เป็นเจ้าของธุรกิจโรงฆ่าสัตว์นี่บาปเปล่าครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย noumthebest, 23 พฤศจิกายน 2012.

  1. noumthebest

    noumthebest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +306
    คืออยากจะถามว่า เราเป็นเจ้าของโรงเฉือดนะครับเเต่เราไ่ม่ไ้ด้ลงมือเองเลยครับ คือจ้างเค้า หรือ ไม่เราใช้เครื่องจักรในการฆ่าเเบบ auto เนี่ย เเล้วเราซึ่งเป็นเจ้าของนี่จะบาปเปล่าครับ เพราะเเทบไม่ได้เดินเข้าไปในโรงงานเลยรับเงินอย่างเดียว กับเช็คออเดอร์ อย่างนี้ตัวเราเเละคนในครอบครัวเราเนี่ยจะได้ผลกรรมหรือเปล่า เเละ ถึงเป็นบาปกรรมเรา เราทำบุญมากก็ไม่ถึงเราอยู่ดีจริงหรือเปล่า

    อันนี้ผมเถึยงกับเพื่อนผมหนะครับ เพื่อนผมมันว่าไม่บาปเพราะไม่ไ้ด้ลงมือเองถึงลงมือก็เเค่ทำบุญมากๆ ก็ไม่ตกนรก เเล้ว อย่างทำเเท้งนี้เเค่ทำบุญมากๆ ก็ไม่มีปัญหาเเล้ว
     
  2. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    ต้องขอพูดตรงๆ ว่าบาปมาก เพราะคุณทำให้สัตว์ต้องตายมากมาย ไม่ได้ลงมือเองแต่เป็นคนสั่งให้ฆ่า จะสั่งคน สั่งเครื่องจักร มันก็สั่งให้ฆ่าทั้งนั้น วันๆ สัตว์ตายวันละกี่ตัวไม่อยากจะคิด บาปกรรมตรงนี้น่ากลัวมากจริงๆ อย่าคิดว่าจะทำบุญชดใช้ได้ เป็นผมให้เงินหมื่นล้านผมก็ไม่ทำ ไม่คุ้มกับบาปกรรมแสนน่ากลัว
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จิตไม่ได้โง่นะครับ สัตว์ทั้งหลาย พอตายไปแล้ว จิตก็เหมือนๆ ของมนุษย์แหละ
    คิดว่าจะหลอกเขาได้หรือ คิดว่าเขาไม่รู้หรือ ว่าใครทำให้เขาต้องตาย ต้องโดนเชือด
     
  4. Prophecy

    Prophecy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,221
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,605
    บางคนคิดว่าเราทำอาชีพบาปๆ เราทำเพื่อครอบครัว เพื่อพ่อแม่ เลี้ยงตน คิดว่ามันจำเป็น ลองอ่านเรื่องต่อไปนี้ดูครับ

    057 ทำบาปด้วยความจำเป็น

    ปัญหา บางครั้งบางคราว คนเราจำต้องทำความชั่ว เพราะความจำเป็น เช่น กระทำเพราะเห็นแก่มารดาบิดาผู้มีอุปการคุณ เป็นต้น ในกรณีเช่นนั้น จะจัดว่าเป็นบาปหรือไม่ ?

    พระสารีบุตรตอบ “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา นายนิริยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก เพราะเหตุแห่งการประพฤติไม่ชอบธรรมและประพฤติผิดธรรม เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เราเป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบิดามารดา ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเราไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรมประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งการทั้งหลาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย

    “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม ประพฤติผิดธรรม เพราะเหตุแห่งบุตรและภริยา.... เพราะเหตุแห่งทาสกรรมกร และคนรับใช้...... เพราะเหตุแห่งมิตรและอำมาตย์....... เพราะเหตุแห่งญาติสาโลหิต....... เพราะเหตุแห่งแขก..... เพราะเหตุแห่งปุพพเปตชน...... เพราะเหตุแห่งเทวดา..... เพราะเหตุแห่งพระราชา...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย...... เพราะเหตุทำนุบำรุงกาย

