พระพุทธรูปกอดสีกานั่งคร่อมบนตัก โผล่เวียดนาม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อีโต้, 28 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    นั้งใต้ต้นทุเรียน ยังดีกว่าเด็กไทย ตำราก็ไม่สน สนใจโหลด แอฟ โป๊ ในเทบเลท
    มีให้เลือกเยอะเลย จะเอาเวอร์ชันกาตูน หรือภาพถ่าย โหลดได้ตามใจ ปราถนา

    หรือไทยไม่เอาแบบ วัชรญาณ เอาแบบตันตระ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    [​IMG]

    พระไตรปิฏกเชื่อถือได้แค่ไหน...


    บทความทางวิชาการ โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี นธ.เอก. ป.ธ.๘ , พธ.บ.(บาฬีพุทธศาสตร์) , พธ.ม.(วิปัสสนา).


    ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามพระองค์ว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว พระองค์จะทรงตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าตรัสตอบเป็นภาษาบาฬีว่า “โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา”
    แปลว่า. ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เรา ได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป
    หมายความว่า พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้คำสั่ง สอนของพระองค์ เป็นศาสดาแทนพระองค์

    หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน พระอรหันตสาวก ๕๐๐ รูป นำโดยพระมหากัสสปะเถระได้ร่วมกัน ประชุมทำสังคายนา คือ ดำเนินการรวบรวมพระดำรัสของ พระพุทธเจ้า จัดเป็นหมวดหมู่ คัมภีร์ที่รวบรวมพุทธพจน์ บรรจุพระธรรมวินัยนั้นไว้ เรียกว่า พระไตรปิฎก
    คัมภีร์ที่บันทึกหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนานั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา เพราะเป็นคัมภีร์ที่จารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันตสาวกไว้โดยมีกระบวนการสืบทอดคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในรูปแบบของการสังคายนาอย่างระมัดระวังและรัดกุมที่สุด ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ จนถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ มาตามลำดับ
    หลักธรรมคำสั่งสอนทางพุทธศาสนาได้มีการสืบทอดกันมาโดยมุขปาฐะ คือ การท่อง จำสืบๆ กันมา (Oral Tradition) การท่องจำนี้ ได้กระทำมาจนถึงสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๕ ในลังกาทวีป การจารึกเป็นคัมภีร์ครั้งแรกเมื่อคราวสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ บางตำราว่า พ.ศ. ๔๓๓ (ถ้านับเฉพาะที่ทำสังคายนาในศรีลังกาก็เป็นครั้งที่ ๒ )ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ทำที่อาโลกเลณสถาน ณ มตเล ชนบทหรือที่เรียกว่า มลัยชนบท สาเหตุของการจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลาน ก็เพราะว่าถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง นอกจากนั้นพระสงฆ์ยังได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามอยู่เนืองๆทำให้ไม่มีเวลาท่องจำพระพุทธวจนะ จะทำให้ช่วงการสืบต่อขาดลงได้ และในการจารึกครั้งนี้ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย


    มีผู้สงสัยว่า สมัยพุทธกาลคนไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรืออย่างไร? จึงไม่ปรากฏว่ามีตำรับตำราจารึกไว้เป็นหลักฐาน พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณฺณวณฺโณได้ประมวลทัศนะนี้ไว้ในหนังสือภาษาศาสตร์ภาษาบาลี ไว้ว่า
    "ความจริงการเขียนหนังสือน่าจะมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ในพระไตรปิฎกเองก็มีข้อ ความเอ่ยถึงการขีดเขียนเป็นครั้งคราว เช่น ตอนหนึ่ง ห้ามภิกษุเล่นเกม "อักขริกา" ได้แก่ การทายอักษรในอากาศหรือบนหลังเพื่อนภิกษุ วิชาเขียนหนังสือ(เลขา) ได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่ง สิกขาบทบางข้อห้ามภิกษุณีเรียนศิลปะทางโลก หนึ่งในศิลปะเหล่านี้คือวิชาเขียนหนังสือ ในบทสนทนาภายในครอบครัว พ่อแม่ปรารภว่าจะให้บุตรเรียนวิชาอะไรดี ถ้าจะให้เรียนเขียนหนังสือ บุตรก็อาจยังชีพอยู่ได้อย่างสบาย แต่ก็อาจเจ็บนิ้วมือ ถ้าภิกษุเขียนหนังสือพรรณนาคุณของอัตตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตายเอง) ปรับทุกกฎทุกตัวอักษร ถ้ามีผู้อ่านพบข้อความนั้นเข้าเห็นดีเห็นงามด้วย แล้วฆ่าตัวตายตามนั้น ปรับอาบัติปาราชิก หลักฐานเหล่านี้แสดงว่าอักษรหรือการเขียนมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ที่พระพุทธองค์ไม่นิยมใช้ หันมาใช้วิธีมุขปาฐะแทน น่าจะทรงเห็นประโยชน์อานิสงส์บางสิ่งบางอย่างกระมัง หรือว่าระบบการขีดเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์การขีดการเขียนเพียงพอ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่ข้อที่น่าคิดอยู่อย่างคือ วิธีเรียนด้วยมุขปาฐะนี้ นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอนแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิตของผู้เรียนไปในตัวด้วย นักปราชญ์ยุคก่อนที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย เปลโต้เคยกล่าวไว้ว่า "การคิดอักษรขึ้นใช้ แทนการท่องจำ ทำให้มนุษย์ขาดอานุภาพแห่งความทรงจำ คือแทนที่จะจดจำจากอินทรีย์ภายใน ต้องอาศัยสัญลักษณ์นอกเข้าช่วย"
    อ้างอิง..พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณณวณโณ ภาษาศาสตร์ภาษาบาลี, ชุดวรรณไวทยากร, กรุงเทพฯไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๔)


    ในตอนต้นครั้งพุทธกาล คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามิได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” แต่เรียกว่าพระธรรมวินัยบ้าง พระสัทธรรมบ้าง ปาพจน์บ้าง สัตถุศาสน์บ้าง พระ บาลีบ้าง สุตตะบ้าง แม้หลังพุทธปรินิพพานก็ยังไม่เรียกว่าพระไตรปิฎก คงเรียก ว่าพระธรรมวินัย เช่น การสังคายนาชำระคำสอน ครั้งที่ ๑-๔ ยังคงเรียกว่าสังคายนา พระธรรมวินัย และได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” เมื่อการสังคายนาครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๔๕๐ ณ ประเทศศรีลังกา โดยได้จารึกลงในใบลาน ซึ่งได้แบ่งพระธรรมวินัยเป็น ๓ หมวด จึงได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” ตั้งแต่บัดนั้น




