จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ปักหลัก ...

    เมื่อเราเข้าใจในธรรมแล้ว หรือเห็นธรรมแล้ว ...
    หมายความว่า เจ้ามีหลักธรรมให้เกาะแล้ว ...
    เมื่อได้หลักกันแล้ว ... เหตุใดเจ้าไม่ปักหลักธรรมนั้นลงไปในจิตเจ้าให้ลึกลง ...

    ไม่มีใครปักให้ได้ นอกจากความนิ่ง สติ ในจิตเจ้าเอง

    หลักมีแล้ว อยู่ตรงหน้าแล้ว แล้วทำไมไม่ปักอีก ...

    อย่ามัวไปสนใจสิ่งใดๆ ภายนอกอยู่เลย

    สิ่งใดจะเกิด ก้อเกิดเป็นเช่นนั้น ...
    เมื่อมันจะเกิด แทนที่จะส่าย เจ้าต้องนิ่งสิ นิ่งในหลักในธรรมในจิตเจ้า ...

    แล้วเจ้าจะพบว่า เมื่อเราปักหลักแล้ว ... ไม่มีสิ่งใดทำอันใดแก่หลักธรรมในจิตเจ้าได้เลย ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เวลา และ วาระ ...

    กรรมเป็นของเฉพาะตน ... ทำแทนกันมิได้
    วาระกรรม ก้อเป็นของเฉพาะตน ... รับแทนกันมิได้

    เวลา ... เป็นของแน่นอน ...ทำได้เพียงรับรู้ และดูมัน เดินไปกับมัน ด้วยจิตแห่งธรรม

    เราเดินมาถึงตรงนี้ เราสอนให้วาง มิได้สอนให้ยึดโยง แม้แต่ตน เรายังไม่ให้ยึด
    แล้วกับผู้อื่น เจ้าจะยึดไปใย

    เรียก สติ มานะ ท่านทั้งหลาย ...

    ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิด ... มันคืออนาคตใช่ไหม
    เราสอนเจ้าว่าอย่างไร ... อยู่กับปัจจุบันใช่หรือไม่

    แล้วจะส่ายไปทำไม

    กลับมาเถอะนะ อยู่ในจิตในใจเจ้าเอง อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องส่าย แล้วจะสบาย ...
    ปล่อยให้เวลา ทำงานของมันไป อย่าไปยุ่งกับมัน ปัจจุบันมีธรรมในจิตหรือยัง นั่นแหละพอ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  3. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สำรวจตนเอง ...

    เวลานี้เหมาะแล้วที่เจ้าทั้งหลายจะดูจิตเจ้านะ

    นิ่งพอไหม ส่ายไหม วางจริงไหม

    ลองดูนะ ไม่มีใครดูแทนเจ้า ... เราก้อมิได้

    สิ่งที่เกิดนั้น จะเกิดหรือไม่ เรามิได้กำหนด เจ้ามิได้กำหนด
    มีเพียงอย่างเดียวที่ควรทำ คือ หาธรรมในธรรมในเจอ
    แล้วเจ้าจะพบว่า สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ถึงธรรมนั้น ต้องทำอย่างไร


    ทุกข์ก้อธรรม ... ถ้าทำเป็น
    สุขก้อธรรม ... ถ้าทำเป็น

    สุขก้อทุกข์ ... ถ้าวางไม่เป็น
    ทุกข์ก้อทุกข์ ... ถ้าวางไม่เป็น

    อยากเป็นแบบใด จิตเจ้านะ จะนำพา


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ยึด ...

    ครูก้อไม่ควรยึด เพราะสุดท้าย เจ้าตายคนเดียว ครูตายไปคนเดียว มิได้ไปพร้อมกัน จูงจิตกันไป

    สิ่งที่ควรยึดคือจิตตน จิตที่ถึงธรรม
    ธรรมในใจ จะนำพาเจ้าผ่านพ้นทุกสิ่งในวัฎฎะ

    ถ้ายังไม่ยืนด้วยจิตตน เพียรแต่จะเกาะ
    แล้วเมื่อใดเจ้าจะยืนหยัดได้ด้วยจิตตน

    เมื่อเกิดมา เจ้าทำไมยังยืนและเดินได้เอง
    บัดนี้เจ้ายังเดินเกาะใครเพื่อมิให้ล้มหรือไม่ ... ไม่

    จิตก้อเช่นกัน .. จะเติบใหญ่ เข้าสู่ความว่างในจิตตน เจอธรรมแท้จริงๆ ก้อมีเพียงจิตตน

    ใช้ปัญญาในจิต มากกว่าคำว่า ทำไมนะ

    ไม่ต้องเกาะใคร เกาะจิตเจ้าด้วยปัญญาพอ ... นี่แหละ ของดีที่เราบอกมาเสมอจวบจนวันนี้

    สุขแท้ในจิตตน นั่นแหละนะลูก


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  5. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    พรุ่งนี้...

