเรามีความตายเป็นที่สุด และความเป็นของเราไม่เที่ยง แต่ความตายของเรามันเที่ยง” เหล่านี้เป็นต้น

    พระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความเป็นจริง ให้เผชิญกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น โดยเฉพาะความจริงที่เกี่ยวกับความตาย เพราะความตายไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนิมิต ไม่ลางบอกเหตุใด ๆทั้งสิ้น และกฎอันนี้เป็นกฎที่ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนในโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน

    อย่างพระพุทธองค์สอนให้อยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ พระองค์สอนระลึกถึงความตายทุกๆ วินาที สอนให้เผชิญกับความตาย ในฐานะที่ความตายเป็นกฎความจริงอย่างหนึ่ง เพราะหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนให้รู้เท่าทันกับความจริง ตามสภาพของสิ่งนั้นเป็น เมื่อเรามาเกิดอยู่ในโลกนี้ เมื่อความจริงของโลกนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือมาศึกษาโลกนี้ให้รู้ความจริง ตามสภาพที่โลกเป็น

    มองความตายสองมิติ

    ประการแรก มองความตายที่สิ้นสูญ คือหมดไปสิ้นไป ในฐานะที่มนุษย์ปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส จิตใจยังไปด้วยความรัก ความโลภ ความโกรธและความหลง ยังมีความดีใจ เสียใจ ยังอ่อนไหวไปตามกระแสของอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ กล่าวคือยังออกไหวไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ หากพูดง่าย ๆ แบบฟังแล้วเข้าใจง่าย ๆ ในฐานะที่กำลังโดนคลื่นของโลกธรรม พัดพาไป แล้วจมปลักลงในห้วงลึกแห่งอวิชชา คือ ความไม่รู้ พระพุทธศาสนาจึงสอนให้เกิดความรู้ ตามหลักของไตรสิกขา คือศีล สมาธิและปัญญา

    ความตายในมิติของความสิ้นสูญ ความหมดไปสิ้นไปนี้ หากคิดตามแล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายไปได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ๆ จะขึ้นเขาลงห้วย ใต้พื้นน้ำ ใต้พื้นดิน เข้าหลบในถ้ำและหุบเขา แม้จะไปหลบซ่อนบนฟากฟ้าเวหาหาว ไม่มีทางหลบได้โดยประการทั้งปวง นี้มองในมิติด้านสถานที่ ต่อมามองในด้านฐานะเพศ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่อาจมีข้อยกเว้น กฎนี้ให้สิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิให้เหนื่อยเปล่า หวังว่านักสิทธิมนุษยชนคงมีความพึงพอใจกับกฎอันนี้ ส่วนวิธีการปฏิบัติต่อผู้ตายนั้นเอาไว้พูดกันในโอกาสอื่น อย่างอยู่ในเพศสมณะนักบวช นักพรต เป็นพระ เถน เณร ชี ก็อย่างนึกว่าตนจะรอดพ้นจากความตายได้ แม้ที่สุดเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ก็ตกอยู่ภายใต้กฎอันเดียวกันนี้อย่างเท่าเทียมกัน

    เมื่อมองในฐานะเพศไปแล้ว ตอนนี้มามองต่อ ในฐานะวัย เช่น วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยทำงาน วัยเฒ่าแก่ ชรา ก็ตายให้เห็นในทุก ๆ วัย ขอร้องไว้ไม่ได้ จะจ่ายสินบาทคาดสินบนไม่ได้ เช่น จะไปขอร้องว่า ลูกกระผมยังเล็ก ยังอายุน้อย ขอร้องเถิดเจ้าข้า อย่าพึ่งให้ตายเลย ไม่ได้ผล หรือขอร้องว่าท่านแก่ชราแล้ว ปล่อยท่านเถิดอย่ามารบกวนท่านเลย ท่านเป็นแม่เป็นพ่อคนเดียวของกระผม ของดิฉัน เคารพรักท่านมาก ขอไว้หน่อยเถิด อย่าให้ท่านต้องตายเลย ก็ไม่เป็นผล คือขอไว้ไม่ได้ ดังคำกลอนบทหนึ่ง ที่พระอาจารย์มหามังกร ปัญญาวโร ได้ประพันธ์ไว้ ความว่า

    แก่เจ็บตาย คนทั้งหลาย จะต้องพบ
    จะหลีกหลบ ซ่อนเร้น เป็นไร้ผล
    จะแสนสวย มั่งมี หรือยากจน
    ในที่สุด ทุกคน จะต้องตาย

