อยากถามหน่อยว่าคนที่เคยก่อกรรมหนักอย่างผมเนี่ยจะปราถนาพุทธภูมิได้หรือไม่ครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Chakkrapong, 7 ธันวาคม 2012.

  1. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    คือผมเคยก่อกรรมหนักเอาไว้ แต่ตอนนี้เริ่มปราถนาอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะปราถนาได้หรือไม่ หรือต้องไปใช้กรรมก่อน
    และก็จะถือโอกาสนี้กล่าวโทษตัวเองให้ทุกท่านได้รู้อย่างไม่ปิดบังด้วยครับ

    คือผมเป็นคนที่ดูภายนอกเหมือนจะฉลาด แต่จริงๆแล้วโง่ดักดาน เหมือนจะมีสมอง แต่ทำสิ่งใดไม่รู้จักคิด เป็นคนขี้ระแวงขี้สงสัย แต่ทำอะไรไม่ค่อยระวัง
    ตอนอายุแค่หกขวบ ผมสามารถจำนิทานชาดก ทั้งเทป รวมทั้งสิ้นสิบสองเรื่อง ที่ป้านำมาเปิดให้ฟังได้อย่างแม่นยำโดยที่ตอนนั้นยังอ่านหนังสือไม่ออก และสามารถนำไปเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังได้แทบทุกคำโดยที่แทบจะไม่มีคำไหนตกไปเลย ผู้ใหญ่ตั้งแต่คนในครอบครัวของผมไปจนถึงครูที่โรงเรียนต่างชื่นชมผมว่าเป็นอัจฉริยะ
    แต่ในช่วงนั้น ผมชอบกลั่นแกล้งเพื่อนคนหนึ่งในห้อง ที่ผมเห็นว่าเรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถแบบผม ด้วยความถือตัวว่าตัวเองเก่งกว่าเขา ซึ่งที่ผมต้องแบกรับวิบากกรรมบางอย่างอยู่ในทุกวันนี้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผลกรรมเมื่อคราวนั้นแน่ๆ
    พอขึ้น ป.2 ผมก็ย้ายมาเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง พอมาที่โรงเรียนนี้ ความสามารถในการจดจำนิทานชาดกของผมก็เลือนหายไป ผมกลายเป็นเด็กธรรมดา แต่ผมก็ยังไม่เลิกนิสัยชอบดูถูกคนที่ผมเห็นว่าเขาอ่อนแอกว่า
    จนกระทั่งเมื่อขึ้น ป.4 ผลกรรมก็สนองผมจนได้ คือผมไปคบเพื่อนผิด ไปคบกับคนพาล ที่เขาฉลาดกว่า ตีต่อยเก่งกว่า พอผมไปใช้นิสัยเดิมกับเขา ผลก็คือโดนตีต่อย จนผมต้องยอมเป็นเบี้ยล่างเขานับตั้งแต่นั้นจนเรียนจบชั้นประถม ต้องยอมเขาทุกอย่าง เขาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ในใจนั้นแทบไม่คิดที่จะสู้ เพราะกลัว จากที่เคยหยิ่งผยอง กลับกลายมาเป็นคนเก็บตัว ไม่กล้าสู้หน้าใคร ในสมองผมตอนนั้นเหลือแต่ความกลัว กลัวแล้วกลัวอีก จนลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเคยกล้า
    สติปัญญาจากที่เคยฉลาด ก็ทื่อลง กลายเป็นเด็กโง่ โง่กว่าชาวบ้านเขา จากที่ครอบครัวเคยภูมิใจ ก็กลายมาเป็นความอับอายของครอบครัว ทางบ้านเองในตอนนั้นก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น (ไม่ขอบอกนะครับ) ทำให้ผมโทษตัวเองเข้าไปอีก ว่าเป็นเพราะเรา บ้านถึงมีปัญหาแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นมาแก้ แม้จะถูกญาติผู้ใหญ่และเพื่อนบางคนดูถูกว่าเป็นเด็กขี้ขลาด ไม่กล้าแก้ปัญหา ก็ได้แต่ก้มหน้าพูดครับๆ ผมขอโทษครับๆ

    พอเข้ามัธยมต้น ผมนึกว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว แต่เปล่าเลย ใช้กรรมหนักกว่าเดิมอีก เพราะผลจากการเก็บตัวในช่วงประถมปลาย ทำให้ผมดูเหมือนคนวิตกจริตในสายตาเพื่อน ต้องโดนกลั่นแกล้งสารพัด ผมก็ได้แต่กลัวไม่กล้าโต้ตอบ
    โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนประจำ พ่อผมฝากผมเข้าไปเพราะอยากจะให้ผมช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ที่นั่นผมกลับโดนรุ่นพี่และเพื่อนใช้อำนาจบีบบังคับให้ทำโน่นทำนี่สารพัด ทั้งซักถุงเท้า ช่วยสำเร็จความใคร่ แม้กระทั่งมันอยากจะข่มขืนก็ต้องยอมให้มันทำ!!!
    แม้แต่เพื่อนผู้หญิงและรุ่นน้อง ผมก็กลัว ผมไม่กล้าสู้

    อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยความกลัวในช่วงมัธยมต้น ก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นนิสัยเมตตาผู้อื่นของผม จากวิกฤตทั้งหมดที่ผมได้เจอ ทำให้ผมกลายมาเป็นคนเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ อ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น แม้จะรู้ว่าเพื่อนคนที่จะช่วยเขาไม่จริงใจกับเรา แต่ผมก็ทำเพราะอยากช่วยเขาจริงๆ
    และนั่นก็เป็นช่วงแรกของชีวิตที่ผมได้รู้จักกับคำว่า "อำนาจ" เนื่องจากว่าผมชอบหลบเพื่อนเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนบ่อยๆ มุมที่ผมชอบเข้าไปอ่านมากที่สุดก็คือมุม "การเมือง" และผมก็ได้เรียนรู้กับคำว่า "สิทธิ" "เสรีภาพ" "เสมอภาค" "อิสรภาพ" และได้ศึกษาเรื่องราวการต่อสู้ของวีรชนในอดีตที่ปกป้องเอกราชของชาติ ได้เรียนรู้การต่อสู้เคลื่อนไหวของนักศึกษาในเหตุการณ์วิปโยคต่างๆ ตลอดจนได้อ่านประวัติศาสตร์การเมืองของชาติอื่น แล้วรู้สึกประทับใจในความกล้าหาญยิ่งใหญ่ของวีรชนในชาตินั้นๆ ทำให้ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่ตอนนั้น ว่าถ้าโตขึ้นผมอยากจะยิ่งใหญ่ ผมอยากจะมีอำนาจ จะได้ช่วยคนอ่อนแอทั้งหลายให้พ้นทุกข์ได้ มันต้องมีอำนาจเสียก่อนถึงจะทำอย่างนั้นได้
    ผมได้เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง ว่ามันถูกแล้วเหรอที่เราต้องยอมก้มหัวให้ผู้แข็งแรงกว่าย่ำยีเราได้ตลอดไป ในเมื่อเราเองก็เป็นมนุษย์ แต่ผมก็ไม่เคยปลดปล่อยตัวเองและผู้อื่นให้เห็นอิสรภาพได้เลย
    "กูทำผิดอะไร ทำไมมึงต้องทำกับกูราวกับกูไม่ใช่คน"
    "มึงผิดมาตั้งแต่มึงเกิดแล้ว ที่มึงเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น"
    นั่นคือตัวอย่างคำเหยียดหยามที่ผมได้รับ ทุกครั้งที่ผมลุกขึ้นสู้และก็แพ้

    พอเข้ามัธยมปลายผมก็ย้ายโรงเรียนอีกครั้ง ชีวิตผมก็เริ่มดีขึ้น และในชีวิตช่วงนี้เองที่ผมหันเข้ามาศึกษาธรรมะ ครูวิชาพระพุทธที่โรงเรียนถามอะไรผมตอบได้หมด เพื่อนก็ให้การยอมรับว่าผมเก่ง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ผมไม่ลุ่มหลงไปกับสรรเสริญอีกต่อไป ยังรักษาความมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
    ส่วนในด้านการเมืองนั้นผมก็ศึกษาต่อไป ซึ่งก็ช่ำชองอีกเหมือนกัน เคยไปพูดอภิปรายอยู่ที่นิด้าตั้งแต่อยู่ ม.5 จนนักศึกษาปริญญาโทยังอึ้ง ชีวิตผมในช่วงนี้มีความสุข แต่ผมก็ไม่หลงระเริง ชอบศึกษาธรรมะ และปฏิบัติตามอย่างเลื่อมใส ชอบสนธนาธรรมกับป้า (คนที่เคยเอาเทปชาดกมาให้ผมฟังตอนเด็กนั่นแหละครับ แกเป็นคนชอบปฏิบัติธรรม มีคนเคยทักว่าแกเป็นโพธิสัตว์ด้วยซ้ำไป)

    แต่พอเข้ามหาลัย ผมก็เดินทางผิดพลาดอีกจนได้ และนี่แหละครับคือ "กรรมหนัก" ที่ผมว่า
    ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมคร่ำเคร่งศึกษาลัทธิการเมืองของตะวันตก (พวกเสรีนิยม สังคมนิยม) จนลุ่มหลงไม่ลืมหูลืมตา ลัทธิพวกนี้ถ้าใครเคยศึกษาจะพบว่าเนื้อหามันเมตตาคนอ่อนแอ (คนจนชนชั้นล่าง) ซึ่งประทับใจผมซึ่งเป็นคนเมตตาคนอ่อนแออยู่แล้วอย่างมาก

    ผมเชื่อและประพฤติตนตามลัทธิดังกล่าวอย่างสุดโต่ง ด้วยความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากในสังคมให้พ้นทุกข์โดยไม่ได้คำนึงถึงตัวเอง แม้ต้องตายผมก็พร้อม ผมเชื่อว่านั่นคือเกียรติยศที่เราพอจะทำได้เพื่อตอบแทนบุญคุณของสังคม

    อย่างไรก็ตาม ลัทธิการเมืองของตะวันตกนี้ แม้ว่าจะสอนให้เมตตาผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ปราศจากขันติธรรม มุ่งสอนให้คนเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นด้วยวิธีการที่รุนแรง ซึ่งในตอนนั้นผมเห็นดีกับมัน

    ผมหลงลัทธิการเมืองตะวันตกจนหัวปักหัวปำ และก่นด่าสาปแช่งพระพุทธศาสนาว่าเป็นลัทธิล้าหลัง ทำให้ชาติล้าหลังจนถูกชาติอื่นมาย่ำยี และเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้คนอ่อนแอ (คนจน) ในสังคมต้องถูกรังแก

    จากที่เคยยกให้พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ก็ใส่ความพระพุทธเจ้า หาว่าพระองค์เห็นแก่ชนชั้นสูง จึงบัญญัติพระธรรมกดขี่ชนชั้นล่าง และก็หาว่าพระองค์เห็นแก่ตัว ยอมขายลูกเพื่อให้ตัวเองบรรลุธรรม

    จากที่เคยยกให้พระสงฆ์เป็นสรณะ ก็ไปใส่ความท่านว่าเป็นต้นเหตุให้ชนชั้นล่างในสังคมโดนรังแก เป็นคนหัวโบราณ

