ความวัว(ฝน)ไม่ทันหาย ...ความควาย(แล้ง)เข้ามาแทรก...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NARKA, 11 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    นี่เป็น กฏแห่งกรรมของบ้านเมือง...ที่ผู้เป็นผู้ทำ เป็นพวกเดียวกันกับผู้รับกรรม...
    คือพวกทำลายป่า บุกรุกฯลฯ
    กาลเวลาผ่านไปร่วมๆ60ปี ป่า80เปอร์เซ็นต์เหลือไม่ถึง20เปอร์เซ็นต์..
    ..ตัวนี้ทำให้ไม่มีป่าช่วยอุ้มน้ำ เวลาฝนตกหนัก จึงท่วมง่ายๆทันที..
    ...ยิ่งมาบวกภาวะโลกร้อน น้ำทะเลหนุนสูง...เมืองก็จะกลายเป็นเมืองบาดาลไปทันทีที่ฝนหนักติดต่อกัน.....
    ..และมันทำให้ไม่มีระบบซับน้ำ กักน้ำ... มันไหลเลยไปหมด จึงเกิดภาวะแห้งแล้งจัดทันทีที่ฝนหยุดไม่กี่เดือน....
    ...คือ หน้าฝน น้ำท่วมหนัก แต่พอหน้าแล้ง ก็แล้งจัด....
    ...ทีนี้...เราจะอยู่กันอย่างไร....
    ..พวกรวยมีตังค์ก็ใช้พัดลม ใช้แอร์สบายใจ พวกจนก็ทุกข์ใจพืชไร่เสียหายกันไป ก็ต้องออกมาประท้วงวุ่นวาย...
    ...ราคาพืชผักก็จะสูงมากขึ้น ราคาพืชผักที่ให้เครื่องจักรกิน ก็จะสูงขึ้นอีก....
    ..นี่นักเศรษฐศาสตร์ไทยบางท่านออกมาเตือนเรื่องฟองสบู่อาจเกิดขึ้นได้อีกรอบแล้ว....
    ......เขาว่าแก๊สระเบิดที่เพชรบุรีแล้วคนถูกคลอก หรือ ซานติก้าผับนั้น น่าจะเป็นพวกพม่ามาเกิด แล้วใช้กรรมเผาพระพุทธรูปลอกทองสมัยอยุทธยาโน่น...
    ...แต่ฝนแล้งเที่ยวนี้ ผมว่า พวกทำลายป่าทั้งอดีตและปัจจุบันที่ตายไป กลับมาเกิดใหม่ แล้ววิบากกรรมที่ทำร่วมขบวนการค้าไม้นั้นมีหลายร้อยหลายพันหลายหมืนคนหลายแสนคน....
    บุคคลเหล่านี้ น่าจะกำลังชดใช้กรรมนี้ แต่จะรูปแบบไหน อย่างไร คาดเดาไม่ได้....คอยเฝ้าดูจากสื่อต่างๆ แล้วย้อนประวัติครอบครัวดู..ก็อาจจะรู้ได้เคร่าๆแน่นอน...ว่าพวกแห้งตายเพราะร้อนนั้น...คือใครบ้าง ฮา
     
  2. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    ได้ยินมาว่านะ ลุง ถ้าคนดีมีเหลือเพียง 1 ส่วน 4 ก็จะเข้ากลียุค
    ส่วนเรื่องซานติก้า ใช้รอยหยักในสมองคิดนะครับ ก่อนจะพิมพ์ มันไม่ตลกหรอกครับ
     
  3. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    คนถูกไฟคลอกตาย เป็นคนพม่ากลับมาเกิดเท่านั้นเหรอไง หึหึ ปัญญาคน
     
  4. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    สมแล้วที่ตั้งกระทู้ ความวัว ความควาย
     
  5. ปานโสม

    ปานโสม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +18,151
    เขาผ่านกฏหมาย อนุรักษ์ป่าหรือยังคะ

    เป็นกฏหมายที่ ชาเชียร์มากๆ
    ถ้าจำไม่ผิด คุณหญิงชดช้อย โสภณพนิช เป็นผู้เสนอเรื่องนี้
    ฝากถึงเพื่อนทุกท่าน ประเทศชาติเป็นของเราทุกคน
    เราควรช่วยกันดูแลรักษา ใครจ้องทำลาย ก็เราทำอะไรมากไม่ได้
    แต่เราก็จ้องรักษา ช่วยกันนะคะ
    เพราะ เป็นหน้าที่ของเรา คนไทยทุกคน ต้องรักษา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    ชาติเรานี้ต้องมี เอกลักษณ์ ประเพณีอันดีงาม มีส่วนช่วยอบรม ขัดกล่อมจิตใจ
    มีส่วนในช่วยให้เรามีความภาคภูมิใจ ในการเป็นคนไทย

    ศาสนานี้ เป็นสาระสำคัญ ที่ทำให้ทุกคน มีคุณธรรม เสียสละ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่
    ลดการเบียดเบียนและทุกข์ในวิถีโลก ลดน้อยลง เรายิ่งต้องช่วยกันให้มาก

    พระมหากษัตริย์ ต้นสายวงศ์ เรามานี้ ท่านเสียสละเลือดเนื้อ
    ทำให้ไทยได้ เป็นไท สืบลูกสืบหลานมาถึงบัดนี้
    พระบารมีทุกพระองค์ท่านนี้ สุดจะบรรยาย
    อีกทั้งจริยวัตรที่ทำสืบต่อกันมา
    ทำนุบำรุงพระศาสนา ทำนุบำรุงประเทศชาติ

    การเปลืยนแปลงให้ทันโลกในทางที่ผิดจากศีล จากธรรม
    จำเป็นมากน้อยแค่แค่ไหน
    พวกเราอยู่กันไม่ถึงร้อยปี หรือแค่ร้อยเศษ ตอนนั้นก็หมดแรงแล้ว
    ขออย่าคิดแต่ว่าทุนนิยม นี้ดีที่สุด
    ถ้าหากอณาจักรใด อนาจักรหนึ่งต้องล่มสลายเพราะ คุณธรรมนิยม
    เราอย่างน้อยๆ ก็ตายตาหลับ จริงไหม เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว
     
  6. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    เรียน คุณติดบ่วงด้วยความปรารถนาดีครับ ว่า ระวังอย่าติดบ่วง
     
  7. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เรียนนายทอร์
    กรณีซานติก้า เป็นกรณีตัวอย่าง แต่กรรมนั้นเหมือนกัน แต่ต่างที่วาระ และ บริบทของมัน
    กล่าวอย่างหยาบๆก็คือ "คนที่โดนไฟคลอกตายนั้น....ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามที แสดงว่าในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ เขาทำกรรมไว้ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ในการเผาสิ่งมีชีวิต เเละ ศรัทราประชาชน เช่นพม่าเผาทองพระพุทธรูป ตาลีบันยิงพระพุทธรูป(พวกนี้ ถ้าไม่โดนแก๊ส ก็โดนปืนไฟ ระเบิดพวกนี้ คล้ายๆกันคือ มีไฟ มาทำลายชีวิต)
    อีกอย่างชักรำคาญวัยรุ่นอย่างคุณ ชอบค้านตะพึดตะพือ ไม่ดูหมู่ดูจ่า ความรู้ก็แค่หางอึ่ง ไม่ได้โกรธ แต่มันรำคาญว่ะ.....ฮา
     
  8. ปานโสม

    ปานโสม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +18,151

    พี่คะ
    ขอข้อความเบื้องล่างทั้งหลายเหล่านั้น
    ได้เกิดประโยชน์แก่เพื่อนทุกท่านด้วยค่ะ
    ผู้ทีตายจากความเป็นคน ด้วยความทรมาณแบบกระทันหัน

    หลวงปู่ทวด หลวงงปู่ดู่ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา

    หลวงพ่อทบ วัดชนแดน

    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และอีกหลายรูป

    จนถึงหลวงปู่สุภา...