    พรุ่งนี้ถ้าได้ทราบข่าวว่าเราตาย ...
    จงอย่าคิดว่าเราตาย หรือทำไมเราตาย

    จงทำให้เป็นวันนึงที่เจ้าต้องเกาะพระเป็นพอ ...
    จงอยู่ในจิตตนพอ ...

    ความตาย พลัดพราก มิอาจนำพาดวงจิตเจ้าตกต่ำได้ ถ้าจิตยังอยู่ในศีล ในธรรม ในจิตนั้นมีแต่ธรรม ต่อให้เผชิญโคตรกรรม มันก้อแค่นั้นจริงๆ ไม่มีอะไร


    ฝากไว้ให้คิด ไม่มีอะไรมาก


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  6. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ขอตัวไปสวดมต์ไหว้พระนะขอรับ
    เพราะทุกวันเราก้อทำเช่นนี้ๆ

    สอน ... สั่ง ... เมตตา ... เกาะพระ ... ทรงฌาน ... วาง
    ทุกวัน ทำเช่นนี้ ไม่มีอะไร

    แล้วจะพบว่า ก้อแค่วันนึง ที่จิตเราต้องอยู่ในธรรม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก้อตาม


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  7. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  8. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  9. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ตราบจนปัจจุบัน

    เรามิเคยสอนให้พวกเจ้า ... ยึดในการเกิด
    เรามิเคยสอนให้พวกเจ้า ... ยึดในการมีชีวิต
    เรามิเคยสอนให้พวกเจ้า ... ยึดในการตาย
    มิเคยให้เจ้ายึดในสิ่งใดๆเลย ...

    มีเพียงสิ่งเดียวที่เราให้เจ้ายึด ... ไตรลักษณ์ ...

    รู้แล้วใช่ไหม ว่าควรยึดสิ่งใดต่อไปในจิตเจ้า ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ไตรลักษณ์มีอยู่ในกายในใจของเราทุกคน. คำว่า ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยไตรลักษณ์ชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด พึงทราบว่าอยู่ในกายในใจของเราทุกคน ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวและสาวกของพระองค์เท่านั้น. พึงทราบว่า เราทั้งหลายเวลานี้กำลังเป็นภาชนะที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ที่จะสามารถพิจารณาแล้วและรับรองสภาวะที่ได้ที่อธิบายมานี้ ให้เห็นแจ่มแจ้งขึ้นในใจซึ่งเรียกว่า ธรรมในหลักธรรมชาติ เป็นของมีอยู่ตั้งแต่วันก้าวเข้าสู่ปฎิสนธิวิญญาณมาเป็นลำดับจนถึงวันนี้. องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้พิจารณาเห็นสภาวธรรมทั้งหลายไม่ได้ไปค้นหาที่ใหน ธรรมทั้งหลายมีอยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ พระองค์พิจารณาตามหลักธรรมชาติเหล่านี้ให้เห็นชัดแจ่มแจ้งตามหลักแห่งธรรมทั้งหลายที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายใน จนหายส่งสัยข้องพระทัยทุกอาการแล้วจึงได้ประกาศพระองค์ว่า เป็นผู้สิ้นแล้วจากสังสารจักร คือ ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ความเกิด แก่เจ็บ ตายเหล่านี้. เราซึ่งเป็นพุทธบริษัทของพระองค์เจ้า ขอได้โปรดพิจารณาสภาวธรรมซึ่งมีอยู่ในตัว และเราอย่าคิดมากไปว่า เราไม่มีศีลจะบำเพ็ญสมาธิให้เป็นๆไปไม่ได้ เราไม่มีสมาธิจะบำเพ็ญปัญญาให้เป็นไปไม่ได้ดังนี้พึงทราบว่า ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นธรรมสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องอยู่กับหัวใจของผู้ตั้งใจปฎิบัติด้วยกันทุกท่าน. ศีล หมายถึง ปกติ ความเป็นปกติของใจในปัจจุบันนั้นปรากฏเป็นศีลขึ้นมาแล้ว ความสงบของใจในขณะที่กำลังภาวนาอยู่นั้น เรียกว่า จิตเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว การพิจารณาไตร่ตรองในหลักธรรมชาติ คือ ไตรลักษณ์ที่อยู่ทั่วสรรพางค์กายและจิตใจทั้งภายในและภายนอก จะเป็นเวลาใดก็ตามให้พึงทราบว่า ปัญญาเริ่มปรากฏขึ้นมาภายในใจของเราแล้ว. เมื่อดิฉันได้อ่านโดยใช้ สติ และปัญญาเรียนรู้จนเข้าใจแล้ว.จึงนำลงมาเขียน ให้ได้ศึกษา และเข้าใจอย่างทะลุปุโปร่งไปเลย. ธรรมะสวัสดี ผู้ที่อ่านจะเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานค่ะสาธุ.
     
