ท้าวเวสวัณ เทพเจ้าผู้ประทานความร่ำรวย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุริยันจันทรา, 14 สิงหาคม 2007.

  1. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ท้าวเวสวัณ เทพเจ้าผู้ประทานความร่ำรวยแก่ผู้บูชา

    โดย...สันยาสี
    ผมเขียนเรื่องท้าวเวสวัณ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับแก้วมณีโชติ
    ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับองค์เทพจิตรา ซึ่งเป็นเทพที่ครองแก้วมณีโชติ( เหล็กไหล)หยดน้ำค้างสีปีกแมลงทับ ผมรู้เพียงว่าท่านเป็นเทพเจ้าอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๑๔ ส่วนองค์พ่อ ๑๖ อยู่สวรรค์ชั้นที่ ๑๖ และท่านบอกเพียงว่าท้าวยมราชก็คือท้าวกุเวร เป็นเทพชั้นที่ ๑๔ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นตัวท่านเอง และท่านก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้นัก
    ครั้งที่ ๒ ผมอัญเชิญท่านลงอีกครั้ง ท่านพูดว่า “อยากถามอะไรถามมา แต่อย่าถามเรื่องนรกสวรรค์ เพราะไม่ใช่เรื่องของเจ้า” (ดูท่าจะเป็นความลับของสวรรค์) แต่เมื่อผมสนทนากับท่าน ก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้ ท่านจึงพูดว่า “ยมบาลหรือท้าวยมราชก็คือพ่อนี่แหละ ท้าวจตุโลกบาลก็คือพ่อนี่แหละ ท้าวกุเวรก็คือพ่อนี่แหละ แต่ท้าวเวสวัณไม่ใช่พ่อ แต่เป็นองค์พี่ คือองค์พ่อ ๑๖ (พูดพลางยกมือไหว้ท่วมหัว) ท่านอยู่ชั้นที่ ๑๖ มนุษย์เรียกว่าชั้นดาวดึงส์ แต่ทางเทพเขาเรียกว่าชั้นพรหมาวาส เรื่องนี้ไม่ปรากฏในตำราของโลกมนุษย์ เองเขียนว่าชั้นสุทธาวาส ไม่ใช่นะ พรหมาวาสกับสุทธาวาสเป็นคนละชั้นกัน
    ทีนี้พระนามขององค์พ่อ ๑๖ ผมได้ยินมาว่า องค์สรรพสัตตาบดี จึงเขียนตามนี้ แต่เมื่อองค์ญาณไปพิมพ์การ์ดแจกสานุศิษย์ให้มาร่วมทำบุญในงานไหว้ครู องค์ญาณก็เขียนตามที่ผมเขียน องค์พ่อจิตราลงประทับร่างบอกแก้ทันที ท่านว่า “ถ้าเขียนตามไอ้เทวดามันว่า สรรพสัตตาบดี มันก็ถูกของมัน เพราะท่านเป็นใหญ่เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง แต่พระนามที่ถูกต้องเป็น “องค์เทพศักดิ์พระศาสตราบดี”เพราะท่านเป็นใหญ่เหนืออาวุธทั้งปวง”
    ความสงสัยเหล่านี้มันท่วมทับหัวใจของผมจนยากที่จะข่มตาหลับ จึงค้นหาที่มาจากตำราต่าง ๆ ในหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ นครราชสีมา ก็พบหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวเนื่องกับเทพเจ้า ซึ่งได้รวบรวมเรื่องเทพเจ้าจากตำราต่าง ๆ ของพวกพราหมณ์ยุคพระเวท เป็นต้นมา และเทียบเคียงกับตำราความเชื่อของชนชาติใกล้เคียงคือ เนปาล ธิเบต จีน ญี่ปุ่น สิ่งที่ทำให้ผมดีใจมาก ๆ เพราะเข้ากันดีกับองค์พ่อ ๑๖ คือตำราความเป็นมาของท่านท้าวเวสวัณต่างบอกตรงกันทุกชาติทุกภาษา ว่าท่านเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งโลก และสามารถประทานความร่ำรวยแก่ผู้ที่ท่านโปรดปราน หรือผู้บูชาท่านเป็นนิตย์ จึงมักเห็นรูปท่านปางท้าวกุเวร เป็นรูปคนอ้วนพุงพุ้ย ถือแก้วมณีบ้าง ถือถุงทรัพย์บ้าง มีงูอยู่ข้าง ๆ บ้าง ซึ่งบ่งถึงการประทานทรัพย์ และการเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ หนังสือทุกเล่มต่างเห็นว่า ท้าวเวสวัณและท้าวกุเวรคือองค์เดียวกัน
    ผมเห็นว่า เรื่องเทพเทวาต่าง ๆ นี้ แต่แรกเริ่มมาจากมหาฤาษีและมหาโยคีหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งท่านมีหูทิพย์ตาทิพย์ สามารถถอดกายทิพย์ไปสนทนาซักถามเหล่าเทพเทวาได้ จึงนำมาบอกกล่าวเล่าขานแก่สานุศิษย์ จนมาถึงยุคที่มีตัวอักษรเขียนกันแล้ว ศิษย์รุ่นหลัง ๆ ซึ่งจดจำต่อ ๆ กันมาก็แต่งเป็นหนังสือตำราต่าง ๆ เรื่องสั้น ๆ ก็แต่งเพิ่มเติมให้เป็นเรื่องยาว ตามคำพังเพยว่า “ปากคนยาวกว่าปากกา” เมื่อผ่านไปแต่ละยุค ๆ คนแต่งก็มีหลายคน ก็แต่งกันไปตามความคิดและเจตน์จำนงของตนเอง พวกพราหมณ์ชั้นหลัง ๆ จึงใส่สีตีไข่เสียจนลักษณะและความเป็นมาของเทพแต่ละองค์ผิดแผกแตกต่างกัน พระอินทร์ในยุคพระเวท และพระอินทร์ในยุคหลังพระพุทธเจ้ากลายเป็นคนละองค์กันไปเลย เพราะในช่วงหลังพระอินทร์ พระพรหม ท้าวกุเวร มีบทบาทในหมู่ชาวพุทธมาก เพราะกลายมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พวกพราหมณ์ชั้นหลังจึงแต่งตำราให้เทพเจ้าเหล่านี้ลดน้อยถอยศักดิ์ลง พระพรหมกลายเป็นเทพที่พระอิศวรสร้างขึ้นมา พระอินทร์ค่อนข้างโชคร้าย เพราะมีบทบาทมากเกินไป พวกพราหมณ์แต่งเรื่องให้พระอินทร์เป็นเทวดาขี้แพ้ชวนตี ผิดศีลผิดธรรม ชอบลักเล็กขโมยน้อย ชอบแย่งชิงลูกเมียชาวบ้าน ศีลทั้ง ๕ ข้อ พระอินทร์รักษาไม่ได้สักข้อ ส่วนท้าวเวสวัณทำให้เป็นเทวดาขาพิการ คือมี 3 ขา หน้าตาดุร้าย ทั้งจิตใจก็โหดเหี้ยมทารุณ ไม่หลงเหลือความดีให้คนเคารพนับถือเลย
    บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายที่แต่งหนังสือขาย เขาไม่เชื่อเรื่องเทพเทวา เขาว่าเกิดจากความเคารพนับถือธรรมชาติ แล้วแต่งจินตนิยายให้สอดคล้องกับธรรมชาติ จึงมีพระผู้สร้างโลก มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ จนถึงพระราหู พระเกตุ นั่นก็เป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่ง เพราะพราหมณ์ผู้มืดหนาตาบอดแต่อยากสร้างให้ตนเองเป็นที่ยอมรับนับถือ จึงสร้างเรื่องขึ้นมาโกหกหลอกลวงคน แต่เทพเทวาจริง ๆ ท่านก็มีของท่าน มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เกิดจากบุญนำกรรมแต่งของตนเอง พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ก็เกิดจากการบำเพ็ญสมาธิภาวนามาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จนไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหมที่มีฤทธิ์อำนาจสูงส่ง อายุหลายโกฏิปี โลกเกิดขึ้นแตกสลาย ๆ ๆ เทพพรหมเหล่านี้ก็ยังเป็นเทวดาเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ จนเข้าใจผิดว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มาจากอำนาจของตนเอง
    พวกพราหมณ์ เป็นเจ้าพิธีกรรม เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับเทพเทวา จึงมีส่วนได้ส่วนเสียในพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ตนเองทำ การสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ก็ทำเพื่อให้ตนเองและเทพเทวาของตนมีความสำคัญที่สุด
    มันก็เหมือนสมัยนี้ ท้าวจตุคามรามเทพกำลังโด่งดัง ไปร้านหนังสือเห็นแต่หนังสือจตุคามรามเทพเกร่อไปทั่ว วัดไหนก็สร้างแต่จตุคามรามเทพออกมาขายแข่งกันรวย จึงมีคนเขียนประวัติความเป็นมาของท้าวจตุคามรามเทพ ให้มีศักดิ์สูงส่งกว่าท้าวจตุโลกบาล แต่ดูเอาเถอะว่าใครจะใหญ่กว่าใคร ระหว่างจตุโลกบาล ที่แปลว่าเทพที่รักษาคุ้มครองดูแลโลกทั้ง ๔ คือ สวรรค์ มนุษย์ สัตว์ และนรก หรือเทพผู้รักษาทิศทั้ง ๔ กับจตุคามรามเทพ ท้าวรามเทพที่รักษาหมู่บ้านตำบล หรือรักษาพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ระหว่างพระมหาจักรพรรดิ์กับผู้ใหญ่บ้านกำนัน ใครใหญ่กว่ากัน แต่ถึงกระนั้นนักแต่งหนังสือเพื่อจะขายวัตถุมงคลของตนเองก็แต่งเรื่องให้เทวดาระดับผู้ใหญ่บ้านกำนัน ยิ่งใหญ่กว่าเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ไม่อยากพูดเลยว่ามันโง่ดักดานจนลืมความหมายของชื่อ ถ้ารู้จักคนแต่งเรื่องจตุคามรามเทพเป็นการส่วนตัว เห็นจะจับมาเฆี่ยนด้วยหวายแช่น้ำเกลือสักร้อยที หรือให้บริวารของท้าวโลกบาลถีบตกเตียงจนฟันหักสัก 2-3 ซี่
    ไม่รู้หรือไงว่า เทวาอารักษ์ที่รักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ทุกหนทุกแห่ง ล้วนเป็นข้าทาสบริวารของท้าวจตุโลกบาล ถ้าเป็นพวกยักษ์ก็เป็นบริวารของท้าวเวสวัณ ถ้าเป็นกุมภัณฑ์ก็เป็นบริวารของท้าววิรุฬหะ(ท้าวยมบาลหรือองค์เทพจิตรา) ถ้าเป็นนาคก็เป็นบริวารของท้าววิรูปักข์ ถ้าเป็นคนธรรพ์ก็เป็นบริวารของท้าวธตรฐ ก็ท้าวจตุคามนั้นเป็นพญานาคท้องถิ่นที่ท้าววิรูปักข์รับสั่งให้เฝ้าพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
    การจะทำพิธีกรรมอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะให้ศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องอัญเชิญเทวดามาร่วมงาน ก็ต้องตั้งศาลเพียงตา ต้องบูชาท้าวทั้ง ๔ งานพิธีนั้นจึงศักดิ์สิทธิ์ ก็งานปลุกเสกทุกแห่งจะเว้นพิธีนี้ไม่ได้ เมื่อมีการอัญเชิญท้าวมหาราชทั้ง ๔ ในการปลุกเสกท้าวจตุคามรามเทพ แล้วป่าวประกาศไปทั่วทิศแดนไทยว่า ท้าวจตุโลกบาลเป็นบริวารของท้าวจตุคามรามเทพ มีหรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะส่งเทพเทวาองค์ไหนมารักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำพิธีปลุกเสกอยู่ เมื่อไม่มีเทวาคุ้มครอง วัตถุมงคลนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร จะเห็นได้ง่าย ๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่มีข่าวออกทีวีว่า รถบรรทุกจตุคามรามเทพลงใต้ไปพลิกคว่ำระหว่างทาง คนขับและคนติดตามเสียชีวิตหมด หรือข่าวโจรปล้นฆ่าชิงจตุคามรามเทพ แม้เหรียญจตุคามรามเทพห้อยอยู่กับคอก็มีโจรมาปล้นมาฆ่า ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ( แม้ชีวิตคนห้อยตัวเองก็คุ้มกะลาหัวไม่ได้ ) มันเกิดมาจากอะไรถ้าไม่ใช่เพราะดูถูกท้าวมหาราชทั้ง ๔
    ก่อนวันที่ ๓ มีนาคม ซึ่งเป็นวันสรงน้ำเหล็กไหลยามเที่ยงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง มีเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ได้เช่าวัตถุมงคลจตุคามรามเทพไปจากวัดแห่งหนึ่งเป็นราคาเกือบแสนบาท ต่อมาได้มากราบองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา เกิดความเคารพเลื่อมใส จึงนำวัตถุมงคลจตุคามรามเทพมาถวายพ่อทั้งหมด ท่านก็รับไว้ไม่ให้เสียน้ำใจ พอถึงวันทำพิธีสรงน้ำ องค์ญาณจึงอัญเชิญท้าวจตุคามขึ้นโต๊ะบูชาร่วมกับพระพุทธรูปอื่น ๆ แต่วางท่านไว้ชั้นล่างติดกับอ่างน้ำทิพย์
    งานสรงน้ำคืนนั้นคุณสมศักดิ์ บก.พุทธามหาเวทก็ไปร่วมงานด้วย ได้รู้จักกับเจ๊เล็กในงานนี้ด้วย วันต่อมาเจ๊เล็กโทร.หาองค์ญาณ พูดว่า “องค์ญาณ องค์จตุคามรามเทพนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก ให้องค์ญาณขอบารมีท่านคุ้มครอง จะได้รุ่งโรจน์โชติช่วง” เท่านั้นแหละ องค์พ่อจิตราลงประทับร่างองค์ญาณพูดตอบโต้ทันที “อีผีเขื่อนตา มึงจะให้พระเจ้าจักรพรรดิไปขอบารมีจากผู้ใหญ่บ้านกำนันหรือ มึงจะให้พระสังฆราชไปขอบารมีจากเจ้าอาวาสวัดบ้านนอกหรือ กูคือจตุโลกบาล มึงจะให้ลูกกูไปขอบารมีจากใครกันอีก” เจ๊เล็กได้ฟังก็อกสั่นขวัญหนี นั่งร้องไห้ร้องห่ม วันต่อมาก็ไปกราบขอขมาท่านที่ตำหนัก องค์พ่อจิตราลงประทับองค์ญาณพูดว่า “กูไม่ได้โกรธมึงหรอก แต่อยากเตือนสติ ใช่ว่ามีปากนึกอยากจะพูดอะไรก็พูดส่งเดช”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  2. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ก็เรื่องใครเป็นบริวารของใครนี้มีมาในพระสุตตันตะปิฎก ทีฆะนิกาย ปาฏิกะวรรค ชื่อ อาฏานาฏิยสูตร
    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ เมื่อล่วงยามที่ ๑ ไปแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ได้วางยามรักษาไว้ทั้ง ๔ ทิศ วางกองกำลังและหน่วยป้องกันไว้ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมด้วยกองทัพยักษ์ กองทัพกุมภัณฑ์ กองทัพคนธรรพ์ และกองทัพนาคหมู่ใหญ่ เปล่งรัศมีเป็นแสงสว่างจ้าทั่วภูเขาราชคฤห์ แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควร
    ฝ่ายบริวารของท้าวมหาราชเหล่านั้น บางพวกถวายบังคมแล้วนั่ง บางพวกเข้ามาทักทายปราศรัยแล้วนั่ง บางพวกเพียงแค่ประนมมือแล้วนั่ง บางพวกบอกชื่อแซ่ของตนแล้วนั่ง บางพวกมาถึงก็นั่งนิ่งเฉย ไม่ไหว้ ไม่กราบอะไรกับใคร
    ท้าวเวสวัณมหาราชประทับนั่งแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  3. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ท้าววิรุฬหะ ครองทิศใต้
    ชนทั้งหลายผู้ส่อเสียด ผู้นินทาคนลับหลัง เป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็นนายพราน เป็นโจร เป็นคนตลบตะแลง ตายแล้วเขาบอกให้นำออกไปทางทิศใด คนเรียกทิศนั้นว่าทิศใต้จากภูเขาสิเนรุนี้ไป ซึ่งเป็นทิศที่ท้าวมหาราชผู้มียศองค์นั้นอภิบาลอยู่ ท้าวมหาราชพระองค์นั้นทรงพระนามว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  4. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ท้าวเวสวัณ 1



    ท้าวเวสวัณมหาราช
    เทพเจ้าผู้ประทานความร่ำรวยแก่ผู้บูชา
    โดย สันยาสี
    (ต่อจากฉบับที่แล้ว)