    [​IMG]




    พระไตรปิฎกมีความสำคัญดังนี้
    ๑. เป็นที่รวบรวมพระพุทธพจน์ คือ พระดำรัสของพระพุทธเจ้า
    ๒. เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นที่บรรจุพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ เป็นศาสดาแทนพระองค์
    ๓. เป็นแหล่งต้นเดิมของคำสั่งสอนในพุทธศาสนา
    ๔.เป็นหลักฐานอ้างอิงหรือยืนยันหลักการที่กล่าว ว่า เป็นพระพุทธศาสนา
    ๕. เป็นมาตฐานตรวจสอบความเชื่อและข้อปฏิบัติ ในพระพุทธศาสนา จะวินิจฉัยสิ่งใดว่าถูกต้องหรือผิดพลาด เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ก็โดยอาศัยพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเป็นเครื่องตัดสิน
    ๖. พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กว่าหนังสือใดๆ บนพื้นพิภพ ที่ยืนยันให้คนยุคปัจจุบันได้รับรู้ ว่าเมื่อ ๒๕๐๐ปีก่อน พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนอะไรไว้บ้าง
    ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก จึงเป็นกิจสำคัญยิ่งของชาวพุทธ ถือว่าเป็นการสืบต่ออายุ พระพุทธศาสนาหรือเป็นความดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนากล่าวคือ ถ้ายังมีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกเพื่อนำไปปฏิบัติ พระพุทธศาสนาก็จะยังดำรงอยู่ แต่ถ้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก แม้มีการปฏิบัติก็จะไม่เป็น ไปตามหลักการของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็จะ ไม่ดำรงอยู่ คือ จะเสื่อมสูญไปในที่สุด




    [​IMG]


    ถาม... เป็นไปได้หรือไม่ที่พระไตรปิฏกอาจจะถูกสาวกรุ่นหลังๆ แก้ไขเพิ่มเติม

    ตอบ “เป็นไปไม่ได้” ด้วยเหตุผลดังนี้
    ๑. พระไตรปิฎกสืบทอดกันมาด้วยภาษาบาลี ที่มีหลักไวยากรณ์เฉพาะ มีกฎตายตัวไว้เฉพาะภาษาบาลี โดยปฏิเสธกฎไวยากรณ์หลายประการของสันสกฤต เพื่อไว้ให้เป็นหลักเกณฑ์ของไวยากรณ์บาลีโดยเฉพาะ เช่น พระบาลีมี ๒วจนะเท่านั้น คือ เอกวจนะ และพหุวจนะ ไม่มีทวิวจนะ
    ...อ้างอิง ดูรายละเอียด พระอัครวงศาจารย์ , สทฺทนีติปฺปกรณํ (ปทมาลา) ฉบับภูมิพโลภิกขุ . โรงพิมพ์มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ, วัดสระเกศ กรุงเทพฯ:พ.ศ. ๒๕๒๑ .หน้า ๑๕๖
    ๒. แม้บางช่วงของประวัติศาสตร์เกิดภัยต่าง ๆ ทำให้คัมภีร์พระไตรปิฎกขาดหายหรือเลอะเลือนไป แต่เมื่อสังคายนาใหม่อีกครั้งก็ได้เปรียบเทียบ ตรวจสอบดูกัพระไตรปิฎกของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนหมดข้อสงสัย จึงทำให้เชื่อได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งโลก ตรงกับพระไตรปิฎกที่ได้รับการสังคายนาครั้งก่อน ๆ ทุกประการ
    ๓. มีข้อความในคัมภีร์รุ่นหลังกล่าวอ้างถึงข้อความคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่เมื่อตรวจสอบในบาลีพระไตรปิฎกแล้วกลับไม่มีข้อความนั้น ทั้งที่เมื่อพิจารณาข้อความนั้นแล้วมีอรรถเข้ากันได้กับพระไตรปิฎก เช่น บาลีสังยุตตนิกาย มหาวรรคว่า “จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว อริยสจฺจานิ ฯ กตมานิ จตฺตาริ ฯ ทุกฺข อริยสจฺจ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจ ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนฺถานิ ตสฺมาอริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺติ” ( อ้างอิง.... ส.ม.๑๙/๑๐๙๗/๓๘๐)
    แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรค นำไปอ้างโดยเพิ่มข้อความว่า “จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว อริยสจฺจานิ ฯ กตมานิ จตฺตาริ ฯ ทุกฺข อริยสจฺจ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจ ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อริยา อิมานิ ปฏิวิชฺฌนฺติ ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ อปิจ อริยสฺส สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิ ฯ ยถาห ฯ สเทวเก โลเก ฯเปฯ มนุสฺสา ตถาคโต อริโย ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ อถวา เอเตส อภิสมฺพุทฺธตฺตา อริยภาวสิทฺธิโตปิ อริยสจฺจานิ ฯ ยถาห ฯ อิเมส โข ภิกฺขเว จตุนฺน อริยสจฺจาน ยถาภูต อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ อริโยติ วุจฺจตีติ ฯ อปิจ โข ปน อริยานิ สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิ ฯ อริยานีติ ตถานิ อวิตถานิ อวิสวาทกานีติ อตฺโถ ฯ ยถาห ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนฺถานิ ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ เอวเมตฺถ นิพฺพจนโต วินิจฺฉโต เวทิตพฺโพ ฯ
    ( อ้างอิง... วิสุทฺธิ.๒/๑๔๐-๑๔๑ )(อักษรตัวหนา เป็นข้อความที่คัมภีร์วิสุทธิมรรคเพิ่มเข้ามา โดยอ้างว่านำมาจากพระไตรปิฎก)


    ดังข้อมูลที่เสนอมานี้ก็หมายความว่า พระไตรปิฎกภาษาบาลีไม่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมอย่างแน่นอน เพราะทั้งที่ปรากฏข้อความที่ตกหล่นปรากฏอยู่ในคัมภีร์น่าเชื่อถือเป็นที่สุดอย่างเช่น วิสุทธิมรรค ข้อความนั้นก็มิได้ถูกบรรจุไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก
    สรุปว่า คัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลีย่อมเป็นไปได้ที่มีการตกหล่นบ้าง คำกล่าวอ้างที่ว่าถูกสาวกรุ่นหลังแก้ไขเพิ่มเติมย่อมเป็นไปไม่ได้เลย



