ย้อยรอยตำนาน "พ่อขุนผาเมือง"ภาคพิเศษ

กรุงสุโขทัยแต่เก่าก่อนนั้น นักประวัติศาสตร์อ้างอิงเรื่องราวจากในศิลาจารึกหลักที่ 2 แห่งที่ค้นพบในอุโมงค์แห่งหนึ่งของวัดศรีชุม

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสุโขทัย

สุโขทัย เป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อ ๗๐๐ ปีที่แล้ว ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ซึ่งพบอยู่ในอุโมงค์วัดศรีชุม ได้ให้เรื่องราว เกี่ยวกับสุโขทัยในระยะต้นว่า ในสมัยนั้นสุโขทัยยังเป็นเพียงเมืองทางผ่านไปค้าขายของเหล่าแคว้นใหญ่ ๆ เช่น พุกาม, ละโว้, นครชัยศรี ฯลฯ ปกครองโดย พ่อขุนศรีนาวนำถม มีโอรส 1 พระองค์ คือพ่อขุนผาเมือง ซึ่งเป็นราชบุตรเขตของเจ้า​

เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมเจ้าเมืองสุโขทัยสิ้นพระชนม์ลง ขอมสบาดโขลญลำพง ได้เข้าครอบครองเมืองสุโขทัย เพราะเห็นว่าเป็นทางผ่านของพวกพ่อเค้าวาณิช พ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม ที่จะครองเมืองราด จึงได้ชักชวนพระสหายคือพ่อขุนบางกลาวหาว เจ้าเมืองบางยาง เข้าร่วมชิงเมืองสุโขทัย เพื่อล่อให้ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากสุโขทัยมาปกป้องศรีสัชนาลัย ฝ่ายตัวพ่อขุนผาเมืองก็รอทัพอยู่เพื่อยึดครองสุโขทัย​

แต่ต่อไปนี้จะนำเอาเรื่องราวอีกหนึ่งเรื่อง ที่ได้รับมาจากพระท่านหนึ่งที่หล่มเก่า จ.เพฃรบูรณ์ จากปากคำของจิตวิญญาณพ่อขุนผาเมือง มาเล่าให้ฟังทุกตัวอักษรครับ ลองพิจารณาเรื่องนี้กันอีกแง่มุมหนึ่ง กล่าวถึงอ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ อันเป็นต้นตอที่มาของประวัติศาสตร์ของชาติไทย
หมายเหตุ***
ข้อมูลชุดนี้เพิ่งรู้มาสดๆร้อนๆจากพระท่านหนึ่ง และองค์อินทร์ฯ เมื่ออาทิตย์ก่อนครับ เกี่ยวกับการตำนานการสร้างพระธาตุวัดหินกลิ้ง​

 

​

ในยุคสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยุคที่ขอมเรืองอำนาจ​

คนไทอยู่ภายใต้การปกครองของราขวงศ์ขอม หัวเมืองต่างๆขึ้นอยู่ภายใต้ราชอาณาจักรของ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พาะองค์มีบุตรสาวพระองค์หนึ่งนามว่า พระนางสิงขรเทวี ที่เกิดจากพระนางต้นห้องในวังหลวง ในขณะนั้น พ่อขุนผาเมือง ท่านได้เข้ามาทำความสนิทชิดเชื้อกับพระนางต้นห้อง ทางอาณาจักรขอมก็เปิดทางให้ด้วยความยินดี เพื่อที่หัวเมืองต่างๆจะได้เป็นผืนเดียวกัน ในที่สุดท่านรู้จักกับพระนางสิงขรเทวี ท่านจึงใช้กลต่างๆวิธีทำให้นางเกิดความรักใคร่ ขณะเดียวกันค่อยๆสืบหาช่องทางเข้าออก ค้นหาช่องทางในการเข้าตีเมืองไปด้วย โดยการสืบถามจากพระนางสิงขรเทวีอยู่เนืองๆ
ในขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้จัดทัพซ่องสุมกำลังพลไว้ ที่เมืองราษฎ์ หรือเมืองลุ่ม เมืองหล่ม (คือหล่มเก่าในปัจจุบัน ) เพื่อรอการเข้าตีเมืองและประกาศอิสระภาพให้กับคนไท