    นายนิริยบาลจะพึงฉุดคร่าเขาผู้นั้นไปยังนรก......เขาจะพึงได้ตามความปรารถนาหรือว่า เราประพฤติไม่ชอบธรรม...... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย....... ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเราไปสู่นรกเลย หรือมารดาบิดาของผู้นั้นจะพึงได้ตามปรารถนาหรือว่าผู้นี้เป็นผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม..... เพราะเหตุแห่งการเลี้ยงกาย ขอนายนิริยบาลอย่าพึงฉุดคร่าเขาไปนรกเลย

    “.....ดูก่อนธนัญชานิ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลผู้ประพฤติไม่ชอบธรรม....... เพราะเหตุแห่งบิดามารดา กับบุคคลผู้ประพฤติชอบธรรม ประพฤติถูกธรรม เพราะเหตุแห่งมารดาบิดา ไหนจะประเสริฐกว่ากัน

    “.....ดูก่อนธนัญชานิ การงานอย่างอื่นที่มีเหตุประกอบด้วยธรรม เป็นเครื่องให้บุคคลอาจเลี้ยงมารดาบิดาได้ ไม่ต้องทำกรรมอันลามก และให้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นบุญได้ มีอยู่ฯ”


    ธนัญชานิสูตร ม. ม. (๖๗๖-๖๘๖)
    ตบ. ๑๓ : ๖๒๕-๖๒๙ ตท.๑๓ : ๕๐๙-๕๑๓
    ตอ. MLS. II : ๓๗๓-๓๗๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2012
  5. noumthebest

    noumthebest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +306
    นั้นอะดิครับ เอ็งฆ่าสัตว์วันนึงเป็นพันตัว ทำบุญเเค่ไหนถึงจะหนีทันใช่หรือเปล่า ไม่ได้ด่าใคร

    เเต่ลึกๆ พวกเราก็บาปไปด้วยนะครับหนิครับเพราะกินสัตว์ ถ้าไม่ได้พวกโรงเฉือดเเล้วจะทำยังไง อันนี้ถือว่าเป็นบุญได้หรือเปล่าครับ
     
  6. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อุปมาดั่ง เศรษฐีมีที่นาอยู่พันไร่ และได้จ้างชาวบ้านมาทำนาให้ เมื่อชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าวในในนานั้นแล้ว เมล็ดข้าวที่ได้นั้นจะเป็นของชาวบ้าน หรือ ของเศรษฐีเจ้าของที่นานั้น ฉะนี้

    เจริญในธรรมครับ
     
  7. noumthebest

    noumthebest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +306
    เเต่ผมเคยเห็นคนเเถวบ้านนะครับทำโรงฉีหมู หรือฆ่าหมูเนี่ย รุ่นเค้าไม่ได้ทำเเล้วก็รวยวันรวยคืนหนิครับ เพราะพ่อเเมทำมาให้ อยากถามว่าเงินที่พ่อเเม่ทำเเบบนี้ ตกมาถึงเรานี่จะซวยไปด้วยเปล่าครับ เพราะเรากินอยู่กับพ่อเเม่ที่เป็นเจ้าของโรงงาน
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าทำเพื่อเงินแล้ว ไม่เป็นบุญแต่ประการใดเลยครับ แต่ถ้าไม่ได้ทำเพื่อเงิน เช่น แม่ฆ่าสัตว์ เพื่อจะทำอาหารให้ลูก อันนี้จะมีทั้งบุญ และ บาป ผสมกัน แต่จะหนักไปทางบาปมากกว่าเยอะ

    ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ให้ถ่องแท้จริงๆ ต้องเข้าถึงธรรมะแก่นแท้ ที่พระพุทธเจ้าสอนก่อนครับ ไม่งั้นจะเข้าใจเรื่องนี้ลำบาก

    อธิบายคร่าวๆ ประมาณว่า โลกนี้ก็คือ ธาตุ 4 ไอ้ที่เราอุปาทานว่าเป็นมนุษย์ เป็นร่างกายมนุษย์ ต้องดูแลรักษา เนี่ย จริงๆ แล้ว ในวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย ทุกอย่างเป็นแค่ธาตุมาประกอบกัน แต่การที่เราเอากิเลส อยากบำรุงบำเรอร่างกายของเรา ไปเบียดเบียน ทำให้ผู้อื่นต้องทุกข์ทรมาน เจอความเจ็บปวด โดนฆ่า โดนเชือด อันนี้เป็นบาปครับ