    --------------------------------------------------------------------------------

    [1][1] บางแห่งว่า พ.ศ.๔๓๓
    [1][2] พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณณวณโณ ภาษาศาสตร์ภาษาบาลี, ชุดวรรณไวทยากร, กรุงเทพฯไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๔
    [1][3] ดูรายละเอียด พระอัครวงศาจารย์ , สทฺทนีติปฺปกรณํ (ปทมาลา) ฉบับภูมิพโลภิกขุ . โรงพิมพ์มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ, วัดสระเกศ กรุงเทพฯ:พ.ศ. ๒๕๒๑ .หน้า ๑๕๖
    [1][4] ส.ม.(บาลี) ๑๙/๑๐๙๗/๓๘๐
    [2][5] วิสุทฺธิ.(บาลี)๒/๑๔๐-๑๔๑
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ..................................... ?
     
  4. peatkungza

    peatkungza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +138
    ถึงสมัยจะเปลี่ยนไปยังไง ศาษนาพุทธ และคำสอน จะเปลี่ยนตามไปไม่ใด้
    เถรวาส พุทธบริษัท พระรุ่นเล็กใหญ่ ทุกคนรุ้อ่านภาษาเข้าใจแต่ไม่ทำตาม

    ผมขอบอกผมไม่ใช่สายพระเกษม แต่ผมว่าพระที่ออกมาสู้เพื่อศาสนา น่านับถือกว่าพระกินนอนรับตัง แม้การกระทำเข้ารุ่นแรงแต่เค้าก็ก็ไม่เสรแสร้งแกล้งทำ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    คุณจะศรัทธาพระเกษม ศรัทธาในปฏิปทาท่าน เห็นว่าท่านน่าเลื่อมใส และคุณจะยึดถือและปฏิบัติตามท่าน คุณนับถือท่านเป็นอาจารย์ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร มันเป็นเรื่องของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศหลอก

    แต่ถ้าคุณมีจุดประสงค์ที่ว่าจะให้ผมเห็นดีด้วยกับพระเกษม นี่ผมคงต้องขอคิดก่อนหละ ผมไม่ได้ว่าท่านไม่ดีนะ แต่อาจเป็นเพราะว่าผมคงไม่เคยได้ร่วมทำบุญกับท่านมาก่อน ผมทำใจให้ศรัทธาท่านได้ไม่ลง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของผมอยู่ดี


    ส่วนในเรื่องของคำสอนที่คุณคิดว่า
    อันนี้ผมเห็นด้วยนะ ผมจึงพูดในเรื่องของตันตระไง เพราะมันเปลี่ยนไปแล้ว ขนาดคุณยังคิดได้อย่างนั้น คุณก็ยังไปตามเห็นดีเห็นงามได้ ซึ่งเรื่องนี้ผมก็คิดว่าคุณก็แปลกนะ คุณพูดอย่างแต่ปฏิบัติไปอีกอย่าง หรือเป็นเพราะว่าผมไม่สนับสนุนความคิดเห็นของคุณ คุณจึงยอมขายปฏิปทาเดิมของคุณอย่างนั้นหรือ แม้แต่ตัวคุณเองยังหาความมั่นคงยังไม่ได้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  6. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964

    แนวทางวัชรยาน เหมือนยอดพีรามิด
    ไม่ค่อยเอามาใช้กับคนส่วนใหญ่ เรา
    จึงเลือกคน คัดคนกันจริงๆ ทว่าตอนนี้
    กำลังทดลองนำมาใช้กับคนส่วนใหญ่
    ครับ เพราะระบบทุนนิยม มันมีแววว่า
    จะปูพื้นฐานให้แก่วัชรยานได้ และคน
    ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระบบนี้อยู่แล้ว เราจะ
    ได้รันระบบต่อไป ไม่ต้องทำลายล้าง
    ระบบเพื่อสร้างระบบใหม่ ไงครับ


    ตันตระนี่ ในไทยเคยแพร่หลายในหมู่
    ชนส่วนใหญ่มาแล้ว เหมือนคนไทยที่
    ชอบเรื่องลี้ลับน่ะแหละ ก็คนส่วนใหญ่
    นี่น่ะครับ ทีนี้ เราจะลองดูวัชรยานบ้าง
    ว่าจะกลายเป็น "ยานใหญ่" ได้หรือไม่


    โอววว เค?
     
  7. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    มรรควิธีไหนก็ได้ ขอให้ "ถูกทิศทาง" เป็นพอ


    เหมือนพายเรืออ่ะนะ จะพายด้วยวิธีไหน อย่างไร ไม่สำคัญ
    เท่ากับทิศทาง ถ้าทิศทางถูกต้อง พายไม่เก่ง วิธีพายไม่ดีก็
    ยังถึงได้ (แม้ช้าหน่อย ก็ตาม) แต่ถ้าทิศทางผิดแต่แรก ต่อ
    ให้พายได้เก่ง ได้เร็ว ได้ดี ก็ยิ่งห่างไกลออกไปครับ


    การปฏิบัติธรรม ก็เหมือนกัน ถ้าทิศทางผิดแต่แรก ก็หลงไป
    ไกลเลย แต่ถ้าทิศทางถูก มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมรรควิธี
    อะไรเลย ใครเคยพายเรือแบบไหน ก็พายไปแบบนั้น เปลี่ยน
    ทิศให้ถูกเท่านั้น ย่อมถึงฝั่งได้เช่นกัน


    ดังนั้น เราจะใช้มรรควิธีเดิมๆ ในชีวิตของเรา คือ ทำงานหาเงิน
    ไปวันๆ มันก็ไม่ผิดอะไรเลย ถ้าเราตั้งจิตตรงทาง ตรงทิศนะ มัน
    ก็คือ "มรรค" ตรงนิพพานได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องลาออกจาก
    งาน ไปบวชชีพราหมณ์ ห่มขาว แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม อะไร


    ดังนั้น แม้แต่การมีกาม มีเพศสัมพันธ์ ถ้าจิตตรงทิศทางซะอย่าง
    ก็บรรลุได้ แต่ถ้าจิตไม่ตรงทาง ต่อให้นั่งสมาธิร้อยปี ก็ไม่บรรลุฯ


    เก็จมั้ยๆ ???