    จากที่เคยเชื่อในนรกสวรรค์และนิพพานอย่างสุดโต่ง ก็กลายมาเป็นแอนตี้อย่างสุดโต่ง หาว่าเป็นเครื่องมือที่ผู้แข็งแรงในสังคมสร้างขึ้นมาเพื่อรังแกผู้อ่อนแอกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้เลยไม่เชื่อซ้ำยังปรามาสว่าไม่มีจริง อีกใจหนึ่งก็นึกเข้าข้างตัวเองว่าต่อให้นรกมีจริงก็ต้องกล้าลงหากมันทำให้สังคมไทยดีขึ้น(ตรงนี้ไม่จัดว่าเป็นเจตนาดีเลย ไม่กลัวนรกถึงได้กล้าที่จะประสงค์ที่จะฆ่าคนโน้นคนนี้ ถึงจะทำไปเพื่อสังคมส่วนรวมก็ตาม)

    ตัวผมในตอนนั้นมีอุดมการวิทยาศาสตร์ตะวันตก เสรีภาพ เสมอภาค อยู่เต็มสมอง แต่ไร้ซึ่งความเมตตาอีกต่อไป ผมกลายมาเป็นคนนิยมการฆ่าการทำลาย เห็นสิ่งใดในสังคมที่ขัดกับอุดมการของตนก็มีแต่อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย ไม่มีแล้วเมตตาธรรม

    ไปเห็นพวกนายทุนที่รังแกคนจน ก็มีแต่อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย

    ไปรู้เรื่องของผู้นำที่รังแกประชาชน ก็มีแต่อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย อยากจะจับมันมาแขวนคอ

    ไปรู้เรื่องนักการเมืองที่โกงกิน ก็อยากจะฆ่ามัน ให้สังคมได้สูงขึ้น

    ไปเห็นโสเภณี ก็อยากฆ่า ไปเห็นพวกเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ก็อยากจะทำลาย ไปรู้เรื่องของพวกค้ายาบ้า ก็อยากจะล้างโคตรมัน

    ไปเห็นพวกมากผัวหลายเมีย ก็อยากจะถลกหนังมันทั้งเป็น ไปเห็นพวกทำแท้ง ก็อยากจะผ่าท้องมันให้หมากิน

    แม้กระทั่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ซึ่งไม่ได้ประทุษร้ายใดๆ ผมก็ไม่เมตตา ไปใส่ความท่าน หาว่าท่านเป็นต้นเหตุของความเน่าเฟะของสังคม อยากจะฆ่า อยากจะทำลายให้หมดสิ้น

    ผมทำทุกอย่าง ทั้งเปิดเวบไซต์ พิมพ์หนังสือ เที่ยวสนธนากับคนนั้นคนนี้ เพื่อผลักดัน "เป้าหมาย" ของผมเหล่านั้น ตอนนั้นผมบ้าไปแล้วครับ ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้ว คุกหรือปืนผมก็ไม่กลัว เพราะยึดติดอุดมการแบบสุดโต่ง และผมก็เพียรสาปแช่งตัวเองในวัยเด็กที่อ่อนแอจนถูกเขาเหยียบเขาย่ำ และตัวเองในวัยรุ่นที่ไปงมงายกับศาสนา

    แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งความคิดของผมก็เปลี่ยนไป เมื่อผมได้พบกับ อ.เจน ญานทิพย์ ซึ่งเธอได้พิสูจน์ให้ผมเห็นว่าญานทิพย์มีอยู่จริง เธอบอกเรื่องที่ผมเคยทำมาได้โดยที่ผมยังไม่ทันได้เล่าอะไรให้เธอฟังเลย เธอบอกว่าให้ผมหยุดปรามาสผู้ทรงศีลทั้งหลาย เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดกับพวกท่านเหล่านั้นแต่อย่างใด เธอบอกอีกว่าหากผมไม่เร่งสร้างบุญไว้ อีกไม่นานผมจะถูกโรคถัยรุมเร้าจนกระทบกับงานทางโลก(การเมือง)ที่ผมกำลังจะทำในอนาคตอีกด้วย ในตอนนั้นในหัวผมปั่นป่วนไปหมด มีคำถามผุดขึ้นในหัวผมซ้ำๆว่า "ไหนเคยเชื่อว่านรกไม่มีจริง แล้วที่เห็นนี่มันคืออะไร!?! ถ้าปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับความจริงสิ แกบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่เห็น แล้วนี่พอเห็นแล้วทำไมไม่เชื่อล่ะ" คำถามนี้ดังกึกก้องในหัวผมจนกินไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ผมหาเหตุผลมาหักล้างมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดผมก็ต้องหันมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง

    เมื่อตัดสินใจเข้าสู่พระพุทธศาสนาอีกครั้ง ผมก็คร่ำเคร่งอ่านพระไตรปิฎกและหนังสือธรรมะหลายๆเล่ม ศึกษาพระสูตรหลายพระสูตร และแนวคิดของพระอรหันต์บางท่าน เพื่อพิสูจน์ว่าพวกท่านเหล่านั้นคิดแบบที่ผมเคยเชื่อจริงเลยไม่ ผลปรากฎว่าในที่สุดผมก็ต้องจำยอมในมหากรุณาธิคุณของท่านเหล่านั้น ท่านเหล่านั้นไม่ใช่ผู้กดขี่อย่างที่ผมเคยเชื่อ แต่ท่านคือผู้ปลดปล่อย ที่ฝักใฝ่เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ อิสรภาพยิ่งกว่านักปรัชญาตะวันตกที่ผมเคยยึดถือเสียอีกหลายเท่าจนนับไม่ได้ และที่พระพุทธองค์ยอมสละลูกและชาติ ก็ทำไปเพื่อชาวโลก ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เองเลย นั่นก็แปลว่าทั้งหมดที่ผมทำมาไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ผมทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนเพราะความโง่ของผม เพราะผมแท้ๆ ไม่ใช่เพราะวิทยาการตะวันตก แต่มันเป็นเพราะสันดานของผมเอง!!!