    เรื่องนี้ก็ซับซ้อนเหมือนกัน...
    ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกันครับ ถ้าเราไม่ได้มีส่วนร่วม หรือมีส่วนยินดีกับการกระทำ กรรมใครกรรมมัน

    แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกิดมาในครอบครัวเดียวกัน จะมีกรรมเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มีเหตุร้ายอะไรก็ถือว่าดีไป ถือว่าไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกับเรื่องการฆ่าสัตว์ที่ผูกพันเป็นหมู่คณะ แต่ถ้าความซวยจะเกิดขึ้น ก็ให้รู้ไว้ว่า ไม่ได้ซวยเพราะเงินพ่อแม่ตกมาถึงลูก แต่เพราะมีกรรมในอดีตเกี่ยวเนื่องกันมาก่อน ทำให้มันมาพันกันยุ่งเหยิงในชาติปัจจุบัน ครับ

    แต่ระวังให้ดี ถ้าลูกหลาน ไปยินดีกับเงินที่ได้มา โดยคิดไปว่า เงินที่ได้มามากมายนี้ ได้เพราะฆ่าเขา แล้วไปเกิดความยินดีขึ้นว่า เพราะฆ่าแล้วจึงได้เงิน อันนั้น ไปเกี่ยวข้องด้วยทันทีเลย
     
  9. Eakachai

    Eakachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +896
    ขออนุญาตแปะข้อความสักเล็กน้อยนะครับ

    ผู้ถาม : " เรื่องการถวายอาหารพระนะครับหลวงพ่อ เวลาอุบาสิกานำอาหารไปถวายพระ แล้วก็เอาอาหารพวกเนื้อสัตว์ไปถวาย จะบาปไหมครับ...? "

    หลวงพ่อ : " ถามไม่ละเอียดนี่ อาตมาตอบไม่บาปเลยก็ได้ คือ เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแล้วและไปซื้อมา เราไปบังคับให้เขาฆ่าเมื่อไรละ ใช่ไหม...? "

    ผู้ถาม : " ถ้าเราไม่กินเขาก็ไม่ฆ่า "

    หลวงพ่อ : " ถ้าเขาไม่ฆ่าเราก็ไม่ซื้อ เราไม่ซื้อเขาก็ฆ่า เราไม่ซื้อคนอื่นซื้อ เขาก็ฆ่า ถ้าเราสั่งให้เขาฆ่าซิ "วันนี้ไก่ ๓ ตัวนะ" "วันนี้ขอหมูให้ฉัน ๑ ขานะ" "พรุ่งนี้จะแต่งลูกสาว เอาวัว ๓ ตัว หมู๓ ตัวนะ" อย่างนี้บาป ตั้งแต่เริ่มสั่ง พระยายมบันทึกแล้ว บันทึกตั้งแต่สั่งแล้ว ถ้าตายไปก่อน รับวัวรับหมูนะ ลงเลย "

    ผู้ถาม : " ก็หมายความว่าบาปเฉพาะ คนสั่งฆ่า กับ คนฆ่า...! "

    หลวงพ่อ : " คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่งคนนั้นก็บาป เราซื้อที่เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาปพระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
    คำว่า บาป นี้แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่า ดี ทำชั่วแปลว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว ฉะนั้นถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่วเพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า แต่ว่าถ้าเอาเนื้อมาแล้วบอก "เฮ้ย พรุ่งนี้เพิ่มหน่อยซีเว้ย" ทีนี้เอาแน่ ต้องว่ากันอย่างนี้นะ "


    ผู้ถาม : " มีคนเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ คนฆ่าไม่บาปเท่าไรแต่คนกินบาป และเขายังบอกอีกว่า ถ้าไม่กินแล้วใครจะฆ่า "

    หลวงพ่อ : " คิดเอาเองมากกว่า คนกินเขาไม่ได้สั่งให้ฆ่า นี่เขาฆ่าขาย ถ้ามีขายเขาก็ซื้อกิน จะไปโทษคนกินเขาไม่ได้หรอก ถ้าคนกินสั่งให้เขาฆ่าอันนี้จึงบาป ไม่งั้นพระพุทธเจ้าคงจะห้ามพระฉันเนึ้อสัตว์ นี่เขาว่ากันเอาเอง ไม่ถูกหลักเกณฑ์อะไรหรอก พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ"
    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราถือเจตนาเป็นตัวกรรม"