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2013
  8. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การทดสอบผู้มีปัญญา ก่อนชิงเมือง


    เป็นยุทธการณ์อย่างหนึ่ง ก่อนที่จะยึดเมืองครับ
    กล่าวคือ เขาจะหยั่งเชิงดูก่อนว่าคนในเมืองนั้นมี
    "ผู้มีปัญญา" อยู่หรือไม่? ถ้าไม่เหลือแล้ว ก็รบ
    ชนะแน่นอน แต่ถ้ายังมีอยู่ และเหนือกว่า ก็ไม่
    รบ เพราะสูญเสียไพร่พล และแพ้ได้ง่ายๆ ครับ


    ยกตัวอย่างเช่น "กรณีหลวงปู่ทวด" ท่านคือผู้ที่
    เข้าไปแสดงปัญญา ชนะพวกพราหมณ์เหล่าอื่น
    ซึ่งมาทดลองคนในอโยธยาว่ามีผู้มีปัญญาเหลือ
    อยู่ไหม? อะไรแบบนั้น แล้วผลออกมา ท่านชนะ
    ข้าศึกก็เลยถอยไป ไม่ต้องรบกันครับ


    ปัจจุบัน มีการหยั่งเชิงหลายวิธี เช่น การเอาพระธาตุ
    อะไรไม่รู้ มาให้เรา พระทั้งประเทศ ไม่รู้ ก็กราบไหว้
    ไป อย่างนี้ แหม หวานหมูครับ กลืนง่ายๆ รู้ช่องแล้ว
    วันหน้าถ้ากลืนไทยได้ก็ต้องใช้ "พระพุทธศาสนา" นี่
    แหละ เป็นตัวกลืน เพราะคนไทยไม่กล้าหือ ไม่กล้าว่า
    ว่าพระธาตุจริงหรือปลอม อะไรแบบนั้น จะสร้างเรื่องว่า
    ท่านผู้นี้ คือ ผู้ที่พระพุทธเจ้าส่งมาให้ปกครองไทย อ่ะ
    ก็พอจะได้ อ่ะนะ พอนึกภาพออกไหมครับ? หรือง่ายๆ
    ก่อนที่จีนจะกลืนธิเบตน่ะ เขาก็ต้องประเมิณ หยั่งเชิงดู
    ประชาชนก่อน ว่าถ้ากลืนแล้ว จะลุกฮือขึ้นต่อต้านมาก
    น้อยแค่ไหน? และอะไรที่จะทำให้เขากลืนได้ แบบนั้น


    โอ้ย ยังมีอีกเยอะแยะครับ ในการหยั่งเชิงประเมิณมวลชน
    ก่อนที่จะวางแผน "กลืนเงียบ" กลืนแล้วประชาชนจะยอม
    ศิโรราบไหม? จะยอมได้ด้วยวิธีแบบไหน? อะไรอย่างนั้น


    และเพราะเหตุนี้ ร. ๔ ถึงต้องทำนายสุริยุปราคา ที่หว้ากอ
    โชว์พาวให้พวกฝรั่งดูอย่างไรละครับ (ตอนนั้นมันจะกลืนเรา)

    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2013
  9. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ฝ่ายทุนนิยม กำลังทดสอบประเมิณคนไทย


    เขาจะดูครับว่า คนไทยส่วนใหญ่ เอนไปทางไหน? เสื้อเหลืองหรือแดง
    ฝ่ายทุนนิยม หรือฝ่ายสังคมนิยม? ทีนี้ เขาจะหยั่งเชิงอย่างไรได้บ้างละ?
    เช่น เอาเรื่องพระพุทธเจ้ามาเล่นดู ถ้าคนไทย เปิดเสรี ยอมรับได้เหมือน
    ฟิลิปปินส์ละก็ ชัวร์ ทุนนิยมแน่นอน แต่ถ้าคนไทย ไม่ยอมรับมากๆ ทั้งยัง
    บีบบังคับให้เจ้าของงานนั้น ทำอย่างใจตัวเอง เช่น ศิลปินวาดภาพ พพจ.
    ในฝาส้วมตัวเอง เป็นของเขาเองทั้งนั้น แต่คนไทยไม่ใช่เจ้าของ ถืออะไร
    มีสิทธิ์อะไร ไปบีบให้เขาทำตามใจตัวเองต้องการ? นึกออกไหม? ผลออก
    มามันก็คือ "ใจเอนไปคอมมิวนิสต์" ไงครับ เขาประเมิณอย่างนี้


    ทีนี้ เขาก็ประเมิณคุณยิ่งลักษณ์บ้าง ว่าเอ้ย คนนี้อ่ะ มันเอนไปทางไหนกัน
    แน่ว่ะ? กรูงง? เลยยกประเด็น "ค้ามนุษย์" ขึ้นมาเลย ดูสิว่าจะทำอย่่างไร?
    ถ้ามีใจไปทาง "เอ้ย สิทธิ์มนุษยชน เป็นสิ่งสำคัญมากๆ นะ" อ้าวละ มันก็มา
    ทางทุนนิยม แต่ถ้าไม่สนใจ เอ้ย ไม่สำคัญ เอ๋? ท่าทางจะเอนไปทางคอมฯ
    ซะแล้ว อะไรแบบนั้น ตอนนี้ เขาก็ประเมิณหยั่งเชิงทั้งผู้นำและ ปปช. อ่ะ
    เพราะว่าฝรั่งงง ผมยังงงเลย อะไรวะ? ประเทศเดียวกันอ่ะป่าว โฮ่ๆๆๆๆ
     
  10. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การแสดง "จุดยืนทางการเมือง" เพื่อสร้างความชัดเจน


    เช่น การที่ ปธ. เกาหลีเหนือคนใหม่ ขึ้นเป็นผู้นำ ไม่ทันไรก็ยิงขีปนาวุธ
    แม่งเลย อะไรแบบนั้น แสดงถึง "จุดยืนทางการเมืองระดับโลก" ครับว่า
    "ยังคงเดิม" ไม่เปลี่ยนแปลงนะ มันเลยต้องทำให้ "ดังทั่วทั้งโลก" อ่ะ


    หรือ การที่ ปธ. หญิง เกาหลีใต้ หลังรับตำแหน่ง ไม่นาน ก็ต้องออกมา
    วิจารณ์เกาหลีเหนือ ในทางเห็นแย้ง และวิจารณ์ญี่ปุ่นในทางไม่เห็นด้วย
    (ว่าควรดูประวัติศาสตร์ด้วยว่าใครถูกใครผิด อย่างแท้จริง ไม่ใช่มั่วเอาอ่ะ)
    นั่นแสดงว่า เธอ "ยืนตรงกลาง" ไงครับ ไม่เข้าข้างพวกคอมมิวนิสต์และ
    ไม่ได้เห็นด้วยกับการรุกรานของพวกทุนนิยม (รุกรานแบบไร้เหตุผลอ่ะนะ)


    พอเห็นภาพ "การเมืองโลก" นะครับ (มันเกี่ยวกันกะเรื่องนี้อ่ะ)
     
  11. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ปุจฉา : กระผมขอเรียนถามว่า " พระไตรปิฎก " ของเรานี้จะควรได้รับความเชื่อถือเพียงไร?