    ผมได้กลับมายกเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตอีกครั้ง และครั้งนี้จะไม่มีการถอยหนีอีกต่อไป จากคนจิตใจโหดเหี้ยมก็กลายมาเป็นคนมีเมตตาอีกครั้ง ทุกวันนี้ผมยังไม่ทิ้งความฝันในด้านการเมือง แต่ผมไม่ต้องการอำนาจอีกต่อไป ตอนนี้ผมคิดใหม่แล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องมีอำนาจก็ช่วยผู้อื่นได้ ขอเพียงแค่เปลี่ยนที่ตัวเราเองให้ได้ก่อนเท่านั้น ผมไม่ต้องการการฆ่าทำลายอีกต่อไป ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าว่าเมตตาสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริงๆ ตอนนี้ผมคิดว่าบางทีน่าจะมีวิธีนะครับ ที่การเมืองกับพุทธศาสนาจะสามารถเดินไปด้วยกันได้ โดยที่พุทธศาสนาเดินนำการเมือง เพื่อให้สังคมเราและสังคมโลกดีขึ้นกว่านี้

    ตอนนี้ผมรู้สึกเลื่อมใสจับใจในความเสียสละของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย และก็หวังอยู่ในใจลึกๆว่า อยากทำอย่างนั้นบ้าง อยากช่วยเหลือชาวโลกเช่นนั้นบ้าง ผมเลยอยากเป็นพระพุทธเจ้า อยากสร้างสมบุญบารมีเพื่อประกาศพระสัทธรรมเพื่อช่วยเหลือชาวโลก ผมไม่ขอเป็นพระสาวก แต่ผมอยากเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นแบบวิริยะบารมีได้ก็ยิ่งดี จะได้ช่วยคนให้ไปสู่อิสรภาพได้เยอะๆ แม้แต่ลงมหาอเวจีชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมคนนี้ก็ยอม

    ผมเลยอยากมาถามท่านผู้รู้ทั้งหลายว่า คนที่เคยก่อกรรมหนักมาแล้วอย่างผมเนี่ย จะปราถนาพุทธภูมิแบบผู้อื่นได้หรือไม่ ต้องเริ่มต้นอย่างไรจึงจะได้เป็นอนิยตโพธิสัตว์ บอกมาตามตรงได้เลยนะครับ ได้ก็คือได้ ไม่ได้ผมก็จะต้องหวังต่อไปจนกว่าจะได้

    ปล.ที่ผมตัดสินใจเล่าเรื่องกรรมที่เคยก่อให้ฟังนี้ ผมต้องการเล่าเพื่อกล่าวโทษตนเอง และเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์ล้วนๆ ไม่ได้อยากจะรู้วิธีแก้กรรมในส่วนนี้ ผมอยากจะรู้เรื่องของการปราถนาพุทธภูมิเท่านั้นครับ ส่วนตราบาปนี้ผมคนนี้จะหาวิธีแก้เอาเอง ยังไงถ้าชาตินี้วิปัสนาไม่สำเร็จก็คงต้องตกอบายแน่แล้วล่ะครับ แต่ผมก็ต้องยอมรับให้ได้นั่นแหละ
    แม้ว่าทั้งหมดนี้จะทำไปเพราะเจตนาอยากจะให้ผู้อื่นมีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น มีสังคมที่ดีขึ้น และเพื่อให้ชาติเจริญ ไม่มีใครมารังแกได้ ไม่มีใครมาดูถูกได้ โดยไม่ได้ห่วงชีวิตตนเอง แต่ความผิดก็คือความผิด นี่คือบาปหนักที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ บาปกรรมเหล่านี้นี่ ผมเดาว่าอย่างหนักก็มหานรกขุมเจ็ด อย่างเบาก็เดรัจฉานภูมิแน่ๆ นี่คือตราบาปที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ และหนีไม่ได้ คงทำได้แค่ให้เบาลงหน่อยนึงเท่านั้นแหละ
    แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ต้องกล้าที่จะยืดอกยอมรับ ไม่หนี เพราะผมถือว่าตัวเองทำผิดแล้วต้องกล้ารับผิดชอบครับ
    อีกอย่าง ที่ผมนำความผิดเหล่านี้มาเล่าให้ฟังนี่ไม่ได้เป็นเพราะว่ายึดติดกับอดีตหรอกนะครับ เพราะศาสนาพุทธสอนว่าอดีตไม่มีจริง ไม่ได้ตั้งอยู่ที่ไหนเลย จิตปรุงแต่งขึ้นมาล้วนๆ ทุกวันนี้ผมปล่อยวางอดีตหมดแล้วอยู่กับปัจจุบัน อโหสิกรรมให้ทุกคนที่เคยย่ำยีผม และต้องการขอขมาทุกคนที่เคยถูกผมย่ำยี ผมพึ่งจะรู้นี่เองว่าการอยู่กับปัจจุบัน ไม่ถูกอดีตคุกคามมันสุขอย่างนี้นี่เอง

    ปล 2. ใครอยากสมน้ำหน้าก็เชิญนะครับ ผมจะไม่ขอถือโทษโกรธเคืองใดๆ เพราะมันสมควรแล้วล่ะครับ และถ้าเป็นไปได้ก็อย่าสงสารด้วยนะครับ คนอย่างผมมันไม่มีค่าพอที่จะให้ใครมาสงสาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2012
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้ ได้

    เริ่มต้นจาก ทาน ศีล ภาวนา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2012
  3. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    ได้เหรอครับ แต่กรรมผมหนักนะครับ การยึดมั่นถือมั่นในมิจฉาทิฐินี่มันหนักกว่าอนันตริยกรรมอีกนะครับ แถมผมยังไปชวนให้คนอื่นมาเห็นผิดไปด้วยอีก เรียกว่าบาปหนักยิ่งกว่าหนักเสียแล้วนะครับ
     
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีพุทธภูมิผู้ใด ไม่เคยตกนรกบ้างหรือ?