    ชาขออนุญาตินำมาขยายแจงนะคะ

    (เมื่อเดิอนทีแล้ว เพื่อนรุ่นน้องชา กลับจากประจำการทาภาคใต้
    มานอนบ้านชาสามคืน เขาเป็นหนึ่งในสามคนที่เก่งที่สุดในประเทศไทยที่เป็นครูฝึกปลดระเบิด และเป็นหน่วยนาวี และต้องทำหน้าที่ลาดตระเวณด้วย Recon.
    สามคืนเขามานอยค้างบ้านชา เล่่าถึงสถาณการร์ตอนใต้ เล่าถึงทุกประสปการณ์
    หัวใจชานี่ บรรยายไม่ถูกเพราะรับรู้ในรักของเขาและประเทศชาติ )



    คำสั่งพระอาจารย์สีทัตต์

    พุทธศักราช ๒๔๖๓ หลวงปู่สุภาได้ตัดสินใจธุดงค์เดี่ยว จึงมากราบลาพระอาจารย์สีทัตต์เพื่อออกธุดงค์ พระอาจารย์สีทัตต์ได้สั่งสอนว่า

    “ไปให้ดีเถอะเณรน้อย เดินให้สม่ำเสมอ จิตรู้อารมณ์ อย่าเร็วนัก อย่าช้านัก ให้อยู่ในกลาง ๆ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษย์เป็นคติสอนใจว่า อยากถึงเร็วให้คลาน อยากถึงนานให้วิ่ง รู้ไหม หมายความว่าอย่างไร อยากถึงเร็วให้คลาน คือไปแบบไม่รีบร้อนด่วนได้ จะถึงจุดหมายแบบปลอดภัย ให้ลุกลี้ลุกลนเกินไป ก็จะเหมือนคนวิ่งไปด้วยความคะนอง สะดุดล้ม แข้งขาหัก เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องช้าไปอีกนานทีเดียว”

    เมื่อหลวงปู่สุภาพร้อมที่จะเดินทาง พระอาจารย์สีทัตต์ได้กล่าวคล้ายคำสั่งเสียด้วยความห่วงใยว่า

    “เณรน้อยจงไปภูเขาควาย ออกจากภูควายแล้ว ให้ไปท่าเดื่อ จากท่าเดื่อไปหนองคาย ที่นั่นเธอจงสละธุดงควัตร แล้วเร่งเดินทางไปทางเหนือ ที่นั่นเธอจะได้พบพระอาจารย์องค์หนึ่ง มีความเชี่ยวชาญด้านกสิณและวิชชาแปดประการ มีอภิญญาสูงมาก เธอจะได้รับความรู้จากท่านเป็นอันมาก ที่ต้องให้สละธุดงควัตร เพราะท่านเหลือเวลาไม่มากแล้วในการสั่งสอนเณรน้อย หากเดินธุดงค์แบบธรรมดาน่าจะสายเกินไป”

    จากภูควาย หลวงปู่สุภาข้ามมาท่าเดื่อ แล้วอธิษฐานจิตออกจากธุดงควัตรที่ตัวจังหวัดหนองคาย ฝากบริขารธุดงค์ไว้กับพระที่คุ้นเคยในระหว่างธุดงค์ภูควาย และจับรถไฟเข้ามากรุงเทพฯ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการไปสู่ภาคเหนือเพื่อแสวงหาพระอาจารย์ตามคำสั่งของ พระอาจารย์สีทัตต์ เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้หลวงปู่สุภา เพราะในขณะที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านก็ได้ข่าวพระอาจารย์รูปหนึ่งที่แถววังนางเลิ้ง เขาบอกกันว่า

    “ท่านพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข เกสโร แห่งวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ซึ่งเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์ถึงที่วัดทีเดียว”

    หลวงปู่สุภา จึงเดินทางไปวัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วยการเดินทางสมัยนั้นยังลำบากและเหน็ดเหนื่อย แต่พอเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง เมื่อพอเข้าเขตวัด หลวงปู่รู้สึกว่าเยือกเย็นและมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ที่นี่แหละคือที่ ๆ พระอาจารย์สีทัตต์กำหนดให้มา

    เบื้องหน้าผู้สำเร็จวิชชาแปดประการ

    เมื่อหลวงปู่สุภาเดินทางมาถึงวัดอู่ทอง จึงเดินทางไปกุฏิ พอเห็นกุฏิหลวงปู่ศุข ก็จะขึ้นไปนมัสการ ขณะล้างเท้า เสียงของหลวงปู่ศุขก็ดังมาจากชั้นบนของกุฏิ

    “มาถึงแล้วหรือพ่อเณรน้อย กำลังรออยู่พอดี ล้างเท้าแล้วขึ้นมาเห็นหน้าเห็นตากันหน่อย”

    มีแต่เสียงทักทาย แต่ไม่ปรากฏหลวงปู่ศุขที่นอกชาน เมื่อมองขึ้นไปไม่เห็นใคร จึงได้คิดในใจว่า ... นี่คือพลังปราณของผู้ที่สำเร็จ สามารถออกเสียงให้ดัง ค่อย หรือไกล ใกล้แค่ไหนก็ได้ ขึ้นไปชั้นบนของกุฏิแล้ว ก็เห็นพระภิกษุรูปร่างสันทัด ผอมเกร็ง แต่ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง คล้ายกับทาด้วยขมิ้น ทว่า เมื่อคลานเข้าไปกราบต่อหน้าท่านและลุกขึ้นนั่งพนมมือ ได้สังเกตใกล้ ๆ พบว่า ไม่ใช่ขมิ้น แต่เป็นแสงอะไรบางอย่างที่เรื่อเรืองอยู่บนผิวพรรณของหลวงปู่ศุข ที่ทำให้เกิดความสง่าคล้ายทาขมิ้น หลวงปู่ศุขได้มองมาที่หลวงปู่สุภาและเอ่ยขึ้นว่า
    “นี่เอง เณรที่ท่านสีทัตต์ได้บอกไว้ในฌาน เป็นคุณนี่เอง เณรน้อยต้องการอะไร จะเรียนอะไรก็บอกมาได้ไม่ขัดข้อง ท่านสีทัตต์ฝากมาแล้วนี่”

    คำว่า “ฌาน” คำว่า “ฝากมาแล้วนี่” ทำให้หลวงปู่สุภาประจักษ์ว่า อภิญญาจิต การถอดกายทิพย์ การใช้โทรจิต มีจริง ก่อนที่ท่านจะมานมัสการหลวงปู่ศุข ทางพระอาจารย์สีทัตต์ได้ถอดกายทิพย์มาฝากฝังหลวงปู่สุภากับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง หลวงปู่สุภาจึงไม่กล้าที่จะเอ่ยว่า จะมาเรียนอะไร นอกจากจะกล่าว

    “กระผมขอให้เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์จะเมตตาอบรมสั่งสอนก็แล้วกันขอรับ เห็นว่าอะไรเหมาะ อะไรควร ก็สั่งสอนให้กระผมก็แล้วกัน”

    เมื่อหลวงปู่ศุขได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะ หึ หึ ด้วยความพอใจ แล้วกล่าวกับหลวงปู่สุภาว่า

    “สมแล้วที่เป็นศิษย์ท่านสีทัตต์ มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัวใช้ได้ หลายรูป มาถึงไม่ดูวาสนาบารมีตนเองว่าจะสามารถรองรับได้หรือไม่ จะเรียนโน่น จะเรียนนี่ สุดท้ายก็กลับไปมือเปล่า เพราะขาดวาสนาบารมี เพราะเมื่อขาดวาสนาบารมีและการเจียมตัวแล้ว อะไรก็ไม่สำเร็จ เอาละ ไปพักผ่อนก่อน ถึงเวลา จะเรียกมาสอบฐานความรู้และประสิทธิประสาทวิชาต่อไป”

    เมื่อถึงเวลา หลวงปู่ศุขก็ได้สอบอารมณ์กรรมฐานและดูพื้นฐานการศึกษาวิชาอาคมของท่าน ที่ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์สีทัตต์ เมื่อทดสอบแล้วเห็นว่าบกพร่องตรงไหน ก็ช่วยแก้ไขให้ถูกต้อง ปรับระดับการเข้าฌาน การทำกสิณและการเพ่งด้วยกสิณเป็นประการต่าง ๆ หลวงปู่ศุขสอนว่า