  12. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ขอแซวคุณมาลินีซักกะหน่อย ช่วยเขียนแบบบรรทัดเว้นบรรทัดหน่อยครับ มัน

    ติดกันผมหลงบรรทัดก๊าบบบบบบบบบบบ
     
  13. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    พร้อมตาย!!!!

    ไม่ได้หมายความว่าวิ่งไปหาความตาย ขอให้วางกำลังใจเป็นกลางๆ ธาตุขันธ์ที่มีอยู่ก็ต้อง

    รักษาไว้ให้เป็นอย่างดี ยิ่งจิตบุญที่ได้รับโอกาสนำพาผู้คนกลับบ้านไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ก็

    ยิ่งต้องรักษาไว้เพื่อใช้เป็นประโยชน์ให้สมกับที่ท่านพ่อทุกๆพระองค์ได้มอบหมายมา

    แต่หากว่าเมื่อถึงวาระก็พร้อมปล่อยขันธ์นี้ให้เป็นสมบัติของโลก และนำพาจิตให้อยู่เหนือ

    โลกและกลับไปสู่อ้อมกอดของสมเด็จพ่อต่อไป
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอโทษค่ะ คุณ watjojoj พี่เองก็ตาลายเหมือนกันหัดใช้อยู่จ้ะ จะพยายามค่ะ ดีนะที่แซวมาพี่อ่านแล้วกากเลยไม่ได้หัวเราะอย่างนี้มานานแล้ว.ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การปฏิบัติธรรมที่ให้ผลต่างกัน
    พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเซตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายถึงการปฏิบัติธรรม ที่ได้รับผลต่างกันทั้งในปัจจุบัน และอนาคต พอสรุปใจความได้ว่า
    ๑.การปฏิบัติธรรม มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นผลต่อไป คือ ผู้ที่ไม่เห็นโทษของกาม ย่อมดื่มดํ่าในกาม เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงนรก ได้รับทุกข์เผ็ดร้อนสาหัส
    ๒.การปฏิบัติธรรม มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นผลต่อไป คือ ผู้ประพฤติทรมานกายด้วยประการต่างๆ อย่างพวกเดียรถีย์เป็นต้น เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรกได้รับทุกข์เผ็ดร้อนสาหัส
    ๓.การปฏิบัติธรรม มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นผลต่อไป คือ ผู้มีราคะแรงกล้า
    มีโทสะแรงกล้า มีโมหะแรงกล้า แต่ต้องอดกลั้นอดทน เมื่อกระทบกับความทุกข์นั้นๆต้องร้องไห้ นํ้าตาไหลนองหน้า แต่รักษาศิลรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ เมื่อตายไปแล้วย่อมไปสู่สุคติ โลกสวรรค์
    ๔.การปฏิบัติธรรม มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็นผลต่อไป คือ ผู้มีราคะไม่แรงกล้า
    มีโทสะไม่แรงกล้า มีโมหะไม่แรงกล้า ไม่ต้องได้รับทุกขเวทนาในการประพฤติปฏิบัติธรรมก็ก้าวหน้าโดยลําดับ เมื่อตายไปก็ย่อมไปสู่สุคติ โลกสวรรค์