    [​IMG][​IMG]
    ความร่ำรวยของมนุษย์ เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ 3 ประการคือ
    ๑. มีบุญที่ทำมาดีแล้วแต่ชาติปางก่อน
    ๒. มีสติปัญญามาก
    ๓. มีความขยันหมั่นเพียร
    คนที่ทำบุญไว้ดีแล้วย่อมมีเทพยดาที่มีบุญฤทธิ์คุ้มครองรักษา เมื่อจะทำกิจการสิ่งใดเทพยดาย่อมโอบอุ้มช่วยเหลือ ทำมาค้าขายสิ่งใด เทพยดาย่อมชักชวนผู้คนทั้งใกล้และไกลมาสนับสนุนช่วยเหลือ จึงขายดีมีกำไร ดุจเรื่องชฏิลเศรษฐี ในสมัยพระพุทธเจ้า เมื่อเกิดมาก็ถูกเขาใส่กระด้งลอยน้ำ (เพราะกรรมเก่าที่ทิ้งลูกน้อยของตนเอง ไว้ในป่า) แต่ก็มีคนเก็บเอาไปเลี้ยง จนที่สุดตกไปเป็นลูกบุญธรรมของพ่อค้าไม้จันท์ เมื่ออายุได้ 7-8 ขวบ พ่อสั่งให้เฝ้าบ้านคนเดียว แล้วพาคนอื่นไปหาซื้อไม้จันท์ ปรากฏว่าเทพยดาช่วยกันดลจิตใจคนทั้งเมืองให้พากันมาซื้อไม้จันท์ที่เก็บไว้มากมาย จนหมดภายในวันเดียวเท่านั้น พ่อกลับถึงบ้าน เห็นที่เก็บไม้จันท์ว่างเปล่าถึงกับเป็นลม นึกว่าโจรมาปล้นบ้าน เมื่อลูกชายเล่าความจริงให้ฟัง พร้อมกับยื่นเงินให้ พ่อถึงรู้ว่าลูกบุญธรรมคนนี้มีบุญเหลือคณา จึงรักราวกับบุตรของตนจริง ๆ เมื่อถึงคราวมีเหย้าเรือนก็ให้แต่งงานกับลูกสาวของตน พอถางที่ปลูกบ้านเท่านั้น จอมปลวกทองคำก็ผุดขึ้นหลังบ้านด้วยอานุภาพของเทพยดา นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่ปรากฏในพระไตรปิฎกซึ่งมีมากมายหลายสิบเรื่อง
    คนมีบุญแต่ไร้สติปัญญา ถ้าได้ทรัพย์มาก็ไม่สามารถรักษาทรัพย์นั้นไว้ได้ เพราะไม่รู้จักวิธีใช้ทรัพย์นั้นให้เพิ่มพูนมากขึ้น ก็รวยไม่ได้เหมือนกัน เช่นที่พวกเราเคยได้ยินข่าวคนถูกรางวัลที่ ๑ ได้เงินมาหลายล้าน แต่ก็หมดภายในไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี คนที่ไปเป็นเมียน้อยเศรษฐี เขาให้เงินก็ใช้อีลุ่ยฉุยแฉก พอเขาเฉดหัวทิ้ง ก็ต้องยากจนเหมือนเดิม แต่คนมีปัญญาอย่างเดียว ถ้าไร้บุญวาสนา ถึงแม้จะคิดอะไรได้อย่างน่าอัศจรรย์ ก็ขาดสิ่งศักดิสิทธิ์ช่วยเหลือให้สิ่งที่คิดเกิดเป็นเงินทองขึ้นได้ เช่นขาดผู้สนับสนุนด้านเงินลงทุน หรือแม้มีเงินทุนทำออกมาก็ขาดลูกค้าสนับสนุน ของที่ผลิตออกมาก็เสียหายไปตามกาลเวลา จึงร่ำรวยขึ้นไม่ได้ คนมีบุญอย่างเดียวเกิดมาในกองเงินกองทอง พอสิ้นพ่อแม่ ทรัพย์สมบัติตกเป็นของตนไม่นานก็เสื่อมสิ้นทรัพย์อับราศี กลายเป็นขอทานก็มีมาก
    คนมีบุญ มีปัญญา มีความขยันหมั่นเพียร แต่ไปอยู่กับคนบาป คนขี้เกียจ และโง่ ก็ถูกคนนั้นถ่วงดึง ก็ไม่สามารถร่ำรวยขึ้นได้เช่นกัน เพราะทำอะไรขึ้นมา คนบาปที่อยู่ด้วยก็ทำให้เสียหายไปหมดสิ้น
    (คนมีความรู้กับคนมีปัญญาแตกต่างกัน ใคร ๆ ก็แสวงหาความรู้ได้ เรียนจนจบด็อกเตอร์ก็เป็นคนมีความรู้ อ่านหนังสือจนหมดตู้ก็เป็นคนมีความรู้ แต่ถ้าขาดสติปัญญาพิจารณา ก็ไม่รู้จักใช้ความรู้นั้น ไม่รู้จักแยกแยะความดีความชั่ว ไม่รู้จักแยกแยะคนดีคนชั่ว คนรู้ชอบทำตัวอยู่ในกรอบเดิม ๆ คิดในกรอบเดิม ๆ จะถูกจะผิดก็ทำตัวอยู่ในกรอบนั้นโดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งผิด และอาศัยกรอบนั้นแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง กลายเป็นคนฉลาดแกมโกง แต่คนมีปัญญาพิจารณาเห็นแจ้งว่าสิ่งไหนผิดสิ่งใดถูก จึงสามารถแหกกรอบเดิมได้ตลอดเวลา ศาสนาในโลกนี้จึงเกิดขึ้นจากผู้มีปัญญาแหกกรอบประเพณีและความเชื่อถือดั้งเดิม และศาสดาของแต่ละศาสนาจึงเกิดศัตรูขึ้นจากผู้รู้ที่ยัดเยียดตัวเองอยู่ในกรอบเดิม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองที่ได้อาศัยกรอบนั้น ๆ พระเยซูจึงมีศัตรู และถูกจับตรึงไม้กางเขน พระมะหะหมัดจึงถูกศัตรูรุกราน ต้องย้ายที่อยู่อาศัยหนีศัตรู และจับอาวุธขึ้นต่อสู้ศัตรู แต่พระพุทธเจ้ามีปัญญาที่หาผู้ใดเสมอมิได้ ศัตรูจึงพ่ายแพ้แก่พระองค์ทั้งชมพูทวีป โลกทุกวันนี้เดือดร้อนเพราะคนรู้มีมันสมองอยู่ในกรอบดั้งเดิมมากเกินไป และรังแกคนมีสติปัญญา )
    คนขยันหมั่นเพียร ถ้าขาดบุญ ขาดปัญญา ก็เป็นได้เพียงกุลี ชาวสวน ชาวนา ธรรมดา ๆ เกิดมาทั้งชาติ หลังขดหลังแข็งทั้งชาติ ก็ได้เพียงข้าวกรอกหม้อ สามารถเลี้ยงชีพไปได้วัน ๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ บางวันแม้เงินบาทเดียวก็ไม่มีในกระเป๋า ลูกหลานออกมาก็มีชีวิตอยู่ได้ โตได้ เหมือนตนเอง แต่ถ้าลูกคนไหนมีบุญเขาก็ได้ดีไปตามบุญกรรมของเขา บางคนก็ปลีกตัวออกไปอยู่อีกต่างหาก พ่อแม่แทบไม่ได้พึ่งพา ก็เพราะพ่อแม่ขาดบุญหนุนนำ ขาดปัญญาส่งเสริม ขยันไปเถอะ ทุกข์ทั้งชาติ
    บุญ ปัญญา ขยัน จึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของคนร่ำรวย แต่คนสมัยใหม่เขาว่า ต้องมีเก่งกับเฮงจึงจะรวยได้ ไม่จริง คนไม่ขยันคิด ไม่ขยันทำ จะเก่งจะเฮงอย่างไรก็รวยไม่ได้ ไม่มีเศรษฐีคนใดที่ขี้เกียจ ไปสืบหาดูทั้งโลกก็ไม่พบ คนนั่ง ๆ นอน ๆ อย่าหาว่าเขาขี้เกียจ เขาขยันคิด เมื่อคิดได้เขาก็มีปัญญารู้จักบริหารความคิดนั้นให้เกิดประโยชน์ เพราะมีปัญญาเขาจึงรู้จักใช้คน แม้ไม่ทำเอง แต่เขาก็มีคนช่วยทำสิ่งที่คิดนั้น นั่นคือความขยันของคนมีปัญญา ไม่ได้หมายความว่าขยันแบกหาม ขยันขุดขยันถาง นั่นเป็นเรื่องการใช้แรงงาน ยิ่งทุกวันนี้เป็นสมัยไฮเท็ค คนมีบุญ มีปัญญา นั่งทำงานในห้องแอร์ แทบไม่ได้เดินด้วยซ้ำ แต่ร่ำรวยไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนล้าน
    “บุญ” คำนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ อิทธาภินิหาริย์ เพราะบุญมันเกี่ยวเนื่องผูกพันชีวิตในโลกนี้กับโลกอื่นคือเทวโลกเข้าด้วยกัน
    บุญ เกิดจาก การให้ทาน การรักษาศีล การอบรมจิตใจคือภาวนา หัวใจที่แท้จริงคือการภาวนา เพราะภาวนาทำให้เกิดความเฉลียวฉลาด ภาวนาทำให้จิตใจสงบ คนมีจิตใจสงบย่อมคิดเป็นทำเป็น ย่อมรู้แจ้งเห็นจริงในชีวิต เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงย่อมทำให้เกิดเมตตาแก่เหล่าสรรพสัตว์ เมื่อตนเองไม่ชอบความทุกข์ก็ไม่อยากให้ผู้อื่นมีความทุกข์ เห็นคนทุกข์คนเดือดร้อนก็อยากช่วยเหลือ ปัญญาทำให้เกิดเมตตา เมตตาทำให้เกิดทานคือการให้ เมตตาจึงทำให้เกิดการไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ศีลของผู้นั้นจึงบริสุทธิ์โดยไม่ต้องรักษา เป็นสีล แปลว่าปกติ ไม่ได้เกิดจากการงดเว้น ไม่ฝืนใจงดเว้น มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติของคนมีเมตตา เมตตาเป็นธรรมชาติของคนมีปัญญา ปัญญาเป็นธรรมชาติของคนที่ฝึกฝนดูจิตดูใจตนเองอยู่เนือง ๆ จนเข้าใจชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง บุญจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ คนมีบุญจึงมีทั้งบริวารทรัพย์และสินทรัพย์ บริวารทรัพย์นี้นับตั้งแต่ผู้คนในโลกนี้จนถึงเทวโลก คนเห็นคนก็รัก เทวดาเห็นเทวดาก็รัก ทำอะไรจึงมีผู้ช่วยเหลือทั้งในโลกนี้และเทวโลก
    คนที่ขาดบุญเก่าส่งเสริม จึงขาดเทวดาส่งเสริม แม้จะจุดธูปขอพรจากเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ แต่บุญเก่าไม่มีท่านก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ มันจะแตกต่างอะไรกับคนมีบัตรเอทีเอ็มแต่ไม่มีเงินในธนาคาร คุณจะสอดบัตรเอทีเอ็มสักร้อยที มันก็ไม่มีเงินไหลออกมาจากเครื่องให้คุณหรอก เสียเวลาเปล่า คุณจึงต้องเริ่มต้นหาเงินใส่ธนาคาร คือเริ่มทำบุญสั่งสมบุญเอาไว้เสียแต่บัดนี้ เมื่อทำทุกครั้งก็อย่าลืมส่งบุญให้เทวดาที่รักษาตนเอง เทวดาที่รักษาที่อยู่อาศัยของตนเอง และเทวดาที่เป็นญาติมิตรของตนเอง ไม่นานผลบุญมันก็งอกเงยขึ้นเอง
    แต่ที่คุณไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง คุณควรส่งบุญทุกครั้งให้แก่ท้าวเวสวัณมหาราช ผู้เป็นใหญ่เหนือขุมทรัพย์ทั้งปวงในโลกนี้ ไม่ว่าบุญอันเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และภาวนา คุณควรหมั่นกราบไหว้บูชาระลึกถึงท่าน แล้วท่านจะโปรดปรานคุณ จะช่วยเหลือให้คุณประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองปรารถนา ทั้งนี้เพราะท้าวเวสวัณมหาราชท่านโปรดคนทำบุญกุศลเนืองนิตย์ ท่านเหมือนผู้ว่าการธนาคารโลก เมื่อคุณขาดเงิน หากคุณทำบุญตลอดเวลา หมั่นระลึกถึงท่านก็เหมือนคุณมีเครดิต และสนิทคุ้นเคยกับท่าน เมื่อคุณจะกู้ยืมเงินมาลงทุน คุณรู้จักนายแบ้งค์ใหญ่ ไม่ต้องมีคนค้ำหรอก ท่านเซ็นแกร๊กเดียวก็ผ่าน
    นี่คือเคล็ดลับในการสร้างความร่ำรวยให้เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน ผมจึงต้องค้นหาเรื่องท้าวเวสวัณมหาราชมาให้คุณได้อ่านได้ศึกษากัน ต่อจากฉบับที่ผ่านมา
     