    มีวิชาหลายอย่างที่ปู่สำเร็จ แต่บารมีเณรน้อยนั้นเรียนไม่ได้ โดยเฉพาะวิชชาแปดประการที่เณรน้อยต้องการจะเรียน วาสนาบารมีของเณรน้อยไปไม่ได้ จะให้วิชาสำคัญ คือ การลงนะหน้าทอง และการเสกให้ทองเข้าไปแทรกในอณูภายในร่างกาย เขาเรียกว่า เป่าทองเข้าตัว”

    ชาเป่าทองเข้าตัว / อภิญญจิตตัวสำคัญ

    หลวงปู่ศุขได้เมตตาอธิบายให้เข้าใจถึงหลักของการเป่าทองเข้าตัวอย่างละเอียด ซึ่งหลวงปู่สุภาได้บันทึกไว้ว่า

    “วิชาเป่าทองเข้าตัว มิใช่เพื่อมหานิยม แต่ยังสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ทั้งจกคมหอก คมดาบ ปละปืนไฟ ไปจนถึงมีมหาอำนาจแล้วแต่จะประสิทธิ์ประสาทในด้านใด ต้องพิจารณาบุคคลแต่ละบุคคลที่จะลงแผ่นทองหรือเป่าทองให้ ว่าเป็นอย่างไร บารมีพอที่จะรับทองได้กี่แผ่น แต่ละคนล้วนมีข้อปลีกย่อยผิดแผกออกไปแล้วแต่กรณีต้องดูว่าจะลงให้ทางไหน ตามที่กำหนดไว้ในตำรับของครูบาอาจารย์เท่านั้น จะนอกเหนือหรือขาดตกบกพร่องไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว การที่ทองจะแทรกเข้าไปในสู่ทุกอณูไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ต้องมีหัวใจสองอย่างคือ น้ำมันว่าน และเกสร ๑๐๘ ชนิด เคี่ยว ผสมด้วยพระเวทย์อาคมที่ต้องแก่กล้าด้วยพลังอภิญญาเท่านั้น หากทำไม่ถูกต้อง จะไม่สามารถเปิดรูขุมขนของผู้ที่จะเป่าทองเข้าตัวได้ การเป่าก็จะไม่ได้ผลทั้งสิ้น ไม่เกิดพลังใด ๆ เป็นสูญเท่านั้น การจุดเหล็กจาร ที่จุ่มน้ำมันว่านและเกสร ๑๐๘ ชนิด และการเป่าภาวนาเพื่อดันทองเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่จะลง และให้กำหนดให้ผู้รับการลง หรือเป่าทอง กำหนดจิตอธิษฐานเอาเอง การเรียนการสอนทำได้เฉพาะตอนกลางคืนที่เป็นเวลาสงัด เพราะตอนกลางวันไม่สามารถจะเรียนได้ ด้วยมีคนมานมัสการหลวงปู่ศุข ขอโน่นขอนี่ จนท่านไม่มีเวลาจำวัด เรียกว่า หัวบันไดไม่แห้ง แต่หลวงปู่ศุขก็ไม่เคยท้อถอย หรือแสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด

    หมากหินยอดของขลัง
    หลวงปู่สุภามีหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าด้วยการตำหมากถวาย ที่หลวงปู่ศุขเคี้ยวหมากติดต่อกัน ไม่ใช่ว่าท่านเคี้ยวหมากจนติด แต่ที่ท่านต้องเคี้ยวติดต่อกัน ก็เพราะ ญาติโยมที่มานั้น จะจ้องขอชานหมากของหลวงปู่ศุขที่เคี้ยวแล้ว เพื่อติดตัว นำไปป้องกันอันตราย เมื่อหลวงปู่ศุขพูดคุยกับญาติโยมไป ท่านก็เคี้ยวหมากไปเรื่อย ๆ พอเขาจะลากลับ ก็จะขอชานหมากของท่าน ท่านก็จะคายชานหมากออกมาที่ฝ่ามือ จัดให้เป็นก้อนกลม ๆ ด้วยการปั้น ชานหมากที่ปั้นแล้วท่านจะเอามาไว้ในฝ่ามือที่พนม หลับตาภาวนาคาถาของท่านครู่ใหญ่ จึงเป่าลมปราณลงไปในฝ่ามือที่แบออกดัง “เพี้ยง” จากนั้นก็ยื่นให้กับญาติโยมที่ขอคนละเม็ด ตอนแรกหลวงปู่สุภาก็คิดว่าเป็นชานหมากเสกธรรมดา แต่มีหลายคนที่รับมาแล้ว ไม่ได้ระวัง เลยหลุดจากมือ ตกลงกระทบพื้นเสียงดัง “แป๊ก” คล้ายกับลูกหิน หรือลูกกระสุนยิงนกที่ปั้นด้วยดินเหนียวตากแห้งตกกระทบพื้น ก็ชานหมากธรรมดาน่ะ นุ่ม แม้ตากแห้งก็ร่วนกรอบ แต่นี่หลวงปู่ศุขเสกแล้วหล่นลงพื้นดัง แป๊ก จึงรู้สึกแปลกใจ เมื่อมีเวลา เลยแอบขอญาติโยมดูด้วย แล้วพิจารณา หลวงปู่สุภาท่านบอกว่า

    ลูกอมชานหมากที่หลวงปู่ศุขปั้นแล้วเสก เพี้ยง แทนที่จะมีสภาพเป็นชานหมากนุ่ม ๆ กลับเปลี่ยนสภาพเป็นชานหมากที่แข็งมาก บีบดูเหมือนบีบลูกหิน หากไม่ได้ลูบ ก็ต้องบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปแล้ว หลวงปู่ศุขเปลี่ยนสภาพจากชานหมากนุ่ม ๆ ให้เป็นชานหมากหินไปได้ในเวลาเพียงหนึ่งอึดใจเท่านั้น”

    เมื่ออยู่กันสองต่อสอง เวลาเรียน หลวงปู่ศุขก็พูดกับหลวงปู่สุภาว่า เณรน้อยสนใจไม่ใช่หรือ หมากหินน่ะ เห็นไปแอบขอญาติโยมดู พลังจิตของเณรสามารถทำได้นะ แต่ต้องได้รับคำแนะนำอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำได้แล้ว หลักไม่มีอะไรมากหรอก เป็นการใช้อำนาจปฐวีกสิณ เปลี่ยนชานหมากที่เป็นของเหลว หยุ่น ธาตุน้ำ ให้แข็งเป็นหิน เป็นดิน เขาเรียกว่า “เคลื่อนย้ายถ่ายเปลี่ยนธาตุ” โดยหลวงปู่สุภาก็ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงปู่ศุขจนสามารถเสกชานหมากได้ในที่ สุด โดยการเจริญสมาธิ เข้าฌานและเข้ากสิณ จนถึงการภาวนา และเปลี่ยนจนชานหมากแปรสภาพไปในที่สุด จนเสกให้หยุ่นเหมือนกับลูกยางก่อน แล้วจึงเร่งพลังขึ้นไปจนถึงที่สุด หลวงปู่สุภาเล่าตอนนี้ว่า

    เสกได้จริง แต่ไม่เหมือนกับหลวงปู่เสก คือของหลวงปู่ศุขเป็นหินจริง ๆ แต่ของท่านเสกให้แข็งได้แต่ภายนอก แต่ภายในยังไม่แข็ง เรียกว่า บีบแรง ๆ กระแทก ๆ ก็จะแตกเห็นเป็นชานหมากธรรมดาที่แห้ง ไม่แข็งเป็นหินทั้งหมด ด้วยบารมีท่านไม่อาจสู้หลวงปู่ศุขได้ เหมือนคำโบราณ ‘ศิษย์ไม่อาจคิดสู้ครูได้’ “