    วิสัชนา : อาตมาขอร้องให้พวกเราทุกคนถือตามหลักกาลามสูตรที่ว่า " อย่ายึดถือหลักใดๆ ว่าเป็นของถูกต้อง ด้วยเหตุผลสักว่า ข้อความเช่นนี้มีอยู่ในปิฎก "

    เพราะว่าพระไตรปิฎกก็เป็นของที่เพิ่มเติมกันได้ ตัดทอนกันได้ และเป็นมาอย่างล้มลุกคลุกคลานเสมอมาตลอดเวลาผ่านมือปุถุชนคนสามัญมาเรื่อยๆ และยิ่งกว่านั้น ที่เป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงของพุทธภาษิตข้างบนนั้นก็คือ แม้ว่าพระไตรปิฎกนั้นจะเป็นของบริสุทธิ์ ออกมาจากพระพุทธโอษฐ์ทุกๆคำ(ถ้าหากเป็นไปได้) ก็ขออย่าให้ถือเอาด้วยเหตุผลสักแต่ว่า ข้อความหรือหลักที่ตนอยากจะถือนั้น มีอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างเดียวกัน

    พระพุทธเจ้าท่านได้ใช้เหตุผลที่ตนเองมองเห็นชัดเจนเอง ว่ามันเป็นไปได้เช่นนั้นจริงๆ พระองค์ตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรในเรื่องเช่นว่านี้ คือกำลังตรัสและทูลต่อปากต่อคำกันอยู่สองพระองค์แท้ๆ ในเรื่องอันเกี่ยวกับอริยสัจจ์ พระสารีบุตรกล้าทูลสนองพระพุทธปุจฉา ว่าท่านไม่เชื่อแม้คำที่พระผู้มีพระภาคตรัสออกมา แต่เชื่อความเห็นจริงของท่านเองต่างหาก

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่ทรงเห็นประโยชน์อะไรในการที่จะให้ใครเชื่อตามตำรา โดยปราศจากการเชื่อด้วยตนเอง ว่าที่ว่านั้นมันมีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ แม้ตำนานหรือปิฎกจะเขียนไว้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นของไม่ดีควรละเราก็ไม่ต้องเชื่อและถือว่านั่นเป็นความจริง จนกว่าเราจะได้รู้จักตัวโลภะ โทสะ โมหะ และเห็นชัดด้วยปัญญาว่ามันไม่ดีจริงๆเสียก่อน

    ถ้าใครไม่ถือตามหลักนี้ คนนั้นไม่เหมาะ หรือถึงกับไม่สามารถเลยในการที่จะไต่ไปตามรอยของพระพุทธเจ้า มีแต่จะเข้ารกเข้าพง และไปติดอยู่ในวงล้อมของภูเขา จนมุมอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่แท้

    คุณดูแต่เรื่องจิตๆนามๆเมื่อกี้นี้เถอะ จะให้เราถือเอาเป็นหลักอย่างไรเล่า ถ้าไม่ให้ถือเอาตามที่เราจะเห็นชัดๆกันจริงๆเป็นเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เรื่องตัวหนังสือ

    พระไตรปิฎกนั้น ส่วนมากหรือแทบทั้งหมด ข้อความที่มีเหตุผลอยู่ในตัวเองเด่นอยู่ จนเราพอใจจะเชื่อ ถึงแม้ว่าคำนั้นๆจะไม่ได้ตรัสไว้โดยพระองค์เอง จะเป็นเด็กข้างถนนพูดก็ตาม

    พระองค์ตรัสว่า แม้หญิงชาวบ้านที่ตักน้ำตามบ่อสาธารณะถ้าเขาพูดอะไรออกมามีหลักชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า มันจะละความทุกข์ได้เช่นนั้นๆ จนใครๆก็เห็นจริงแล้ว เราก็ต้องถือเอา และนับถือเท่ากับที่แม้พระองค์จะตรัสเอง

    ธรรมคือของจริง ใครก็พูดได้ และต้องจริงทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ฉะนั้นจึงไม่อาจมีพระไตรปิฎก ที่แบ่งแยกเป็น อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อรับการยกเว้น ไม่ต้องเป็นไปตามกาลามสูตรนั้น

    ฉะนั้นทำไมจะต้องถือหลักว่า "มันจริง เพราะมันมีอยู่ในปิฎก" ซึ่งมีแต่จะทำคนให้หมดตัวของตัว มีแต่ตัวของความละเมอไปตามความจำอันฟั่นเฟือน เหมือนคนที่มัวแต่เที่ยวแบกบันได ไม่รู้จะจรดเข้าที่ไหนเท่านั้นเอง

    เรามีพระไตรปิฎก สำหรับเป็นวัตถุดิบอันมากมาย เพื่อการเลือกเฟ้นและนำมาย่อยเป็นผลิตผล อันจะเป็นเครื่องแก้ทุกข์ทางกายและทางใจได้จริงๆ ให้เหมาะเฉพาะคนๆเท่านั้น

    คงไม่มีใครสามารถคิดว่า ในทะเลมีปลา แล้วพยายามกินทะเลทั้งหมดเข้าไป เช่นเดียวกับที่ไม่ใครสามารถกินวัตถุดิบคือพระไตรปิฎกทั้งหมดเข้าไป โดยไม่คัดเลือกและย่อยเสียก่อน ในทะเลมีปลามาก คุณเลือกกินแต่ตัวที่รู้จัก และมีรสดีก็มากพอถมไป ไม่ต้องไปกินตัวที่ไม่รู้จักและสงสัย หรือไปสนใจกับมันให้เสียเวลาเปล่าๆ