 

ในที่สุด พ่อขุนผาเมือง และพระสหาย อันมีพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้จัดทัพยกเข้าตีเมืองขอมในเขตเพขรบูรณ์ (ศรีเทพ) สามารถเคลื่อนทัพยกเข้าตีเมืองขอมได้สำเร็จ อาณาจักรขอมยอมถอยร่นกำลังทัพออกไป (ต่อไปนี้แกะออกมาจากเสียงที่บันทึกได้ทัน)

เมื่อสิ้นศึกสงคราม พ่อขุนผาเมืองทรงยก พระนางเสือง
ก็คือพี่สาวของพ่อขุนผาเมือง พี่สาวแห่งเรา
ให้เป็นมหามเหสี และสถาปนาพ่อขุนบางฯ
ให้เป็นเป็นปฐมษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย
มีนามว่า "พ่อขุนศรีอินทราทิตย์"

ส่วนตัวพ่อขุนผานั้นเล่า เปรียบเหมือนกษัตริย์ไร้ราชบังลังค์
หลังจากนั้นท่านก็มีพระชายาทั้งสองนาง
คือ เจ้าแม่เข็มทอง และ เจ้าแม่ปทุมวดี
ผู้เป็นพี่สาวของเจ้าแม่เข็มทอง
แต่ก็หาได้สมสู่กับพระนางทั้งสองไม่
พระชายาทั้งสองนี้ คือน้องสาวแห่งพ่อขุนศรีอินทราทิตย์

"เราไม่อาจครองราชบังลังค์ได้ ด้วยเหตุเพราะลูกหลานจะประนาม
ว่ามีลูกมีหลานเป็น สองบ่าว สองนาย
เกรงว่า ลูกที่เกิดมานั้นไซร้ จะเป็นสองชาติเชื้อ
จะเป็นภาระแก่ประเทศชาติบ้านเมือง"

 

เราให้สิทธิ์และอำนาจ พระนางสิงขรเทวี ทุกประการ
ในเมืองราษรฏ์ เมืองล่ม เมืองหลุ่ม
พระนางทรงเป็นใหญ่ผู้หนึ่ง
แต่พระนางมีใจเด็ดเดียวเก็บความเคียดแค้น
แทบจะไม่มีใครรู้เลย (โกรธแค้นที่หลอกให้รักแต่มาตีเมืองจนแตก)

นางอยู่มานานกับพระนางทั้งสอง
ซึ่งพร้อมที่เป็นพระราชบริพานแห่งนาง..
เราได้ให้อนุญาติ ให้เป็นองครักษ์แห่งนาง
แต่ไม่คิดว่าพระนางจะวางแผนเผาบ้านเมือง

พระนางได้เผาเสบียง ยุ้งข้าวดังกล่าว จนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
พร้อมทั้งอฐิษฐานกระโดดน้ำตายที่แม่น้ำป่าสัก (อุ้มพระพุทธรูปดำน้ำ)
ทั้งแม่ปทุมวดี แม่เข็มทอง ก็ต่างไม่มีผู้ใดโกรธ เห็นใจแม่นางนี้

 

พระชายาองค์สุดท้าย สวยสดงดงามยิ่งนักหนา
นั้นคือ "สร้อยมาลา" ชายาแห่งขุนผาเมือง
สร้อยมาลานี้มาเป็นเมียแห่งผาเมืองในขณะที่ออกราชตระเวณ
เห็นนางสวยสดงดงามอาบน้ำอยู่ในคลอง
จึงเกิดความรักใคร่ ได้นางมาเป็นเมีย ตอนนั้นนางเพียงอายุ 16 ชันษา


เมื่อสิ้นพระนางสิงขร แต่ก่อนจะสิ้นนั้น เราได้กลับมาจากสุโขทัย
จึงแบ่งแยกที่อยู่อาศัย วัดตาล นั้นให้ชื่อว่า วังตาล หรือวังหน้า
วังหลวงนั้นหนาคือ วังกลิ้ง อฐิษฐานเสี่ยงทายโดยใช้หินก้อนใหญ่
โดยแม่ปทุมวดี เสี่ยงทายจาก"เขาภูนมนาง"ทางทิศตะวันออก
เมื่อกลิ้งหินลงมา หยุดตรงไหน จะตั้งเป็นขอบขันทเสมา
คือเป็นเมืองเป็นพระราชวัง แลที่พักอาศัย
พร้อมทั้งสร้างวัดวาอาราม เพื่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและนักรบ
นานทีเราจึงจะไปเยี่ยมสหายที่สุโขทัย


