จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    *เรียนถูกทาง ตามทางถูก รู้ทาง เห็นทาง ชอบทาง* ดังนี้
    ถูกทาง มีมรรค ๘ มัคคัญญ ฯลฯ มัคคทูสี
    ตามทาง มัชฌิมา โลกุตตระ ๙ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
    รู้ทาง อริยสัจจ์ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    เห็นทาง สัมมา สามังคีธรรม ๒๗ ที่ทําให้ตรัสรู้
    ชอบทาง โลกุตตระ อันอุดมมงคลของชีวิตปัจจุบัน

    *เรียนผิดทาง แตกทาง หลงทาง ลืมทาง ชังทาง*ดังนี้
    ผิดทาง มิจฉา เห็นผิด ฯลฯ หลุดพ้นผิด
    แตกทาง กาม อัตตา ติดกาม ถือตัวตน
    หลงทาง อบายภูมิ เปรต นรก สัตว์เดร์ฉาน อสุรกาย
    ลืมทาง อกุศล โลภ โกรธ หลง
    ชังทาง อบายมุข อคติ นักเลง ๔จําพวก เอียง ๔จําพวก
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เหตุผลที่เกิดการขัดแย่ง ๓ ดังนี้
    ๑.จําผิด สัญญา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุภ เลยทะเลาะกัน
    ๒.คิดผิด จิต เที่ยง สุข มีตน งดงาม เลยแตกสามัคคี
    ๓.เห็นผิด ทิฏฐิเรา ของเรา เป็นเรา ของๆเรา เลยแตกสามัคคี
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157

    [​IMG]
     
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ดีไม่ดี อยู่ที่ใจเรา

    แต่ถ้าเรา คิดดีก็จะเจอแต่สิ่งทีดีๆ

    ถ้าเรามองในทางที่ดี

    กำลังใจดี...สิ่งเลวร้าย ก็จะคลี่คลายเป็นดี.

    ธรรมะคำสั่งสอนของหลวงพ่อจรัญ พระธรรมสิงหบุราจารย์.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  5. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    การถามมี ๕ อย่าง คือ
    การถามส่องความที่ยังไม่เห็น
    การถามเทียบเคียงที่เห็นแล้ว
    การถามตัดความสงสัย
    การถามเห็นตาม (อนุมัติ)
    การถามเพื่อจะตรัสตอบเสียเอง.

    การถาม ๕ อย่างเหล่านี้ มีความต่างกันดังต่อไปนี้ :-

    การถามส่องความที่ยังไม่เห็นเป็นไฉน.
    ลักษณะแห่งคำถามตามปกติ อันชนอื่นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ไขให้แจ้ง.
    บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อรู้เห็น ไตร่ตรอง พิจารณา แจ่มแจ้ง ไขปัญหานั้นให้เห็นแจ้ง.
    การถามนี้ ชื่อว่าการถามส่องความที่ยังไม่เห็น.

    การถามเทียบเคียงความที่เห็นแล้วเป็นไฉน.
    ลักษณะ (คำถาม) ตามปกติ อันตนรู้เห็น ไตร่ตรอง พิจารณา แจ่มแจ้ง ชัดเจนแล้ว
    บุคคลนั้นย่อมถามปัญหาเพื่อเทียบเคียงกับบัณฑิตเหล่าอื่น.
    การถามนี้ ชื่อว่าการถามเทียบเคียงความที่ตนเห็นแล้ว.

    การถามตัดความสงสัยเป็นไฉน.
    ตามปกติบุคคลผู้แล่นไปสู่ความสงสัย ผู้แล่นไปสู่ความเคลือบแคลง เกิดความคิดแยกเป็น ๒ แพร่งว่า
    อย่างนี้ใช่หรือหนอ หรือมิใช่ หรือเป็นอย่างไร เขาจึงถามปัญหาเพื่อตัดความสงสัย.
    การถามอย่างนี้ ชื่อว่าการถามตัดความสงสัย.


    การถามเห็นตาม (อนุมัติ) เป็นไฉน.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสถามปัญหา เพื่อการเห็นตามของภิกษุว่า
    ภิกษุทั้งหลาย เธอย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
    ภิกษุกราบทูลว่า รูปไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นรูปใดไม่เที่ยง รูปนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
    พวกภิกษุกราบทูลว่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็รูปใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา
    ควรหรือเพื่อจะเห็นรูปนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา.
    พวกภิกษุกราบทูลว่า การยึดถืออย่างนั้นไม่ควรพระเจ้าข้า.
    การถามอย่างนี้ ชื่อว่าการถามเห็นตาม.