    หลวงปู่สุภาทำหน้าที่คอยอุปัฏฐากหลวงปู่ ศุขจนได้เวลาอันสมควร หลวงปู่ศุขจึงได้เรียกให้หลวงปู่สุภามาพบ และได้บอกว่า เณรน้อยได้เรียนมาพอสมควรแล้ว วิชาที่เรียนไปก็พอจะช่วยเหลือคนได้ เณรน้อยทิ้งธุดงควัตรมานานแล้ว เณรเหมาะกับธุดงค์ เณรชอบของเณรอย่างนั้น ปู่เองก็เคยเป็นนักธุดงค์ แต่เมื่อโยมแม่ขอให้อยู่ใกล้ชิด ก็เลยแขวนกลดแต่นั้นมา เณรน้อยเตรียมตัวให้พร้อม ปู่จะสอนวิชาที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เล่าเรียนมาก่อน และวาสนาบารมีของเณรน้อยเรียนวิชานี้ได้

    สุดยอดเคล็ดวิชา สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า

    หลังจากที่หลวงปู่ศุขปรารภ ให้หลวงปู่สุภากลับสู่เส้นทางธุดงค์ โดยได้กำหนดวันเดินทางไว้แล้ว แต่ก่อนการเดินทางเพียงสองวัน หลวงปู่ศุขได้ให้หลวงปู่สุภาเตรียมตัวเรียนวิชาที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาที่ ท่านบอกว่า หลวงปู่สุภาจะเป็นคนแรกและคนสุดท้าย ด้วยหาผู้มีวาสนาบารมีจะเรียนได้ยากเต็มที ดอกไม้ธูปเทียน หมากพลูบุหรี่ ถูกลูกศิษย์หลวงปู่ศุขเตรียมไว้ให้หลวงปู่สุภาเรียบร้อย เพื่อเป็นเครื่องบูชาครูกับหลวงปู่ศุข หลวงปู่ได้นำไปไว้บนที่บูชาพระ และบอกกับหลวงปู่สุภาให้รอเวลาตอนสงัดคน จะสอนเคล็ดวิชาให้จนหมด พร้อมกับมอบตำราให้ไปติดตัว วิชานี้เรียกว่า “แมงมุมมหาลาภ” ต่อไปเณรน้อยจะต้องสงเคราะห์ผู้คนอีกมาก ความจน ความขัดข้อง การทำมาหากินฝืดเคือง เป็นทุกข์อย่างยิ่งสำหรับฆราวาส นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ทางโลก

    ทำไมจึงต้องเป็นแมงมุม มีเรื่องราวที่เณรน้อยควรจะรู้ไว้เป็นเครื่องประเทืองปัญญา เณรน้อยเคยเห็นแมงมุมตัวไหนอดอยากปากแห้ง ตายคาใยที่มันขึงไว้ดักอาหารหรือไม่ แมงมุมเป็นสัตว์ขยันและสะอาด แมงมุมไม่ออกล่าเหยื่อในที่ต่าง ๆ เหมือนสัตว์ทั่วไป แต่แมงมุมจะชักใยสร้างเป็นอาณาเขตเอาไว้เพื่อดักแมลง ใยแมงมุมของแมงมุม กว่าจะได้ต้องมีความมานะพยายามอย่างยิ่ง ที่ว่าแมงมุมเป็นสัตว์สะอาดก็คือ มันจะไม่ออกไล่ล่าเหยื่อนอกเขตใยของมัน มันจะไม่ไล่แมลงตกใจบินหรือคลานมาติดที่ใยของมัน แต่มันจะรออยู่กับที่ รอให้เหยื่อเข้ามาติดใยของมัน มันจึงออกมาพันซ้ำด้วยใย และจับกิน พูดให้ฟังง่าย ๆ ก็คือ แมงมุมจะกินสัตว์ที่ถึงฆาต หรือถึงแก่วาระหมดชีวิต ถือว่าหลงเข้ามาในใยที่ดักไว้ คือแมลงที่หมดเวลาอยู่บนโลกนี้ ถือว่าหมดเวลา ถึงที่ตายแล้ว จึงมาติดใย ไม่ต้องออกล่าเหยื่อ ก็มีแมลงหลงเข้ามาให้กิน จนเจ้าแมงมุมหมดบุญคือตายจากโลกตามเวลาสมควร
    การเปิดร้านค้าขาย เปิดบริษัทขายสินค้าเช่นกัน เหมือนกับแมงมุม คือดักใยล่อเอาไว้ หากไม่มีลูกค้า หรือแมลงมาติด ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ คือกิจการต้องล้มไปในที่สุด การทำแมงมุมชักใย คือการใช้คาถาอาคมสร้างแมงมุมและใยอาคม เพื่อให้บริษัทห้างร้านที่มีแมงมุมชักใยอาคมนี้มีลูกค้ามาติดต่อ มาซื้อ มาขาย มาเปลี่ยนอย่างคึกคัก มีกำรี้กำไรสมดังที่คิดไว้ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของแมงมุมอาคมที่แจะสอนเจ้าให้เอาไว้ช่วยเหลือเพื่อ มนุษย์ที่เป็นพ่อค้า แม่ค้า ให้ร่ำรวยมีฐานะดีต่อไปในภายภาคหน้า ปู่มอบให้เณรน้อยเป็นวิชาสุดท้ายก่อนจากกัน และเป็นศิษย์คนแรกและคนสุดท้าย ด้วยว่าชีวิตของฉันไม่ยืนยาวพอที่จะหาศิษย์มาสืบทอดวิชาแมงมุมนี้ได้อีก

    หัวใจสำคัญของวิชาแมงมุมนั้น แบ่งออกเป็นสองขั้นตอนของการสร้าง

    ๑. ตัวแมงมุม ต้องสร้างให้มีลักษณะคล้ายกับแมงมุม ทั้งสัดส่วน ลำตัว และส่วนที่เป็นขา ใส่นัยน์ตาและเขี้ยวให้พร้อม เรียกว่า ต้องให้ดูออกว่า เหมือนแมงมุมจริง ๆ เรียกธาตุทั้ง ๔ ลงอักขระปลุกเสกจนแมงมุมขยับตัวในอุคหนิมิต ถึงจะสำเร็จตามที่ต้องการ
    ๒. ส่วนที่เป็นใย ต้องเอาสายสิญจน์ หรือด้ายที่เตรียมไว้มาเสกให้ได้ที่เสียก่อน จึงเริ่มชักใยแมงมุม หำหรับนำแมงมุมไปเกาะไว้บนใย

    ๓. ลงอักขระเรียกสูตร เรียกนามจนครบตามตำรับที่ฉันสอนให้ทุกอย่าง เมื่อประกอบเรียบร้อยแล้ว ปลุกเสกให้เห็นแมงมุมเคลื่อนไหวไปมาบนใยในอุคหนิมิต จึงเป็นเสร็จตามขั้นตอน เอาไปติดไว้ในร้านที่ผู้คนมองเห็นได้ถนัด นั่นแหละคือมนต์เรียกคนเข้าร้าน จะว่าเป็นมนต์จินดามณีก็คงจะได้กระมัง

    มื่อถึงเวลาที่จะออกเดินทาง หลวงปู่สุภาก็มากราบนมัสการลาหลวงปู่ศุข ซึ่งอวยชัยให้พรและประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล แล้วหลวงปู่ศุขก็กล่าวว่า

    “ไม่ไปส่งเณรน้อยละนะ ไปตามทางที่เณรน้อยมา ต่อไปเราจะไม่ได้พบกันอีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่แจะได้พบกับเณรน้อย อายุของปู่ใกล้จะแตกดับแล้ว รู้สึกยินดีที่ได้รับเณรน้อยไว้เป็นศิษย์ในภายภาคหน้า เณรน้อยคือผู้สืบทอดตำราของปู่ในด้านแมงมุมคนแรกและคนเดียว หากเณรน้อยไม่ประสิทธิ์ประสาทต่อไปก็จะสิ้นสุดลงในมือของเณรน้อยนั่นเอง”

    เมื่อถึงตอนนี้ หลวงปูสุภาต้องหยุดเล่าเรื่อง เหมือนกับว่า ท่านจะระลึกถึงหลวงปู่ศุข พระอาจารย์ของท่าน แล้วรู้สึกตื้นตันใจ จนต้องหยุดรำลึกถึงความปีติ ท่านได้เล่าต่อไปว่า