  5. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ท้าวเวสวัณจากตำราต่าง ๆ
    ในบรรดาหนังสือที่เกี่ยวกับเทพเทวา โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับท้าวเวสวัณและท้าวกุเวร ทั้งที่ค้นได้ในหอสมุด และจากร้านขายหนังสือขนาดใหญ่และเล็ก ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “เทพอสูรบันดาลทรัพย์” เขียนโดยทิพย์จักร เขาค้นคว้ามาเขียนได้ดีทีเดียว จึงขอคัดมาเรียบเรียงอ้างอิงเพื่อให้เนื้อหาของเรื่องสมบูรณ์
    ตำนานของท้าวเวสวัณนี้ มาจากมหากาพย์เรื่องรามเกียรติ์ มีกล่าวว่า ท้าวเวสวัณนี้เป็นพรหมพงศ์ คือมีต้นตระกูลเป็นพระพรหมธาดา อันเป็นหนึ่งในสามของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู พระพรหมธาดามีพระโอรสพระนามว่า “ปุลัสตย์”หรืออีกนามหนึ่งว่าท้าวลัสเตียน เป็นผู้จิตใจงดงาม ตั้งอยู่ในศีลในธรรม หมั่นบำเพ็ญภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าเสมอ
    ท้าวปุลัสตย์ไม่ต้องการให้สตรีเข้ามาเที่ยวเล่นในเขตแดนที่ตนเองนั่งบำเพ็ญภาวนา เพราะทำให้เสียสมาธิ จึงสาปเอาไว้ว่า หากนางใดเข้ามาในเขตแดนของตน ขอให้มันผู้นั้นจงตั้งครรภ์ทันทีโดยไม่ต้องมีพ่อ คำสาปนี้เป็นที่รู้กันทั่วไป ยกเว้นนางอิฑาวิฑา วันหนึ่งนางจึงเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปในบริเวณนั้น เมื่อนางเหลือบไปเห็นท้าวปุลัสตย์นั่งภาวนาอยู่ก็ตกใจ ทันใดนั้นท้องนางก็โตขึ้น ๆ นางตกใจวิ่งจนถึงบ้าน พ่อแม่พี่น้องเห็นดังนั้นก็ตกใจ สอบถามถึงรายละเอียดก็รู้ความจริง จึงพานางไปถวายตัวแก่ท้าวปุลัสตย์ จนต่อมานางก็กำเนิดโอรสองค์หนึ่ง นามว่าวิศราวะ ต่อมาวิศราวะได้แต่งงานกับนางพราหมณีนางหนึ่ง กำเนิดบุตรคนหนึ่งนามว่า “กุเวร” หรืออีกนามหนึ่งว่า “ไวศรวัณ” เป็นภาษาบาลีว่า “เวสวัณ” ไทยว่า เวสสุวรรณ ในเรื่องรามเกียรติ์มีชื่อว่า “ท้าวกุเปรัน”
    แม้ท้าวกุเวรก็เป็นผู้มีจิตใจงดงาม ตั้งมั่นในศีลในธรรมเช่นปู่ และบิดา เมื่อโตขึ้นท่านก็เข้าป่า บำเพ็ญภาวนา ถือศีลกินวาตา คือเฝ้าดูแต่ลมหายใจเข้าออก จนบรรลุฌานสมาบัติชั้นสูง ทำให้ร่างกายอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำและอาหาร สามารถเสวยไอทิพย์อันมีอยู่ในอากาศเช่นกล้วยไม้หรือพืชบางชนิด ท่านก็นั่งเข้าฌานติดต่อกันหลายเดือน จนพระผู้เป็นเจ้าคือพระพรหมและพระอินทร์ได้เสด็จลงมาประทานพรว่า ขอให้มีอำนาจในการครอบงำคนทั้งโลก ให้เป็นผู้รักษาโลกด้านทิศเหนือ เป็นผู้ไม่มีวันตาย เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ทั้งโลก ครอบครองแก้วแหวนเงินทองทั้งแผ่นดิน และให้ไปเป็นเจ้าเมืองลงกา ทั้งได้ประทานบุษบกให้ ถ้าขึ้นนั่งบุษบกวิเศษก็พาเหาะเหินเดินอากาศไปที่ใดก็ได้ แต่บุษบกนี้จะเสื่อมถ้ามีหญิงสามผัวขึ้นนั่ง (นางมณโฑ)
    ในเวลาต่อมา ท้าวกุเปรัน หรือกุเวร ก็ถูกทศกรรณ พี่น้องต่างมารดา แย่งบุษบกและกรุงลงกาไปครอง พระพรหมผู้เป็นเจ้าจึงประทานเมืองใหม่ให้ อยู่บนภูเขาคันธมาทน์ บางตำราว่า เมืองอลกา หรือวสุธา เป็นเมืองทิพย์ มีสวนอุทยานที่งดงามชื่อ จิตรรถ ภายในสวนมีต้นไม้ดอกไม้สวยงาม ออกดอกทุกฤดูกาล มีสระโบกขรณีชื่อนฬินี ละอองน้ำในสระนี้ลอยขึ้นไปแล้วเป็นละอองฝนตกลงมา วนเวียนกันอย่างนี้ทุกฤดูกาล แต่ในอาฏานาฏิยะสูตรว่า ในวิสาณาราชธานี มีมหาสมุทรชื่อธรณี ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเมฆและฝน
    ตำนานที่กล่าวมานี้น่าจะมาจากตำราพระเวท ซึ่งเขียนขึ้นยุคแรก พระพรหมกับพระอินทร์จึงเป็นใหญ่ เช่นเดียวกับเรื่องที่ปรากฏในตำราพุทธศาสนา จะมีเพี้ยน ๆ ไปบ้างก็ชื่อสถานที่
    รูปร่างของท้าวกุเวร หรือเวสวัณนั้นเขียนขึ้นตามคติต่าง ๆ กัน คนไทยเขียนท้าวเวสวัณเป็นพญายักษ์ ยืนถือกระบองเกลียวอันหนึ่ง ภาพวาดท้าวกุเวรที่อินเดีย วาดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ มีลักษณะอ้วนพุงพลุ้ย หน้าตาใจดี นั่งเคียงข้างกับพระชายาชื่อจารวียักษี มีพระแม่ลักษมีนั่งอยู่ด้วย ด้านล่างของรูปมีข้าวปลาอาหารแก้วแหวนเงินทอง คนอินเดียเชื่อว่า ใครบูชาพระแม่ลักษมีที่มีท้าวกุเวรร่วมอยู่ด้วย ย่อมเกิดอานิสงส์ทางโชคลาภ ร่ำรวย มั่งมีทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
    ที่ถ้ำแกะสลักหินทางใต้ของอินเดีย มีถ้ำอยู่ 2 แห่งชื่อ อัชชันต้า กับเอลโลร่า คนโบราณเมื่อพันกว่าปีมาแล้วได้แกะสลักภูเขาหินเป็นห้อง ๆ เหมือนตึกสมัยนี้ มีรูปแกะสลักในแต่ละห้อง ในห้องพักของพระที่บำเพ็ญภาวนายังทำเป็นเตียงหิน ในห้องโถงซึ่งทำเป็นห้องประชุม มีเสาหินกลม เสาหินเหลี่ยม มีพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่เท่า ๆ กับที่ประดิษฐานในอุโบสถของพวกเรา มีลักษณะที่งดงาม นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ของโลกแห่งหนึ่ง ถ้ำอัชชันต้าเป็นงานของชาวพุทธล้วน ๆ กว้างขวางใหญ่โต เที่ยวเดินดูเป็นวันก็ไม่ทั่วถึง (ถ้าดูแบบพินิจพิเคราะห์) แต่ที่ถ้ำเอลโลร่า สิ่งก่อสร้างเล็กกว่า จะอยู่ห่างไปอีกเกือบร้อยกิโลเมตร เป็นศิลปะผสมระหว่างพุทธ ฮินดู และเชน เป็นถ้ำที่มีอายุน้อยกว่าอัชชันต้า ที่เอลโลร่า จะมีรูปท้าวกุเวร เป็นรูปคนอ้วนพุงพลุ้ย หน้าตายิ้มแย้มราวกับพระสังกัจจายนะ นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง เหมือนเทวรูปท้าวกุเวรที่เราเห็นทั่วไป พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือถุงทรัพย์ พระหัตถ์อีกข้างจะถืออะไรก็จำไม่ถนัด ไกด์นำเที่ยวชาวอินเดียจะสาธยายว่า “ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องกราบขอพรจากเทพเจ้าองค์นี้” ผมรู้ว่าคือท้าวกุเวร
    [​IMG]
    สมัยที่ผมเรียนอยู่อินเดีย ผมอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาอันเก่าแก่ มีพื้นที่หลายพันไร่ ส่วนหนึ่งกลายเป็นหมู่บ้าน อีกส่วนหนึ่งเป็นเมืองโบราณ มีพระพุทธรูป และเทวรูปที่แกะสลักด้วยหินจมดินอยู่ทั่วไป บางแห่งเป็นท้องนา มีพระพุทธรูปโผล่ขึ้นครึ่งท่อนบน รอบ ๆ เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนดิน พวกชาวบ้านถูกพวกพราหมณ์แต่โบราณสั่งสอนสืบ ๆ กันมาว่า ใครเอาหินขว้างปารูปนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ เห็นแล้วสลดใจยิ่งนัก จึงเข้าใจได้ดีว่าทำไมพวกแขกอินเดียจึงยากจนข้นแค้นเหมือนคนตกนรก เหมือนสัตว์ในร่างคน เพราะเขาไร้สติปัญญา ไม่รู้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนชั่ว พวกเขาลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่รู้กี่รุ่นกี่โคตรเง่า ด้วยอำนาจผลกรรมนั้นทำให้เขามีชีวิตเยี่ยงสัตว์
    ทุกพื้นที่ไม่น้อยกว่า 3 พันไร่ ของนาลันทา ถ้าขุดลงไปมักจะพบวัตถุโบราณอยู่ไม่มากก็น้อย ลูกศิษย์ของผมคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นจึงนำเทวรูปของท้าวกุเวรมาให้ผมองค์หนึ่ง เป็นรูปแกะสลักจากหินดำที่แข็งมาก นั่งชันเข่าซ้าย พระพาหาซ้ายพาดเข่า เข่าด้านขวาวางราบ พาหาขวาเท้าพื้น มีอักษรเดวนาครีโบราณอยู่ด้านล่างรูป ขนาดของเทวรูปประมาณ หน้าตักกว้าง 2 นิ้วฟุต สร้างขึ้นประมาณพันกว่าปีมาแล้ว สวยงามเหลือเกิน ไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง ผมยังนึกเสียดายจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่ทราบว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในมือของใคร เพราะผมกลับจากอินเดีย พ.ศ.2528 ต้นปี มาถึงบัดนี้ 22 ปี ผมไม่ยึดถือในอะไร มีอะไรก็ให้เขาหมด จึงจำไม่ได้ว่าให้ใครไป แต่ผมก็มั่นใจว่าอีกไม่นาน เทวรูปองค์นี้จะกลับมาหาผมแน่นอน
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]
    <TABLE style="WIDTH: 474px; HEIGHT: 119px" cellSpacing=1 cellPadding=7 width=474 border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top>2 องค์แรกเป็นปางท้าวเวสวัณ มีลูกแก้วมณีโชติอยู่ในพระหัตถ์ องค์กลางเป็นปางท้าวกุเวร มีหัวงูอยู่ ข้างเศียรทั้ง 2 ข้าง
    2 องค์หลังก็เป็นปางท้าวกุเวร มีหัวงูอยู่ 2 ข้างติดไหล่ ตามความเชื่อว่างูคือสัตว์ที่เฝ้าขุมทรัพย์ ทั้งหมดเป็นเทวรูปดินเผาโบราณ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่เมื่อผมท่องเที่ยวไปมาในภาคอีสาน เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้เทวรูปท้าวเวสวัณ และท้าวกุเวรเก่าแก่ สมัยขอมบายน มาอีก 6 องค์ด้วยกัน เป็นรูปท้าวเวสวัณปางสมาธิ ถือแก้วมณีโชติอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ 3 องค์ เป็นปางท้าวกุเวรนั่งชันเช่าอีก 3 องค์ จากแผงพระทางจังหวัดภาคอีสาน เทวรูปเหล่านี้ชาวบ้านได้จากการขุดสถานที่โบราณ สมัยขอมโบราณ ได้มาก็เก็บไว้บนหิ้งบูชา มาถึงสมัยหลัง พวกลูกหลานฐานะลำบากยากจน พบอะไรตามหิ้งพระของปู่ย่าตายายก็นำออกขายตามแผงพระ เจ้าของแผงซื้อไว้ ผมถามเจ้าของแผงพระเขาก็ไม่รู้จัก แต่ผมเห็นผมก็รัก จึงเช่าซื้อมาเก็บไว้ ต่อมาเมื่อได้ศึกษาค้นคว้าจึงรู้ว่าเป็นเทวรูปของท้าวเวสวัณ และท้าวกุเวร ดังภาพที่นำมาให้ชม เมื่อผมได้สนทนากับองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา ผมจึงรู้ว่าผมมีความเกี่ยวข้องกับท่านมาก จึงได้รูปบูชาที่หายากของท่านมาไว้ในครอบครอง
    ทางประเทศเนปาลทำรูปท้าวกุเวรเป็นยักษ์หน้าตาดุร้าย มี 3 ขา ถือกระบอง ยืนเหยียบหัวกระโลก หมายถึงท่านมีอำนาจครอบงำทั้ง 3 โลก คือโลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก ส่วนกระโลกนั้นหมายถึงความตาย และภูตผีปีศาจ คือท่านมีอำนาจเหนือความตาย และเหนือภูตผีปีศาจ ซึ่งดูคล้ายกับพระยายมราช
    ท้าวกุเวรมีพระชายาชื่อจารวียักษี บางแห่งว่าชื่อนางฤทธี หรือ เกาเวรี บางตำราว่ามี 2 องค์คือ พระนางภัทรา และหริตี มีพระโอรสและพระธิดา 3 พระองค์คือ วรรณกวี นลกุพร และนากษี แต่ในอาฏานาฏิยสูตรว่ามี ๙๑ พระองค์ มีพระนามเหมือนกันหมดคือ อินท์
    ตำราทางพระพุทธศาสนาว่า นานมาแล้ว ก่อนที่พระพุทธเจ้ายังไม่บังเกิดขึ้นในโลก ท้าวกุเวรเกิดเป็นมนุษย์ชื่อกุเวร มีนิสัยใจบุญ ชอบบำเพ็ญทาน ศีล และภาวนา มีอาชีพหีบอ้อยขาย ท่านก็เอาน้ำอ้อยแจกจ่ายคนตกทุกข์ได้ยาก เป็นเวลานานถึง 2 หมื่นปี เมื่อสิ้นชีวิตจึงไปเกิดในเทวโลก อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ดำรงตำแหน่งเป็นท้าวโลกบาลทิศเหนือ
    ทางพระพุทธศาสนา ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณ เป็นเทพที่มีความชิดใกล้มนุษย์มากที่สุด พระองค์จะทำหน้าที่ตรวจตราดูแลสุขทุกข์ของมนุษย์ ดูว่าใครทำความดีความชั่ว เชื่อกันในสมัยโบราณว่า ทุกวันพระขึ้น๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แรม ๘ ค่ำและแรม ๑๕ ค่ำ ท้าวเวสวัณจะออกตรวจตราดูพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยตัวท่านเอง
    คัมภีร์ที่แต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระยาศรีธรรมาโศกราชต้องการทดสอบบุญบารมีของพระนางอสันธมิตตา ผู้เป็นพระมเหสี จึงมีพระราชโองการให้พระนางหาผ้าไตรจีวรสำหรับถวายพระภิกษุสงฆ์จำนวน 6 หมื่นรูปในวันและคืนหนึ่ง พระนางกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่รู้จะหาผ้าดังกล่าวได้อย่างไรในเวลาอันจำกัดเช่นนี้ จึงนอนทอดถอนใจอยู่ ในคืนนั้นเอง ท้าวเวสวัณได้ออกตรวจตราดูมนุษย์ผู้ทำดีทำชั่วด้วยพระองค์เอง เมื่อผ่านมาทางที่อยู่ของพระนางจึงรับทราบด้วยพระญาณ จึงเข้ามาปรากฏกายแสดงพระองค์ให้เห็น จึงบอกว่า เจ้าไม่ต้องวิตกไปหรอก เมื่อหลายหมื่นปีมาแล้ว เจ้าเคยถวายผ้าไตรจีวรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น บุญนั้นมหาศาลอยู่ เจ้าจะได้ผ้าไตรจากบุญนั้น เราจะให้ผอบวิเศษแก่เจ้า ถ้าเจ้าต้องการผ้าก็ให้อธิษฐานแล้วดึงออกจากผอบนี้ เจ้าจะได้ผ้าจีวรเพียงพอแก่ความต้องการ ครั้งนอบของวิเศษให้แล้วพระองค์ก็อันตรธานหายไปจากที่นั้น
    วันต่อมา เมื่อพระนางตื่นแต่เช้าก็อธิษฐานขอผ้าไตรจีวร ก็สามารถดึงผ้าจีวรจากผอบนั้นจนครบตามจำนวนพระภิกษุสงฆ์ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจึงเชื่อและเลื่อมใสในบุญญาธิการของพระนาง
     