    การถามเพื่อจะตรัสตอบเสียเองเป็นไฉน.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสถามปัญหา เพื่อใคร่จะตรัสตอบภิกษุทั้งหลายว่า
    ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้แล สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน เป็นต้น.
    การถามนี้ ชื่อว่าการถามเพื่อจะตรัสตอบเสียเอง.

    บรรดาการถาม ๕ อย่างเหล่านี้ สำหรับพระพุทธเจ้า ไม่มีการถาม ๓ อย่างข้างต้นเลย.

    ถามว่า เพราะเหตุไร.
    ตอบว่า อะไรที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งในกาล ๓ อย่าง หรือพ้นจากกาล ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง ชื่อว่า ไม่ทรงเห็น ไม่สว่าง ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่พิจารณา ไม่เห็นแจ้ง ไม่แจ้งชัดแล้ว ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุนั้น การถามเพื่อส่องอรรถที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นยังไม่ทรงเห็นจึงไม่มี.

    ก็สิ่งใดอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแทงตลอดแล้วด้วยพระญาณของพระองค์ กิจด้วยการเทียบเคียงสิ่งนั้น กับสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหมอื่น ของพระองค์ จึงไม่มี เพราะเหตุนั้น การถามเทียบเคียงความที่พระองค์เห็นแล้ว จึงไม่มี.

    ก็เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นไม่ทรงสงสัยว่าอย่างไร ทรงข้ามความสงสัยได้ ขจัดความสงสัยในธรรมทั้งปวงได้ ฉะนั้น การถามตัดความสงสัยของพระองค์ จึงไม่มี.

    ส่วนการถาม ๒ อย่างที่เหลือของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังมีอยู่ บัณฑิตพึงทราบว่า ในคำถาม ๒ อย่างนั้น การถามเพื่อใคร่จะตรัสตอบเสียเอง ดังต่อไปนี้ :-

    บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงจำแนกปัจจยาการด้วยการถามนั้น จึงตรัสว่า อวิชฺชาปจฺจยา ภิกฺขเว สงฺขารา เป็นต้น.

    ก็ในคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา ภิกฺขเว สงฺขารา เป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

    เปรียบเหมือนบุคคลเริ่มกล่าวว่า เราจักพูดถึงบิดาย่อมพูดถึงบิดาก่อนว่า บิดาของติสสะ บิดาของโสณะ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงเริ่มเพื่อตรัสปัจจัย เมื่อตรัสถึงธรรมมีอวิชชาเป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งธรรมมีสังขารเป็นต้น โดยนัยเป็นต้นว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้แล้ว จึงตรัสถึงธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น.

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=16
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ถึงหน้าแล้ง ใบไม้้แห้ง และร่วงหล่น

    เปรียบเหมือนคน ผ่านไว ไปข้างหน้า

    ย่อมเจ็บปวด แก่หง่อม ตามเวลา

    อนิจจา สิ่งเหล่านี้ ชี้บอกเรา.

    หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง.





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพุทธศาสนา

    ไม่ใช่เรื่องของการอ้อนวอน

    ต้องขอหรือให้กันได้

    ทุกคนจะต้องทำด้วยตนของตนเอง

    ถึงจะได้ผล ขอหรือให้ไม่ได้ต้องทำเอง

    แล้วก็ไปกับตนเองในที่สุด.

    ธรรมะของท่านพ่อลี ธมุมธโร.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  8. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ผู้เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงความดีงาม จิตชำระได้สะอาดผ่องใสยิ่งขึ้นแล้ว ย่อมไม่กล่าวตำหนิกล่าวประทุษร้ายผู้อื่น เสมอเป็นนิจ
    พร้อมกันนั้น จิตเขาย่อมวางอยู่แล้วด้วยธรรมตั้งมั่นไม่สั่นครอนแม้ด้วยเครื่องกระทบทั้งหลาย จะด้วย กายกรรม ก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี อันอารมณ์ทั้งหลายไม่เกิดมีแก่เรา เราวางแล้ว ท่านละวางลงหรือยัง