    เจตนา แปลว่า ตั้งใจ ถ้าตั้งใจคิดจะฆ่าแล้วลงมือฆ่าอันนี้บาปแน่ "


    ผู้ถาม : " ถ้ารับประทาน อาหารมังสวิรัติ จะตัดกิเลสได้ หรือเปล่าคะ...? "

    หลวงพ่อ : " ถ้าตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงยอมตามที่พระเทวทัตขอพรแล้ว ฉันลองมา ๓ ปี เมื่อบวชใหม่ ๆ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย แล้วฉันหนเดียวด้วย และฉันไม่บอกชาวบ้านด้วย ถ้าบอก ชาวบ้านก็ต้องทำอาหารลำบาก ก็ไปบิณฑบาตธรรมดา แต่เนื้อสัตว์เราไม่กิน บางวันไม่มีอะไรมาให้เลย ก็กินเกลือกับหัวหอมกินผักเป็นอาหาร ลองมา ๓ ปี ไม่เห็นกิเลสมันลดเลย แต่ว่าถ้าไม่กินได้นี่ดีนะ ฉันสรรเสริญ ถ้าเป็นฆราวาสนะ เพราะว่าจะได้ไม่กังวลเรื่องเนื้อสัตว์ จิตของเราก็ตัดบาปไปจุดหนึ่ง ใช่ไหม ...
    ในปฐมบัญญัติของสิกขาบท สังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๐ มีเรื่องเล่าว่า พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ โอ้โฮ ... นี่อยู่อเวจีทั้งคู่ ใครไปอเวจี ไปมอง ๆ ดูนะ พระเทวทัตยีนกางแขนกางขา โกกาลิกะนั่งชันเข่า หอกเสียบสบาย ๆ แล้วก็พระกฏโมรกติสสกสะ พระที่เป็นบุตรของนางขัณฑเทวี และ พระสมุทททัต ชักชวนให้พระสงฆ์แตกกัน ใครบ้างล่ะ ... พระเทวทัต เป็นหัวหน้าโจก โกกาลิกะ รองประธาน พระกฏโมรกติสสกสะ และ พระสมุทททัตชักชวนให้สงฆ์แตกกัน พร้อมทั้งบอกแผนการที่จะเสนอแผนการให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น มี ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่อนุญาต และตนจะนำข้อเสนอขึ้นประกาศแก่มหาชน

    ข้อเสนอ ๕ ข้อนั้น คือ อันนี้ฟังให้ดีนะ ข้อนี้ดีมาก เวลานี้คนที่ปฎิบัติผิดมีเยอะ ไปหลงผิดว่าไอ้ที่เราทำนี่ดีนี่หว่า ข้อเสนอของพระเทวทัต ๕ ข้อ เวลานี้พระสาวกของพระเทวทัตก็มีเยอะเหมือนกัน ถือว่า ๕ ข้อ ที่พระเทวทัตขออนุญาตนี้ นึกว่าเป็นของดีกันนัก สงสารชาวบ้าน ข้อเสนอของเทวทัต ๕ ข้อ คือ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้าน ต้องมีโทษ หมายความว่า พระทุกองค์ที่บวชแล้ว ห้ามเข้าหมู่บ้านโดยเด็ดขาด ต้องอยู่เฉพาะในป่า ห้ามโผล่หน้าเข้ามาในบ้าน

    ๒. ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต เป็นวัตร หมายถึง ปฎิบัติ ต้องบิณฑบาตตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ไปฉันตามบ้านต้องมีโทษ นี้เป็นความต้องการของพระเทวทัต รู้แล้วว่าทำไม่ได้ แต่แกล้งขอ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล หมายความว่าผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขาทิ้งตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง ตามที่เขาพันผีไว้บ้าง นำมาซัก นำมาย้อม มาปะติดปะต่อเป็นจีวรจนตลอดชีวิต ผู้ใดรับจีวรที่ชาวบ้านถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุพึงอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ผู้ใดเข้าที่มุงที่บังที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่พึงฉันเนึ้อสัตว์ ผู้ใดฉันต้องมีโทษ

    เห็นไหม ... การขอนี่เขาขอเพื่อเป็นการลบล้างไม่ใช่ทำได้ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะร่วมด้วยว่า พระพุทธเจ้าแพ้แหง ๆ พระเทวทัตต้องชนะการเสนอญัตติแบบนี้ พระเทวทัตจึงได้เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลข้อเสนอ ๕ ประการนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    "ดูก่อน เทวทัต ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่า ก็จงอยู่ป่า

    ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ในละแวกบ้าน ก็จงอยู่ในละแวกบ้าน

    ผู้ใดปรารถนาจะเที่ยวบิณฑบาต ก็จงเที่ยวบิณฑบาต

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ผ้าบังสุกุล

    ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าไตวจีวรจากฆราวาสถวาย ก็จงรับได้

    เราอนุญูาตที่นอนที่นั่ง ณ โคนไม้ตลอด ๘ เดือน หมายความว่าที่ไม่ใช่ฤดูฝน เป็นฤดูหนาว หรือฤดูแล้ง ถ้าจะไปยังงั้นก็ได้

    เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดย ๓ ส่วน คือ

    ๑. ไม่ได้เห็นเขาฆ่า

    ๒. ไม่ได้ยินเขาฆ่าเพื่อถวายพระ

    ๓. ไม่ได้รังเกียจคิดว่า เนื้อสัตว์นึ้น่ากลัวเขาฆ่าเพื่อเรา เช่น เขาฆ่าเจาะจงเพื่อจะให้ภิกษุบริโภค

    พระเทวทัตดีใจที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ยอมรับสมเจตนาจึงได้เที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมอนุญาตข้อเสนอที่ดีของตน ทำให้คนที่มีปัญญาทราม คนไร้ปัญญูาบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก

    โอ้โฮ ... ดีจริง ๆ นะ พระผู้มีพระภาคเจ้ามักมากแล้วใครจะมักน้อยอีก แต่คนที่เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัตเอาแล้วซิ ... นี่พระไม่ดีทำให้ชาวบ้านแตกกัน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนพระเทวทัตเป็นสัตย์แล้ว จึงได้ทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    "ห้ามภิกษุพากเพียรเพื่อทำลายสงฆ์ให้แตกกัน เมื่อภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศเป็นการสงฆ์เพื่อเลิกข้อประพฤตินั้นเสีย ถ้าสวดถึง ๓ วาระยังไม่เลิก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส"

    จำไว้ให้ดีนะ นี่บท ๕ ข้อนี้ ทวนเสียอีกทีนะ

    ๑. ภิกษุพึงอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าละแวกบ้านต้องมีโทษใครเขาจะทำ

    ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ถูกรับนิมนต์ฉันตามบ้านต้องมีโทษ

    ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าเศษผ้าที่เขากองทิ้งไว้ หรือผ้าห่อผีห่อคนตายตลอดชีวิต ถ้ารับผ้าที่เขาถวายต้องมีโทษ

    ๔. ภิกษุต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ตลอดฤดูน้ำฤดูฝนไม่รู้ ถ้าเข้าบ้านที่มีหลังคาต้องมีโทษ

    ๕. ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ใดฉันมีโทษ

    ทั้ง ๕ ข้อนี้พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตนะ

    เมื่อเห็นคนด้วยเมื่อเจอะพระเขาทำอย่างนี้นะละก็ญาติโยม อย่าถือว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดนะ ต้องถือว่าเขาเป็นคนละเมิดพระดำรัสสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แล้วกัน ... "


    ผู้ถาม : " กระผมเป็นฆราวาสกินอาหารมื้อเดียว ทำอย่างนี้โดยตลอด ไม่ทราบว่าจะมีอานิสงส์เป็นไปข้างหน้าอย่างไรครับ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์ปัจจุบัน คือ
    ๑. เปลืองอาหารน้อย เพราะกินเวลาเดียว

    ๒. มีเวลาทำงานมากขึ้น ข้างหน้าต่อไปอานิสงส์ใหญ่ คือตาย

    ... ก็แค่กินเวลาเดียวยังวัดฐานะอะไรไม่ได้เลย อย่าไปนึกว่ามันดีเด่นกับใครเขานะ กินเวลาเดียว กิน ๒ เวลา กิน ๓ เวลา มีความหมายเสมอกัน สำคัญว่า "ใจตัดกิเลสได้หรือเปล่า" เขาเอากันตรงนั้น ถ้าถือแค่กินนี่มันเป็นมานะทิฏฐิ เป็นกิเลสหยาบมาก อีกอย่างหนึ่งตายเร็วมาก อย่าไปนึกว่าดีนะ และถ้านั่งคุยว่านี่ฉันกินเวลาเดียว เสร็จเลย โอ้อวด นี่เป็นมานะกิเลสพังเลย "