  6. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    เทพศัสตราแห่งท้าวเวสวัณและท้าวยมราช
    มีพระคาถาหนึ่งชื่อ “เทพศัสตรา” กล่าวถึงอาวุธของเทพองค์สำคัญ ๕ พระองค์คือ
    ๑. พระอินทร์ มีวัชระคือสายฟ้า เป็นอาวุธ
    ๒. ท้าวเวสวัณ มีคธา(ตระบอง) เป็นอาวุธ
    ๓. พระยมราช มีนัยนาเป็นอาวุธ
    ๔. อาฬวกะยักษ์ มีบ่วงเป็นอาวุธ
    ๕. พระนารายณ์ มีจักร เป็นอาวุธ
    คาถามีว่า “สักกัสสะวะชิราวุธัง อาฬะวะกัสสะทุสาวุธัง
    เวสวัณณัสสะคะธาวุธัง ยมนัสสะนัยนาวุธัง
    นารายณัสสะจักราวุธัง ปัญจะอาวุธา เทวสัสตราวุธานัง
    สัพพะชีวิตัง มะระณังเจวะ
    ใช้เสกฝ่ามือฟาดผี หรือยามต่อสู้กับศัตรู เสกปืน เสกมีด และอาวุธทั้งปวง ชนะศัตรูทุกหย่อมหญ้า
    อาวุธทั้ง ๕ นี้เป็นที่เกรงขามของทั้ง ๓ ภพ โดยเฉพาะเหล่ามารร้ายต่างเกรงกลัวอาวุธของเทพเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้มาก กระบองของท้าวเวสวัณนั้น หากฟาดถูกภูตผีปีศาจตนใด ร่างจะแหลกเหลวจมลงในดิน อย่าหวังว่าจะได้ผุดได้เกิด เพราะเหตุนี้ องค์พ่อ ๑๖ คือท้าวเวสวัณจึงมีพระนามว่า “เทพศักดิ์พระศาสตราบดี” ความหมายหนึ่งคือเทพผู้มีอาวุธวิเศษประจำกาย แต่องค์พ่อจิตราบอกว่า หมายถึงผู้มีอำนาจเหนืออาวุธทั้งปวง พระนามนี้องค์พ่อจิตราหรือพระยายมราชเป็นผู้บอกให้องค์ญาณเขียนลงในบัตรเชิญ เพื่อมอบให้สานุศิษย์มาร่วมงานวันไหว้ครูที่ ๑๕ มีนาคม 2550 ที่ผ่านมา
    ความจริงแล้ว เทพเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ต้องมีพระนามตามเทวศักดิ์นี้เหมือนกันทุกพระองค์ คือ”สมเด็จพระเทพศักดิ์พระศาสตราบดี” แต่องค์ยมราชยกย่ององค์เทพ ๑๖ ซึ่งท่านเคารพนับถือมาก พูดถึงองค์พี่ ๑๖ องค์เทพจิตราจะยกมือท่วมเศียรทุกครั้ง ท่านว่าเป็นมนุษย์ก็ต้องมีเจ้ามีนายตามลำดับ แม้เกิดเป็นเทพก็ต้องมีเจ้ามีนายปกครองกันตามลำดับชั้น องค์พี่ ๑๖ เป็นเจ้านายเหนือหัวของพ่อ ถ้าพ่อทำผิดก็ถูกท่านลงโทษเช่นเดียวกัน
    ส่วนเทพศาสตราขององค์พ่อจิตรา หรือพระยายมราชคือนัยนา คือมีสายตาเป็นอาวุธ เรื่องนี้เป็นที่ทราบดีในหมู่สานุศิษย์ผู้ชิดใกล้ มีเจ๊เล็ก ดาบใบ ครูพร และคุณประมิน ผู้ซึ่งได้สัมผัสกับองค์ญาณผู้เป็นร่างสื่อขององค์พ่อมาแต่ต้น ว่าถ้าใครจ้องตาองค์พ่อจิตราจะน้ำตาไหลไม่หยุด แม้จ้ององค์เหล็กไหลหยดน้ำค้างสีปีกแมลงทับก็จะมีอาการเช่นเดียวกัน ต้องเอาน้ำทิพย์มาล้างตาจึงจะหาย
    ครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับองค์พ่อจิตราที่บ้านเจ๊เล็ก ท่านลงมาสนทนากับผมโดยไม่ต้องอัญเชิญ ท่านบอกให้ผมจ้องตาท่าน แต่เจ๊เล็กชิงบอกว่า “หมออย่าจ้องตาท่านนะ ระวังตาจะบอด หรือน้ำตาไหลไม่หยุด” ผมก็จ้องตาท่าน ไม่เชื่อเจ๊เล็ก แต่ผมก็เบี่ยงเบนไปหยอกท่านว่า “พ่อครับ ทำให้ตาขององค์ญาณหายส่อนหน่อยสิครับ” ท่านพูดว่า ขนาดตาส่อนอย่างนี้คนยังหลงกันทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าตามันสวยคนมิหลงกันทั้งโลกหรือ พ่อปล่อยให้มันส่อนอย่างนี้แหละ ไม่ให้มันสวยหรอก” แต่ผลจากการจ้องตาท่าน ผมก็ไม่มีอาการผิดปกติสิ่งใด ทั้งนี้เพราะท่านไม่ได้ต้องการจะทำร้ายผมนั่นเอง เพราะผมก็คือลูกคนหนึ่งของท่าน ที่ท่านตามปกปักรักษามาแต่ไหนแต่ไร
    และผมก็ถึงบางอ้อ ที่องค์ญาณเอานิ้วชี้ต้นกระถินยักษ์ต้นโตขนาดต้นเสา ต้นสูงพอ ๆ กับต้นมะพร้าว บอกว่ามึงล้มเดี๋ยวนี้ ๆ กระถินต้นนั้นก็ล้มจนถอนรากถอนโคนในบัดดล เจ๊เล็กก็อยู่ในเหตุการณ์ (ดูภาพประกอบ ซึ่งมี
    ดวงเทพเต็มไปหมด ขณะที่ผมถ่ายภาพ เทพคงมาชุมนุมเพื่อเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น)
    [​IMG]

    ต้นกระถินล้มมิใช่เพราะนิ้วชี้ขององค์ญาณหรอก แต่เพราะสายตาคืออาวุธวิเศษที่องค์พ่อจิตราสื่อผ่านองค์ญาณต่างหาก ถ้าองค์ญาณมองสิ่งใด อยากให้สิ่งนั้นเป็นแบบไหน องค์พ่อจิตราก็จะทำให้เป็นแบบนั้น ถ้าจ้องเพ่งรถยนต์ที่กำลังวิ่ง จะให้รถคันนั้นคว่ำ รถก็ต้องคว่ำ เช่นที่ผมเล่าว่า องค์ญาณโมโหเด็กวัยรุ่นที่ขับมอเตอร์ไซด์ซิ่งในซอย ส่งเสียงรบกวนชาวบ้าน จึงลุกขึ้นยืนชี้ว่ามึงล้มเดี๋ยวนี้ ๆ ขอให้เลื้อยเป็นงู เด็กวัยรุ่นก็ไม่สามารถควบคุมมอเตอร์ไซด์ได้ ล้มเลื้อยอยู่ตรงนั้นจนบาดเจ็บสาหัส เวลาไปไหนกับเจ๊เล็ก ก็มักพบวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซด์ซิ่ง องค์ญาณจะยกนิ้วชี้ให้เขาล้ม เจ๊เล็กต้องรวบมือไว้ทุกครั้ง เพราะองค์พ่อ ๑๖ สอนวิธีไว้แล้ว คราวหนึ่งนั่งรถไปกับผม พบคนขับมอเตอร์ซิ่งปราดหน้า ส่งเสียงแว็ด ๆ องค์ญาณยกมือขึ้นชี้ ผมก็รีบรวบมือไว้ ไม่ยอมให้ทำเช่นกัน
    เมื่อองค์ญาณคิดสิ่งใด เกิดความรู้สึกเช่นใด รักหรือชังคนใด องค์พ่อจิตราจะมีความรู้สึกเหนือกว่าองค์ญาณอีกหลายสิบเท่า ถ้าโกรธก็โกรธมากกว่าหลายสิบเท่า ถ้ารักก็รักมากกว่าหลายสิบเท่า เพราะจิตของท่านกล้าแกร่งกว่า ท่านจึงมีพระนามว่า”จิตรา”
    เรื่องการมีฤทธิ์อำนาจนี้ ถ้ามีอยู่ในคนไร้ศีลธรรมก็คงสร้างความยุ่งให้เกิดขึ้นในโลกมิใช่น้อย แม้แต่องค์ญาณเอง บางครั้งก็นึกอยากทำอะไรสนุก ๆ เหมือนเด็ก ๆ อยากใช้ฤทธิ์ที่พ่อจิตรามอบให้ แต่แค่คิดจะทำ ก็ถูกองค์พ่อ ๑๖ คือท้าวเวสวัณตบศีรษะเบา ๆ เป็นการเตือนสติ ท่านก็เลิกทำ เช่นคราหนึ่งไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารริมเขื่อนลำตะคอง เห็นชาวบ้านเอาเรือออกวางข่ายดักปลา ความที่ไม่ชอบคนรังแกสัตว์ จึงนึกเพ่งมองเรือลำนั้น นึกถึงองค์พ่อจิตราว่า พ่อ ทำให้เรือลำนี้คว่ำหน่อยเถิด แค่นึก ก็รู้สึกว่าถูกตบศีรษะเบา ๆ เธอก็เลิกทำ หาไม่แล้วเรือลำนั้นก็ต้องพลิกคว่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่คนไม่ตายหรอก เพราะเจ้าของเก่งทางน้ำอยู่แล้ว
    ดังนั้นจึงขอเตือนผู้อ่านบางท่านที่นึกอยากจะลองดีกับองค์ญาณ บางคนอ่านเรื่องที่ผมเขียนอาจคิดว่าเว่อร์ เป็นเรื่องแต่งเติมเสริมสีสัน ก็นึกอยากจะลองดี ขอบอกตามตรง นามปากกา”สันยาสี” ไม่เคยเขียนเรื่องที่ไม่จริง ไม่ใช่คนขี้โม้ แม้เขียนหนังสือก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน หวังเพียงเผยแพร่สิ่งที่ดีงาม หรือความจริงให้คนได้อ่านได้ศึกษากัน ดังนั้นท่านอย่าคิดไปลองดีกับองค์ญาณไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าเด็ดขาดนะครับ เพาะองค์พ่อจิตราจะอยู่กับองค์ญาณตลอดเวลา มีน้อยครั้งที่ท่านจะไปที่อื่น และท่านก็เคยบอกผมว่า ท่านคือท้าวพันตาพญาพันตีน ท่านสามารถแยกร่างคราวเดียวกันได้ถึงพันร่าง มีญาณรับรู้ในคราวเดียวกันถึงพันทาง เหมือนมีตาพันตา ดังนั้น ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน ถ้าองค์ญาณระลึกถึงท่าน ขอใช้อำนาจของท่าน องค์ญาณจะได้รับอำนาจนั้นทันทีทันใด รวดเร็วทันใจ
    เมื่อนึกถึงใคร อยากรู้อยากเห็นว่าคนนั้นอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร กำลังนึกอะไร องค์ญาณก็จะรู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยญาณขององค์พ่อจิตราสื่อผ่าน หรือญาณขององค์พ่อ ๑๖ มีสานุศิษย์บางคนข้าวของหาย โทร.หาองค์ญาณ เล่าเรื่องให้ฟัง องค์ญาณสามารถบอกได้ทันทีว่าใครเป็นคนเอาไป รูปร่างลักษณะอย่างไร จะบอกชื่อแซ่ยังได้ แต่ส่วนมากไม่บอก เพราะไม่อยากให้คนทะเลาะกัน คนอยู่สุราษฎร์ธานี ลูกสาวออกจากบ้านตั้งแต่เช้า โทร.หาก็ติดต่อไม่ได้ โทร.หาองค์ญาณว่าลูกสาวหาย พ่อกระซิบบอกองค์ญาณทันทีว่า มันอยู่สุโขทัย อยู่กับเพื่อน ๆ มากมาย เมื่อองค์ญาณสอบถามแม่ของเขาว่าเด็กเรียนอยู่ที่ไหน ทางแม่บอกว่าเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช องค์ญาณทำท่าตกใจ นึกความหมายของพ่อผิด นึกว่าเด็กไปเที่ยวจังหวัดสุโขทัย จึงบอกว่าเขาไม่เป็นไร สนุกสนาน สะดวกสบาย อยู่กับเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย ให้จุดธูปบอกองค์พ่อ ขอให้ลูกโทร.กลับบ้านเดี๋ยวนี้
    เมื่อวางหู ผ่านไปไม่ถึง 20 นาที ทางแม่ก็โทร.มาอีก บอกว่าลูกโทร.มาหาแล้ว บอกว่าอยู่กับเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัย ไม่ต้องห่วง และคนเดียวกันนี้ ก่อนหน้านั้นเงินทองหายในบ้าน โทร.มาถามองค์ญาณ องค์พ่อก็สื่อผ่านบอกว่าน้องสาวรูปร่างผิวคล้ำ อ้วนท้วม มีท้อง เป็นคนเอาไป องค์ญาณก็บอกเขาไปตามนั้น ทางนั้นก็ถามน้องสาวซึ่งตรงกับที่องค์ญาณบอก เขาก็ไม่ปฏิเสธ
    จึงเตือนสติมาด้วยความหวังดี ว่าองค์พ่อจิตรารักและตามใจลูกสาวคนนี้มาก ถ้าลูกต้องการสิ่งใด ขอสิ่งใด องค์พ่อจิตราจะตามใจทุกอย่าง และทันทีทันใด ดีที่องค์พ่อ ๑๖ คอยเตือนสติ หาไม่แล้วคนที่รุกรานองค์ญาณคงจบชีวิตไปหลายคนแล้วด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ขององค์เทพจิตรา
    ถ้าใครจะรักองค์ญาณก็รักเถิด แต่ให้รู้จักรัก จงรัก เคารพ และนับถือ อย่าทะลึ่งไปคิดอย่างอื่น เพราะองค์พ่อจิตราหวงลูกสาวคนนี้นักหนา ดีไม่ดีจะเคราะห์ร้ายโดยไม่รู้ตัวด้วยนัยนาวุธของท่าน ถ้าเคารพรัก นับถือองค์ญาณ อยากให้องค์ญาณช่วยเหลือสิ่งใด องค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา จะช่วยเหลือผู้นั้นทันที แม้อยู่คนละทวีปก็ตาม

    เจ้าของขุมทรัพย์ทั้งปวงบนพื้นปฐพี
    นอกจากท้าวเวสวัณจะมีหน้าที่ปกครองสัตว์โลกกล่าวคือเป็นท้าวโลกบาล เก่งในการปราบปรามพวกภูตผีปีศาจที่รังครวญมนุษย์แล้ว ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ทั้งปฐพี ท่านยังสามารถประทานพรให้ผู้จงรักภักดีเกิดความมั่งมีศรีสุขได้ด้วย บทบาทนี้คนไทยเราไม่ค่อยรู้ แต่คนอินเดีย เนปาล ธิเบต จีน และญี่ปุ่น กลับรู้ดีกว่า
    คนธิเบตเรียกท่านว่าท้าวชัมภล เป็นกษัตริย์นครชัมภาลา มหานครที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยเพชรนิลจินดา ท้าวชัมภล เป็นปางหนึ่งของท้าวเวสวัณ เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงสุดในพระพุทธศาสนามหายานฝ่ายธิเบต ตามลัทธิวัชรยาน มักเขียนเป็นรูปคนพุงพลุ้ย มือข้างหนึ่งถือแก้วสารพัดนึก มือข้างหนึ่งถือพังพอน บ้างก็ถืองู เพราะเชื่อกันว่างูมีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ ส่วนพังพอนเกิดจากคติที่ว่าสามารถบังคับให้งูคายทรัพย์ได้
    พุทธศาสนามหายานทางฝ่ายจีนเรียกท่านว่า “ไฉ่ซิ้งเอี้ย” ทำเป็นคนรูปอ้วนพุงพลุ้ย นั่งห้อยพระบาทข้างขวา นับถือกันว่าผู้ใดเคารพบูชาแล้วจะร่ำรวย เดี๋ยวนี้ทางคนไทยหัวใสก็ทำรูปไฉ่ซิ้งเอี้ยออกมาจำหน่ายกันหลายเจ้าแล้ว ทางญี่ปุ่นเรียกว่า “พิสมอน” แปลว่าเจ้าแห่งทรัพย์เช่นกัน
    ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงเรียกชื่อว่า “ท้าวไพศพมหาราช” และพรรณนาเรื่องไว้ว่า “ท้าวไพศพมหาราช เป็นพระยาแก่ฝูงยักษ์ แลเทพยดาทั้งหลาย และบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อสุก(ล้วนมีเครื่องประดับสุกอร่ามไปด้วยทองคำ) ฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้นบ้างถือฆ้อน บ้างถือสาก แลจามรี เทียรย่อมทองคำบ่มิรู้ขี่ร้อย แลยักษ์ฝูงนั้นมีหน้าอันสะพรึงกลัว แลท้าวไพศพมหาราชจึงขึ้นม้าเหลืองตัวหนึ่งดูงามดังทอง”
    ตามเทพนิยายอินเดีย เรียกชื่อท้าวกุเวรหลายชื่อเช่น ไวศรวัณ (เวสวัณ) ธนบดี ธเนศวร อุจฉาวสุ(มั่งมีได้ตามใจนึก) ยักษราช มยุราช และราษเสนทร์
    เล่าเรื่องตามตำราได้เนื้อหามาเช่นนี้ ทีนี้ ความสงสัยระหว่างชื่อท้าวกุเวร ว่าจะเป็นท้าวเวสวัณ หรือท้าวยมราชกันแน่ ผมขอนำท่านไปฟังจากพระโอษฐ์ของพระองค์ท่านทั้งสอง คือองค์พ่อ ๑๖ และองค์พ่อจิตรา ท่านจะว่าอย่างไร โปรดติดตามอ่านฉบับหน้านะครับ.