วังหน้า (วังตาล) ให้แม่เข็มทองเป็นผู้อาศัย
ส่วนสร้อยมาลาก็อยู่กับชายาแม่ปทุมฯ
ส่วนวังกลิ้ง ให้พระนางประทุมวดีดูแลอยู่..


(อันมีหลักฐานและสถานที่จริงปรากฎอยู่ที่ อ.หล่มเก่า)

 

พ่อขุนผาเมืองทรงประพฤติปฎิบัติธรรม ถือศีลนับกาลบัดนั้นมาตลอด
เมื่อสิ้นพระนางสิงขรฯ จึงหาทางทำประเพณีเพื่ออุทิศบุญ ให้กับนาง

ฝ่ายแม่เข็มทองมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ขุนผาเมืองอันเรืองฤทธิ์จึงให้บริหารว่าการบ้านเมือง
แม่เข็มทองฉลาดในการจัดการงานต่างๆ

ส่วนแม่นางปทุมได้จัดการเรื่องภายในและการดูแลกองทัพ
ส่วนสร้อยมาลามีฝีมือเป็นปราชญ์ ในการทำ บายศรี ทำกระทง
จึงได้มีปฐมเหตุแห่งประเพญีลอยกระทง ขึ้น ณ.กรุงสุโขทัย
ถวายอุทิศกุศลลอยตามน้ำคงคาให้แก่ พระนางสิงขรนั่นเอง
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา:-

 

ส่วนกาลในครั้งหนึ่ง
พ่อขุนผาปฎิบัติธรรมบวชในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่าพระร่วง
ในกาลครั้งนั้น แม่ปทุมวดีได้สร้างวัดวาอารามในเขตหมู่บ้าน
แห่งนี้จนงอกงามรุ่งเรือง ตามกาลสมัย
ส่วนพระนางเข็มทอง ก็สร้างวัดตาล วังตาล
ส่วนวังเสื้อแดงที่อยู่ใกล้ๆเป็นที่พักเหล่าบรรดาทหารเสือ

ส่วนบนยอดเขา เป็นที่พักพล ของทหารเอกคู่กาย
นามว่า ผาแดง - ผาดำ - ผาเด่น - ผาหล้า อยู่บนยอดเขาแต่ละทิศ
ทหารเอกทั้งสี่ท่านนี้ เคียงบ่าเคียงไหล่พ่อขุนผามาตลอด มีวิชาอาคมยิ่งนัก
โดยเฉพาะ ผาดำ ทรงมีอสุนีบาต ฟ้าฟาดลงสู่พื้นปฐพีได้
ต่างก็ไปอยู่ตามหัวเมืองต่างๆเมื่อสิ้นสงคราม

จนกระทั่งสิ้นสมัยกรุงสุโขทัย ในชาติที่พ่อขุนผาเมืองปกครอง...
....จนสวรรคต

 

ทรงเป็นผู้ที่ประพฤติปฎิบัติธรรม กุศลนั้นจึงเกิด...
แต่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ด้วยเศษกรรม เพราะรบราฆ่าฟัน

ส่วนเรื่องของบุญฤทธิ์และอิทฤทธิ์ ขุนผาเมืองนามประเดื่องทั่วหล้า
เมื่อสิ้นพระชนม์ชีพ จึงได้ไปเป็นเทพ
มีนามว่า"เทพฤทธิ์กฤษดาปัญญาราศ"
หรือ ท้าวสยามเทวาธิราช องค์แรก
ด้วยฝ่ายบุญและอำนาจ เหยียบหัวเมืองที่ไหนกระเดื่องที่นั่น วาจาดุจพระร่วง

เมื่อสิ้นจากสุโขทัย เวียนว่ายตายเกิด มาในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ด้วยผลบุญที่สั่งสม ในชาตินั้นได้เกิดเป็น สมเด็จพระมหาจักรพรรด์
ส่วนแม่เข็มทองได้เกิดเป็น พระศรีสุริโยทัย
เพราะเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด
บริหารบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรมมาตลอด

ในกาลครั้งสิ้นกรุงศรีอยุธยา เมื่อสิ้นพระศรีสุริโยทัย
สมเด็จพระมหาจักรพรรด์จึงออกบวช ผนวชเป็น หลวงตาจักร
มีมิตรที่รัก อยู่ฝั่งลาวเยอะเยอะเต็มไปหมด ...(ต่อพรุ่งนี้)

 

เมื่อสิ้นพระชนม์ชีพ จึงได้ไปเป็นเทพ
มีนามว่า"เทพฤทธิ์กฤษดาปัญญาราศ"
หรือ ท้าวสยามเทวาธิราช องค์แรก
ด้วยฝ่ายบุญและอำนาจ เหยียบหัวเมืองที่ไหนกระเดื่องที่นั่น วาจาดุจพระร่วง

แล้วเรื่องเกี่ยวกับพระร่วงละครับ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้อีกสักกี่ปีครับ

 

ข้อมูล ลุ่มลึก และน่าศึกษามากครับ ขอบคุณพี่มากๆครับ สำหรับ ข้อมูลดีๆ

 

เท่าที่นู๋อ่านมันหมายความว่ายังงี้นะคะ


1. พระร่วงไม่ใช่ลูกของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
แต่เป็นเพื่อนกันช่วยกันสร้างราชวงศ์มาก่อน
แต่ตนเองสละไม่เอา ให้เพื่อนตนเองไป

2. พี่สาวขุนผาเมือง เป็นเมียพ่อขุนบางกลางท่าว
ส่วนน้องสาว 2 คน ของพ่อขุมบางกลางท่าว
มาเป็นเมียพ่อขุนผาเมือง แต่พ่อขุนผาเมือง
ไม่ได้สมสู่ด้วย เพราะจะเกิดความยุ่งเหยิง
(หายอมก็ยอมตกในฐานะน้องเขยแน่แท้)
ท่านจึงบวชตลอดชีวิตชื่อว่า "พระร่วง"

3. พ่อขุนรามคำแหง ไม่ใช่ "พระร่วง"
เป็นคนละองค์กัน พ่อขุนรามฯ เป็นลูกขุนบางกลางท่าว
(ขุนศรีอินทราทิตย์) และมาช่วยขยายอาณาเขตภายหลัง

4. ผู้คิด "ประเพณีลอยกระทง" ไม่ใช่พระสนมเอก
ของพ่อขุนรามฯ แต่เป็นภรรยาในนามของพ่อขุนผาเมือง
(พระร่วงที่บวชตลอดชีวิต) เพื่อไว้อาลัยแต่มเหสีองค์แรก
ของปฐมกษัตริย์ที่แค้นใจที่ถูกหลอกลวง


อนึ่ง การเขียนประวัติศาสตร์ของ "พ่อขุนรามฯ" อาจมีความจำเป็น
ต้องเขียนต่างจากเรื่องจริงก็ได้ "เพื่อความสมานฉันท์" ไงละฮะ


(นู๋ก็มีเซนต์ สงกะสัยมานานเหลือเกินว่า "พ่อขุนราม ไม่ใช่ พระร่วง")


อ่านแล้วเข้าใจตรงก๊ะนู๋ไหมฮะ?

 

งั้นก็ตีความหมายได้อีกอย่างนะคะ


1. ขุนผาเมือง สร้างชาติแล้วสละราชบัลลังก์, เมีย, และทาส
(ขุนพลเก่งๆ ก็ให้เขาหมด) แก่พ่อขุนศรีอินฯ แล้วบวชตลอดชีพ
ได้นามว่า "พระร่วง"

2. ขุนผาเมืองน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์สร้างสมบารมีชาติสุดท้าย
และมาเกิดช่วยประเทศไทยอีก คือ พระเจ้าจักรพรรดิ ในสมัยอยุธยา


สรุป ขุนผาเมือง = พระร่วง = สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
คือ นิยตโพธิสัตว์ 1 ใน 10 องค์ แน่นอนค่ะ


ฟันธง!

