เมื่อหลวงพ่อพระราชพรหมยานตายครั้งแรก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 3 พฤศจิกายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    การตายครั้งที่ ๑

    [​IMG]
    เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ” “พุทโธ” “พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    พออายุ ๒ ปีเศษๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั่นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็นอิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า “ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย” ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือ พระอินทร์เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ” <O:p></O:p>
    แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้” ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์” เมื่อทำนํ้ามนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆ ข้า” เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมนํ้าประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆ ที่เป็นหายหมด<O:p></O:p>
    หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า “เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า” เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็กๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ท่านพ่อพระอินทร์”ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว” <O:p></O:p>
    พอนึกปั๊บก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้” และในบางครั้งท่านมีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและก็สวย ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา” ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของ เทวานุภาพ<O:p></O:p>
    วันต่อๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่า มีคนเดินตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “เอ้า เดินข้างหน้าบางสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว <O:p></O:p>
    แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับ จะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ”ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน<O:p></O:p>
    เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่าเทวดามีจริงทั้งๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง
    ที่มา http://www.thaisquare.com/Dhamma/afterdeath/old/chapter3.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...