    สุดปลายทางของสังสารวัฏอันยาวนาน คือ พระนิพพาน

    ทุกดวงจิต จะไปที่นั่นอย่างแน่แท้ ไม่มีดวงจิตดวงใดเลย ที่จะไปไม่ถึง... ในสุดปลายทางการเดินทางอันยาวนาน
     
  5. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ขอตอบสั้นๆว่า ได้

    การปรารถนาพุทธภูมิ ก็คือการเรียนวิชาเพื่อไปเป็นครู และการจะสอนคนอื่นได้เราเองต้องรู้หมดทุกอย่าง ไม่ว่าดี หรือ ไม่ดี ต้องรู้ครบถ้วนทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นไปสอนใครไม่ได้หรอก

    ตอนแรกๆก็ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เรียกว่า สวรรค์ทุกชั้น นรกทุกขุม นี่ต้องเคยไปอยู่มาหมดแล้ว

    ไม่เชื่อลองไปถามคนที่เค้าปราถนาพุทธภูมิดู ว่าคนไหนไม่เคยปรามาสพระรัตนตรัยบ้าง มีไหม

    ถ้ารู้ว่าตัวเราเป็นมิจฉา เราก็เปลี่ยนเป็นสัมมา ซะสิ ถ้าเรารู้ว่าปรามาสพระรัตนตรัย เราก็ขอขมาพระรัตนตรัยซะสิ ไม่เห็นยากเลย จริงมั้ยครับ
     
  6. kirakungzz

    kirakungzz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +145
    ตาม คห.5 เลยครับ
    แต่ขอเพิ่มเติมนิดนึง ผมจำไม่ได้แล้วว่าอ่านมาจากของหลวงพี่เล็กหรือหลวงพ่อฤๅษี
    ท่านบอกไว้ว่าถ้าหากเราต้องการจะปราถนาพุทธภูมิ เราต้องบำเพ็ญบารมี 10 ให้คล่องทุกตัว
    โดยชาิตินี้เราก็เลือกมาซักตัวนึงแล้วก็เน้นบารมีตัวนี้ให้คล่องครับ
     
  7. รักโพธิญาณ

    รักโพธิญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +224
    ตอบสั้นๆว่าปราถนาพุทธภูมิได้อยู่แล้ว นั่นแปลว่าในอดีตนั้น คุณก็เคยเรียนรู้ความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตประจำวันมาแล้ว ถ้าคุณไม่เรียนรู้ความผิดพลาดยากที่จะเข้าใจในธรรมของพระพุทธเจ้านะครับ ในขณะเดียวกันกลับมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดที่ตนเองทำไว้แล้วเป็นการเตือนสติทางใจนะครับ ให้ระลึกรู้ตลอดเวลานั่นแหละเขาเรียกกรรมฐานอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้นะครับ ถ้าคุณยังไม่ละความปราถนาพุทธภูมิก็ย่อมเป็นได้อยู่แล้วตามปกติวิสัยธรรมดาของมนุษย์เรา ขออนุโมทนาในการตั้งความปราถนาพุทธภูมิของคุณให้สำเร็จจงได้ แต่ต้องใช้เวลายาวนานมากหน่อยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2012
  8. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ได้ครับ คุณเป็นตั้งแต่ตั้งใจคิดแล้ว ส่วนเรื่องบาปก็ส่วนบาป เราได้ทำไปแล้ว เมื่อมันกลับมาก็จะสนอง วันนั้นคุณจะระลึกได้ว่าเพราะเหตุใด ผมยกเอาที่อาจารย์สอนไว้ล่ะกัน คุณคงอ่านแล้ว ยกมานิดเดียวคงจำได้ แต่ให้มั่นใจ
    "ครั้นเณรคิดว่า เป็นพระพุทธเจ้านี่ดี ขนาดอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์ เก่งขนาดนี้ยังต้องไหว้ ไม่เอาล่ะ เราตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่า ท่านอาจารย์ก็หยุดให้เณรเดินนำหน้าแทน ต่อมาเณรก็คิดว่า เอ เป็นพระพุทธเจ้านี่ใช้เวลานาน กว่าจะสำเร็จ ไม่เอาล่ะ ปราถนาเป็นสาวกภูมิดีกว่า ท่านอาจารย์ก็หยุด สั่งให้เณรมาเดินข้างหลัง...."
    "พุทธภูมิ นี่เหนื่อยนะ ช่วงแรกที่เป็นบารมีต้นนี่ ผิดดะ ต้องไปแวะเวียนเป็นเพื่อนกับสัตว์นรก อยู่เป็นประจำ เกิดกันครบทุกประเภท ลองผิด ลองถูกไป พอบำเพ็ญเข้าเป็นอุปบารมี ก็พลาดน้อยลง ไม่ค่อยจะผิดศีล เพราะมีสมาธิสูงขึ้น พอเป็นปรมัตตถบารมี ไม่มีแล้ว ท่านวนเวียนเทวโลก พรหมโลก มนุษย์โลก เท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ครบแล้วนี่ ไม่พลาดแล้ว"

    สำหรับเรื่อง วิปัสสนาฯ คุณจะได้แค่รู้ครับ ไม่สำเร็จแน่ ถ้าตั้งใจเป็นพุทธภูมิ ถ้าอยากหนีอบายฯ ให้ได้ ก็ทรงคุณธรรมของ พุทธภูมิ ไว้ให้มั่น พรหมวิหารธรรม ทรงอยู่ตลอด จิตสงเคราะห์ ตั้งเอาไว้ ยึดเอากรรมฐานที่ถนัดเอาไว้ให้เป็นญาณ ตามหลักการของพุทธศาสนา สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง, กุสะละสูละสัมปทา, สะจิตตะปริโย ทะปันนัง, เอตัง พุทธานะสาสะนัง ถ้าอ่านมาเยอะ ไม่แปลนะครับ
    โชคดีครับ แนะนำ ฐานะเป็นรุ่นพี่ แต่ตอนนี้ ขอเดินตามหลังล่ะครับ
     