    ข้อความบางส่วนของพระไตรปิฎก ที่เราไม่สามารถตีความได้ก็เป็นเช่นนั้น คือทิ้งไว้ให้อยู่ในพระไตรปิฎกก็แล้วกันเราเอากันแต่ที่เห็นชัดแจ้ง และยึดหลักกาลามสูตรไว้ได้ นับว่าเป็นการประเสริฐเพราะปลอดภัย อาตมาขอให้คุณปฏิบัติ
    กับพระไตรปิฎกอย่างที่ว่ามานี้

    จากหนังสือ วิสัชนาธรรม หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ : หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ โดยธรรมสภาจัดพิมพ์เผยแพร่ เป็นปุจฉา วิสัชนา เรื่องพระไตรปิฎก


    อีกอันหนึ่งที่น่าสนใจ

    จากคำสอนของท่านพุทธทาส ในหนังสือ "อภิธรรมคืออะไร" หน้า ๕๕ ว่า
    ------------- ทีนี้จะพูดเรื่อยๆ ไปตามที่เห็นว่าสมควรจะพูด ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์ขนาดนี้ ?จะชอบไหม ว่าทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันอย่างอิสระเช่นนี้? ในข้อนี้จะขอพูดไว้ทีเดียวหมดเลย สำหรับใช้ได้ทุกๆคราวทุกๆเรื่องว่า ทำไมเราจึงกล้าวิจารณ์กันขนาดนี้
    ข้อหนึ่ง ก็เพราะว่าพระไตรปิฏกทีแรกจำกันมาด้วยปาก ฟังด้วยหู บอกกันด้วยปากเรื่อยมาเป็นเวลาตั้ง ๔๐๐- ๕๐๐ ปี จึงได้เขียนเป็นตัวหนังสือ มันอาจจะมีผิดเพี้ยนหลงลืมโดยไม่เจตนาในชั่ว ๔๐๐ - ๕๐๐ ปีนี้ ฉะนั้นเราจึงต้องกล้าวิจารณ์
    อีกข้อหนึ่งแม้เป็นตัวหนังสือแล้ว มันก็ตั้ง ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่เขียนเป็นตัวหนังสือแล้วเมื่อ พศ. ๕๐๐ มาถึงเดี๋ยวนี้มัน ๒๐๐๐ ปีแล้ว ฉะนั้นมันอาจจะมีอะไรสูญหาย หรือเพิ่มเข้ามาชดเชยหรือว่าเพิ่มเติมเข้าไปโดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง อย่างนี้มันอาจจะมี แม้แต่คัดลอกผิดมันก็มี ฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์
    ทีนี้การกล้าวิจารณ์นี้ไม่ใช่เราอวดดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้โดยกาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่เพราะเหตุว่าสมณะองค์นี้เป็นครูของข้าพเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง อย่าเชื่อเพราะมันมีในพระไตรปิฏก, อย่าเชื่อเพราะมันน่าเชื่อ,อย่าเชื่อเพราะมันมีเหตุผลทางตรรก ทาง Logic ทางปรัชญา เป็นต้น ให้เชื่อเมื่อมันปรากฏแก่ใจแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง พระพุทธเจ้าทรงเปิดให้อย่างอิสระถึงที่สุดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าวิจารณ์ แม้แต่วิจารณ์พระพุทธเจ้าเอง นี่พูดอย่างนี้บาปหรือไม่บาปก็ไปคิดเอาเองเถอะ บางคนคิดว่าพูดจาบจ้วงพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสั่งว่าอย่างนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2013
  12. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ที่ยกมานี่ ไม่ใช่อะไรหรอกจะบอกว่าผมไปเอาความเห็นจากผู้รู้มาสับสนุนความคิดผมได้อีกเป็นร้อยท่าน ก็เหมือนที่คุณไปเอาความเห็นชาวบ้านมาสนับสนุนคุณได้อีกเป็นร้อย
    แล้วยังไง มันก็แค่เรื่องความคิดเห็นมันใช่ข้อเท็จจริงไหม? มันก็แค่คำพูดของคนที่คนในสังคมเชื่อว่าเป็นผู้รู้ แต่ผู้รู้นี่รู้จริงหรือ? ผมไม่ได้พูดว่าพระไตรปิฏกไม่น่าเชื่อถือ เป็นของเติมเข้ามาของคนรุ่นหลังนะครับ ผมพูดว่าถ้าคุณไปยึดว่าพระไตรปิฏกทั้งหมดเป็นพุทธพจน์แท้ๆๆ นี่มันเสี่ยง เพราะเราสามารถมองได้อีกแง่ มันอาจจะตกหล่น มีบางอย่างหลุดใส่เข้ามาก็ได้ตามกาลเวลา อย่างบางเรื่องพระพุทธเจ้าบอกฉันไม่สอนนะ ไงบ้างสูตรท่านพูดซะเป็นฉากๆๆล่ะ สรุปพระพุทธเจ้าเป็นคนโลเล ไม่แน่นอนหรือไงนี่แค่ประเด็นปลีกย่อยให้นักวิชาเกินมันเถียงกันไปเถอะว่าไหนจริงไหนเท็จ ที่ให้มองสองด้านไม่โต่งไปทางหนึ่ง นี่บ้านผมเรียกใช้หลักทางสายกลางเข้ามามองนะ คุณอยากจะโต่งไปทางใดทางหนึ่งก็ตามใจ แต่อย่ามายัดเยียดว่าผมบอกพระไตรปิฏกไม่น่าเชื่อถือแต่งเติมมาก็มีนะ ผมพูดชัดแล้วว่า สามารถมองในแง่นี้ก็ได้ ในกระทู้ก่อนหน้าเมื่อคืนผมก็เขียนแบบนี้ อ่านอะไรกรุณาจับประเด็นให้ถูกด้วย