    เราไม่ปราถนาจะชนะใครหรือเหนือใคร เราปราถนาที่จะชนะเฉพาะจิตตนเท่านั้น
    เราพิจารณาเห็นเฉพาะในจิตเราเท่านั้นท่านอื่นๆทั้งหลายเรามิอาจทราบได้และก็มิได้ปราถนาอยากจะทราบวาระจิตของใคร เพราะจิตใครก็จิตมัน มันชำระให้ขาวสะอาดได้ก็ต้วยจิตชำระจิตตน ด้วยจิตเขาเอง

    จะติใครไม่สำคัญเท่าติตน จะเตือนใครไม่สำคัญเท่าเตือนตน จะสอนใครไม่สำคัญเท่าสอนตน จะเหนือใครไม่สำคัญเท่าเหนือตน เพราะตนแลเป็นที่พึงแห่งตน
    หากยังติตนไม่ได้ สอนตนไม่ได้ เหนือตนไม่ได้ แล้วท่านจะไปติ เตือน สอน ผู้อื่นได้อย่างไร
    เพราะเมื่อตนยังไม่สามารถเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วควรนำตนอาสาให้เป็นที่พึ่งของใคร อย่างนั้นหรือ

    ทุกคำกล่าวที่เราโพสไว้ เป็นของกลางๆ มิได้กล่าวถึงใครเพื่อใครหรือมีวัตถุประสงค์อื่นใด มีเพียงวัตถุประสงค์เดียวเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนในภูมิธรรมที่เรียนรู้มาศึกษามาหลายสิบปี จากการปฏิบัติมาก็หลายปี ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร ก็เล่าสู่กันฟัง มิได้มีเจตนาอย่างอื่น
    ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณา ในเหตุและผล ประโยชน์ที่จะได้รับ ความสัจจจริงที่เป็นที่จะได้รับ ไม่ควรมีมิจฉาทิฏฐิอย่าปิดกั้นปัญญาและความคิดตนเองที่จะพร้อมเรียนรู้หลักธรรมใหม่ๆเพื่อพัตนาจิตตน
    และสุดท้าย คำกล่าวของเรา เราก็วางมันไว้ทิ้งไว้ตรงนั้นแล้ว ไม่ได้ยึดติดอะไร ไม่ได้คาดคั้นยึดมั่นว่าต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นของเรานี้ เพราะจิตเราแค่รู้แล้ว ปัญญาเกิดแล้ว เข้าใจในสัจจธรรมแล้ว จิตเราก็ละปล่อยวาง ว่างสงบลงแล้วเป็นธรรมดาของเราครับ สาธุครับ

     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    รบหมื่นครั้งก็ชนะหมื่นครั้ง เพราะอาศัยการชนะใจตน
    รบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้ง มิเป็นอื่นเพราะข้าศึกคือกิเลสนั้นตายหมดสิ้นแล้วไม่เหลือแล้วครับ
    ถ้าหากเราและท่านยังไม่ชนะใจตน ข้าศึกคือกิเลสย่อมทำให้เราต้องพ่ายปราชัยได้เสมอมิเป็นอื่นครับ
    สาธุครับ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
     
  12. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8k3eFBMDyCE&feature=player_detailpage#t=241s]ก้อนหินกับนาฬิกา - YouTube[/ame]
    (ก้อนหินกับนาฬิกา)
    คอยหมั่นเจริญสติภาวนาต่อไปนะ อย่าทิ้ง
    รุ่นนี้ต้องไม่วิ่งตามความรู้สึก+นึกคิดแล้วนะ คอยดูความเคลื่อนไหวกาย-ใจไปนะ
    พยายามอยู่กับตนเองให้มากๆ เดี๋ยวปัญญาก็เกิดเอง
    ผู้ใดไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง ก็คิดไม่ออกนะ
    ข้อความดั้งเดิม ภ.

    .....หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส 5555เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  13. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ปุถุชนที่เข้ามาศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน มีความเพียรเพื่อจะดับกิเลส

    เมื่อเห็นแนวทาง ย่อมตั้งจิตให้ตรงย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิแบบโลกียะ

    หรือจะกล่าวโดยนัย เป็นเพียงสัมมาทิฏฐิโดยอนุโลม เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์

    เช่น เชื่อในผลของกรรม เชื่อโลกนี้โลกหน้ามี
    จึงได้ประกอบการทำทาน รักษาศีล และพากเพียรเจริญภาวนา เพื่อละมิจฉาทิฏฐิ หรือ อุปาทานขันธ์