    “เกือบลืมไป ยังมีวิชาอีกอย่างหนึ่งที่ใช้คู่กับแมงมุม คือ การลงอักขระบนผืนผ้า ท่านเรียกว่า ‘ยันต์รับทรัพย์’ ผ้ายันต์รับทรัพย์ที่ลงอักขระแล้วปลุกเสก จะเหมือนการปูผ้าไว้รอรับเงินที่จะมีผู้มากองให้ บูชาติดตัวเป็นมหานิยม อยู่ในร้านค้าก็เรียกลูกค้า ใช้ติดกับคันธง ปักไว้ให้ชายปลิวไปตามลม ปลายธงสะยัดไปทางไหน ก็มีผู้คนแห่ไปทางนั้น ทำมาค้าขายก็รับทรัพย์เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี”

    การที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้พูดว่าจะพบกันเป็นครั้งสุดท้าย ก็เป็นจริง เพราะหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ หลวงปู่สุภา อยู่ระหว่างการออกธุดงค์ และมารู้ข่าวก็เมื่อมีการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ศุขไปแล้ว

    เส้นทางสู่โลกที่สาม
    เมื่อกลับมาจากเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข หลวงปู่สุภาได้กลับเข้าสู่การออกธุดงค์อีกครั้งโดยรับบริขารธุดงค์ที่เคยฝาก ไว้ เพื่อกลับสู่เส้นทางของการแสวงหาความวิเวก ท่านได้เดินทางไปทางภาคเหนือ และข้ามชายแดนสู่ประเทศพม่า ว่าจะไปนมัสการเจดีย์ชะเวดากองและพระมุเตาในหงสาวดี แต่ท่านก็มิได้ไปด้วย ท่านตัดทางเข้าสู่ป่าทึบ และได้พบกับพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าที่ปลีกวิเวกไปแสวงหาความสงบบนถ้ำ เทือกเขาลึก
    หลวงปู่สุภาดั้นด้นไปจนพบที่จำศีลภาวนา ของพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระชาวพม่า ได้พบว่าเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติอันสมควรแก่การบูชา ทว่าการสอนวิปัสสนาผิดแผกแตกต่างไปจากของทางฝ่ายไทย ซึ่งสอนเป็นแบบที่เรียกว่า กำหนดหนอ คือจิตอยู่ อิริยาบถ ๔ หรือที่ไทยเรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ คือ นั่ง ยืน เดิน นอน ซ้ายหนอ ขวาหนอ เข้าหนอ ออกหนอ ซึ่งเมื่อหลวงปู่สุภาเข้าเรียนตามแบบที่พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าสอนก็รู้สึก ได้ว่า “ไม่ถูกกับอัธยาศัย” เรียกว่าไม่สามารถเล่าเรียนได้ เพราะขัดกับรากฐานทางกรรมฐานที่ได้เล่าเรียนมาจากพระวิปัสสนาจารย์ทางฝั่ง ไทย จึงได้กราบนมัสการลาพระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่า แล้วออกแสวงหาความวิเวกไปตามลำพัง ตามป่าเขาลำเนาไพรในพม่า ได้ผจญภัยนานัปการ จนท่านพูดได้ว่า เป็นธุดงค์ที่ตื่นเต้นและเสี่ยงที่สุดตั้งแต่เดินทางธุดงค์เดี่ยวมาเป็นเวลา พอสมควร

    ระหว่างที่ธุดงค์อยู่ในพม่า ได้พบกับพระธุดงค์ไทยหลายรูป บางรูปบอกว่าท่านจะธุดงค์ออกจากพม่าไปอินเดีย เพื่อไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง จึงจะกลับ ท่านจึงครุ่นคิดว่า การธุดงค์มาประเทศพม่า ถือเป็นประเทศที่ ๒ หากเดินทางต่อไปยังอินเดีย ก็เป็นโลกที่ ๓ และเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาเสียด้วย อย่ากระนั้นเลย หาวัดจำพรรษาเสียก่อน พอออกพรรษาแล้วค่อยแบกกลดธุดงค์สู่โลกที่ ๓ ต่อไป เพราะท่านชอบการเดินธุดงค์เป็นชีวิตจิตใจ จนกล่าวได้ว่า เข้าไปในสายเลือดเลยทีเดียว เส้นทางสู่โลกที่สามยาวไกล แจะสิ้นสุดตรงไหนก็แล้วแต่ว่า หลวงปู่สุภาจะหยุดลงด้วยตัวของท่านเอง

    ออกพรรษา เวลาแห่งการจาริกสู่โลกที่สาม เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้

    ท่องไปในโลกกว้าง

    พรรษาแล้ว หลวงปู่สุภาเตรียมบริขารธุดงค์ออกจากป่ามายังเมืองท่าในพม่า ซื้อตั๋วเรือเดินทะเลเพื่อออกจากพม่าไปยังดินแดนอันเป็นพุทธภูมิ คือ ประเทศอินเดีย ท่านต้องรอนแรมอยู่ในทะเล ผจญคลื่นทะเลอยู่ ๑ เดือน ๒๕ วัน เรือจึงจอดเทียบท่าที่ประเทศอินเดีย เมื่อลงจากเรือ ก็ธุดงค์ต่อไปเรื่อย ๆ ผจญความยากลำบากแสนเข็ญ เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่เป็นฮินดู ที่เป็นพุทธอยู่น้อย ก็ต้องแสวงหาสัปปายะด้วยความยากลำบาก ได้ฉันบ้าง อดบ้างไปตามแกน แต่ดีที่ท่านไม่เจ็บป่วยถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ จึงทำให้ท่านสามารถผ่านเส้นทางอันทุรกันดารไปได้จนตลอดรอดฝั่งในที่สุด

    จากดินแดนอันแผดเผาด้วยเปลวแดด สู่ดินแดนอันเหน็บหนาวของหิมพานต์ที่ชาวอินดูเชื่อว่า เป็นที่สถิตของจอมเทพ ผู้มีพระนามว่า “องค์ศิวะมหาเทพ” ซึ่งในประเทศไทยเรียกว่า “พระอิศวร” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของมหาเทพของฮินดู ภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า ยอดปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี ตลอดชาติ เป็นแหล่งรวมของฤๅษีจากทั่วสารทิศ จะมาชุมนุมกันที่นี้ เรียกกันว่า “เมืองฤๅษีเกษ” อยู่ชานภูเขาหิมาลัย เมืองนี้เป็นเมืองของฤๅษีที่ล้วนมีฤทธิ์อย่างถึงที่สุดของอำนาจต่าง ๆ เป็นนานาประการ ความหนาวเหน็บ ทำให้หลวงปู่สุภาได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาศัยเตโชกสิณในการช่วยสร้างความอบอุ่น เวลาออกบิณฑบาต ก็ต้องเดินทางระยะไกล กว่าจะเจอบ้านที่มีอัธยาศัยในการทำทาน ก็ต้องเดินกันกว่า ๘ กิโลเมตร ฝ่าความหนาวไปบิณฑบาตเพียง ๓ วันครั้ง บางครั้งถึง ๗ วัน แต่ท่านก็อดทน
    สามปีในแดนพุทธภูมิ ท่านได้แวะนมัสการสังเวชนียสถาน จนพบกับอาจารย์วงศ์ ได้พูดคุยกันในเรื่องธรรมะและวิชาอาคม ในที่สุดท่านก็บอกว่า ท่านอยู่ในอัฟกานิสถาน (ตอนยังไม่มีสงครามกลางเมือง) อยู่กับพวกศาสนิกชนที่นั่น ให้ตามไปแลกเปลี่ยนความรู้กันที่นั่น ท่านจึงเดินทางผ่านช่องแคบไคเบอร์ เข้าสู่อัฟกานิสถาน จนพบพระอาจารย์วงศ์ และได้แลกเปลี่ยนความรู้กันพอสมควร จึงเดินทางผ่านช่องแคบไคเบอร์กลับอินเดีย และเดินทางต่อไปที่ประเทศจีน ตามเส้นทางสำคัญจากอินเดียด้วย ท่านได้รู้จากพุทธศาสนิกชนชาวจีนท่านหนึ่งที่มีรกรากเดิมอยู่ปักกิ่ง เขาบอกกับท่านว่า