    ผู้ถาม : " อย่างนี้แทนที่จะไปดี ก็เลยไป... "

    หลวงพ่อ : " ก็ไปดี หมายความว่าก่อนจะไปก็เปลืองน้อย เพราะฉะนั้นอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญนะ ไอ้กินเวลาเดียว ๒ เวลา กินเนื้อสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ อย่านะ อย่าถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ต้องตอบอย่าง หลวงปู่แหวน เคยมีคนมาเล่าให้ฟัง มีคนหนึ่งแกบอกหลวงปู่แหวนว่า
    "เวลานี้ผมถือมังสวิรัติครับ ไม่กินเนื้อสัตว์"

    หลวงปู่แหวนท่านบอก

    "ไอ้วัวควายกินหญู้าตั้งนาน ไม่เห็นเป็นพระอรหันต์ซักตัว"

    ตอบนำสมัย ไม่ไช่ทันสมัย ถ้าเรื่องเป็นความจริงตามนั้น แต่การกินไม่มีความหมายในการปฎิบัติ แต่ปฎิบัติจริง ๆ มันขึ้นอยู่กับ

    ๑. เข้าถึงสะเก็ดพระศาสนาแล้วหรือยัง

    ๒. เข้าถึงเปลือก เข้าถึงกระพี้ เข้าถึงแก่นแล้วหรือยัง

    เข้าถึงแก่นนี่ยังใช้ไม่ได้นะ ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ จะต้องเข้าถึงพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ เขาวัดกันตรงนี้ อย่าไปวัตกันแค่กิน "


    ผู้ถาม : " คนทำบุญให้ทานที่กินเนื้อสัตว์ กับคนทำบุญให้ทานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ อันไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากันคะ ... ? "

    หลวงพ่อ : " อานิสงส์แบบไหนล่ะ อานิสงส์ไปนรก หรืออานิสงส์ไปสวรรค์ อานิสงส์มันมี ๒ อย่าง ทำบาปก็มีอานิสงส์จะลงขุมไหนแน่ ถ้าทำบุญก็มีอานิสงส์ อย่างเลวก็ไปสวรรค์ อย่างกลางไปพรหม อย่างดีที่สุดไปนิพพาน คนที่ไม่ทำบุญเลยแม้ไม่กินเนื้อสัตว์ก็มีสิทธิ์ไปอยู่กับเทวทัตได้ มีไหมคนไม่ทำบุญเลย คนที่ทำบุญไม่กินเนื้อสัตว์ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์นะ พระที่ฉันเนื้อสัตว์ไปนิพพานนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้กินสัตว์เป็น เขาซื้อมากินไม่มีบาป "

    ผู้ถาม : " ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็เพราะว่าไปมองเห็นเนื้อสัตว์แล้วมีเลือดมีคาว เลยกินไม่ได้เจ้าค่ะ "

    หลวงพ่อ : " อย่างนี้ไม่เป็นไร ถ้าเห็นว่าสกปรกเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันนี้เป็นปัจจัยให้บรรลุพระอนาคามีหรือพระ อรหันต์ นี่เป็นพื้นฐานใหญู่นะ ถ้าเห็นแบบนั้นเกิดนิพพิทาญาณแล้ว นิพพิทาญาณเป็นปัจจัยให้ได้พระอนาคามี ต่อไปถ้าเว้นจริงเป็นสังขารุเปกขาญูาณ เป็นอรหันต์ คนที่จะเป็นอรหันต์ได้ ถ้าไม่คล่องในบทนี้เป็นไม่ได้ มี กายคตานุสสติ กับ อสุภกรรมฐานเป็นพื้นฐาน
    พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ไม่เสวยและฉันเนื้อสัตว์ เป็นต้น

    ๑. ต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ๑๐ ประการ มีเนื้อมนุษย์ เป็นต้น

    ๒. เนื้อนั้นจะต้องเป็นปวัตตมังสะ คือ ที่เขาขายแกงกินกันตามปกติของเขา โดยพระไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้รังเกียจสงสัยว่าเขาฆ่าเนื้อเจาะจงถวายตน