 

แล้ว "พ่อขุนรามคำแหง" ละ เป็น โพธิสัตว์องค์ไหนเอ่ย ตะแง่วๆๆๆ
มาเกิดอีกในสมัยไหนต่อ มาทำรัยๆ ต่อเคอะ เล่าต่อสิเคอะ หนังยังไม่จบค่า

 

อ้อ ขอถามหน่อยสิเคอะ ไหนๆ ก็สงกะสัยนานแล้ว


"พระเจ้าตากใช่พระอสุรินทราหูโพธิสัตว์"
เป็นนิตยโพธิสัตว์องค์ที่ 5 และมากู้ชาติแล้ว
สละบัลลังก์ แบบพระเวสันดอนในชาติเดียว
กะที่สละให้ ร.1 ไหมคะ?


แล้ว ร.1 อ่ะ เป็นโพธิสัตว์องค์ไหน?

 

แล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชละ
กู้ชาติแล้วสละบัลลังก์ให้น้องชายคือพระเอกาทศรศ


ท่านเป็นโพธิสัตว์องค์ไหนในนิตยโพธิสัตว์เคอะ?

 

ต่อครับ..

ในกาลครั้งสิ้นกรุงศรีอยุธยา เมื่อสิ้นพระศรีสุริโยทัย
สมเด็จพระมหาจักรพรรด์จึงออกบวช ผนวชเป็น "หลวงตาจักร"
มีมิตรที่รัก อยู่ฝั่งลาวเยอะเยอะเต็มไปหมด
จำได้ว่าได้เคยมาผูกสัมพันธไมตรี กันที่ศรีสองรัก
เจ้ามหาชีวิตแห่งลาว ในสมัยที่ยังเจริญรุ่งเรือง
เพื่อต้องการจะให้เป็นบ้านพี่+เมืองน้อง ไม่ต้องทำสงครามซึ่งกันและกัน

เมื่อออกบวชจึงธุดงค์มา พักอยู่ ณ.ที่ระหว่างวังตาลและวังกลิ้ง
ที่วัดตาล ในกาลครั้งนั้นจำพรรษาอยู่ ประสงค์ที่จะสร้างพระพุทธรูป
ขึ้นมา 1 องค์ ด้วยทองสำริด
จึงทำพิธีหล่อพระประธานในพระวิหารนั้น ชื่อว่าหลวงพ่อใหญ่
แต่เกิดเหตุอัศจรรย์ หล่ออย่างไร พระเศียรทรงไม่ติด
ถึงเวลาฉันท์เพล เมื่อพระไปฉันท์เพล
จึงมีนิมิตรอัศจรรย์ขึ้นมา มีพราหม์พรหมจรรย์ นุ่งขาวห่มขาว
มาทำพิธีหล่อ พระเศียรของหลวงพ่อใหญ่
พระประธานในวิหารจึงติด ทราบด้วยญาณว่าเป็นแม่นางเข็มทอง
หรือสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ที่สิ้นพระชนม์ไปนั้นเอง
และก็มา ที่วัดหินกลิ้งแห่งนี้ ก็ได้มาบูรณะ พระเจดีย์เก่าเก่า
ที่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ ได้สร้างเอาไว้

ในระหว่างบูรณะ ศาสตราอาวุธต่างๆฝังไว้ในใต้พระธาตุแห่งนี้
เพื่อเป็นการยุติฆ่าฟัน และบฎิบัติธรรมอย่างบริสุทธิ์
สมเด็จพระมหาจักรพรรด์จึงบูรณะ พระธาตุนี้ขึ้นมาเป็นศิลปของอยุธยา

ก่อนที่จะบูรณะ มีดั้งเดิมมาก่อน เดิมทีบรมโกษกล่าวอายุประมาณมิได้
ได้มี พระฤๅษี ตอนนั้นบ้านเมืองเกิดเภทภัย โรคร้ายต่างๆ จึงได้มีพระฤๅษี

พาชาวบ้านมาปั้น "ปั้นธาตุ" เพื่อให้เป็นเคล็ดว่า คนที่ลัมหายตายจาก
ด้วยทุกข์โศก โรคภัย ธาตุมันอ่อน คนโบราณจึงได้ปั้นธาตุนี้
ไว้เพื่อเป็นเคล็ดให้ธาตุสี่ ขันธ์ห้า ของตนนั้นได้เข้มแข็ง แข็งแรง