  9. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    นานแค่ไหนก็จะทนครับ ต้องทนให้ได้เพื่อทุกชีวิต
    ส่วนเรื่องอบายนี่ หนีได้ก็ดี หนีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ต้องปล่อยวางแล้วล่ะ จะได้เรียนรู้เอามาสอนชาวโลกครับ

    แต่ก็ยังสงสัยอยู่สามเรื่องนะครับ

    1. คือว่าต้องทำแค่ตั้งกายตั้งจิตบำเพ็ญบารมีเท่านั้นเองหรือครับ ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลยหรือครับ ประเภทว่าต้องเอาปัจจัยไปถวายพระสงฆ์แล้วอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าก่อนแบบที่พระพุทธเจ้าของเราเคยทำในชาติแรกหรือไม่ครับ
    หรือเวลาสร้างกรรมดีได้แล้วเกิดความปิติ ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้าด้วยหรือไม่ครับ
    ถ้าบำเพ็ญเฉยๆนี่ พระอรหันต์กับฆารวาสบางท่านที่ไม่ได้ปราถนาพุทธภูมิก็ทำเป็นประจำอยู่แล้วนี่ครับ ผมก็เลยสงสัยว่าหากปราถนาพุทธภูมิเนี่ยต้องทำอย่างอื่นอีกหรือไม่ครับ

    2. ผมเคยอ่านเจอมาครับ ว่าพระโพธิสัตว์ชาติแรกๆเนี่ยยังทำได้แค่คิดในใจว่าขอเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังลงมือปฏิบัติไม่ได้จนกว่าจะได้รับพุทธพยากรณ์ แล้วลักษณะของผมเนี่ย ผมลองวิเคราะห์ดูก็เดาว่าน่าจะเป็นชาติแรกๆ หรือไม่ก็คงไม่เคยปราถนามาก่อนเลยแน่ๆ ถึงได้หลงผิดหลงถูกขนาดนี้ แล้วนี่ในชาตินี้ผมต้องคิดในใจเฉยๆหรือไม่ครับ หรือว่าลงมือทำได้เต็มที่เลย(ผมชอบอย่างหลังมากกว่านะครับ)

    3.พอมีวัดไหนจะแนะนำผมบ้างไหมครับ ที่มีผู้ปราถนาพุทธภูมิปฏิบัติอยู่ ผมจะได้ไปปฏิบัติที่นั่นบ่อยๆ ผมอยู่ใน กทม. ครับ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนผู้อื่น คืออะไร และสิ่งที่เราจะสอนผู้อื่นต่อ คืออะไร

    หากยังไม่เห็นถึงตรงนี้ ก็เหมือนกับคนพูดว่า จะไปสอนหนังสือคนอื่น แต่หนังสือที่ตัวเองจะเอาไปสอน คืออะไร ก็ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย ได้แต่ฟังตามๆ เขามา ว่า ของที่อยู่ในหนังสือนี้ มันเป็นของวิเศษ แต่วิเศษอย่างไร ตัวเองไม่รู้เลย

    แบบนี้ถือว่า ยังใช้ไม่ได้ ยังห่างไกลอีกมาก และในระหว่างทางการบำเพ็ญ หากเจอทุกข์หนักๆ ก็อาจจะล้มซะกลางคัน แบบนี้เสียเวลาเปล่า

    หากอยากจะเป็นพุทธภูมิ แล้วมัวแต่วาดฝันลมๆ แล้งๆ อยู่ ว่า จะช่วยสัตว์โลก แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่เข้าถึงชั้นสูง ถ้าเป็นแบบนี้ จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าไม่ได้กำลังโดนกิเลสหลอกเอาอยู่???

    ลองเดินทางสายสาวกภูมิ ให้สุดทางดูก่อนสิ ศึกษาธรรมให้ละเอียด ให้ถ่องแท้ ให้เห็นว่า แท้จริงการเดินทางผ่านวัฏฏะสงสาร นั้น มันเป็นอย่างไร เพื่อประโยชน์สองข้อ

    หากไม่ใช่พุทธภูมิแท้ๆ โดนกิเลสมันบังตาหลอกอยู่ ก็จะได้พ้นจากความทุกข์ไปเสีย...

    แต่หากกิเลสตัณหา มันหายไปหมดแล้ว เหลือแค่ความปรารถนาจะพาสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ เป็นข้อเดียวที่ยังทำให้ยึดมั่นอยู่ ก็จะมั่นใจในการเดินทางของตัวเอง และ จากจุดนี้ต่อไป การเดินทางของเรา จะมีแผนที่ชัดเจน จะไม่ล้มลุกคลุกคลาน จะไม่เดินๆ หยุดๆ อีกต่อไป ความท้อแท้ จะไม่เกิดขึ้นในจิตใจเราอีกต่อไป
     
  11. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    อ๋อ กระจ่างแล้วครับ ขอบคุณที่ให้คำชี้แนะอย่างตรงไปตรงมาครับ กระจ่างๆ
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ขอให้ท่านได้เห็นธรรมะแท้จริง ที่พระพุทธองค์สอน หากแม้เห็นแล้ว ก็ขอให้ทางเดินของท่านกระจ่างชัดเจน พ้นจากอุปาทานใดๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง มุ่งตรงสู่เป้าหมายที่หวังอย่างไม่คลาดเคลื่อน ไม่เสียเวลาใดๆ อีกต่อไป