    “ที่ซิมซัวเป็นภูเขาสูง เป็นที่อยู่ของอาจารย์ตัน ฮกเหลียง พระอาจารย์รูปนี้เชี่ยวชาญในการเดินลมปราณรักษาโรค เพื่อกำหนดจิตใจ การเข้าฌานชั้นสูง หากต้องการศึกษาต้องไปที่นั่น”

    เหมือนถูกท้าทาย หลวงปู่สุภาจึงได้ธุดงค์ข้ามจีน ไปจนถึงปักกิ่ง ได้ค้นหาซิมซัวจนพบ และขึ้นไปหาอาจารย์ตัน ฮกเหลียง เพื่อขอเรียนวิชาลมปราณ ท่านอาจารย์ตัน ฮกเหลียง ได้เมตตาสอนให้ทั้งที่สังขารของท่านไม่สมบูรณ์นัก พอจบหลักสูตรท่านอาจารย์ตัน ฮกเหลียงก็ถึงแก่กรรม รวมเวลาการเรียนได้ ๓ เดือนเต็ม จากปักกิ่ง ท่านได้เดินทางรอนแรมไปจนถึงยุโรป ได้ไปอยู่ที่มหานครปารีสระยะหนึ่ง และเดินทางข้างไปฝั่งยุโรปตะวันออกหลายประเทศ เป็นการหาประสบการณ์ในโลกใบใหม่ที่สมณะอย่างท่านต้องการจะเรียนรู้ ท่านย้ำว่า

    ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ธุดงควัตรของท่านไม่เคยบกพร่อง บิณฑบาตทานสัปปายะจนได้ ไม่เคยละเว้นแม้แต่ครั้งเดียว เพราะถือว่านั่นคือกฎระเบียบและหัวใจของพระธุดงค์”

    จากยุโรปตะวันออก ท่านกลับทางเส้นทางเดิม ผ่านจีน ผ่านอินเดีย ผ่านพม่า เข้าไทยทางภาคเหนือ แล้วตัดเข้าสู่อีสาน โดยข้ามจากเขตประเทศลาวเข้าสู่ดินแดนไทยทางด้าน อ.เดชอุดม จ. อุบลราชธานี ต่อมา ท่านได้ยินว่า ในประเทศเวียดนามมีผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของเอเซีย เป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงมาก หลวงปู่สุภาจึงธุดงค์เข้าไปเวียดนาม ไปเล่าเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณจนสำเร็จ

    พบพระอาจารย์ชื่อดังยุคอินโดจีน

    หลวงปู่สุภาท่านเป็นผู้ชอบเล่าเรียนศึกษา ได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมและวัตรปฏิบัติดี ท่านก็มักจะไปขอเล่าเรียนวิชาการ รายนามพระอาจารย์เท่าที่หลวงปู่สุภาจำได้ก็มี

    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

    หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา

    หลวงพ่อทบ วัดชนแดน

    หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และอีกหลายรูป

    ลวงปู่สุภาได้วิชาของแต่ละสำนักมาเพิ่ม เติมจนมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เป็นศิษย์ที่มีครูบาอาจารย์และมีวิชาอาคมสาขาต่าง ๆ เป็นอันมาก แม้แต่เคยดั้นด้นไปขอเรียนวิชาปรอทสำเร็จจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่มีเหตุให้ไม่ได้เรียน โดยหลวงพ่อปานได้ออกจากที่นัดหมาย และเขียนบอกไว้ว่า อย่าตามไป เพรากันดารและวาสนาที่เรียนนั้นไม่มี แม้แต่หลวงพ่อโอภาสี หลวงปู่สุภาก็เคยพบปะสนทนาธรรมและแลกเปลี่ยนวิชาความรู้มาแล้วอย่างโชกโชน

    ไม่ว่าจะธุดงค์ไปที่ใดในประเทศไทย หลวงปู่จะสร้างความเจริญไว้เสมอ เช่นสร้างวัด สร้างศาลาการเปรียญ สร้างสำนักสงฆ์ สร้างเสนาสนะต่าง ๆ ในถิ่นทุรกันดาร ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสาธุชน หลายครั้งหลายหนที่มีผู้คนศรัทธาเหนี่ยวรั้งให้ท่านหยุดธุดงค์มาปักหลักเป็น เจ้าอาวาสวัด ให้พวกเขา เป็นที่พึ่งทางใจ แต่หลวงปู่เปรียบเสมือนโคถึกที่เคยเที่ยวอยู่ในเถื่อนถ้ำเขาลำเนาไพร ย่อมไม่ยินดีในการที่จะถูกกักขังไว้ในล้อมคอกอันคับแคบและอึดอัด ท่านแบกกลดธุดงค์จากมา ท่ามกลางน้ำตาอาลัย ชีวิตของท่านคุ้นเคยกับเปลวแดด การจำวัดกลางดิน ฉันกลางทราย แสวงหาความวิเวกในป่า เจริญภาวนาหลีกเร้นจากผู้คน การที่จะต้องมานั่งจำเจ มาคลุกคลีกับผู้คน ย่อมไม่ถูกกับอัธยาศัยของท่าน จึงไม่มีผู้ใดสามารถทัดทานให้ท่านได้หยุดการออกธุดงค์แล้วแขวนกลด ท่านเคยบอกว่า หากว่าสังขารของท่านยังอำนวยให้การเดินธุดงค์แล้ว ท่านจะไม่หยุดธุดงค์เป็นเด็ดขาด
    หลวงปู่สุภาจากบ้านเกิดไปตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ และเป็นพุทธบุตรที่เดินธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรมาตลอด เมื่อมีโอกาสจึงระลึกถึงบ้านเกิดที่ อ.วาริชภูมิ โดยปรารภว่า บัดนี้ญาติของเราทั้งฝ่ายบิดาและมารดาไม่เคยได้พบเห็นเราในสภาพของพระภิกษุ เพราะตั้งแต่บวชแล้วก็ออกธุดงค์มาโดยตลอด หากไม่กลับไปโปรดญาติโยมและเคารพอัฐิของโยมบิดามารดาแล้ว ก็จะผิดวิสัยบุตรอันมีกตัญญูกตเวที ท่านจึงยุติการธุดงค์ลงชั่วคราว เพื่อเดินทางกลับบ้านเกิดที่ อ. วาริชภูมิ เพื่อโปรดญาติโยมของท่าน

    หลวงปู่สุภาอริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน

    หลวงปู่สุภาเมื่อเป็นพระป่านั้น ท่านวิเวกรอนแรมอยู่ในป่าดงดิบดำอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตของท่านต้องการจะแสวงวิเวก ไม่ต้องการข้องแวะกับโลกภายนอก วันเวลาล่วงเลยไป ท่านไม่ได้ยึดติดหรือต้องการจะรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลก พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นผู้ล้าสมัย หรือ ถอยหลังกลับไปจากความเจริญ แต่ในด้านการไปสู่มรรคผลนิพพานแล้ว หลวงปู่ก้าวหน้าไปอย่างยิ่ง ซึ่งหากท่านผู้อ่านได้ติดตามประวัติของหลวงปู่สุภาตั้งแต่ต้น จะพบว่าท่านอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างมอบกายถวายวิญญาณกันเลยทีเดียว