    นี่ตัวอย่าง ว่าแต่ทำไมต้องอ้างคำพูดคนอื่นล่ะ มันสื่อว่าคุณไม่รู้ไม่ก็ไม่มั่นใจตัวเองไง ไม่มั่นใจในความเข้าใจบางอย่างในคำพูดของตัวเอง เลยต้องดิ้นรนไปหาความรู้ความเข้าใจ ตำรา คำพูดคนอื่นเพื่อสื่อถึงความเข้าใจของคุณ และนี่แหละที่สื่อว่า คุณไม่รู้อะไรเลย มันสื่อออกมาตรงๆๆครับ
    ที่พูดนี่ไม่ใช่จะฉีกหน้าจะโจมตีอะไร คุณหรอก แต่อยากจะชี้ให้คุณเห็นประเด็น คุณบอกเอาล่ะฉันไปยกความคิดเห็นผู้รู้คนหนึ่งมา ผมเอาบ้างผมไปยกมา ถามว่าความคิดเห็นมันหาข้อสรุปได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง คุณรู้ได้ไงว่าทัศนะนั้นถูก
    ข้อคิดเห็นนั้นถูก โบราณว่าสี่ตีนยั้งรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งเลยคุณ แล้วแค่ความเห็นของพระมหาเล็กๆๆรูปหนึ่ง คุณว่ามันจะถูกต้องตามนั้นหมดหรอครับ นี่คนไม่ได้ยกย่องให้เป็นปราชญ์เสียด้วยซ้ำ แค่พระมหาเปรียญ แปด รูปเล็กๆๆไม่มีชื่อเสียง ท่านเขียนความเห็นว่าเป็นทำนองนี้ออกมา คุณก็ไปเอามาเป็นตุเป็นตะ ซะแล้ว เชื่อคนง่ายขนาดนี้เชียว

    ผมว่า เอาที่คุณรู้จริงๆๆ ดีกว่า ไม่ต้องไปอ้างคนอื่นหรอก เพราะถ้าผมเอาที่เก่งกว่าอย่างที่ผมไปเอาท่านพุทธทาสมาอ้างเมื่อกี้นี่ มันจะยุ่ง หรือผมไปเอาปราชญ์ฝรั่งประเภทที่มันเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ด้านนั้นด้านนี้ มาลงเหนือเมฆขึ้นไปอีกชนิดคนทั่วไปอ่านมึนนี่ จะยุ่งอ่านให้ขำล่ะ คุณอย่าซีเรียสคำพูดผม ผมพูดเอาฮา

    เอาความเข้าใจความมั่นใจของคุณดีกว่า ไม่รู้ก็ว่าไม่รู้ รู้ก็ว่ารู้ ผมว่าแมนกว่าที่คุณพยายามบิดเบือนเบี่ยงประเด็นอ้างนู้นอ้างนี่ กลบความไม่รู้ของคุณนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2013
  13. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    อ้อไอ้พวกที่กดไม่เห็นด้วยนี่ ผมไม่ใช่พาลหรอกนะ แต่ขอตีสองประเด็นคือคนเดียวกันหลายชื่ออวยตัวเอง (ใช่ไหม? คุณหมอกฤซร้อยยูส ผมรู้แล้วนึกว่าใครที่ไหน ยังไม่เลิกนิสัยนี้อีกหรือครับ หมอกฤซ คนเหาะ พรานป่า พรานพิเศษ หมูดิน กำนันปื๊ด และอีกนับร้อยชื่อแต่คนเดียวกัน เดี๋ยวนี้คุณมีอวตารใหม่ผมก็รู้ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ)

    ประเด็นที่สองไม่รู้จักกันหรอกแต่ไม่เห็นด้วยกับผมจริงๆๆนะ
    ประเด็นหลังท่านช่วย แสดงทัศนะของท่านออกมาด้วยนะครับ จะเป็นประโยชน์กับผมนะ คนทั่วไปเขาจะได้อะไรมั้ง

    ท่านกดไปเฉยๆๆมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นี่ผมพูดตรงไปตรงมานะ
    ไม่จำเป็นเลยที่ท่านมีคมแล้วจะซ่อนไว้ในฝัก ผมจะได้รู้ไงว่าท่านกดไม่เห็นด้วยผ่านความเข้าใจจริงๆๆ หรื่อส่งเดชเอามันส์ไปงั้น ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอก

    เหมือนคุณคนที่ผมพูดด้วยนี่ ผมพูดอย่าง แกจับความคำพูดผมอย่าง ผมว่าผมพูดชัดเจนนะ ทำไมเวลาสื่อมันไปอีกทางมิทราบ

    เดี๋ยวผมเลิกแล้วดีกว่า เป็นการสาวความยาวความยืดไม่จบ อีกผมว่าไร้สาระนะ ผมก็แค่มาเตือนว่าจะวิจารณ์วิพากษ์อะไรนะควรจะมีความเข้าใจให้มันถูกต้องด้วย จริงๆๆผมจะสื่อแค่นี้แหละ คุณจะวิพากษ์วิจารณ์พุทธตันตระ คุณรู้เรื่องของเขาดีแล้วหรือ หรืออ่านจากข้อมูลโบราณเมื่อห้าสิบปีก่อนในอินเตอร์เน็ตที่คนไทยรุ่นก่อนไปเก็บกากเดนฝรั่งเขามาเขียนลงล่ะ แค่หน้าสองหน้า แล้วมาวิจารณ์เขาราวกะว่ารู้ล่ะ เอาให้แน่ก่อน ประโยชน์นะมันเข้าตัวคุณเองหมดแหละ

    อย่างคุณคนหนึ่งวิจารณ์ผมแต่ผมพูดอย่าง แกจับความอย่างเลย นี่มันอะไร คุณจะหลับหูหลับตามีปากสักแต่พูดหรือครับ ทำไมไม่ให้คำพูดมันยืนบนฐานความรู้ความเข้าใจจริงๆๆ ฐานของคนมีปัญญาไม่ใช่สักแต่สนองความพอใจทางอารมณ์ล่ะ นี่ผมพูดแค่นี้ ประโยชน์นะผมไม่ได้อะไรเลย เผลอๆๆคุณไม่พอใจด่าผมสาปแช่งผมเสียด้วยมั้ง ประโยชน์นะมันตกกับคุณล้วนๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มีนาคม 2013
  14. peatkungza

    peatkungza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +138
    หยุดดีกว่าครับเราเขียนอย่างนี้เค้รเข้าใจกันอิกอย่าง คนไม่ยอมคนใจฝักใฝ่แต่จะชนะ พูดไปไม่เข้าหูแถมโดนเถียงแดกดันกลับมา ผมหยุดแล้วคุณหยุดหรือยัง
     