    นั้นก็หมายถึงการปฏิบัติธรรมก็ขื้นอยู่กับการสะสมบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วย หรื่อ เรียกว่า "บุญบารมี"ที่ท่านได้ทํามา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มีบุญบารมีเพื่อความหลุดพ้น ด้วยเทอญ.
    ทีมา จูฬธรรมสมาทานสูตร ๑๒/๔๕๘
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    . จิตผ่องใส คือ อวิชชา.
    ปกติจิตเป็นสิ่งที่ผ่องใส และพร้อมที่จะสผัสสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ สภาพทั้ง
    หลายเป็น ไตรลักษณ์ ตกอยู่ในกฏแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้นไม่มีเว้นแม้
    แต่นิดหนึ่ง แต่ธรรมชาติของจิตที่แท้ๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่กฏนี้ เท่าที่จิตเป็นไปตามกฏ ก็เพราะว่
    ว่าสิ่งที่เป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่หมุนเวียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับจิต จิตจึงหมุนเวียนไปตามเขา
    แต่หมุนเวียนไปตามธรรมชาติที่ว่าไม่แตกไม่สลาย หมุนไปตามธรรมชาติของตัวเองที่เกี่ยว
    ข้องกับสิ่งที่มีอำนาจพาให้หมุนไป แต่ที่เป็นอำนาจของจิตอยู่โดยหลักธรรมชาตินั้นคือ ไม่
    ตาย ความไม่ตายนี้แลเป็นสิ่งที่เหนือ ความไม่แตกสลายไปนี้แลเป็นสิ่งที่เหนือกฏไตรลักษ
    ทั้งหลาย แต่ที่เราไม่ทราบก็เพราะธรรมชาติที่สมมุติเข้าไปเกาะเกี่ยวรุมล้อมจิตเสียจนหมด
    เลยกลายเป็นเรื่องเหล่านี้ไปเสีย. จิตเดิมแท้ นั้นหมายถึง เดิมแท้ของที่เราสมมุติต่างหาก
    ไม่ได้หมายถึง ความเดิมแท้ของความบริสุทธิ์แล้วเวลาที่ท่านแยกออกมา หมายถึงประภัสสร ได้แก่ ความผ่องใส ไม่ได้หมายถึงความบริสุทธิ์ นี่แหล่ะหลักเกณฑ์ของท่านพูดได้ถูกต้องหาที่แย้งไม่ได้เลย ถ้าว่าจิตเดิมเป็นจิตที่บริสุทธิ์จะมีที่ค้านกันเต็มที่. ถ้าบริสุทธิ
    แล้วมาเกิดทำไม? ท่านผู้ที่ชำระจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ท่านไม่ได้มาเกิดอีก ถ้าจิตบริสุทธิ์แล้ว
    ชำระกันทำไม มันมีที่แย้งกันตรงนี้ ชำระกันเพื่ออะไร? ถ้าจิตผ่องใสก็ชำระ เพราะความ
    ผ่องใสนั้นแล คือ ตัวอวิชชาแท้ๆไม่ใช่อื่นใด ผู้ปฏิบัติจะทราบได้อย่างประจักษ์ใจ.ใจของ
    ตนเองในขณะที่จิตได้ผ่านจากความผ่องใสนี้ไปแล้วเข้าถึงขั้นแห่งวิมุตติความผ่องใสนี้จะ
    ไม่ปรากฏตัวเลย นั่น ทราบได้ตรงนี้เป็นเครื่องประจักษ์กับหัวใจของทุกคน เมื่อใครทราบ
    ใครรู้แล้วก็ต้องพูดได้เต็มปากที่เดียวอย่างไม่สงสัย.ขอให้ทุกๆท่านมีดวงตาเห็นธรรมทุกๆท่านเทอญ.




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมดา ก็คือ ไม่ธรรมดา

    ความเกิด-ดับของจิต เป็นธรรมดาของข้า
    แต่ความเกิด-ดับของจิต ไม่ธรรมดาของเจ้า
    แล้วจะให้ทำอย่างไร?