    ความแตกต่างมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่ตายหรือไม่ตาย หากแต่อยู่ที่ตายแบบไหน ตายแล้วเหลืออะไรไว้ เป็นอนุสรณ์แก่ชาวโลก หรือจะตายแบบเขาสมน้ำหน้า สาธุการหรือตายแบบคนเขาอาลัยหา ตายแบบคนเขาระลึกถึงคุณความดี นำเอาข้อคิดคำสอนมาเป็นเครื่องเตือนสติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต คือจะต้องตายทั้งทีต้องตายแบบมีดีเหลือไว้

    วัวควายเอย เจ้าต่ำซ้ำ เป็นสัตว์
    คราวิบัติ เนื้อเขาหนัง ยังขายได้
    แต่มนุษย์ เมื่อวิบัติ คือตายไป
    เอาไปขาย ครึ่งสตางค์ ยังว่าแพง

    ตามตลาดเราเห็นแต่เขาขายเนื้อสัตว์ เนื้อปลา ขายหนังสัตว์ ขนสัตว์ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเขาเอาเนื้อนางสาวไทย นางสาวจักรวาฬที่ตายแล้วไปวางขายตามตลาด ว่านี้เนื้อสันนางไทย เนื้อสันนางสาวจักรวาฬเมื่อ พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี่ ขายในราคาย่อมเยา หรือโฆษณาว่า นี้เนื้อนางสาวไทยแดดเดียว เนื้อนางสาวจักรวาฬแดดเดียวช่วยซื้อหน่อย แม้มีคนขาย ก็คงไม่มีคนซื้อแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู ผู้เขียนคนหนึ่งละไม่ขอเล่นด้วย เพราะคุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่คุณความดี อยู่ที่คุณประโยชน์ที่ได้สร้างสมไว้ด้วยการกระทำทางกาย ทางวาจาและทางจิตใจ ประเด็นนี้มีความสำคัญ จึงอยากฝากไว้ให้เป็นข้อคิด

    ประการที่สอง มองความตายที่ก่อให้เกิดความสร้างเสริม คือสร้างสติปัญญาที่รู้เท่าทันกับความเป็นจริงตามที่มันเป็น เพราะความจริงตามที่เป็นอยู่ คือ มันตายแบบไม่เลือกเพศ วัย ฐานะ และกาลเวลา จากประเด็นนี้เราต้องดำเนินชีวิตโดยความประมาท ต้องเป็นคนที่มีสติอยู่ตลอดเวลา คือสร้างเสริมความเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะ คือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะวินาที และต้องเร่งรีบทำความดีแบบไม่พัดวันประกันพรุ่ง

    รีบทำแบบไม่ให้ความตายขยับทัน แบบไม่ให้ความรู้ตัวทัน พอทำดีทางใดได้ต้องรีบทำก่อนทันที เช่น คิดดี พูดดี ทำดี เพราะความตายมันไม่มีในพรรษา นอกพรรษา ไม่หน้าร้อน หน้าฝน และหน้าหนาว อย่ารีรอเป็นอันขาด เพราะการมัวรีรอเป็นความประมาทอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อรู้และคิดได้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่ามองความตายแบบสร้างเสริม คือ สร้างเสริมสติปัญญา สร้างความรู้เท่าทันกับกฎแห่งความเป็นจริงหรือกฎธรรมชาติ(Nature Law ) เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ ประเด็นสำคัญเราต้องรู้ต้องเข้าใจในกฎธรรมชาติ และปฏิบัติต่อกฎธรรมชาติตลอดทั้งการท่าทีความรู้สึกต่อกฎธรรมชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม

    สรุป

    ที่ผู้เขียนได้เสนอมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสนอความเห็นแทนความรู้สึกผู้พลัดพรากที่กำลังประสบกับความโศกเศร้าเหงาซึม อย่างน้อยแนวคิดของผู้เขียนอาจเป็นเพื่อนในยามเศร้า ของผู้ที่ตกอยู่ในกระแสของความโศกซึมได้ เพื่อจะทุเลาความโศกซึมไปบ้าง แต่ที่สุดผู้เขียนพยามชี้ให้คิดถึงหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสอนถึงหลักความจริง สอนให้เข้าใจถึงกฎธรรมชาติที่ไม่มีข้อยกเว้นในเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ เพศ วัยและฐานะใด ๆ โดยประการทั้งปวง และพระองค์ตรัสสอนมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ดำรงตนและดำเนินชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา และตำหนิผู้ที่ประมาทว่าเสมือนหนึ่งเป็นคนที่ตายแล้ว