  15. มเหนทรวรมัน

    มเหนทรวรมัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +48
    มองให้เห็นธรรม เราก็เห็นธรรม มองให้เกิดกิเลส ก็เกิดกิเลสนะลูกเอ๊ย
     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ผมเห็นคุณพูดออกมาชัดๆนะ คำหนึ่งก็กาลามสูตร สองคำก็กาลามสูตร....ผมถามคุณหน่อยเถอะนะ ที่คุณพูดมาทั้งหมดคุณยึดมั่นในกาลามสูตรจริงแล้วหรือ ถ้าคุณยึดมั่นและพิจารณาดีแล้ว คุณไปเชื่อทำไมท่านพุทธทาศหละ ท่านอาจจะอ่านและสรุปเอาแต่ที่ท่านชอบก็เป็นได้ ผมเห็นว่าท่านพุทธทาศเองถ้าท่านบอกว่าไม่ให้ไปยึดถืออย่างคุณว่า แล้วท่านจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธวัจนะทำไมหละ ธรรมโฆษณ์ อะไรของท่านนั่นหนะ แค่นี่ก็บอกอยู่ชัดแล้วว่าตัวท่านเองก็ยึดถือเช่นกันหละ หรือไม่แน่คุณอาจกล่าวตู่ท่านพุทธทาศท่านก็เป็นได้ว่าท่านไม่ยึดถือ เพราะอะไร เพราะว่าท่านพุทธทาศเองนั้นท่านก็ศึกษาและวิจัยอย่างชัดจนเขียนเป็นตำราไม่รู้กี่เล่ม....

    ส่วนตัวผมนั้นถ้าเป็นปราชญ์ผมรับฟังหมดหละครับ ผมไม่เลือกว่าท่านจะมีชื่อเสียงหรือไม่อย่างไร เพราะว่าท่านมีความรู้เฉพาะด้านมากกว่าผม ผมมีความรู้ไม่เท่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ผมก็ยกท่านมา ท่านมหาท่านเพียรศึกษาและวิจัยมามากกว่าผม อย่างน้อยที่สุดผมเชื่อว่าท่านก็วิจัยและอ่านบาลีได้มากกว่าคุณแล้วกัน.....ถ้าจะให้ผมเชื่อ ผมย่อมเชื่อท่านได้มากกว่าที่จะปักใจเชื่อคุณ....ผมเคารพในนักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนาทุกท่านหละครับ เพราะว่าท่านได้ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้ศึกษามา ได้มีผลวิจัยเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาหลายชิ้น....ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ได้รู้มากขึ้น.....

    ส่วนคำพูดของคุณที่ว่า

    อันนี้ผมต้องบอกครับว่าผมต้องอ้าง เพราะว่าผมไม่ใช่สัพพัญญูอย่างพระพุทธเจ้าที่จะรู้อะไรไปทั้งหมด ผมไม่รู้นั่นผมยอมรับ เพราะผมไม่ใช่พระศาสดา ผมศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมศึกษาจากครูบาอาจารย์ ผมศึกษามาจากนักปราชญ์ทั้งหลาย ทำให้ผมมีความรู้มากขึ้น ว่าท่านสอนอย่างไร....และอะไรเป็นบรรทัดฐานได้ว่าควรรับมาพิจารณาและสิ่งใดไม่ควรรับมาพิจารณา....

    อย่างตันตระที่คุณศรัทธาเป็นต้น เสพกามให้บรรลุพุทธะ อันนั้นถ้าคุณบอกว่าคุณได้ใช้หลักกาลามสูตรมาแล้ว ไม่เชื่อคำตถาคต จะไปเชื่อคำอาจารย์เจ้าของลัทธิ ผมก็ไม่ได้ว่าคุณหนิ คุณจะไปเสพกามจนบรรลุธรรม เพราะยึดหลักกาลามาสูตรต้องเจอด้วยตนเองก็ได้นิครับ คุณจะไม่ปรารถนาหลุดพ้นเพราะต้องการเรียนรู้สังสารวัฏทั้งหมดและจะอยู่กับมันไปตลอด ผมจะไปว่าอะไรคุณ....ผมมันประเภทที่ขี้เกียจเกิด พระพุทธเจ้าท่านสอนทางพ้นทุกข์ ไปนิพพาน ผมจะเอาตามท่าน เพราะผมพิจารณาตามหลักกาลามสูตรแล้วว่าเป็นทางที่ดีที่สุด และเป็นทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ....

    กาลามสูตรนี้เขาให้พิจารณาแม้ความคิดของตนเองนะ ผมเห็นคุณก็คิดเอาเอง ยึดท่านพุทธทาศบ้าง ยึดอาจารย์ตันตระของคุณบ้าง คิดคะเนเอาบ้าง อันนี้หรือที่คุณบอกว่าคุณได้พิจารณาตามหลักกาลามสูตรแล้ว..ผมว่ามันก็ไม่ต่างกันมากหลอกครับ...นี่ถ้าผมจะพูดว่าคุณเชื่อในกาลามสูตรมากไป....คุณก็งมงายในกาลามสูตรอยู่ดี จะได้ไมหละครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  17. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    นั่นหละครับดีแล้ว ข้อนี้ผมก็เห็นด้วยกับคุณนั่นหละ.....
     
  18. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    นี่คุณ Snow in the Summer ผมว่าคุณศรัทธาในกาลามสูตรมากนัก คุณศรัทธาในลัทธิตันตระมากนัก ผมว่าคุณควรที่จะไปเจริญตามมรรควิถีที่เจ้าลัทธิตัณหาพาหลุดพ้นของคุณ โดยการเสพกามโดยไม่ยึดติด การเสพกามให้บรรลุธรรม ตลอดถึงการเจริญสังสารวัฎของคุณต่อไปเถอะนะ....อย่ามาเสียเวลาอีกเลยนะ....เห็นแก่คุณ peatkungza เขาเถอะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  19. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ตัณหา 3 และวิธีละซึ่งตัณหา...

    [​IMG]

    [๓๒๙]
    สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหา ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน ? คือ
    กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหา ๓ อย่างนี้แล.
    [๓๓๐]
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เพื่อรู้ยิ่ง
    เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละตัณหา ๓ อย่างนี้แล
    อริยมรรคอันประกอบด้วย
    องค์ ๘ เป็นไฉน ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ
    อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ
    อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
    ย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ นี้ เพื่อรู้ยิ้ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป
    เพื่อละตัณหา ๓ อย่างนี้แล.

    พุทธวจน เล่มที่ 19 หน้า 209

    http://www.oknation.net/blog/nun2504/2012/12/17/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  20. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    มรรควิถี ตัญหาละตัญหา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าครับ.......พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เจริญมรรคมีองค์แปด เพื่อละตัญหา เพื่อสิ้นอาสวะ เพื่อการพ้นทุกข์ ครับ.....

    กราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า....
     

แชร์หน้านี้

Loading...