    ชีปะขาวผู้ให้นิมิต

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่สุภาออกจากป่าเพื่อแสวงหาที่จำพรรษาในปุริมพรรษาที่กำลังจะมาถึง พอธุดงค์มาถึง อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา ผ่านมาด้านหลังวัดเกาะสีคิ้ว คำว่าวัดเกาะ คือ มีน้ำกั้นเอาไว้จากโลกภายนอก การคมนาคม หากไม่ใช้เรือ ก็ต้องข้ามโดยสะพานไม้ชั่วคราว ที่ชาวบ้านนำเอาเสาไม้มาปักไว้เป็นโครง พาดด้วยไม้กระดานพออาศัยข้าม การเดินทางเข้าวัดจึงลำบากมาก เมื่อชาวบ้านรอบวัดเกาะสีคิ้วได้พบกับหลวงปู่สุภา จึงได้นำภัตตาหารมาถวาย และมรรคนายกวัดเกาะสีคิ้วจึงปรารภถึงความยากลำบากในการเข้าสู่วัด หลวงปู่ฟังแล้วเกิดความเมตตา จึงตามให้มรรคนายกนำไปดูสถานที่ ก็เห็นว่าไม่เกินกำลังที่ทำได้ ตลอดจนหากจะทำสะพานถาวรแล้ว จะทำให้ชาวบ้านกุดฉนวนที่อยู่ด้านหลังวัดออกไปได้อาศัยนำสินค้าออกมาขายคน ภายนอกได้ ซึ่งนอกจากจะได้เกื้อกูลพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้เกื้อกูลชาวบ้านให้ทำมาหากินได้สะดวก หลวงปู่สุภาจึงรับปาก
    ปูนแต่ละถุง ทรายแต่ละคิว หลวงปู่สุภาแลกมาด้วยความยากลำบาก เพราะต้องหาของมงคลมาเป็นของขวัญแก่ญาติโยม ทั้งวัตถุมงคล น้ำมนต์และการสงเคราะห์ผู้เจ็บป่วย หลวงปู่สุภาเป็นขวัญและกำลังใจของคนที่อยู่ใกล้เคียวและจังหวัดใกล้เคียง ทุกวันนี้ หากไปถามคนแถววัดเกาะสิคิ้วแล้ว ทุกคนยังรอให้ท่านกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขาบ้าง หลังจากการสร้างสะพานเสร็จ หลวงปู่สุภาได้ทำการฉลองสะพาน และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชาวบ้านแถบนั้นได้พบหลวงปู่สุภาตราบจนทุกวันนี้

    คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า
    “เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”

    เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวง ปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้

    หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขาร ธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทาง

    ชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า

    “อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและ ไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”

    จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า”

    พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า

    “ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”

    หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า

    “เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”

    พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า
    สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”
    หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของ เวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า

    “ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”

    มื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ

    - ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล

    - ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกัน
    หลวงปู่เล่าว่า
    “เพ่งมองดูด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วยอาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”


    ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับ พื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า
    บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”
    พบพระอรหันต์ด้วยตัวเอง

    หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุ งจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน
    เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

    “ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”

    หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า

    “กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่ สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”

    พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...

    “คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”

    หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า

    “สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”

    พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่า

    “จำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป”

    กลับบ้านเกิด โปรดญาติโยม

    จากเวลาที่หลวงปู่สุภาจากบ้านเกิดไปเมื่อ ตอนอายุ ๙ ขวบ จนถึงเวลาที่ท่านดำริที่จะกลับบ้านเกิดนั้นเป็นเวลา ๖๒ ปีเต็ม (พ.ศ. ๒๕๑๑) หลวงปู่สุภาจึงแบกกลดธุดงค์กลับบ้านเกิดที่บ้านคำบ่อ อ. วาริชภูมิ ญาติพี่น้องรุ่นเก่า จำท่านได้อย่างแม่นยำ แต่ลูกหลานที่เกิดมาทีหลัง จำท่านไม่ได้ ต้องลำดับญาติโยมจนกระทั่งจำกันได้ ทุกคนยินดีปรีดาที่หลวงปู่สุภากลับมาบ้านเกิดในฐานะนักบวชผู้มีภูมิธรรมอัน ควรแก่การบูชา และทุกคนมีความเห็นตรงกันที่จะให้ท่านแขวนกลดและจำพรรษาที่บ้านเกิด

    หลวงปู่สุภาจึงได้หาหนทางที่จะทำให้ลูก หลานไม่รั้งท่านไว้นานนัก โดยท่านก็รำลึกได้ว่า ห่างบ้านเกิดของท่านไป ๙ ก.ม. มีถ้ำเก่าแก่ เรียกว่า “ถ้ำพระทอง” สถานที่นี้เหมาะที่จะสร้างเป็นวัด จึงได้บอกกับลูกหลานว่า
    “หากช่วยกันทำบันไดไปจนถึงถ้ำพระทอง และนำพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้แล้ว หลวงปู่จะมาจำพรรษาที่นั่น”

    ลูกหลานต้องจำนน เพราะการสร้างถาวรวัตถุไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หลวงปู่สุภาจึงทำการบวชพี่ชายของท่านเป็นพระภิกษุ อบรมวิปัสสนากรรมฐานให้ พร้อมกับการอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ได้แม่ชีและชีปะขาวอีกหลายสิบคนเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ในการสืบต่อการเล่า เรียนพระกรรมฐานต่อไป

    หลวงปู่สุภาจึงได้ล่ำลาชาวบ้านและญาติพี่ น้อง แบกกลดออกจากบ้านเกิดไปภูเก็ตและทางภาคใต้ จนกลับมาทางนครปฐม พบกับพลเอกประกอบ (ไม่ทราบนามสกุล) รับนิมนต์ให้พัฒนาวัดพระประโทน และจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานพอสมควร จนได้รับการติดต่อจากบ้านเกิดว่า บัดนี้ได้สร้างบันไดไปถึงถ้ำพระทอง แล้วนำพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้แล้ว ขอให้ท่านกลับไปจำพรรษาตามที่ได้ลั่นวาจาไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2013
  9. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เรียนคุณปานโสมฯ
    ข้อเขียนของผม มิได้มีเจตนาที่จะไปทับถมผู้ที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยเหตุทุกประเภท
    แต่กรณีนี้ ไฟไหม้ คลอกผู้ตาย ผมอาจเอาตัวอย่างล่าสุดที่บราซิลก็ได้ เช่น ผู้ตายทั้งหมด น่าจะเกิดจากอดีตชาติ มีเผ่าพันธ์มนุษย์กินคนเผ่าหนึ่ง เวลาล่าอาหารเช่นมนุษย์ พวกเขาเอาไฟสุมโคนต้นไม้ อาหารคือคน ก็ร่วงลงมา แล้วพวกนี้ก็จับไปกิน.....นี่สามารถอนุมานได้เลยว่า คนตายนั้น น่าจะมาจากเผ่าพันธ์นี่ นี่แหละ เพราะมันเป็น"กฏแห่งกรรม"ฎ เราไม่ได้ไปว่าเขา เราเรียนรู้กฏของกรรมว่า
    "ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ทำผิดทำชั่วด้วยอะไร ย่อมส่งผลถึงด้วยสิ่งนั้นๆเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าต่อไป"
    การทำชั่วด้วยอะไรนั้น สามารถพูดอย่างหยาบๆว่า"ไม่ว่าจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ ผสมกัน ผลย่อมได้รับสิ่งนั้นเหมือนกัน"
    หมายความว่า ทำชั่วด้วยไฟ ก็ถูกไฟ ด้วยน้ำ ก็ถูกน้ำ ด้วยลม ถูกลม ด้วยดิน ถูกดิน เสมอไป"
    เพราะกฏแห่งกรรมก็คือ แอ๊กชั่น เท่ากับ รีแอกชั่น นั่นเอง
    คนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั้น เวลาฆ่าสัตว์ ย่อมจะเกี่ยวกับธาตุทั้งสี่นี้อยู่เสมอๆ เวลาโรคร้ายรุมเร้า ลองไปวิเคราะห์ทางแพทย์แผนใหม่ดู มันเกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งนั้น ที่มำให้เกิดโรคร้ายต่างๆนานา....
    ในส่วนตัวผม วิเคราะห์อย่างหยาบๆว่า ในไทย ถ้ามีการตายหมู่เกิดขึ้นนั้น ย่อมหนีไม่พ้นการเผาพระพุทธรูปโดยพม่าแน่นอน กรรมหมู่จึงเกิดขึ้น...อย่าลืมว่าไม่ว่าโรงงานตุ๊กตาเครเด้อ ไฟแก๊สที่เพชรบุรี หรือ ซานติก้านี่ เป็นกรรมหมู่ทั้งสิ้น และประเทศที่ก่อกรรมนี้กับศาสนาคือ พม่า ซึ่งพวกทหารพวกนี้ น่าจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่แถวๆอาเซียนนี่แหละ
    แล้วคุณเชื่อไหมว่า...คนที่ตายไปนั่น (ทั้งสามกรณ๊)ถ้าไปสืบ รูส(รากเง่าดู)น่าจะเป็นพวกพม่ารามัญทั้งนั้น ที่มาเกิดใช้กรรม แต่อาจจะมีคน"ไท"ด้วยก็ได้ แต่ทำกรรมด้านอื่น เช่น เผาเต่า)มาร่วมตายด้วย
    เหตุที่กล้าวิเคราะห์แบบนี้ เพราะ"ประเทศไทยของคุณ ของผม มีเผ่าพันธ์ประมาณ 57 เผ่า ประกอบกันเป็นคนไทย"ซึ่ง ไท แท้ๆก็มีเผ่าพันธ์เหลือให้เห็น แต่อีก56เผ่านั้นถ้าไม่นับจีนและในเอเชียแล้ว นอกนั้น พม่ารามัญแกวลาวเขมร ว้า กระเหรี่ยง มูเซอร์ฯลฯทั้งนั้น
    ที่ประกอบกันเป็นกองทัพพม่า..นี่ กฏแห่งกรรมมันมีที่มาที่ไปแบบนี้...มิมีเป็นอื่นได้จริงๆ
    และก็ต้องขออภัยต่อบรรดาญาติๆด้วย ผมวิเคราะห์ตามแนวประวัติศาสตร์ชาติไทย มิได้มุ่งรายบุคคลหรือ รายเหตุการณ์จริงๆ
    ทีนี้มาเรื่องหลวงปู่สุภาฯ คุณช่วยตามท่านหน่อย ฟังว่า ทะเลาะกับกรรมการวัดที่ภูเก็ต แล้วท่านก็หนีไปสกลนคร ลั่นวาจาว่าไม่กลับภูเก็ตแล้ว ไปถึงไหนแล้ว..เป็นห่วงท่านจะละสังขารที่สกลเป็นแม่นมั่น ชาวภูเก็ตน่าจะเสียดายจริงๆ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    กรรมผู้อื่น เป็นเรื่องอจินไตย รู้ไปก็เท่านั้น