    <SCRIPT language=javascript> function checkArticle(){ if(document.myform.mailform_name.value==""){ alert("กรุณากรอก ชื่อ !!!"); return false; } if(document.myform.mailform_email.value==""){ alert("กรุณากรอก อีเมล !!!"); return false; } if((document.myform.mailform_email.value.indexOf('@') == -1 ) || (document.myform.mailform_email.value.indexOf('.') == -1)){ alert("กรุณากรอก อีเมล ให้ถูกต้อง ตัวอย่าง : sanyasi99@hotmail.com"); return false; } if(document.myform.mailform_subject.value==""){ alert("กรุณากรอก หัวข้อ !!!"); return false; } if(document.myform.mailform_message.value==""){ alert("กรุณากรอก รายละเอียด !!!"); return false; }else myform.submit(); } </SCRIPT>ที่มา...หนังสือพุทธามหาเวท
     
  7. แม่น้องนน

    แม่น้องนน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    457
    ค่าพลัง:
    +1,427
    เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก...และก็ยาวมาก ๆ ด้วย ต้องพิมพ์กลับไปอ่านต่อที่บ้าน..ขออนุโมทนาค่ะ
     
  8. pisit_shut

    pisit_shut Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +38
    ผมมีความเชื่อในเรื่องนี้และหวังไว้สักวันหากบุญบารมีผมถึง ผมคงได้บูชาองค์เท้าเวสวัณมาสักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตผม ขออนุโมทนามายังผู้ที่นับถือทุก ๆ ท่านครับ
     
  9. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    ขออนุโมทนาขอบคุณ คุณสุริยันจันทรา ที่นำเรื่ององค์พ่อของสันยาสีมาโพสไว้ ณ ที่นี้ ทำให้ท่านที่สนใจใคร่รู้เรื่องท้าวเวสวัณและท้าวกุเวรมีความรู้กว้างขึ้นกว่าเดิม แต่เรื่องที่นำมาลงยังไม่จบ ผมจึงขอนำส่วนที่เหลือมาลงเพิ่มอีก เพื่อให้ได้ศึกษากันต่อ
     
  10. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    ท้าวเวสวัณมหาราช<O:p
    เทพเจ้าผู้ประทานความร่ำรวยแก่ผู้บูชา<O:p
    โดย สันยาสี<O:p
    (ต่อจากฉบับที่แล้ว)<O:p
    <O:p

    <O:p
    ผู้คนเกิดมาในโลกนี้มีเส้นทางเดินอยู่ 2 เส้นทางใหญ่ ๆ คือ ทางโลกกับทางธรรม หรือทางโลกิยะวิสัย และโลกุตระวิสัย <O:p
    คนที่ต้องเดินทางโลกหรือทางโลกิยะวิสัย ก็ต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตในการแสวงหาทรัพย์สมบัติ หาการยอมรับจากผู้อื่นคือสังคม แสวงหากิน กาม เกียรติ หรือพูดหยาบ ๆ คือทุกคนเสมอกันในเรื่อง กิน ขี้ ปี้ นอน ตกอยู่ในอำนาจของความต้องการของความคิดปรุงแต่งของตนเอง ทุกคนคิด ๆ ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองคิด เพราะมันไม่มีช่องว่างแห่งความรู้ตัวเกิดขึ้น เมื่อคิดในสิ่งไหน ต้องการในสิ่งไหน ก็วิ่งโร่ไปตามความคิด เกิดการกระทำขึ้นด้วยอิทธิพลของความยึดมั่นในความคิดนั้น คิดดีก็เกิดการกระทำในสิ่งที่ดี คิดชั่วก็เกิดการกระทำในสิ่งที่ชั่ว เกิดอวิชชาคือความดำมืดทางจิตใจหุ้มห่อ ถูกพัวพันด้วยโลภ โกรธ หลง ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน <O:p(ยกมากล่าวทั้งแผงเลย) เป็นกันอย่างนี้ทั่วทุกผู้ตัวคน เหมือนกันหมด จนตายจากโลกนี้ก็ไปเกิดอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งหาความแน่นอนไม่ได้ ช่วงดับจิตคิดดีก็ไปเกิดในภพภูมิที่ดีมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า จะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้สร้างไว้สมัยเป็นมนุษย์ ถ้าคิดชั่วตอนนั้นก็ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำทราม มีนรก เปรต ดิรัจฉาน วิญญาณเร่ร่อนอด ๆ อยาก ๆ เพราะผลแห่งการกระทำสมัยเป็นมนุษย์ แม้เป็นนายพลเจ้ากรมทหารยังไปเกิดเป็นสุนัขก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว (จะนำมาเล่าให้อ่านกันในฉบับต่อไป) <O:p></O:p>
    คนบางคนเกิดมาในโลกนี้ เมื่อสัมผัสกับผู้คนและสังคมไม่นานก็เบื่อหน่าย มองเห็นอะไรก็ล้วนไร้สาระ ไม่มีอะไรที่เป็นสุขอย่างแท้จริง จึงเกิดการแสวงหาความสุขชนิดใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุสิ่งของหรือผู้คน การหลีกเร้นซ่อนกายก็เกิดขึ้นเพื่อแสวงหาความสุขที่เหนือขึ้นไปอีก เช่นเจ้าชายสิทธัตถะ และผู้คงแก่เรียนทั้งหลายในสมัยพุทธกาล เราจึงมีพระพุทธเจ้า มีพระปัจเจกพุทธเจ้า มีพระอรหันต์ ผู้หลุดพ้นจากความยึดเหนี่ยวภายนอก ผู้มีอิสระภายใน ผู้ไม่เป็นทาสของความคิดปรุงแต่ง ผู้ประสบสันติอันแท้จริง ผู้มีอิสระทางจิตใจอย่างเต็มเปี่ยม นี่คือผู้เดินในเส้นทางโลกุตระ ซึ่งหาได้น้อยมากดุจเขาโค ย่อมมีน้อยกว่าขนบนตัวโคฉันนั้น<O:p

    เทพกับมนุษย์<O:p

    แต่ไม่ว่ามนุษย์จะเดินบนเส้นทางไหน มนุษย์ย่อมได้รับการช่วยเหลือจากเทพเทวาอยู่ดี ไม่มากก็น้อย มนุษย์ผู้มีบุญอันได้กระทำมาดีแล้ว เทพเทวาผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ย่อมคุ้มครองรักษาและช่วยเหลือให้ประสบความสำเร็จในการแสวงหาด้านโลกิยะสมบัติ จะทำมาหากินด้านใดก็ประสบความสำเร็จเหนือผู้อื่น แต่ถ้ามนุษย์ผู้นั้นหาบุญมิได้ เขาย่อมประสบกับความข้นแค้นแสนสาหัส ทำกิจการงานสิ่งใดก็ประสบแต่อุปสรรคหลักตอ <O:p
    มนุษย์ที่แสวงหาทางด้านโลกุตระ หลบลี้หนีหน้าผู้คนไปอยู่ป่า เทพเทวายิ่งรักเคารพ คอยติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอด แม้ปฏิบัติผิดทาง เทพที่เป็นพระอริยเจ้าก็คอยให้คำสั่งสอนตักเตือน แม้ข้าวน้ำยังไม่ยอมให้อด แต่ถ้าบุญน้อยก็เป็นพระอด ๆ อยาก ๆ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเคยอ่านพระสูตรต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกก็จะพบมากมายหลายเรื่องที่พระอรหันต์หรือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบางท่านได้รับการช่วยเหลือจากเหล่าเทพเทวา แม้ป่ารกชัฏ เหล่าเทวดายังช่วยเนรมิตให้เป็นวัดวาอารามที่สวยงาม เมื่อท่านจากไปแล้ว ป่าแห่งนั้นกลับเป็นป่าหนามดงทึบดุจเดิม แต่บางท่านแม้เป็นพระอรหันต์ก็ประสบแต่ความอดอยากยากเข็ญ แม้จีวรก็ขาด ๆ วิ่น ๆ ทั้งนี้เพราะขาดบุญทานแต่ปางก่อนส่งเสริม<O:p
    เทวดาที่ช่วยส่งเสริมมนุษย์ก็คือเหล่าเทวดาที่เคยเป็นญาติ มิตร บริวารกันมาก่อน หรือเป็นครูบาอาจารย์กันมาก่อน มีบุญเสมอกัน หรือได้รับการช่วยเหลือจากผู้นั้นมาก่อน เมื่อผู้นั้นเคลื่อนจากเทวโลก หรือพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์ เทพเทวาเหล่านั้นก็คอยติดตามความเคลื่อนไหวด้วยทิพย์เนตร ทิพย์โสตอยู่เสมอ เมื่อผู้นั้นเดือดร้อนหรือต้องการสิ่งใด เทพเทวาจึงดลบันดาลให้สมความปรารถนา ความบังเอิญจึงไม่มีในโลกนี้ <O:p

    คนไร้บุญวาสนาก็คือคนที่ขาดทานบารมี ไม่เคยทำบุญให้ทานมาก่อน หรือให้ไม่มากพอ ขาดการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น จึงขาดบริวารบารมี เมื่อตกทุกข์ได้ยากก็ขาดคนเหลียวแล ขาดเทพเทวาส่งเสริม คนเกิดมาในโลกนี้จึงมีความแตกต่างกัน แม้เกิดในพุทธศาสนาที่มิได้แบ่งชนชั้นวรรณะ แต่บุญบารมีที่สร้างมาต่างกันก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นตามธรรมชาติอยู่เอง จึงมีระดับลูกจ้าง นายจ้าง คนรวย คนจน เพราะนี่คือกฎแห่งกรรม ไม่มีลัทธิการเมืองไหนที่ขจัดช่องว่างนี้ลงได้ แม้เกิดในประเทศคอมมิวนิสต์ จนลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย การขจัดช่องว่างนี้ก็หาสำเร็จไม่ ประเทศคอมมิวนิสต์ก็มีชนชั้นผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ชนชั้นปกครองมีเหลือกินเหลือใช้ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน ส่วนชนชั้นถูกปกครองยากจนเสมอกันทั้งแผ่นดิน <O:p
    แม้ไปเกิดในเทวโลก ช่องว่างนี้ก็ยังมีอยู่ระหว่างผู้มีบุญน้อยกับผู้มีบุญมาก จึงมีเทพบุตรหรือเทพธิดาที่อาศัยบุญผู้อื่นอยู่ คอยเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดารับใช้ในมหาเทพผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่โดยไม่ปริปากร้องทุกข์ เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องของบุญวาสนาที่ตนเองทำมาน้อย ที่มาได้รับความสุขขนาดนี้ก็เพราะนายได้ชักชวนให้ก่อสร้างบุญกุศล และเพราะบุญนั้นจึงได้มาเสวยสุขในร่มบุญของท่าน เมื่อยอมรับความจริงเขาจึงไม่ทุกข์ ไม่มีความกดดัน ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่โพนทะนาป่าวร้องว่าเทวโลกไม่มีความยุติธรรม แม้ช้างเอราวัณอันเป็นช้างของสักกะมานพ ได้ช่วยสักกะมานพสร้างกุศล ชักลากไม้ซุงมาก่อสร้างศาลา เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดในเทวโลกเป็นเทพบุตร อาศัยร่มบุญของท้าวสักกะเทวราช ยามใดท้าวสักกะต้องการช้างทรง เทพบุตรเอราวัณก็ต้องเนรมิตตัวเองเป็นช้างให้พระอินทร์หรือท้าวสักกะได้ทรงประทับ

    <O:pดังนั้น ความสำเร็จของมนุษย์จึงต้องพึ่งพาเทพเทวาส่วนหนึ่ง เกิดจากการกระทำของตนเองส่วนหนึ่ง ดุจพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโลก แห่งวัดป่าสามแยก ตำบลวังกวาวง อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้สั่งสอนสาธุชนที่ไปกราบนมัสการอยู่ทุกวี่วัน ให้ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เทพเทวาที่รักษาคุ้มครองตนเอง เทพที่รักษาที่อยู่อาศัยของตนเอง เทพที่เป็นใหญ่ในหมู่บ้านตำบลของตนเอง และเทพที่เป็นญาติมิตรของตนเอง บ่อย ๆ เมื่อเขาได้รับบุญมากขึ้นเขาก็เลื่อนภพภูมิสูงขึ้น มีฤทธิ์อำนาจมากขึ้น แล้วเขาก็จะกลับมาช่วยเหลือเกื้อกูลเราเอง คนที่นำคำสอนของท่านไปใช้ทุกวี่วัน ก็จะปรากฏความสำเร็จขึ้น ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับแรงบุญกุศลของผู้นั้น ก็เป็นเครื่องประจักษ์พยานว่าสิ่งที่ท่านพูดท่านสอนนั้นเป็นเรื่องจริง หาได้โกหกหลอกลวงให้คนทำบุญแต่ประการใดไม่<O:p

    แต่การจะเดินข้ามขั้นตอนให้ประสบความสำเร็จที่รวดเร็วทันใจนั้น เราต้องพึ่งพาเทพเทวาที่ท่านมีศักดิ์สูง มีฤทธิ์อำนาจที่สูงส่งอยู่แล้ว เราต้องทำตัวเราเองให้ท่านรู้จัก ด้วยการหมั่นบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอ แล้วส่งบุญถึงท่าน ขอความช่วยเหลือจากท่าน แล้วเราจะสัมฤทธิ์ผลเร็วที่สุด เปรียบเหมือนเราลำบากยากจน แต่เราก็พยายามทำมาหากินเลี้ยงลูกหลานให้เจริญเติบโต หวังว่าเติบใหญ่ขึ้นเขาได้ดีเราจะได้พึ่งพาอาศัย กาลเวลาก็ดูจะยาวเกินรอ แต่ถ้าเราไปทำดี นบนอบ กับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ เมื่อเราขอความช่วยเหลือจากท่านเราย่อมได้รับความช่วยเหลือทันที แต่ก็อย่าลืมลูกหลานชิดใกล้ เราก็เลี้ยงดูส่งเสริมพวกเขาไปในขณะเดียวกัน
    <O:p
    การทำบุญอุทิศกุศลก็ต้องอุทิศไปพร้อม ๆ กัน ทั้งแก่เทพเทวาผู้มีศักดิ์ใหญ่ และเทพเทวาผู้น้อยที่อยู่ใกล้ชิดเรา อย่าคิดว่าเทพผู้ใหญ่ท่านรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ท่านก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะรู้จักเราได้อย่างไร ถ้าเรารู้จักแต่ผู้ใหญ่บ้าน เราก็จะได้รับความช่วยเหลือในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ถ้ารู้จักผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านก็ช่วยเหลือเราได้ในเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเราสนิทกับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แม้เรื่องใหญ่ ๆ ท่านก็ช่วยเหลือเราได้ง่าย ๆ แบบพลิกฝ่ามือ <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2007
  11. กิเลศเยอะ

    กิเลศเยอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +676
    ทำไมเรื่องเทพมันวุ้นวายจังครับ ไม่อยากรู้แระ
    ทำไมพระพุทธเจ้า ตรัสว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงค์เป็นสวรรค์ชั้น 2
    แต่ที่คุณบอกว่า องค์พ่อของคุณท่านบอกไว้ว่า คือชั้นที่ 16
    ผม งง ครับ
    บอกผมที
     
  12. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    เรื่องของเทพไม่ได้ยุ่ง แม้เทพก็ไม่ได้ยุ่ง
    ถ้ากิเลสเราเยอะ มันก็มักจะทำให้เรายึดติดแบบใดแบบหนึ่ง เราจึงไม่ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ อย่าลืมว่าตำราต่าง ๆ ถูกจดจำมาหลายพันปี มันก็อาจมีการเพี้ยนไปบ้าง หรือไม่ท่านก็พูดอีกแบบหนึ่ง มีการแบ่งอีกแบบหนึ่ง ซึ่งแบบที่เราได้ยินมานี้มันไม่เหมือนตำรา การแบ่งนี้มันจะตรงกับสิ่งที่เราเคยได้ยินมาคือ สิบหกชั้นฟ้า สิบห้าชั้นดิน ซึ่งท่านจะได้อธิบายต่อไป
     