    ซึ่งสัมมาทิฏฐิที่แท้จริงนั้น คือ ปัญญาโดยชอบ ที่แจ้งในอริยสัจ
    มีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ เฉพาะตน มีญาณหยั่งรู้อริยสัจทั้ง4
    รู้กิจที่เป็นไปเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ และรู้แจ้งกับสิ่งที่ดับทุกข์ได้แล้ว

    มีมรรคผล เป็นสิ่งรับรอง มิจฉาทิฏฐินั้นละได้แล้ว เช่น สักกายะทิฏฐิ
    หรือเรียกอีกอย่างว่า เป็นสัมมาทิฏฐิ อันเป็นโลกุตระ

    ดังนั้น ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่แท้จริง ย่อมมีในพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    เป็นผู้เจริญวิปัสนาญาณ ได้อย่างแท้จริง เพราะข้ามโครตปุถุชน กัลยาณชนไปได้แล้ว
    มีญาณรอบรู้ในกองสังขารทั้งหลาย

    แต่ผู้กำลังฝึกตน หรือกัลยาณชน ผู้พากเพียรเจริญสติ สัมปชัญญะ
    เพื่อรู้สภาพธรรมของการเกิดดับ แต่ยังไม่แจ้งประจักษ์แก่ใจตน ยังไม่บรรลุมรรคผลใดๆ

    ก็ยังไม่ใช่สัมมาทิฏฐิที่แท้จริง เพราะต้องก้าวพ้นความเป็นอนุโลม ข้ามโครต นั้นเสียก่อน

    แล้วจิตนี้จะดำเนินไปโดยองค์แห่งมรรค ด้วยวิปัสนาญาณ มีมรรคญาณเกิดขึ้น

    แต่ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิแบบโลกียะ นั่นเพราะมีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกเป็นสิ่งประเสริฐ

    ไม่พึ่งการอ้อนวอน ไม่ร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นำมาเป็นที่พึ่ง
    เช่น เทพยดาฟ้าดิน ต้นไม้ เหล่านี้เป็นต้น เพราะเห็นแนวทางแล้วว่า
    มีแต่ตนของตน ที่จะช่วยตนให้รอดพ้นข้ามฝั่งไปได้
    จึงได้พากเพียรสดับธรรมะจากผู้รู้ชี้แนวทาง นำไปปฏิบัติ เพื่อให้ถึงสัมมาทิฏฐิโดยโลกุตตระ อย่างแท้จริง

    ลองสำรวจดูสิ เรายังพึ่งพระเครื่องอันเป็นวัตถุ หรือพึ่งสิ่งศักดิ์ใดๆ อยู่หรือไม่
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆนั้น ไม่เท่ากับการทำใจของตน ให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เลย

    พระเครื่อง หรือเครื่องรางของขลังใดๆนั้น อันเป็นสิ่งภายนอก
    ก็ไม่เท่ากับ พระสติ พระปัญญา ที่พากเพียรอบรมให้เกิดขึ้นกับตนเองได้เลย

    เราสำรอกสิ่งเหล่านี้ให้ขาดไปจากใจ ไปได้มากน้อยแค่ไหน
    นั่นแหละ คือ การชนะใจตน ต่อสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบหรือทดสอบ
    ปรุงแต่งให้หวั่นไหว เพราะพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ หรือเทวตานุสติ เป็นต้นนั้น
    เป็นสิ่งระลึก เป็นที่พึ่ง ด้วยนามธรรม เพื่อให้เกิดสติ สัมปชัญญะ อยู่เนืองๆทุกขณะ

    นั้นเอง คือ ความเป็นกัลยาณชน ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิโดยอนุโลม ที่พ้นบ่วงปุถุชนไปแล้ว
    เพราะปุถุชน ที่เนื่องด้วย ความเป็นอันธปุถุชนนั้น
    เป็นผู้มิเคยได้สดับ มิได้มีโยนิโสมนสิการ จึงที่ไม่สามารถน้อมนำเข้ามาภายในจิตใจได้

    และ กัลยาณปุถุชน สามารถจะกอบประโยชน์จากสิ่งที่พากเพียร
    เพื่อจะให้ถึงซึ่งคำว่า "สัมมาทิฏฐิโดยโลกุตตระ" เป็นสัมมาทิฏฐิที่ประจักษ์
    กับใจตนด้วยสัมมาญาณ แจ้งในกองทุกข์ แจ้งโดยไตรลักษณ์