    ๓. ก่อนการฉันอาหารเนื้อทุกคราว จะต้องพิจารณาเสียก่อนเพื่อป้องกันไม่ไห้ฉันเนื้อต้องห้ามข้างต้น "

    เครดิต : คุณ rinnn ครับ
     
  10. Gorgeous

    Gorgeous เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2012
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +109
    อยากแนะนำให้คุณเจ้าของกระทู้ ลองไปดูใน youtube รายการคนอวดผีตอนล่าสุด ช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผี ซึ่งก็คือวันพุธที่ผ่านมานี่เอง คุณริวได้ตอบครบถ้วนกระบวนความแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2012
  11. จิตสีฟ้า

    จิตสีฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +192
    ลองฝึกสมาธิดูนะครับ พยายามเน้นไปด้านวิปัสณา เพราะจะช่วยตอบคำถามที่ตนเองสงสัยได้โดยไม่ต้องไปถามคนอื่น เเต่ว่ามันไม่คุ้มกันหรอกครับ ทำโรงฆ่าสัตว์เพื่อให้ร่างมนุษย์เน่าๆนี้มันรู้สึกสบายอย่างเก่งก็ห้าสิบหกสิบปี เเต่นรกมันไม่ได้ทรมารเเต่ห้าสิบหกสิบปีนี่สิครับ มันไม่คุ้มกันหรอก ความลำบากในชีวิตมนุษย์ เราทนได้ ร้อยปีก็ทนได้ พันก็จะต้องทนใได้ หากผลที่ได้รับคือความสบายนับเป็ล้านๆๆๆปีที่เราจะได้รับ
     
  12. terryh

    terryh เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +1,280
    ขอยกคำสอนเทศนาธรรม บางตอน ของ

    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง มา ณ ที่นี้

    หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า
    “ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ
    คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้
    แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ”

    หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔
    แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกัน
    สำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง
    สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ
    พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน
    อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก
    มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด
    เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร
    ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ
    หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด
    ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลย
    คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร
    ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก
    แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
    แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”


    แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ
    หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี
    พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”


    และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
     
  13. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    5 อาชีพต้องห้าม มิจฉาวาณิชชา
    มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายที่ผิด หรือไม่ชอบธรรม หมายถึง บุคคลไม่ควรค้าขายสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสัตว์และต่อสภาพแวดล้อม
    1. สัตถวณิชชา คือ การขายอาวุธ ได้แก่ อาวุธปืน อาวุธเคมี ระเบิด นิวเคลียร์ อาวุธอื่น ๆ เป็นต้น อาวุธเหล่านี้หากมีเจตนาเพื่อทำร้ายกัน จะก่อให้เกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกัน โลกจะไม่เกิดสันติสุข
    2. สัตตวณิชชา หมายถึง การค้าขายมนุษย์ ได้แก่ การค้าขายเด็ก การค้าทาส ตลอดจนการใช้แรงงานเด็กและสตรีอย่างทารุณ
    3. มังสวณิชชา หมายถึง ค้าขายสัตว์เป็น สำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหารเป็นการส่งเสริมให้ทำผิดศีลข้อที่ 1 คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    4. มัชชวณิชชา หมายถึง การค้าขายน้ำเมา ตลอดจนการค้าสารเสพติดทุกชนิด
    5. วิสวณิชชา หมายถึง การค้าขายยาพิษ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อสัตว์