  13. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    เทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือใคร<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จากคำถามนี้เราคงได้รับคำตอบที่แตกต่างกัน บางคนอาจตอบว่าพระพรหมยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะเป็นผู้สร้างโลก บางคนตอบว่าพระวิษณุต่างหากที่สร้างโลกและสร้างพระพรหม รวมทั้งพระศิวะ บางคนก็ตอบว่าพระพรหมต่างหากที่สร้างพระวิษณุหรือพระนารายน์ และพระศิวะ ต่างก็เถียงกันไปมาโดยยกตำรับตำราต่าง ๆ ขึ้นมาอ้าง แต่ตำราแต่ละยุคก็เขียนต่างกัน ยกย่องเทพเจ้าต่างกัน เราจะเอาตำราเล่มไหนมาอ้าง แม้ผมเองค้นคว้าตำราต่าง ๆ ก็หัวหมุน เพราะต่างยุคตำราก็ต่างกัน ความยิ่งใหญ่ก็กลับกันไปกลับกันมา <o:p></o:p>
    โธ่ถังยางมะตอย ก็ตำราต่าง ๆ มนุษย์เป็นผู้เขียนเป็นผู้แต่ง นับถือเทพองค์ไหนก็ยกย่องเทพองค์นั้นให้เป็นใหญ่ แต่งเรื่องราวขึ้นมาให้สอดคล้องกับความเชื่อถือของตนเอง เวลาผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี เรื่องที่นั่งเทียนเขียนก็ดูจะเป็นเรื่องจริงของคนรุ่นหลัง ถึงกับนำมาอ้างอิงหักล้างกัน<o:p></o:p>
    รู้มั้ยว่าวันเวลาผ่านมาไม่ถึง 200 ปี เรื่องอภัยมณีของสุนทรภู่ก็คล้ายจะเป็นเรื่องจริงที่ผู้คนเชื่อถือ นางพันธุรัตน์ นางผีเสื้อสมุทร และเงาะป่าพระสังข์ทอง ซึ่งมาจากวรรณคดีที่รจนาขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 2 ก็กลายเป็นรูปปั้น และเหรียญให้คนเคารพบูชา เรียกทรัพย์เรียกสินกันแล้ว สามก๊ก วรรณคดีที่ขึ้นชื่อลือลั่นของจีน มีที่มาจากประวัติตำนานของวีรบุรุษในตำนานเมื่อหลายร้อยปีก่อน คือเมื่อพ.ศ.300-500 พอผ่านมาเกือบสองพันปี นักเขียนบทละครงิ้วก็แต่งเรื่องสามก๊กให้คนได้เล่นได้อ่านกัน และแต่งเป็นนวนิยายเล่มใหญ่หนา นำตัวละครในอดีตเช่น ขงเบ้ง กวนอู มาแต่งเข้ากับตัวละครในยุคของตนเอง มาจนถึงยุคปัจจุบัน นักอ่านจำนวนมากเกิดเชื่อถืออย่างจริงจังว่าตัวละครต่าง ๆ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องสามก๊กเป็นตัวจริงเรื่องจริง จินตนิยายอิงตำนานวีรบุรุษของหลอก้วนจง กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปเสียแล้ว คำสอนของขงเบ้งที่หลอก้วนจงแต่งขึ้นสอนลูก ๆ ก็กลายเป็นคำสอนของขงเบ้งจริง ๆ ไปเสียแล้ว<o:p></o:p>
    แล้วเรื่องเทพนิยายที่แขกแต่งขึ้นในแต่ละยุคที่มีความขัดแย้งกันเอง จะมีความเชื่อถือได้เพียงใด มันก็เป็นเพียงจินตเทพนิยายที่นักปราชญ์อินเดียโบราณแต่งขึ้นเท่านั้น ผมจึงไม่เชื่อตำราที่มนุษย์แต่ง แม้ที่ปรากฏในพระไตรปิฎกอันว่าด้วยเรื่องของท้าวเวสวัณไปกราบทูลถวายอาฏานาฏิยะสูตรแด่พระพุทธเจ้า ผมก็ไม่เชื่อทั้งหมด ผมว่ามันต้องมีผิดเพี้ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะพระไตรปิฏกถูกจารึกเป็นตัวอักษรในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วตั้ง 300 ปี มันจะถูกต้องหมดทุกเรื่องราวทุกตัวอักษรหรือ มันต้องมีผิดพลาด โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ใช่เนื้อหาของพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ แต่ถ้าเป็นพระธรรมคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสรู้ผมว่าไม่มีผิดเพี้ยน มันผิดเฉพาะเรื่องของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเรื่องเทพเทวา เรื่องประวัติบุคคล เรื่องของสถานที่ ทั้งนี้เพราะมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก โดยเฉพาะเรื่องเทพนิยายส่วนมากนำมาจากจินตเทพนิยายของแขกในยุคพระเวท แต่เรื่องจริงที่ผมเชื่อคือ เทพเทวา และพระพรหมทั้งหลายมีจริง ชื่อของเทพแต่ละองค์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์มีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นรกมีจริง <o:p></o:p>

    ในพรหมชาละสูตร กล่าวว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก คือเกิดก่อนใคร ๆ ในจักรวาล สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามมาจนพระพรหมเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นผู้สร้าง ในหลายพระสูตรกล่าวถึงพระอินทร์เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีฤทธิ์มีอำนาจ และมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระอินทร์มากมายหลายพระสูตร โดยเฉพาะในนิทานธรรมบทมีเรื่องของพระอินทร์ หรือท้าวสักกะเทวราชมากมายที่มาเกี่ยวข้องกับมนุษย์และพระสงฆ์องค์เจ้า และรองลงมาคือเรื่องของท้าวเวสวัณ และท้าวกุเวร ซึ่งกล่าวว่าท่านเป็นใหญ่ปกครองมนุษย์และสัตว์ รวมไปถึงภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ยักษ์ มาร กุมภัณฑ์ทั้งหลาย ท่านจึงมีพระนามว่าท้าวโลกบาล คือผู้คุ้มครองรักษาโลก แต่<o:p></o:p>
    แท้จริงแล้วใครคือผู้กุมชะตาสัตว์โลก ใครเป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาเทพและพรหมทั้งหลาย<o:p></o:p>

    ก่อนอื่นผมขอเรียนให้ผู้อ่านทราบก่อนว่า ผมไม่ใช่ผู้เคารพนับถือเอาเทพเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่ใช่ผู้ถือศาสนาเทวะนิยม แต่ผมคือศาสนิกชน เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า และผมก็ไม่เชื่อถือคนทรงเจ้าทั้งหลายเป็นที่พึ่ง เพราะผมศึกษาทดลองมามากแล้ว พบว่าเทพที่มาลงประทับร่างทรงส่วนมากเป็นเทพชั้นต่ำ ๆ แต่มักอ้างว่าตัวเองเป็นพระอินทร์ พระพรหม พระศิวะ พระยม พระเวสวัณ พระแม่กวนอิม เป็นต้น แต่ก็ไม่เห็นว่าเทพหรือคนทรงเหล่านั้นจะช่วยเหลือใครได้ หรือสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชให้เห็นแก่ตาได้ มีแต่อ้างเอาเทพเป็นเครื่องมือหากิน หรือหาสานุศิษย์ให้เคารพนับถือตนเองเท่านั้น จะมีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชบ้างก็เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เหลือวิสัยของเทพชั้นล่าง ซึ่งมักเป็นเคหะเทวดาบ้าง เทวดาที่เป็นใหญ่ในขุนเขาป่าดงในละแวกนั้น ๆ บ้าง เป็นผียักษ์ที่ให้โทษแก่ผู้คนในท้องถิ่นนั้น ๆ บ้าง <o:p></o:p>
    ต่อมาเมื่อผมได้รู้จักกับองค์ญาณ ได้สัมผัสกับความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พ่อ ๑๖ (ท้าวเวสวัณ) และองค์พ่อจิตรา (ท้าวกุเวร หรือพญายมราช) ผมจึงเคารพนับถือท่าน เชื่อว่าเป็นเทพเบื้องบนที่มีฤทธิ์อำนาจจริง สามารถช่วยเหลือมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากจริง จึงได้นำเรื่องของท่านมาเผยแพร่ลงหนังสือให้ได้อ่านกัน แต่ผมก็สงสัยในความเป็นมาขององค์เทพต่าง ๆ ที่พวกเราเคยเรียนรู้มาจากตำราต่าง ๆ จึงหาโอกาสทูลถามท่านโดยตรง<o:p></o:p>
     
  14. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    สัมภาษณ์องค์พ่อ ๑๖ (ท้าวเวสวัณ)<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    อยู่มาวันหนึ่ง ผมมีโอกาสได้กราบองค์พ่อ ๑๖ พร้อมกับสานุศิษย์อื่น ๆ ที่มากราบนมัสการขอพรจากท่าน เมื่อท่านให้พรสานุศิษย์อื่นเสร็จแล้ว และไม่มีใครสงสัยอะไรอีก ผมจึงกราบทูลถามพระองค์ท่านว่า <o:p></o:p>
    “กราบถวายบังคม ขอวโรกาสจากองค์พ่อ ลูกอยากทราบว่า “ในตำราต่าง ๆ ที่มนุษย์เขียนขึ้น ต่างบอกตรงกันทุกชาติทุกภาษาว่า ท้าวเวสวัณกับท้าวกุเวรเป็นองค์เดียวกัน อยากทราบว่า ความจริงเป็นอย่างไร”<o:p></o:p>
    องค์พ่อ ๑๖ หรือเสด็จพ่อท้าวเวสวัณตรัสตอบว่า “ ท้าวเวสวัณคือองค์พ่อ ๑๖ เป็นประธานแห่งเทพ สถิตอยู่ชั้นพรหมาวาส หรือสุทธาวาส ส่วนท้าวกุเวรคือองค์พ่อจิตรา หรือพญายมราช หรือองค์พ่อเหล็กไหลที่ลูกเรียกขาน”<o:p></o:p>
    ผมถามว่า “ในอาฏานาฏิยะสูตรกล่าวว่า ท้าวเวสวัณเป็นโลกบาลทิศเหนือ ท้าววิรุฬหะ เป็นโลกบาลทิศใต้ อยากทราบว่า ทุกวันนี้องค์พ่อยังเป็นท้าวโลกบาลอยู่หรือไม่”<o:p></o:p>
    พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อไม่ได้เป็นแล้ว หลังจากพ่อฟังธรรมของพระพุธเจ้าบรรลุเป็นพระโสดาบันพ่อก็เลื่อนภูมิขึ้นไปสู่ชั้นที่ ๑๖ คือชั้นดาวดึงส์ ต่อมาพ่อสำเร็จเป็นพระอนาคามี พ่อก็เลื่อนภูมิขึ้นไปอยู่ชั้นสุทธาวาส แต่ความที่พ่อเคยเป็นประธานโลกบาลมานานจนนับไม่ได้ ถึงแม้พ่อเลื่อนภูมิขึ้นไปอยู่ชั้นสูงสุด พ่อก็ยังมีหน้าที่คอยควบคุมดูแลเทพที่ปกครองโลกอยู่ และพ่อก็ยังคอยช่วยเหลือมวลมนุษย์อยู่ คือเทพทั้งหลายได้มอบหน้าที่เป็นประธานดูแลสัตว์โลกและเทวโลกให้แก่พ่อ”<o:p></o:p>
    “แล้วเดี๋ยวนี้ใครคือโลกบาลทิศเหนือแทนองค์พ่อครับ” ผมทูลถาม<o:p></o:p>
    “ท้าวกุเวร คือองค์พ่อจิตรา หรือพญายมราชของลูกนั่นแหละคือโลกบาลทิศเหนือและทิศใต้ ทิศตะวันตก ตะวันออก ท่านจึงเป็นท้าวโลกบาลที่แท้จริง ส่วนองค์อื่น ๆ เป็นรอง คือผู้ดูแลตรวจตรา แล้วคอยทูลเกล้าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ท้าวกุเวรทรงทราบ แต่อำนาจแท้จริงอยู่กับท้าวกุเวร ท่านมีฤทธิ์อำนาจมาก เรื่องบางเรื่องพ่อก็ไม่ก้าวก่ายท่าน ท่านอยากจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของท่าน”<o:p></o:p>
    “แล้วพระอินทร์มีหน้าที่อะไรครับ” ผมทูลถาม<o:p></o:p>
    “พระอินทร์ก็เป็นภาคหนึ่งของพ่อ เป็นการแบ่งภาคหรืออวตารขององค์พ่อ ๑๖ ท่านก็ทำหน้าที่ดูแลมนุษย์และสวรรค์เช่นเดียวกัน แม้พระศิวะ พระวิษณุ พระนารายณ์ ก็เป็นการแบ่งภาคหรืออวตารจากองค์พ่อ ๑๖ คอยทำหน้าที่ดูแลโลกมนุษย์และสวรรค์ไปตามหน้าที่ของตนเอง ซึ่งเป็นความลับของสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหรือมนุษย์ควรจะรู้ มนุษย์ทั้งหลายมีภูมิรู้อันจำกัด สิ่งที่มนุษย์รู้หรือเขียนจึงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่จะไปโต้แย้งหรือแก้ไขความเชื่อถือของใคร ๆ เขาจะคิดอย่างไร เคารพนับถืออย่างไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา มันไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะไปโต้แย้งหรือเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขา รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ถ้าเจ้าไปโต้แย้งกับความเชื่อของมนุษย์ มันจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเจ้าเอง เข้าใจที่พ่อพูดหรือยัง”<o:p></o:p>

    “ขอรับ ลูกสงสัยอีกข้อหนึ่งอยากทูลถาม นอกจากเสด็จพ่อลงมาใช้ร่างสังขารขององค์ญาณในการสื่อกับมวลมนุษย์แล้ว นอกจากนี้องค์พ่อยังใช้ร่างของใครในประเทศอื่น ๆ หรือซีกโลกอื่น ๆ อีกหรือไม่”<o:p></o:p>
    “ไม่มีอีกแล้วลูก มีคนเดียวเท่านี้แหละ องค์ญาณมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้รับการเลือกสรรให้มาเกิดบนโลกนี้เพื่อเป็นร่างของพ่อและพ่อจิตรา เมื่อสิ้นองค์ญาณแล้วจะเลือกใครอีกก็ต้องเลือกสรรกันใหม่ ยังไม่ถึงเวลาที่จะกล่าวถึง เข้าใจที่พ่อพูดมั้ย เจ้ามีอะไรจะถามอีก” <o:p></o:p>
    “ท้าวจตุคามรามเทพที่ผู้คนกำลังสร้างรูปเคารพบูชาฮือฮากันอยู่ทุกวันนี้มีจริงหรือไม่เจ้าค่ะ” สตรีผู้หนึ่งทูลถาม<o:p></o:p>
    เสด็จพ่อตรัสตอบว่า “ ท้าวจตุคามรามเทพ คือเทพที่เป็นบริวารของท้าวกุเวร มีหน้าที่ปกครองท้องทะเลและมนุษย์ทางภาคใต้ ท่านก็เป็นเทพที่ดี มีเมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือมนุษย์เพื่อสร้างบารมีให้แก่ตนเอง แต่ท่านยังไม่มีฤทธิ์อำนาจมากเหมือนท้าวกุเวร การบูชาเทพไม่ใช่เรื่องเสียหาย เมื่อเขาสร้างรูปของท่านมาเคารพบูชาก็เป็นคุณงามความดีต่อตัวเขาเอง”<o:p></o:p>
    “ท้าวจตุคามเป็นเทพระดับไหนครับองค์พ่อ” ผมถาม<o:p></o:p>
    “อยู่ระดับที่ ๘-๙ ส่วนองค์พ่อจิตราหรือท้าวกุเวรอยู่ระดับที่ ๑๔-๑๕ เป็นเทวราชาปกครองท้าวจตุคามอีกชั้นหนึ่ง “ องค์พ่อท้าวเวสวัณตรัสตอบ ผมจึงถามอีกว่า<o:p></o:p>
    “องค์พ่อได้พระนามว่าองค์พ่อ ๑๖ ก็หมายถึงประทับอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๑๖ คือชั้นดาวดึงส์ แต่องค์พ่อบอกว่าเป็นพระอนาคามี อยู่ชั้นพรหมาวาสหรือสุทธาวาส ฟังดูขัดแย้งกันอยู่ขอรับ”<o:p></o:p>
    “ตั้งแต่ชั้นที่ ๑๖ ขึ้นไปจนถึงสุทธาวาส พ่อจะอยู่ชั้นไหนก็ได้ ชั้นที่ ๑๖ เหมือนสำนักงานดูแลเทวโลกและมนุษยโลกของพ่อ จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า องค์พ่อ ๑๖ “<o:p></o:p>
    “แล้วพระศิวะ พระนารายน์หรือพระวิษณุ เป็นเทพชั้นไหนขอรับ” ผมถาม<o:p></o:p>
    “ท่านอยู่ชั้นที่ ๑๖ หรือชั้นดาวดึงส์เหมือนกันทุกพระองค์ เพราะท่านเป็นอวตารขององค์พ่อ ๑๖” องค์พ่อตรัสตอบ ทำให้ผมได้ข้อคิดอีกว่า อวตาร คงมิใช่การแบ่งภาคหรือแยกร่างตามที่เราเข้าใจกันในภาษามนุษย์ มันคงมีความหมายที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ เรื่องจิตวิญญาณ การมีอยู่และเป็นอยู่ของเทพเทวา คงมีอะไรที่เหนือคำอธิบายด้วยภาษามนุษย์ บางเรื่องผมก็ไม่อาจเอื้อมที่จะตีความ ท่านว่าอวตารก็ว่าตามท่าน <o:p></o:p>

    วันนั้นผมได้ทูลสัมภาษณ์พระองค์ท่านเพียงเท่านี้ เพราะเกรงพระทัยพระองค์ท่านจริง ๆ ด้วยองค์พ่อ ๑๖ นั้นท่านไม่ได้พูดเล่นกับใคร ๆ ท่านพูดเป็นการเป็นงาน พอเสร็จไม่มีอะไรท่านก็เสด็จกลับ ยิ่งตะวันตกดินหมดสิทธิ์ถามท่านในเรื่องเทพเทวาและนรกสวรรค์ ท่านดุด้วยภาษานิ่ม ๆ ว่า เจ้าก็รู้ว่าตะวันตกดินแล้ว ถ้าเจ้าถามเรื่องสวรรค์ชั้นฟ้ามันกระเทือนถึงเทวโลก องค์ญาณก็เจ็บป่วย ต่อไปอย่าถามอะไรอีก ถ้าถามให้ถามก่อนตะวันลับฟ้า วันนี้พ่อลงมารับบายศรีและประทานพรให้สานุศิษย์เท่านั้น พ่อมีภารกิจมาก ต้องลากลับเทวโลก ให้เจ้าหาโอกาสถามวันอื่น ต่อมาเมื่อผมมีโอกาสกราบท่านอีกครั้งตอนกลางวัน ก่อนเสด็จกลับท่านก็หันมาถามว่า “เจ้าเทวดา เจ้ามีอะไรจะถามพ่อมั้ย” ผมก็ทูลว่า “ไม่มีขอรับ” ท่านก็ถามย้ำว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่มีคำถาม” ผมก็ทูลว่า “ลูกมีโอกาสพบเสด็จพ่อบ่อยครั้ง วันนี้นึกไม่ออก ขอถามวันอื่นเมื่อนึกออก” แต่เมื่อผมมีโอกาสได้พบท่านอีกผมก็ลืมคำถามสิ้น แต่แบกคำถามนั้นไปทูลถามองค์พ่อจิตราก็มี ซึ่งบางครั้งคำตอบที่ได้ก็แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะท่านอยู่คนละชั้น เรื่องบางเรื่องซึ่งเป็นเรื่องขององค์พ่อ ๑๖ พ่อจิตราก็ไม่ได้รู้ทั้งหมด เช่นชั้นดาวดึงส์ องค์พ่อจิตราบอกว่าเป็นชั้นเดียวกับชั้นพรหมาวาส แต่องค์พ่อ ๑๖ ท่านจะแยกให้ฟังถี่ถ้วน ดุจที่เล่ามาแล้ว<o:p></o:p>
     