    ดังนั้นขอท่านผู้อ่านโปรดเรียนรู้เข้าใจในความเป็นจริงตามธรรมชาติ เรียนรู้ตนเองให้เข้าใจตนเอง เตือนตนด้วยตนเอง เอาชนะตนด้วยตนเอง แล้วเป็นที่ตนด้วยตนเอง ดำรงตนอยู่อย่างอิสระ โดยปราศจากการครอบงำของความโลภ ความโกรธและความหลง มีความเจริญรุ่งโรจน์ด้วยสติปัญญา แล้วจะเป็นผู้ที่ดำรงชีวิต และดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในเพศ ไม่ว่าเพศหญิงและเพศชาย ไม่ประมาทในวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ ไม่มาทในฐานะ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ยากจนเข็ญใจ มีตำแหน่งใหญ่โตแค่ไหนในที่สุดก็จะตกอยู่ในกฎแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติที่กล่าวมาแล้วเช่นกันทุก ๆ คน ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดได้สังวรระวังตนเองให้มีสติ อย่าลืมพระราชดำริ ของพระพุทธองค์ทรงเตือนก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานเพียงอึดใจเดียวว่า “ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” นี่คือคำเตือนของบรมครูที่ทรงเตือนด้วยความเมตตา

    กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีชายชราคนหนึ่งต้องต่อสู้กับความยากลำบากมา ตั้งแต่หนุ่มจนแก่วันหนึ่งเข้าไปตัดฟืนในป่าเพื่อนำไปขายในเมืองเป็นการยัง ชีพระหว่างทางรู้สึกหนักและเหน็ดเหนื่อยเหลือกำลัง เกิดความน้อยใจในโชคชะตาตนเองที่ต้องต่อสู้กับความยากจนมาเป็นเนิ่นนาน ชายชราจึงโยนมัดฟืนลงจากบ่าของตนพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ข้าแต่พญามัจจุราช โปรดมาเอาชีวิตอันไร้ค่านี้ไปเสียที ข้าไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว ”เมื่อตะกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด” พญามัจจุราชปรากฎกายขึ้นแล้วย้อนถามชายชรา “อ้อ..ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่อยากหาคนช่วยยกมัดฟืนใส่บ่าให้หน่อยเท่านั้น” กล่าวจบชายชราก็รีบแบกมัดฟื้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: คำพูดกับความจริงที่มนุษย์ต้องการนั้น อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคำว่าอยากตายกับความอยากจะตายจริงๆ นั้น ยิ่งเป็นละเรื่องกันเลยทีเดียว

    Posted by ซัลฟา , ผู้อ่าน : 12,971 คน , เวลา 05:09:06 น.

    ที่มา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2013
  19. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ว่ากันเป็นเรื่องเป็นราว นี่เคยได้เจอท่านปู่กันมั่งหรือยังนี่
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    จีนส่งเรือตรวจการป้วนเปี้ยนใกล้หมู่เกาะพิพาทกับญี่ปุ่นอีก

    [​IMG]

    จีนส่งเรือเข้ามาป้วนเปี้ยนในน่านน้ำรอบหมู่เกาะพิพาท เซนกากุ หรือเตียวหยู ในทะเลจีนตะวันออกอีกวันนี้ หนึ่งวันหลังจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยยามฝั่งบนเกาะโอกินาวา

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ว่า หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า พบเรือรัฐบาลจีน 3 ลำ ลอยลำอยู่ในน่านน้ำรอบเกาะศูนย์กลางพิพาทวันนี้ หนึ่งวันหลังจากนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยยามฝั่ง ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่พิพาทดังกล่าว โดยเรือตรวจการทางทะเลของจีน เข้าสู่พื้นที่ 12 ไมล์ทะเล ซึ่งถือเป็นน่านน้ำในอาณาบริเวณของหมู่เกาะ “เซนกากุ” ในทะเลจีนตะวันออก เมื่อเวลา 9.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 07.30 น. ตามเวลาในไทย จีนเองเรียกเกาะแห่งนี้ว่า “เตียวหยู” และอ้างสิทธิ์ครอบครองเหมือนกัน

    นายอาเบะเดินทางเยือนเมืองอิชิกากิ บนเกาะโอกินาวา ซึ่งเป็นเกาะห่างไกลในทะเลจีนตะวันออก ห่างจากกรุงโตเกียว เมืองหลวงญี่ปุ่น ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 2,000 กิโลเมตร การเดินทางเยือนครั้งนี้ มีขึ้นไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวนครึ่งหนึ่ง ซึ่งนักสังเกตการณ์คาดการณ์ว่า พรรครัฐบาลของนายอาเบะ เป็นตัวเก็งชนะเลือกตั้ง

    ทั้งนี้ ความขัดแย้งยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย โดยจีนมักส่งเรือของรัฐบาลเข้าไปในน่านน้ำรอบหมู่เกาะดังกล่าว ซึ่งญี่ปุ่นควบคุมอยู่ เป็นประจำ

    เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม 2556 เวลา 18:10 น.