    ยิ่งพยายามจะไปรู้ ยิ่งผูกกรรมใหม่ให้ตัวเอง
     
  11. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    ลุงไปหาจิตแพทย์ดีกว่าไหม?
     
  12. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,572
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เจ้าทอร์นี่...ตั้งชื่อก็เอาเทพฆ้อนฝรั่งมาตั้งแล้ว แสดงว่า ไม่เคยเห็นชายผ้าเหลืองเป็นแม่นมั่น..
    กรณีวิเคราะห์แบบนี้ กับกรณีพระป่า พระปฏิบัติ เมตตาเผยเรื่องราวในอดีตชาติการผูกเวรผูกกรรมกันมาอย่างไรนั้น ดูท่าไม่มีวาสนาเคยได้ยิน ได้ฟัง จิตมุ่งร้ายมีแต่มิจฉาทิษฐิ หรือถ้าดูทางจิตเวช น่าจะเกิดจากครอบครัวที่มีปัญหา ทำให้ถูกกระบวนการหล่อหลอมทางสังคมทำให้พฤติกรรมเบี่ยงเบนไป...ถ้ามีความประพฤติแบบนี้ และไม่แก้ ต่อไปจะไม่มีใครคบหา หรือ มี ก็เป็นพวกจิตที่ถูกเก็บกดมาตั้งแต่เล็กๆ..นี่ ไม่ต้องไปหาจิตแพทย์ วิเคราะห์บุคคลิกภาพทางแพทย์ให้ดูเลย และต่อไปอย่ามาข้องแวะ เพราะต้องฆ่าทิ้ง คือ ไม่สอน ไม่เตือน ให้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนะ...สวัสดี.
     
  13. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    พระพุทธพยากรณ์ที่เห็นกัน สาเหตุไม่ได้จากตัวแปรที่ลุงบอกเลยซักข้อ อย่างนี้จะให้บอกได้ไหมล่ะ หัวแม่ตรีนเอามาคิดไง หรือจะเถียงว่าเก่งกว่าพระพุทธองค์ ก็พิจารณาเองนะ บัวใต้น้ำอย่างคุณคงเข้าใจ ข้อความลุงก็แสแสร้งนะ หาความจริงใจไม่มีเลย จะคิดอย่างไงก็แล้วแต่
    มาบอกคนอื่นไม่มีคนคบ ความจริงมีอยู่ว่ามีคนรักและจงรักภักดีต่อผม มีทั้งหญิงและชาย จะไม่ยอมรับก็แล้วแต่ ความจริงก็เป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างนี้ลุงคงร้อนเผ่า เพราะ...ที่ลุงบอกมันไม่ถูกกับความเป็นจริงไง
    ผมพิมพ์มาไม่ต้องดัดจริตเหมือนลุงหรอกนะ ผมไม่แคร์ใครอยู่แล้ว ตัวลุงมีคนคบด้วยหรือเปล่า การโพสต์ก็เหมือนคนมีปมด้อย จริง ๆ

    ข้อแรก โพสต์มาก็ไม่ถูกไม่ตรงกับความจริง
    ข้อที่สอง คนดีจริง เขาไม่โพสต์อย่างคุณหรอก ยิ่งถ้าเกิดจากความเมตตา
    ข้อที่สาม การมองตัวแปรให้ถูกสมการ ไม่ได้เดินตามแผ่นหลังบุรุษผู้สัตว์ทั้งมวลต้องเดินตามแผ่นหลังของพระองค์เลย บุรุษอันดับ 1 (พระพุทธองค์)

    ลุงก็แค่คนที่มีความทุกข์เวลาที่คนอื่นเขามีความสุข

    คนอ่านก็คิดเอา ไอ่คนปากเสียแต่พิมพ์ตรงไปตรงมา กับคนตอแหลเสแสร้างมันต่างกันยังไง

    ปล.อย่าไปสอนใครเลย กรูสงสารว่ะ

    ฟันธง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  14. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    กรรมทำให้มนุษย์มีอนุสัยในขันธสันดานต่างๆกันไป บ้างหยาบกระด้าง บ้างละเอียดละมุนละไม เหล่านี้ทำให้พอจะอนุมานได้ในเื้องต้นนั้น มีจุดกำเนิดมาจากแหล่งใด มีบ้างมาจากสว่างภกลับไปอย่างสว่าง มามืดกลับไปสว่าง นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ควรแก่การอนุโมทนา แต่ก็มีบ้างที่มาจากที่สว่างแต่เนื่องด้วยอินทรีย์ยังไม่เข้มแข็งพอจึงถูกชักจูงด้วยโลก จึงทำให้เขาเหล่านั้นมืดบอดดวงประทีปแห่งปัญญาเดิมมอดดับลง จึงทำให้เขาเหล่านั้นกลับไปสู่ความมืดมิดแห่งบาปและอกุศลกรรม บุคคลเหล่านี้นับว่าเป็นผู้ที่ขาดทุนชีวิต ถึงแม้จะมีต้นทุนชีวิตที่ดีมาก็ตาม นั่นนับว่าเป็นที่ควรแก่การเสียใจอย่างยิ่งนักแล้ว
     
  15. tOR_automotive

    tOR_automotive เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +184
    โอ้ย... มาบอกคนอื่นความรู้แค่หางอึ่ง จะคุยแบบวิชาการก็ได้นะ รู้ดีแค่ไหนกัน
    แล้วก็เลิกเรียกชื่อว่านาย ทอร์ ซะ ชื่อบิดาลุงเหรอไง 55+
     

แชร์หน้านี้

Loading...