  15. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    สัมภาษณ์องค์พ่อจิตราหรือพญายมราช<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    อยู่มาวันหนึ่ง มีสามีภรรยาสองคนไปกราบองค์พ่อเป็นครั้งที่สอง องค์พ่อจิตราลงมาประทับร่างคุยด้วยอย่างออกรสออกชาด เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ท่านบอกว่าเขาเป็นพระโอรสของท่านสมัยที่พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงเวสาลี เมื่อสี่พันปีก่อน ท่านดีพระทัยมากที่ได้พบลูกของท่าน วันนั้นผมจึงทูลถามท่านหลายเรื่องราว แต่จะนำมาเล่าเท่าที่จำเป็น<o:p></o:p>
    “องค์พ่อครับ ลูกสงสัยว่าท้าวกุเวรกับท้าวเวสวัณเป็นองค์เดียวกันหรือคนละองค์”<o:p></o:p>
    “ท้าวเวสวัณก็คือองค์พ่อ ๑๖ ส่วนท้าวกุเวรคือกูนี่แหละ” ท่านตรัสตอบ<o:p></o:p>
    “แต่ในตำราที่มนุษย์หลายชาติหลายภาษาเขียนกัน แม้พระไตรปิฎกก็ตาม ต่างบอกว่าท้าวเวสวัณก็คือท้าวกุเวร มันยังไงกันครับองค์พ่อ” ผมทูลถาม<o:p></o:p>
    “กูลงมาจากสวรรค์มาบอกมึง มึงจะเชื่อกูหรือเชื่อตำราที่มนุษย์เขียนก็เรื่องของมึง กูไม่ได้จ้างมึงเขียน มึงมาเขียนให้กูวุ่นวายเอง กูต้องเที่ยวดูแลสานุศิษย์จนไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ตั้งแต่มึงเขียนเรื่องกูลงหนังสือกูก็อดอยากปากแห้ง ต้องเที่ยวเก็บหมากพลูแห้งกิน อีผีเขื่อนตาก็ไม่ค่อยได้พบกู พูดแล้วก็คิดถึงมันนะ บอกมันด้วยว่ากูคิดถึงมัน” (เจ๊เล็กรู้ใจพ่อ เมื่อไปตำหนักองค์ญาณก็มักซื้อหมากพลูไปถวายท่านเสมอ ตัวผมเองอยู่ป่า ห่างตลาด ไม่มียวดยานพาหนะ นาน ๆ ไปตลาดทีก็ซื้อหมากพลูบุหรี่ไว้ถวายท่าน จนแห้งเหี่ยว ท่านจึงว่าเก็บหมากพลูแห้งกิน องค์พ่อสูบบุหรี่วันเดอร์เขียว และสุราแบล็คเลเบิ้ล)<o:p></o:p>
    “พ่อครับ ลูกได้ยินพ่อพูดว่า สิบหกชั้นฟ้า สิบห้าชั้นดิน มันหมายความว่าอย่างไรครับ หมายความว่าสวรรค์มี ๑๖ ชั้น และมนุษย์ สัตว์ จนถึงนรก มี ๑๕ ชั้นอย่างนั้นหรือครับ” ผมทูลถาม<o:p></o:p>
    “เฮอะ ๆ ๆ มนุษย์มันก็คือมนุษย์นะ ถึงมึงจะรู้จะฉลาดอย่างไรมึงก็มีความรู้อันจำกัดเหมือนมนุษย์ กูอยากให้มึงถามคำถามนี้มานานแล้ว แต่ไม่เห็นถามสักที วันนี้กูจะไขข้อข้องใจให้ คำว่าสิบหกชั้นฟ้า เป็นการนับตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งคือภูมะเทวาขึ้นไป ภูมะเทวา เคหะเทวา รุกขเทวา อากาสเทวา เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปจนถึงชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นชั้นฟ้าสูงสุด รวมเป็นสิบหกชั้น นี่เป็นการนับขึ้น แต่เมื่อนับลงท่านไม่นับชั้น ๑๖ ท่านนับแต่ชั้นที่สิบห้าลงมาจนถึงชั้นล่างสุด คือชั้นดิน ได้สิบห้าชั้น คนโบราณ หรือเทพตั้งแต่โบราณมาท่านจึงพูดติดปากว่า สิบหกชั้นฟ้าสิบห้าชั้นดิน การนับนี้หมายเอาเฉพาะชั้นกามาพจรภูมิอันมีดาวดึงส์เป็นที่สูงสุด”<o:p></o:p>
    “แล้วเสด็จพ่อประทับอยู่ชั้นไหนครับ”<o:p></o:p>
    “กูอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๑๔-๑๕ ชั้นไหนก็ได้ แต่องค์พี่ อยู่ชั้นที่ ๑๖ คือชั้นดาวดึงส์ หรือชั้นพรหมาวาส”<o:p></o:p>
    “พ่อครับ ในตำราบอกว่า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณปกครองโลกด้านทิศเหนือ ท้าวธตรฐปกครองโลกด้านทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหะปกครองโลกด้านทิศใต้ และท้าววิรูปักข์ปกครองด้านตะวันตก เป็นความจริงอย่างนี้หรือเปล่าครับ”<o:p></o:p>
    “ท้าวโลกบาลคือกูนี่แหละ ท้าวกุเวรก็คือกู ท้าววิรุฬหะก็คือกู ท้าวยมราชก็คือกู กูเป็นใหญ่ทุกทิศทาง เทวดานอกนั้นเป็นลูกน้องของกู “<o:p></o:p>
    “ในเมื่อองค์พ่อติดตามองค์ญาณอยู่ตลอดเวลา แล้วพ่อเอาเวลาไหนไปเป็นท้าวยมราชอยู่เมืองนรกครับ”<o:p></o:p>
    “มึงเคยได้ยินมั้ย ท้าวพันตา พญาพันตีน คือกูนี่แหละ กูแบ่งร่างแยกร่าง แบ่งภาคออกไปปฏิบัติหน้าที่พร้อมกัน ๆ ได้ทีเดียวเป็นพันร่าง มึงเคยดูหนังที่เด็ก ๆ ดูมั้ย ที่มันว่า แยกร่าง ยังไงก็ยังงั้นแหละ”<o:p></o:p>
    “แล้วที่เขาว่าปกครองทิศนั้นทิศนี้ เขาเอาอะไรเป็นเครื่องกำหนดทิศครับ”<o:p></o:p>
    “มันไม่ได้ปกครองเป็นทิศอย่างนั้น กูก็ปกครองทุกทิศทาง ส่วนเทวดาองค์อื่น ๆ ที่เป็นบริวารก็ทำหน้าที่แต่ละอย่างกัน รับผิดชอบไปตามหน้าที่ของตน แล้วแจ้งขึ้นมา บางเรื่องกูตัดสินได้ก็ตัดสิน บางเรื่องก็นำขึ้นกราบทูลองค์พ่อ ๑๖ เรื่องหน้าที่บางทีมันก้าวก่ายกัน มีความขัดแย้งกันก็ทูลให้องค์พี่ ๑๖ ตัดสิน เทวดามันก็เหมือนมนุษย์ ปกครองกันเป็นชั้น ๆ “<o:p></o:p>
    “พ่อครับ ภาษาที่องค์พ่อพูดเป็นภาษาโมยะ แต่ลูกเคยได้ยินมาว่าภาษาที่เทพใช้พูดกันชื่อภาษากลูโบ๊ส ไม่ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร” <o:p></o:p>
    “ภาษาโมยะ เป็นภาษาที่เทพชั้นสูงใช้พูดกัน ส่วนภาษากลูโบ๊สเป็นภาษาของเทพชั้นที่ 8-13 พูดกัน”<o:p></o:p>
    “แล้วเทพตั้งแต่ชั้นที่ 7 ลงมาเขาพูดด้วยภาษาอะไรครับ” ผมย้อนถาม<o:p></o:p>
    “แล้วมึงว่าเขาใช้ภาษาอะไร ลองว่ามาซิ”<o:p></o:p>
    “น่าจะเป็นภาษาที่มนุษย์พูดกัน เคยใช้ภาษาใดมาสมัยเป็นมนุษย์ก็ใช้ภาษานั้น ถูกมั้ยครับ”<o:p></o:p>
    “เออ..มึงฉลาด เขาใช้ภาษาเก่าของเขานั่นแหละ”<o:p></o:p>
    “ภาษาโมยะ คือภาษาสันสกฤต หรือภาษาบาลีครับ”<o:p></o:p>
    “ภาษาโมยะก็คือภาษาโมยะ เป็นภาษาโบราณก่อนบาลีและสันสกฤต บางคำก็มีบาลีหรือสันสกฤตปนอยู่ <o:p></o:p>
    “ภาษาโมยะ กับภาษากลูโบ๊ส ภาษาไหนมีอายุมากกว่ากันครับ”<o:p></o:p>
    “ภาษากลูโบ๊สเกิดก่อน จากนั้นก็เกิดภาษาโมยะ จากนั้นก็สันสกฤต และบาลี ตามลำดับ”<o:p></o:p>
    “ภาษาเขียนคือตัวอักษรเกิดขึ้นมาในโลกกี่พันปีมาแล้วครับ”<o:p></o:p>
    “เกือบสี่พันปีแล้ว สมัยพ่อเป็นกษัตริย์อยู่กรุงเวสาลีก็มีภาษาเขียนขึ้นแล้ว”<o:p></o:p>
    “ภาษาเขียนเกิดขึ้นในโลกนี้ที่ประเทศไหนเป็นประเทศแรก”<o:p></o:p>
    “ที่อินเดียสิลูก นอกนั้นเรียนหรือลอกแบบไปจากอินเดีย หรือชมพูทวีป”<o:p></o:p>
    “พ่อสอนภาษาเขียนให้ลูกได้มั้ยครับ มันมี กะ ขะ คะ ฆะ งะ อะ อา อิ อี อุ อู หรือเปล่าครับ”<o:p></o:p>
    “มึงอยากลองใช่มั้ย มา เดี๋ยวมึงจะหาว่ากูเป็นเทพเก๊.” ท่านตรัสจบผมก็รีบหากระดาษและปากกาถวาย ท่านเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษด้วยความชำนาญ เป็นตัวอักษรขยุกขยิก ดูคล้ายกับอักษรของแขกอิสลาม ตรัสพลางเขียนพลาง ภาษาที่ท่านตรัสนั้นส่วนมากเป็นบาลี แต่บางคำก็ไม่เคยได้ยิน เมื่อเขียนจบ ผมก็นำมาดู ทูลว่าเหมือนอักษรของภาษาอิสลาม ท่านบอกว่า “เป็นอักษรของกรุงเวสาลี เป็นภาษาบาลีของกรุงเวสาลี เมื่อสามสี่พันปีมาแล้ว ใครจะอ่านได้ มึงหลอกกูเขียน กูเสียรู้มึง ไอ้นี่ สำมะคัญนัก”<o:p></o:p>
    ต่อมาเมื่อมีโอกาสได้เฝ้าบังคมท่านอีกครั้ง จึงนำถ้อยคำที่พระองค์ตรัสในวันนั้นจากเครื่องบันทึกเสียงแล้วถอดเป็นตัวอักษร มาอ่านถวาย ท่านตกพระทัย ถามว่า “กูเคยพูดให้มึงฟังแต่เมื่อไหร่ สงสัยกูเผลอพูดตอนเมา ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคาถาสำคัญนะ มึงอย่าเอาไปลงหนังสือให้คนอื่นรู้ เดี๋ยวคนมีวิชามันเอาไปใช้จะเป็นผลร้าย ต่อเทวโลก ถ้ามึงจะใช้ก็เฉพาะมึง อย่านำไปเผยแพร่เป็นอันขาด” <o:p></o:p>
    ผมถามว่า “เพลงที่องค์พ่อร้องอัญเชิญองค์พ่อ ๑๖ ลูกสามารถเผยแพร่ได้มั้ย”<o:p></o:p>
    “เออ ถ้าเป็นเพลงอัญเชิญที่กูร้อง มึงจะเผยแพร่ก็ได้ ไม่ห้าม แต่บทคาถา ถ้อยคำต่าง ๆ ที่กูพูดออกไป และมึงเอามาถอดเป็นตัวอักษร อย่าเผยแพร่ทั้งนั้น อันตรายจะมีแก่ตัวมึง แก่องค์ญาณ และร้อนถึงเทวโลก” <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ท่านผู้อ่านครับ ผมเพียรพยายามถอดภาษาที่ท่านพูดเป็นตัวอักษร เพื่อนำมาให้ผู้อ่านได้เรียนรู้กัน ได้ 2-3 หน้ากระดาษ เอ 4 ก็ขอแสดงความเสียใจที่ผู้อ่านไม่สามารถได้ชม เพราะองค์พ่อจิตราไม่อนุญาต แต่ถ้าจะชมตัวอักษรที่ท่านเขียน คงต้องรออ่านในเว็บไซด์ของผม ชื่อ www. sanyasi.org ซึ่งผมกำลังบรรจุข้อมูลอยู่ จนกว่าพุทธามหาเวทเล่มนี้ออก เนื้อหาในเว็บไซด์ก็คงมีมากแล้ว อยากพูดคุยกับผมก็เข้าไปในเว็บไซด์ดังกล่าว บทเพลงที่พระองค์ท่านทรงขับร้อง มีดังนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    บทเพลงอัญเชิญองค์พ่อสิบหก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขะมะอิเหนะ ปัตตะเหนะ ยา จะ ปะเค<o:p></o:p>
    สัพเพ ยัง ตา ยาปลันติ ยันเต จะ เหเตยา<o:p></o:p>
    สัคเค มะยา อันเต สัพเพ ยัมเป หะเป หะเป<o:p></o:p>
    ปาลา ตายัง ตะละนา ตาเห ยะตา ตังเห<o:p></o:p>
    ตา ยังเก ยัมเปตะ ยันเต ยามา<o:p></o:p>
    ยะถา ยังเก ตะเต ยะตา<o:p></o:p>
    เอยะตา ยาเห ญานะ สัมปายาเห ยาเต เหตา<o:p></o:p>
    ปาลี ยัมเปยะ นะมา ยาเต ยาตา ยัมเป<o:p></o:p>
    สัมเปนะ เอตายัง ปทีโนเก ยะเต ตา จะ เม<o:p></o:p>
    ยะถานา เหตา ปเหนา ญาณี ยันเต<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านที่เคยเรียนภาษาบาลีจนเป็นเปรียญหลายประโยค คงพอจับความได้ หรือคงพอรู้ว่ามันมีภาษาบาลีผสมอยู่หลายถ้อยคำ บางคำก็เหมือนภาษาฮินดียุคปัจจุบัน ผมว่าเป็นภาษาบาลีโบราณก่อนสมัยพระพุทธเจ้า ซึ่งองค์พ่อจิตราบอกว่าเป็นบาลีกรุงเวสาลี นั่นเอง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สมัยที่พระองค์เป็นกษัตริย์กรุงเวสาลี แล้วออกศึกจนอธิษฐานเป็นเจ้านรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 พันปีมาแล้ว เมื่อผมอ่านประวัติที่มาในตำราอันว่าด้วยท้าวยมราช ท่านฟังแล้วยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    เมื่อผมอ่านมาถึงตอนที่ว่า “ แต่ถึงกระนั้น พระยมกับบริวารก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเหนือกรรมเก่าก็หาไม่ ยังต้องได้รับโทษชดใช้บาปกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน กล่าวคือ จะมีปีศาจตนหนึ่งคอยนำเอาน้ำทองแดงกรอกลงไปในปากพระยมวันละ 3 ครั้ง จนกว่าจะสิ้นกรรม แล้วจะได้ไปเกิดเป็นท้าวสมันตราช” องค์พ่อตรัสว่า “พอ ไม่ต้องอ่าน กูอาย” พลางเบือนพระพักตร์หนี ผมจึงทูลถามว่า “คำว่าน้ำทองแดงหมายถึงน้ำสุราหรือเปล่าครับพ่อ”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท่านว่า “ไม่ใช่ มันเป็นน้ำทองแดงที่ร้อนจนละลาย แล้วผสมโอสถสมุนไพรลงไปหลายชนิด เมื่อกรอกผ่านคอผ่านลำไส้มันทั้งร้อนทั้งแสบ ทั้งไอทั้งจาม สุดแสนจะทรมาน ไม่อยากจดอยากจำ แต่มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เดี๋ยวนี้กูพ้นแล้ว”<o:p></o:p>
    “ถ้างั้นเดี๋ยวนี้องค์พ่อก็เป็นท้าวสมันตราชสิครับ”<o:p></o:p>
    “เดี๋ยวนี้กูเก่งแล้ว ใครจะทำอะไรกูได้ มีแต่กูจะทำให้ใครรวยหรือซวยเท่านั้น”<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ถ้าผมจะนำบทสัมภาษณ์องค์พ่อลงทั้งหมด น่ากลัวต้องใช้กระดาษหลายสิบหน้า คงเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง เพราะท่านนั่งสนทนากับผมและสานุศิษย์อดีตพระยุพราชคีรี กรุงเวสาลี ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง สนุกสนาน ฟังเพลงแขกหลายเพลง ได้ภาษาโมยะ ภาษาสันสกฤต และบาลีโบราณ ก็มากมาย ทำให้ผมมั่นใจว่าท่านเป็นเทพเบื้องบนที่ลงมาใช้ร่างของมนุษย์สื่อถึงมนุษย์จริง ๆ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ท้าวกุเวร คือพระยายมราช คือองค์พ่อจิตรา คือท้าวโลกบาล คือเทพที่ให้คุณและโทษแก่มนุษย์จริง ๆ และโดยตรงตามหน้าที่ที่สวรรค์บัญชา ท่านจึงมีหน้าที่บังคับบัญชา เทพชั้นจตุมหาราชิกา มนุษย์ สัตว์ นรก จะให้มนุษย์ได้ดีหรือตกต่ำก็ได้ จะโยกย้าย สับเปลี่ยนตำแหน่งเทพองค์ไหนให้ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ จะให้ใครมีชีวิตอยู่ หรือจะให้ตายแบบไหน ท่านก็ทำได้ แม้สับเปลี่ยนโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่การงานในโลกมนุษย์ท่านก็ทำได้ ผมก็พบว่าท่านช่วยมาหลายคนแล้วด้วย<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ส่วนองค์พ่อ ๑๖ คือท้าวเวสวัณ ประธานแห่งทวยเทพ มีอำนาจสูงกว่าเทพทั้งปวงในเทวโลกและพรหมโลก ความที่พระองค์เป็นประธานแห่งโลกบาลมานาน จึงไม่สามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้ มาตรแม้นสถิตอยู่บนวิมานสูงสุดของพรหมชั้นสุทธาวาส พระองค์ก็ยังได้รับเลือกเป็นประธานแห่งทวยเทพ และดูแลเอาใจใส่มนุษย์และสัตว์โลกมาถึงทุกวันนี้ แต่คนส่วนมากเข้าใจผิดว่าพระองค์คือท้าวกุเวร ดังนั้น จึงมีคติบูชาท้าวกุเวรว่าเป็นผู้บันดาลทรัพย์ในหลาย ๆ ประเทศ และเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่ท้าวเวสวัณเป็นภาคพญายักษ์ที่คนไม่สู้เอาใจใส่บูชา นอกจากใช้ปราบภูตผีปีศาจเท่านั้น <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันได้สร้างรูปของท่านไว้บูชาเป็นจำนวนมาก เป็นรูปทรงเครื่องกษัตริย์ นั่งสมาธิ ถือลูกแก้วมณี ปางมารวิชัยก็มี ปางสมาธิปกติ ก็มี ซึ่งยังพอหาได้ตามตลาดพระเครื่อง มีคนพบและนำมาถวายกับพระองค์ท่านไว้จำนวนหนึ่ง มีไม่มากนัก คนไหนต้องการก็ต้องติดต่อองค์ญาณเร็วหน่อย ช้าก็อด แล้วผมก็หมดปัญญาที่จะหาที่ไหนมาให้อีก นอกจากสร้างขึ้นใหม่ ดังที่ได้เรียนให้ทราบในฉบับก่อนแล้ว โดยใช้ดอกไม้ธูปเทียนที่สานุศิษย์นำมาบูชาในตำหนัก และแร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนผสม แต่จะเก่าหรือใหม่ไม่สำคัญ ถ้าผ่านมือองค์พ่อสิบหก องค์พ่อจิตรา และองค์พ่อจินดา ล้วนวิเศษเทียบกับเหล็กไหลทั้งสิ้น<o:p></o:p>
    เบอร์โทรศัพท์องค์ญาณ 081-5476669, 085-0274968<o:p></o:p>
    เบอร์ของสันยาสี 081-1719606
     