    แม้ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ก็ขอให้พ้นจากการครอบงำของขันธ์ 5 เกิดปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ เห็นร่างกายสังขาร ไม่ใช่ของเรา เห็นจิตใจที่ต้องทุกข์ร้อนนี้ ไม่ใช่ของเรา มันจะทุกข์ หรือ จะสุข ก็เป็นเรื่องของมัน และเห็นย้อนไปถึงว่า แม้สัตว์โลกทั้งหลายเหล่านี้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ต้องทุกข์เหมือนที่เราเจอ ไม่หยุดหย่อน ความทุกข์ที่เราเจอนั้น ทุกข์สาหัสเพียงใด สัตว์โลกทั้งหลาย ที่ยังไม่เจอทางออก ไม่เจอพุทธศาสนา ล้วนทุกข์หนักหนากว่า เป็นแสนเป็นล้านเท่า

    และเมื่อเราพ้นจากมันแล้ว ก็ไม่มีเหตุอะไร ที่เราจะต้องตามใจกิเลส ต้องขวนขวายหาวิธีทำให้ร่างกายมันสบาย ทำให้ใจมันสบาย ก็เพราะเห็นแล้ว ว่ามันไม่ใช่เรา ในการลงมาเกิดแต่ละครั้ง ก็เหมือนคนขับรถ เราไม่ได้เห็นว่ารถยนต์นี้เป็นตัวเรา แต่เราใช้มันไปถึงที่หมาย เท่านั้นเอง เราจะไม่คลาดจากการเดินไปสู่ที่หมาย ไม่เสียเวลาในการเกิดแต่ละครั้งอีกต่อไปอีกเลย

    นี่คือ สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ เพื่อเห็นแจ้ง ว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะทำ ท่านทำไปเพื่อสิ่งใด เพราะมีเพียงแต่ผู้ที่เดินข้ามผ่าน ผู้ที่เคยมืด และได้เดินทางจนเจอความสว่าง เกิดปัญญาแท้จริงได้เท่านั้น จึงจะเห็นแจ้งถึงที่สุด ว่า งานที่ท่านจะทำนั้น คืองานอะไร

    ข้าพเจ้าขออนุโมทนา สาธุการ กับความตั้งใจศึกษาธรรม บำเพ็ญเพียร ของท่าน
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ป.ล. เรื่องพิธีกรรม เรื่องการอธิษฐาน เรื่องการหาที่บำเพ็ญเพียร ไม่ต้องเป็นห่วง ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างจะมีคำตอบด้วยตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2012
  13. Chakkrapong

    Chakkrapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +213
    เจริญในธรรมครับ
    พระรัตนตรัยคือที่พึ่งตลอดชีวิต ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะยิ่งกว่า สาธุ
     
  14. Nuthsunti

    Nuthsunti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +328
    สิ่งที่เกิดขึ้น ชาตินี้ ส่วนหนึ่งเกิดจาก ผลที่เคยทำมาในชาติก่อนๆ มาส่งผล ดึงดูดให้เกิดเหตุการต่างๆขึ้น
    และการกระทำในชาตินี้ ก็จะไปมีผลดึงดูดให้เกิดเหตุการ การกระทำต่างๆ หลายๆอย่างในชาติหน้า
    หากเป็นผม ผมจะเพิ่ม และเน้น ในส่วน อธิษฐาน บารมี (เป็นบารมี อย่างหนึ่งใน บารมี30 ทัศ) คือหลังจากทำบุญ ไม่ว่าจะน้อยจะมาก ก็ตาม นอกจากจะ อธิษฐานให้สำเร็จพระโพธิญาณ แล้วจะอธิษฐานเพิ่มอีก ว่า ขอให้ได้มีสัมมาทิฐิตั้งแต่เกิด จนตาย ไปทุกภพทุกชาติ เพื่อตัดวงจรการหลงผิด(ซึ่งเป็นวิบากติดตัวไปแล้ว) ให้ได้เร็วที่สุดครับ
     
  15. โพธิวิถี

    โพธิวิถี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    150
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +580
    คนที่เคยก่อกรรมหนักจะปราถนาพุทธภูมิได้หรือไม่

    ตราบใดที่ยังหลงอยู่ในวัฏสงสาร ทุกคนต้องเคยทำ กรรมหนักด้วยกันทั้งนั้น ตกนรกกันเป็นว่าเล่น พระเทวทัต จองเวรพระพุทธเจ้า ต้องอนันตริยกรรม (ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ถึงโลหิตฮ้อ) เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในนรกอเวจี ก่อนที่ท่านจะถูก ธรณีสูบ ลงนรก สำนึกเวรกรรมเหล่านั้นได้ ไม่มีวัตถุบูชาใด ๆ จึงอทิษฐาน ใช้กระดูกกรามเป็นพุทธบูชา ตั้งปราถนาจะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าพระเทวทัตจะได้ดังประสงค์ กรรมของคุณเจ้าของกระทู้นี้ยังห่างไกลกับกรรมของพระเทวทัต มากนัก พุทธภูมิเป็นของสาธารณะ ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น สมาทานศีล อย่างน้อยศีล 5 ให้ความเป็นมนุษย์เต็มร้อย น้อมนำดอกไม้บูชา บูชาต่อพระพุทธปฏิมากร ที่ท่านนับถือหหมดใจ เปล่งวาจา ว่าด้วยอานิสงส์แห่งศีลและ ดอกไม้เป็นพุทธบูชานี้ ข้าพเจ้าขอปรารถนา พุทธภูมิ ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะสร้างบารมี เป็นพระโพธิสัตว์เจ้า จนถึงที่สุดได้รับคำพยากรณ์ ในสมเด็จพระบรมครูพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ว่า ท่านจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในเบื้องอนาคตกาลแน่นอน จากนั้น ก็จงรอ เวลา โอกาส ความเต็มรอบของโพธิสัตว์บารมี จนมีโอกาศ ถึงคิวท่านก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลแน่นอน ที่เล่ามานี้จากตำราต่าง ๆ พอคราว ๆ คิดเป็นเวลา นาน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และนานที่สุด เพราะขณะนี้มีผู้ปราถนาก่อนท่านแล้ว เป็น หลายล้าน ๆองค์ พระโพธิสัตว์ ทุกองค์ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งจิตใจ สร้าง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆบารมีกัน ไม่ท้อถอย จะมีบางองค์เมื่อพระพระศาสนาของพระประทีปแก้วแล้วเหนื่อยหน่ายต่อการสร้างพุทธบารมี จึงน้อมจิตลดบารมีลงเป็น พุทธสาวก เพื่อให้พ้นวัฏฏสงสารโดยด่วน ก็มากมาย ขออำนวยอวยพร ขอแผ่บารมีที่ได้สร้างสมมาแด่ท่านผู้นี้ อีกทั้งพระโพธิสัตว์ทุก ๆพระองค์ จงสำเร็จดังประสงค์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมขอพระโพธิสัตว์ ต่อพระโพธิสัตว์ด้วยกัน ย่อมให้กำลังใจแก่กันและกัน ข้าพเจ้านี้ก็เป็นผู้หนึ่ง ที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อนุบาลเล็กๆแต่มีความตั้งใจมั่นอยู่ รอวันที่จะเติบโตสู่พุทธภูมิ ขออนุโมทนาต่อกุศลจิตพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ด้วยความนอบน้อมยิ่ง สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. soansiam