    ที่มา จีนส่งเรือตรวจการป้วนเปี้ยนใกล้หมู่เกาะพิพาทกับญี่ปุ่นอีก | เดลินิวส์

    ยูเออีพบผู้ป่วยไวรัสคล้ายซาร์สอีก 4 ราย

    [​IMG]

    เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี)เผยพบผู้ป่วยรายใหม่ด้วยโรคไวรัสคล้ายซาร์สอีก 4 รายหลังพบการแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศเพื่อนบ้านอย่างซาอุดีอาระเบีย

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ว่า สำนักข่าวดับเบิลยูเอเอ็ม ของทางการยูเออีรายงานการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขว่า พบผู้ป่วยรายใหม่อีก 4 รายสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสคล้ายซาร์ส ทำให้ต้องเร่งดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุการแพร่ระบาด ซึ่งคร่าชีวิตผู้ป่วยติดเชื้อไปแล้วกว่า 40 ราย นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อนบ้านของยูเออี

    รายงานข่าวระบุต่อไปว่า ผู้ป่วยรายหนึ่งได้แพร่เชื้อไปติดคนอื่นๆอีก 4 ราย แต่ทางการก็ยังไม่มีแผนที่จะจำกัดหรือควบคุมการเดินทาง หรือแม้แต่เพิ่มการตรวจตรา

    ไวรัสตัวนี้เกี่ยวข้องกับไวรัสซาร์ส หรือ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งระบาดและคร่าชีวิตผู้คนไป 800 รายทั่วโลกเมื่อปี 2546

    เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:46 น.

    อังกฤษยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อน

    [​IMG]

    อังกฤษยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังอุณหภูมิคงที่ในระดับเกิน 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องเกือบ 1 สัปดาห์ ทำให้มีผู้ล้มป่วยหลายพันคนแล้ว

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ว่า ทางการอังกฤษประกาศยกระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศ หลังอุณหภูมิคงที่ในระดับเกิน 30 องศาเซลเซียสต่อเนื่องเกือบ 1 สัปดาห์ ทำให้ประชาชนล้มป่วยแล้วหลายพันคน

    รายงานโดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาอังกฤษ ( เม็ต ) ระบุว่า วันพุธที่ 17 ก.ค. เป็นวันที่ร้อนที่สุดในรอบปี โดยจุดที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดอยู่ที่เขตแฮมป์ตัน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน 32.2 องศาเซลเซียส ทำให้เม็ตยกระดับการเตือนภัยคลื่นความร้อนฝั่งตะวันตกและตะวันตกตอนกลางขึ้นเป็นระดับ 3 ที่จะใช้ประกาศใช้เมื่ออุณหภูมิสูงเกินระดับมาตรฐานนานกว่า 24 ชั่วโมง เนื่องจากในปีนี้อุณหภูมิในหลายพื้นที่สูงเกิน 30 องศาเซลเซียสนานต่อเนื่อง 6 วันแล้ว

    อย่างไรก็ตาม เม็ตยังคงระดับเตือนภัยคลื่นความร้อนในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันออกตอนกลางของประเทศ เอาไว้ที่ระดับ 2 เนื่องจากมีแนวโน้ม 60 % ที่อุณหภูมิเฉลี่ยในบริเวณนี้จะสูงต่อเนื่องนานกว่า 1 วัน

    ขณะที่หน่วยรถพยาบาลในโครงการบริการสุขภาพแห่งชาติ ( เอ็นเอชเอส ) ทางฝั่งตะวันออกเฉีนงเหนือ เผยสถิติการได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากอาการป่วยซึ่งเกิดจากสภาพอากาศร้อนจัด เฉลี่ยวันละราว 1,250 สาย มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้วเกือบ 2 เท่า ส่วนหน่วยรถพยาบาลเอ็นเอชเอสประจำกรุงลอนดอนรายงานว่า ได้รับโทรศัพท์เฉลี่ยแล้ววันละกว่า 5,500 สาย เพิ่มขึ้นราว 1,000 สายจากเมื่อปีที่แล้ว

    ด้านกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษออกประกาศแนะนำให้ประชาชนพยายามดื่มน้ำอย่างต่อเนื่องทั้งวัน เพื่อรักษาสมดุลของร่ายกาย เนื่องจากมีการพยากรณ์ว่า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อยในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ทำให้มีแนวโน้มจะทำให้สภาพอากาศแปรปรวน และเกิดฝนตกฟ้าคะนอง เสี่ยงที่จะทำให้มีผู้ล้มป่วยมากขึ้นอีก

    เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:02 น.

    ที่มา เดลินิวส์ | อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์
     

แชร์หน้านี้

Loading...