  16. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    บูชาพระผ่านอาจารย์สันยาสีได้มั้ยครับ
    เอ่อ ราคาบูชาเท่าไหร่ครับ สาธุ
     
  17. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ท้าวเวสสุวรรณ



    [​IMG]

    สวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษยภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์ คือ
    ๑. ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา <O:p</O:p
    ๒. ท้าววิรุฬหกะ อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา <O:p</O:p
    ๓. ท้าววิรูปักขะ อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา <O:p</O:p
    ๔. ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา<O:p</O:p

    ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เรียกง่าย ๆ ว่า " นายผี " เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักขะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

    ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง ( ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเธอมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา , ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2007
  18. สันยาสี

    สันยาสี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +307
    บูชาพระผ่านอาจารย์สันยาสีได้มั้ยครับ
    เอ่อ ราคาบูชาเท่าไหร่ครับ สาธุ


    ต้องติดต่อองค์ญาณเองนะครับ 081-5476669, 085-0274968

    พระเครื่องทุกชนิดของผมซึ่งเป็นของเก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี - พันปี ผมก็มอบถวายองค์พ่อหมดแล้ว และไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและธุรกรรมทุกชนิด
    <!-- / message -->
     
  19. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    ต่อ...จากอาจารย์สันยาสี

    การบูชาท้าวกุเวร จนกระทั่งสร้างรูปท้าวกุเวรขึ้น ทั้งในประเทศอินเดีย ไทย จีน ธิเบต เนปาล เกิดจากพ่อค้าวานิชในสมัยโบราณ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวกุเวรจึงเป็นตัวแทนของเทพเจ้าผู้บันดาลความร่ำรวยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือการบูชาท้าวเวสวัณนั่นเอง แต่การสร้างรูปเคารพกลับใช้รูปของท้าวกุเวร เพราะเชื่อว่าเป็นองค์เดียวกัน
    เมื่อผมท่องอินเตอร์เน็ต ได้พิมพ์คำว่า ท้าวกุเวร และท้าวเวสวัณ ในเว็บไซด์ google.com ปรากฏชื่อนี้ในหลายสิบเว็บไซด์ มีชื่อของทั้งสองพระองค์ และทำให้รู้ว่า นี่คือแบบอย่างการสร้างท้าวจตุคามรามเทพในยุคปัจจุบัน ลองอ่านดูนะครับ แต่มาจากเว็บไซด์ใดผมลืมไปแล้ว เพราะตัดมาใส่ใน word
    ไม่ว่าใครหรือผู้ใด ที่มีท้าวกุเวรไว้สักการะบูชา มักจะเกิดความร่ำรวยมีลาภทันตาเห็น เพราะท้าวกุเวรเป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีผู้คนในสมัยโบราณถือกันนักว่า ท้าวกุเวรเป็นเทพเจ้าแห่งความสมบรูณ์พูนสุข มีความมั่งคั่งและเกิดลาภเกิดโชคแก่ผู้ครอบครองอย่างมหาศาลทีเดียว
    ท้าวกุเวร เป็นเทพผู้รักษาทิศเหนือ ตามลัทธิศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ ประวัติของท้าวกุเวรกล่าวไว้ว่า พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลาหลายพันปี จนพระพรหมทรงเห็นใจ โปรดให้เป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง
    ในคัมภีร์ไตรเพทกล่าวว่า ท้าวกุเวรทรงเป็นอธิบดีของพวกอสูร รากษส และภูตผี ในกลุ่มพวกนับถือศาสนาพุทธ ลัทธิมหายาน ในประเทศจีน กล่าวว่า โลกบาลทิศอุดร มีชื่อว่า "โตบุ๋น" แปลว่า ได้ยินทั่วไป มีพวกยักษ์เป็นบริวาร มีกายสีดำ ถือดวงแก้ว และงู ส่วนพวกทิเบตกล่าวว่าถือธงและพังพอน กายเป็นสีทองคำ ในประเทศญี่ปุ่นถือว่า โลกบาลทิศนี้เป็นเทพเจ้าประจำโชคลาภ มีนามว่า "พิสะมอน" ตรงกับนามว่า "ธนบดี" หรือ ธเนศวร อันเป็นนามหนึ่งของท้าวกุเวร แปลว่าเป็นเจ้าใหญ่แห่งทรัพย์ ส่วนของที่ถือในมือนั้นมีแก้วมณีกับทวนหรือธง
    ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ลัทธิวัชรยานในคัมภีร์สาธนมาลา กล่าวถึง ท้าวกุเวร ว่ามีหน้าที่เป็นทั้ง ธรรมบาล คือ ผู้มีตำแหน่งเทียบเท่า พระโพธิสัตว์ มีหน้าที่ทำสงครามปราบปรามปีศาจและยักษ์มารต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรูต่อพระพุทธศาสนา ทรงเป็น โลกบาล มีชื่อว่า เวสสุวัณ หรือ ไวศรวัณ คือ เทพผู้มีหน้าที่ปกป้องทิศทั้ง ๔ (เฉพาะทิศเหนือ) อยู่บนเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และคอยเฝ้าคอยดูแลทางเข้าสวรรค์ (ดินแดนสุขาวดี)
    ในอดีต...ยุคสมัยที่ อาณาจักรศรีวิชัย เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ประเพณีการสร้างรูปเคารพนิยมสร้างขึ้นในรูปของ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปรากฏไปทั่วตลอดน่านนํ้าทะเลใต้ ตั้งแต่ไชยาไปจนจรดเกาะชวา หรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน แต่มีรูปเคารพอยู่อีกองค์หนึ่งที่มีการสร้าง และยังคงมีหลักฐานปรากฏให้เห็น คือ พระธนบดี ซึ่งเป็น พระโพธิสัตว์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
    แม้แต่ในประเทศจีน ทิเบต เนปาล ฯลฯ ที่นับถือพระพุทธศาสนามหายาน ก็มีการนับถือกันแพร่หลาย โดยเรียกกันในชื่อของ "ชัมภล" ในภาษาไทยก็คือ ท้าวชุมพล ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต
    ตามคัมภีร์เก่าแก่ กล่าวไว้ว่า ท้าวชุมพล เป็นผู้ประทานความมั่งคั่งแก่ผู้กราบไหว้บูชา แผ่นดินใดที่อุดมสมบูรณ์ พระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินโดยธรรม ทรงเปี่ยมไปด้วยพระบรมเดชานุภาพ เหนือกว่าพระราชาทั้งปวง หรือที่เรียกว่า "จักรพรรดิ" ท้าวกุเวรหรือชัมภลนี้ก็จะเป็นผู้ประทาน "สัตตรัตนมณี" หรือ แก้ว ๗ ประการ เป็นสมบัติแห่งจักรพรรดิ อันมี ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว จักรแก้ว
    การประทานสมบัติ ๗ ประการของมหาจักรพรรดิ เพื่อความรุ่งเรืองแห่งแผ่นดิน ดังนั้น อานุภาพแห่ง พระธนบดี นี้จึงสามารถอธิษฐานขอพรได้ ๗ ประการด้วยกัน ตามคุณลักษณะของสมบัติจักรพรรดิ ๗ ประการ ซึ่งประทานให้โดยมหาราชผู้เป็นท้าวจตุโลกบาล ซึ่งคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ตลอดกาล
    อาณาจักรศรีวิชัย เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีพระราชาธิราชที่มีพระบรมเดชานุภาพเหนือกว่าพระราชาองค์อื่น ปกครองทั่วน่านนํ้าอาณาจักรทะเลใต้ มีพระมหากษัตริย์ที่ประกาศตน ประดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดังมีจารึกกรุงศรีวิชัย ประกาศความยิ่งใหญ่ปรากฏชัดเจนตั้งแต่ พ.ศ. ๑๓๑๘ ตามโบราณราชประเพณี จึงมีการสถาปนาองค์ พระธนบดี ดังปรากฏ รูปเคารพขององค์ธนบดีที่เรียกกันว่า ท้าวชุมภล สร้างขึ้นเป็นพระเครื่องเนื้อดินดิบ บรรจุอยู่ตามถํ้าต่างๆ ในเขตภาคใต้ และรูปหล่อ เนื้อโลหะสำริด ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา
    นอกจากนี้ยังมีการพบรูปเคารพ พระธนบดี เป็นจำนวนมากในชวา หรืออินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัยโบราณ รวมทั้งที่ มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ก็ยังปรากฏรูปสลักหิน พระธนบดี ศิลปะศรีวิชัย เป็นหลักฐานว่าเรื่องราวของพระธนบดีนั้นมีที่มาที่ไปอย่างเด่นชัด
    ที่ จ.นครศรีธรรมราช ภายในวิหาร พระทรงม้า วัดพระมหาธาตุ ก็ปรากฏรูปปั้นของ ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวัณ อยู่ที่เชิงบันไดทางขึ้นลานพระบรมธาตุ โดยปรากฏเป็นรูปของ มหาพญายักษ์ ซึ่งเป็นอีกนิรมานกายหนึ่งของ พระธนบดี ที่ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในสี่ของจตุโลกบาล คุ้มครองปกป้ององค์พระบรมธาตุ และพระพุทธศาสนา
    เรื่องเทวดาอำนวยผลให้มั่งคั่งร่ำรวยนี้เชื่อกันมาช้านานทั้งฝรั่ง-ไทย-จีน-แขก ต่างก็มีเทพอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความร่ำรวยทั้งสิ้นชาวจีนดูจะมีความ เชื่อเรื่องนี้ที่ชัดเจนตามห้างร้านคนจีน มักมีให้เราเห็นอยู่ที่เรียกกันว่าฮก-ลก-ซิ่วหรือบางภูมิภาคก็บูชาไช่เซ่งเอี้ยทำเป็น รูปเคารพภาพวาดหรือเป็นรูปไข่ทองคำก็มี สำหรับในบ้าน เราชาวสยามที่ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องความเชื่อได้ให้ความเคารพบูชา มหาเทพแห่งความมั่งคั่งองค์หนึ่งมาช้านานเทพเจ้าองค์นี้มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาโดยตรงและดำรงตำแหน่งท้าวมหาราชผู้พิทักษ์ เหล่ามนุษย์โลก ประจำทางทิศอุดรเป็นเทพยเจ้าแห่งยักษ์และภูตผีอมนุษย์ ที่สำคัญสุดๆท่านเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ด้วยครับขึ้นว่าความมั่งคั่งทั้งมวล ในหมู่เทพไม่มีใครเกิน ท่านเทพพระองค์นั้นมีนามว่าท้าวกุเวร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007
  20. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    (เวสสุวัณ)

    ท่านท้าวกุเวรในพุทธศาสนากล่าวว่าเป็นอริยะบุคคลชั้น พระโสดาบันเอกพิชีคือเกิดอีกชาติเดียวก็จะสำเร็จอรหันต์ จึงมีภูมิธรรมสูง ในคราวที่จุลสุภัททะปริพาชกเกิดความสงสัย ในความเป็นมาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ก็ปรากฏพระองค์แสดงธรรมคลี่คลายความสงสัยให้ และเมื่อครั้ง พระโมคคัลลานะอัครมหาสาวกเบื้องขวาแห่งพระบรมศาสดา ผู้เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ได้เดินทาง ไปยังมหาปราสาทไพชยนตวิมาน ท่านท้าวเวสสุวัณ(กุเวร)องค์นี้ละก็ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และยังเป็นประจักษ์พยานตอนพระมหาโมคคัลลานะใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน จนเกิดการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งดาวดึงส์ เทวโลกอันเป็นการเตือนสติท้าวสักกะเทวราชอีกด้วยเช่นกัน
    พระเจ้าพิมพิสารอัครอุบาสกผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ที่ถูกพระเจ้าอชาตศัตรูกระทำปิตุฆาตก็ได้อุบัติมาเป็นท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2007

แชร์หน้านี้

Loading...