    soansiam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +24
    อนุโมทนาสาธุครับการปราถนาพุทธภูมิเป็นสิ่งดี
    ในเรื่องของแนวปฏิบัติสาวกภูมิกับพุทธภูมิในตอนต้นนั้นเป็นไปแนวเดียวกันครับ คุณต้องฝึกจิตฝึกใจของคุณให้พร้อมมั่นคงในบารมี 10 และกำลังสมาธิมั่นคงไปจนถึงระดับหนึ่ง
    จะถึงทางแยกสองทางว่าจิตคุณนั้นปราถนาจะหลุดพ้นไปชาตินี้หรือไม่ หรือจิตมีความปราถนาต่อเพื่อช่วยเพื่อนร่วมวัฎฎะสงสาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเรื่องของการปฎิบัติที่จิตที่ใจทำบารมีก็ทำที่จิตที่ใจ รวมกำลังบารมีทั้งหมดมาที่จิตที่ใจรู้อยู่ ณ.ปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต(ทำใจให้เป็นหนึ่ง) ครับ ลองพิจรณาดูครับ เผื่อจะเอาไปใช้ได้บ้าง
     
  17. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    สพการณ์ วันนึงถ้าทำงานเพื่อสาธารณะน่าจะทำและช่วยคนอื่นด้ายดี:cool:
     
  18. elizacobra

    elizacobra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +1,005
    คนทุกคน สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ดวงจิตทุกดวงจิต ต่างก็ต้องเคยทำกรรมมากันแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย หนักหรือเบา แล้วทำไมถึงทำ? ก็ทำเพื่อเรียนรู้ เรียนรู้ว่าอันไหนควรไม่ควร หากไม่ทดลองด้วยตนเองแล้ว จักหาคำตอบจากที่ไหน? ตามที่ท่านเล่ามา ตัวเราก็เึคยทำกรรมหนักมาแล้ว หนักกว่าท่านเสียอีก แต่เราก็เรียนรู้ เราพัฒนา ระวังให้มากขึ้น ไม่ให้มันเกิดอีก

    "พุทธภูมิ"เป็นที่ๆเปิดรับทุกคนอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราๆท่านๆจะไปถึงเมื่อไร เืท่านั้นเอง
    การอธิฐาน การสร้างบารมี เปรียบเหมือนการเดินทาง ทางเราตั้งใจทำ ตั้งใจปฏิบัติ อย่างสม่ำเสมอ ก็จะไปถึงเร็วขึ้น แต่ระหว่างทางก็ตั้งมีอุปสรรคกว่าจะถึงที่หมาย อุปสรรคอะไร
    ก็กิเลสทั้งหลายที่วนเวียนรอบๆเราๆท่านๆนั้นแหละ ก็จะทำให้เราท่านๆเดินทางนาน

    ขอให้ท่านสมปรารถนาในเร็ววัน ต่อให้เป็นปี เป็นชาติ หรืออีกกี่สิบชาติ ขอท่านจงอย่าย่อท้อ ตัวเราก็ปรารถนาเช่นเดียวกับท่านเช่นกัน

    เจริญในธรรม...
     
  19. sumate_99

    sumate_99 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +12
    เป็นกำลังใจให้ครับผมก็ปรารถนาพุทธภูมิ อดทนพยายามครับสู้ๆครับ
     
  20. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    มีท่านหนึ่งกล่าวไว้ได้ลึกซึ้งยิ่งนัก ว่า...
    ถ้าไม่มีผู้ตั้งจิตปรารถนาเป็น "พระพุทธเจ้า" ก็ย่อมจะไม่มี "พระพุทธเจ้า" อุบัติกันได้ต่อๆ ไปอีก
    "พระพุทธเจ้า" ก็จะสูญสิ้นไปจากพิภพภูมิ หรือ สากล จักรวาลใดๆ เท่านั้นเอง ด้วยเหตุว่า...
    "มีผู้ปรารถนาจิตไว้ และ มุ่งมั่นจะเป็น "พระพุทธเจ้า" อยู่ "พระพุทธเจ้า" จึงจะเกิดได้ มีได้

    ขออนุโมทนาในดวงจิตอันเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่และขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้ท่านนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...