จึงพาชาวบ้านมาทำไว้แต่แรก นับอายุประมาณมิได้
ในสมัยที่บูรณะ มีตอเพียงอันเดียวเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อสิ้นสมัย กรุงศรีอยุธยา สิ้นหลวงตาสมเด็จพระมหาจักรพรรด์
ในกาลครั้งนั้น เกิดบ้านเมืองโกลาหลในกรุงรัตนโกสินทร์ ต้นคือกรุงธนบุรี

สมเด็จพระมหาจักรพรรด์ กากส่วนหนึ่งเศษเสี้ยว
ได้เกิดเป็นหลวง "ก๋งฮงเฮง" หรือไฮ่หอก
ส่วนกากแห่งพระศรีสุริโยทัย เกิดมาเป็น
พระนางนกเอี้ยง หรือ"พระนางเง็กไท้"
ผู้เป็นมารดา-บิดาเลี้ยง ของ"พระเจ้าตากสิน"....

 

เอ ฟังอย่างนี้แล้ว แสดงว่า สององค์ทั้งองค์มหาจักรพรรดิ
และองค์ศรีสุริโยทัย "สามารถแบ่งภาคได้" ก็น่าจะเป็นหน่อเนื้อ
พุทธางกูลทั้งคู่ หากเชื่อตามคำสอนหลวงปู่ดู่นะคะ



แม่นางเข็มทอง = พระศรีสุริโยทัย = พระนางนกเอี้ยง


คือ พระอวโลกิเตศวรกวนอิมอ่ะป่าวเคอะ?

 

ปล. ปกติหากเป็น "คู่บารมี" ธรรมดา คงอาจไม่สามารถสละชีพบนคอช้าง
หรือบริหารแผ่นดินได้เต็มรูปแบบ เหมือนพระนางเข็มทองได้
อีกประการหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์บารมีใกล้เต็ม ก็จะบำเพ็ญเพียร่วมกับ
"มหาโพธิสัตว์" ก็อย่าง พระนางมัทรี ก็น่าจะใช่ภาคแบ่งของมหาโพธิสัตว์นะคะ


ดูท่าทางแล้ว พระนางเข็มทอง, พระศรีสุริโยทัย ทรงมาช่วยชาติ
เต็มกำลังเลย ไม่น่าจะเป็นแค่คู่บารมีธรรมดา น่าจะเป็นมหาโพธิสัตว์มากกว่านะคะ


คิดว่าไงกันมั่งเคอะ

 

งั้นก็ได้ความรู้อีกอย่างหนึ่ง


เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเต็มแล้ว (ชาติสุดท้ายแบบพระเวสสันดร)
จะเป็น "หน่อพุทธางกูล" โดยสมบูรณ์และสามารถ "แบ่งภาคช่วยโลกได้"



(ปล. บารมีเต็มแล้วก็ยังต้องมาช่วยมนุษย์ ก็เป็นโพธิสัตว์นี่คะ
แต่ก็ดีที่บารมีเต็มแบ่งภาคได้เลยไม่เหนื่อยเกินไป)

 

คุณฟิลม์ช่างซักช่างถามดีจริงๆ
เป็นไปได้ครับการแบ่งภาคของจิตวิญญาณ ที่ท่านเรียก กากหนึ่ง เศษเสี้ยวไปเกิดเป็น...?
คือจิตวิญญาณสามารถแบ่งคลื่นความถี่ออกมาได้ จิตดวงหนึ่งแบ่งออกมาอีกดวงหนึ่ง โดยที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากัน เพื่อไปทำหน้าที่บางอย่างที่ติดค้างในภพภูมินั้นๆให้ลุล่าง ถูกแล้วครับ แต่ท่านจะเป็นแบบที่คุณฟิลม์บอกรึเปล่าไม่ทราบเหมือนกัน ผมก็พยายามถามต่อครับ แต่ท่านบอกว่าอันตรายเกินไปบอกไม่ได้..ท่านบอกเท่าที่มิติจะเปิดให้เท่านั้นครับ