    ข้าเข้าใจเจ้า แต่เจ้าไม่เข้าใจข้า
    แต่ข้าก็ไม่ต้องการเจ้า ต้องมาเข้าใจข้า

    หรือ ข้าเข้าใจทุกสรรพสิ่ง แต่ข้าไม่ต้องการให้ทุกสรรพสิ่ง มาเข้าใจข้า

    เพราะฉะนั้น
    ศีลจึงมีหลายระดับ หยาบ กลาง ละเอียด
    ธรรมะก็เช่นกัน หยาบ กลาง ละเอียด
    จิตของคนเราก็เหมือนกัน หยาบ กลาง ละเอียด

    แต่ศีลและธรรมะจะหยาบ กลาง ละเอียดได้นั้น
    ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของจิตหรือดวงจิตนั้น
    จิตหยาบ ศีลก็หยาบ
    จิตละเอียด ศีลก็ละเอียด
    จิตหยาบ ธรรมะก็หยาบ
    จิตละเอียด ธรรมะก็ละเอียด

    เพราะฉะนั้น
    ทั้งศีลและธรรมะนั้น จะหยาบหรือละเอียดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจิตของคนนั้น

    ทั้งหมดทั้งมวลของหลักสูตรวิชา "จิตเกาะพระ"
    เมื่อท่านได้เป็นจิตบุญแล้ว หรือสอบภาคทฤษฎีผ่านกันไปแล้ว

    ภัยพิบัติทั้งมนุษย์ด้วยกัน ทั้งธรรมชาตินี้
    จะเป็นข้อสอบหรือบททดสอบระดับจิตของเจ้า
    สำหรับจิตบุญผู้ใด ที่จะสามารถผ่านการททดสอบในภาคสนามหรือภาคปฎิบัตินี้กันหรือไม่...

    ได้โปรดติดตาม..ทวิภพ2 เอ๊ย(จบไปแล้ว) ..ทาเคชิ!
    ถึงแม้วันนี้จะได้รับชัยชนะ แต่หนทางและอุปสรรคข้างหน้า ยังคงเหลืออยู่อีกยาวไกล สู้ต่อไป....ทาเคชิ!
    สู้ๆๆ

    เจ้าทำได้อยู่แล้ว..
    แต่ถ้าผู้ใดทำไม่ได้ ก็เป็นเหยื่อของหนอน คิดไรมาก

    ธรรมะ คือธรรมด๊า ธรรมดา คือธรรมชาติ คือความจริง

    พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน เชื่อด้วยปัญญาของตนเอง
    แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า..
    แล้วผู้ปฎิบัติท่านนั้น มีปัญญาเป็นของตนเอง หรือยัง???
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 12 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    ภูทยานฌาน2

    แม้นกระทั่ง กระทู้ก็ยังไม่เที่ยงเลย
    นับประสาอะไรกับร่างกาย กับ ความคิดของคนเรา
    เมื่อก่อนนี้ ผมก็มาที่กระทู้นี้คนแรก
    แต่มาบัดนี้ก็อยู่เป็นคนสุดท้าย
    และจะอยู่ไปจนกว่า จะหมดลมหายใจกันไปข้างนึง หรือเน็ตใช้การไม่ได้
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,813
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 17 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 15 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    supatorn, ภูทยานฌาน2+
    ============================
    มาอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ค่ะ catt1รู้นะว่ามีใครกําลังดูอยู่ ลูกศิษย์ทั้งนั้นแหละ พออ่านจบ ก็จะรีบๆเข้ามาอนุโมทนาแล้วรึบLog out:z16
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า "อนัตตา"

    แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตน
    สภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้
    โดยทั่วไปหมายถึง สังขารธรรม อันได้แก่ ขันธ์ 5

    เป็นสภาพว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4
    เมื่อแยกธาตุออก สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
    หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
    ไม่อยู่ในอำนาจ คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับมิให้แก่ไม่ได้

    ก่อนจะเห็น คำว่า อนัตตา
    เราจะต้องเห็น คำว่า นัตตา เสียก่อน

    คำว่า "นัตตา" มองเห็นด้วยตาเนื้อหรือตาเปล่าๆ
    แต่คำว่า "อนัตตา" จะต้องมองเห็นด้วยอริยจักษุ
    (ดวงตาเห็นธรรม หรือ เห็นตามความเป็นจริง)
    เช่นเดียวกับ คำว่า "พระนิพพาน"

    ความรู้เพิ่มเติม:
    ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ 200
    เพราะเป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ๑ เพราะเหตุนั้น๒ พระนิพพาน
    นี้นั้น จึงเป็นธรรมชาตไม่ทั่วไป เพราะเป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบ
    พร้อมด้วยมรรค (เท่านั้น) จะพึงถึงได้ เป็นธรรมชาตไม่มีแดนเกิด
    เพราะไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย"
     

แชร์หน้านี้

Loading...