    ตัวอย่าง เทวดา มาลองใจ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    และไม่สามารถทำให้ท่านหวั่นไหว ได้เลย เพราะมีปฏิธานอันแน่วแน่ เพื่อรุดไปข้างหน้า


    ฉะนั้น ลองพิจารณา เราเป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ยังประกอบด้วยโลกียะ
    ว่าเราได้สำรอก ทั้งสิ่งภายนอก และภายใน
    ที่ยังเนื่องความเป็นมิจฉาทิฏฐิซ่อนเร้น กิเลสบังเงา หรือมายาคติ แบบโลกนิยมกัน
    กับการที่จะเป็นผู้ลอยบุญลอยบาป เป็นผู้ทวนกระแสโลก
    ทวนกระแสแห่งแม่น้ำ กระแสแห่งโอฆะ ....ได้ถึงไหนแล้ว
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ========

    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ช้าก่อน ผมแกล้งพูด แกล้งพิมพ์ ให้มันดูหล่อแค่นั้นเอง ^^

    จะเอาแบบ "ขวานผ่าลูกโป่ง" โป้ง..! เลยก็ย่อมได้ [​IMG]
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    พระพุทธศาสดา - อธิษฐานลอยถาดทอง ทวนกระแสน้ำ

    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/6RiR8V1REf8" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การอนุโมทนาและกล่าวสรรเสริญ ควรอนุโมทนาและกล่าวสรรเสริญ ด้วยเพราะธรรมะ หรือคำสอนหรือข้อความที่เห็นแล้วว่า มีประโยชน์เป็นแก่นธรรม เป็นสัจจธรรม เป็นกุศลธรรม อันเป็นเครื่องเพิ่มพูนปัญญา มิใช่กล่าวสรรเสริญเพราะด้วยว่าเป็นสหายกัน เพราะเป็นญาติกัน เพราะเป็นลูกศิษย์กัน เพราะเป็นชาวพุทธด้วยกัน หรือเพื่อเหตุผลอย่างอื่น เราเห็นแค่ธรรมเหล่านั้น มีประโยชน์เป็นสิ่งดีงาม ควรแล้วจึงสาธุการ หรืออนุโมทนาครับ

    ท้ายที่สุดนี้ไม่ว่ากระทู้ใดๆ สถานที่ใด บุคคลใด ผู้กล่าวธรรมะใดๆ ได้แสดงธรรม กล่าวธรรม หรือคัดลอกนำธรรมะมาเผ่ยแผ่ จะมากน้อยปานกลาง แต่เป็นสัจจธรรม เป็นแก่นธรรม เป็นกุศลธรรม อันมีประโยชน์ต่อเราท่านทั้งหลาย ควรแล้วที่จะสาธุการ หรืออนุโมทนาครับ
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ข้อความธรรมะของสมาชิกที่นำมาลง นำมาโพสในกระทู้

    สำหรับบางคน บางทีผมก็แกล้งข้าม ไม่กดอนุโมทนาให้

    ผมเข้ามาในกระทู้นี้ และโพสครั้งแรกในกระทู้ ด้วยสิ่งนี้

    <IMG src='http://www.techdigest.tv/facebook-like.png' width=50>

    พอสักพักในตอนนั้น ก็ได้โพสสิ่งนี้

    <IMG src='http://www.buncee.com/files/uploads/image/Dislike.png' width=50>

    ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่ออะไร ?

    ก็อาจจะมีบางคน ที่ผมแกล้งกดอนุโมทนาให้ก็ได้นะ เพราะเล็งเห็นประโยชน์ของคนๆนั้น ที่จะได้รับ

    ขอตัวก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013
  19. aomnitta

    aomnitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +100
    น้องตรีจ้ะ น้องตรีนับยังไงว่าเรายังอยู่กันครบจ๊ะ พี่อ้อมนับยังไง๊...ก็รู้สึกเหมือนมันขาด ๆ เกิน ๆ ยังไงไม่รู้อ่ะจ้ะ
     
  20. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โอ้โฮ....พี่อ้อม...!!!พี่ไปอยู่ไหนมานิ? มามา...มาช่วยกันอุดเรือรั่วเร็ว เรือจะจมอยู่แล้ว....อิอิ ถึงเราจะไม่ได้อยู่กระทู้นี้เป็น คนสุดท้าย ...แหม พูดไปทิ เสื้อชูชีพก็ไม่มีแฮะๆ ...หนูก็ใช้วิธี หลับหูหลับตานับเอาแหละ พี่อ้อมไม่มา...หนูยังนับเล้ย:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...