    การทำมาค้าขายทั้งห้าชนิดนี้ ทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นการทำมาหากินที่ไม่ชอบธรรม เพราะมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสิ่งมีชีวิต ตลอดถึงเป็นอันตรายต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนในสังคม
    หรือว่าได้ไม่คุ้มเสีย ร่ำรวยเงินทองในชาตินี้แต่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกหลายภพ หลายชาติ ตอนแรกผมก็คิดอยากทำฟาร์มวัวขุนและมีโรงเชือดเป็นของตัวเองแหละครับตอนที่ยังไม่กลัวบาป แต่ตอนนี้ต่อให้มีใครมายกมรดกหมื่นล้านแสนล้านจากการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำไปฆ่าหรือเชือดสัตว์ขายเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์น้อย จนถึงสัตว์ใหญ่ ผมจะไม่ขอรับมรดกบาปนี้แน่นอน แนะนำให้เปลี่ยนอาชีพอื่นเถอะครับ เช่น ทำไร่ ทำสวน หรือเลี้ยงสัตว์ประเภทสวยงามก็ได้ เช่น ปลาสวยงาม เพาะพันธุ์สุนัขขาย อะไรทำนองนี้ก็ได้ครับ อาจจะรวยน้อยกว่า รวยช้ากว่า แต่สบายใจกว่าแน่นอน บาปกรรมก็น้อยกว่ากันเยอะด้วย ได้เงินมาก็แบ่งไปทำบุญบ้าง เพื่ออุทิศส่วนบุญให้แก่ สัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น ไส้เดือนดิน แมลงตัวเล็กๆ เห็บ เหา ถ้ามีการจัดการที่ดี อาจจะเบียดเบียนสัตว์เล็ก สัตว์น้อย
    ได้มากกว่านี้ด้วย หรือแทบจะไม่เบียดเบียนเขาเลย
    เช่นนี้ จึงเรียกว่าพ่อค้าที่ดี ที่ค้าขายไม่ขาดทุน(ไม่ขาดทุนบุญกุศล)
     
  14. vaddee

    vaddee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +443
    เรื่องนี้พูดไปก็ไม่มีวันจบหรอก จริงๆแล้วทุกอย่างอยู่ใน ศีล 5 ทั้งนั้นไปอ่านและตีโจทย์ให้แตกแล้วจะเข้าใจเอง.....คำถามนี้ น่ากลัวจังอยากบอกว่าแม้แต่คุณขายอุปกรณ์ดักจบสัตว์คุณก็บาปแล้ว เรื่องบุญ บาป เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยากที่จะเข้าใจง่ายๆ คุณต้องศึกษาและใช้ปัญญาพิจารณาเอาเอง พระพุทธองค์ถึงเน้นการปฏิบัติบูชาเพือให้เกิดปัญญาไง บางคนใส่บาตร ทำบุญทุกวัน ก็ได้บาปทุกวันเพราะอะไรไม่ขอพูดยากที่จะเข้าใจ.........!!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2012
  15. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    สัตว์ทั้งหลายรักตน สัตว์ทั้งหลายกลัวโทษทัณฑ์
    หากเปรียบชีวิตเรากับชีวิตผู้อื่นแล้วไม่ควรฆ่าด้วยตนเอง และใช้ให้ผู้อื่นฆ่า!
     
  16. noumthebest

    noumthebest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +306
    มองความเป็นจริงผมว่า ยากนะครับ เพราะลองคิดซิครับ ถ้ามีเเต่คนใจบุญไม่มีใครทำโรงเชือดอย่างบริษัทใหญ่ๆเนี่ยคนเราก็ต้องเชือดใช่หรือเปล่าครับ มีความเป็นได้หรือเปล่าครับว่าเค้าทำบาปเเทนเผื่อนคนอื่นเเล้วเค้าได้บุญ
     
  17. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    เจตนาตั้งโรงงานฆ่าสัตว์ก็ชั่วอยู่แล้ว ไปประกอบอาชีพต้องห้ามทางพุทธด้วยยิ่งชัดเจน
    ตอนนี้ก็เสวยบุญไปก่อน นับเงินบาปไป
    พอได้เวลา กรรม เจตนาตั้งโรงงานมันมาสนอง ก็จะได้รู้ตัวกันในขณะนั้นเอง
    หรือ ไปเกิดใหม่ในทุคติภูมิ ก็จะไม่รู้ว่า กรรมตัวไหน ส่งตูมาเกิดว่ะนี่ ฮา
     
  18. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    คุณกล้าฟังคำตอบจริงๆเหรอครับ เอาเป็นว่าเลิกดีกว่าครับ ดีกว่าไปเสียใจภายหลัง
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อธิบายไปเรียบร้อยแล้ว ลองอ่านทำความเข้าใจให้ละเอียด
    อย่าพยายามเอากิเลส มาครอบ เปลี่ยนเรื่องบาปให้เป็นบุญ มันเป็นไปไม่ได้

    โลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ ปัจจุบัน ทุกวันนี้ มันก็เป็นแค่โลกสมมติของธาตุ 4
    ไอ้ร่างกายที่เราเห็นว่าสำคัญ หวงแหนกันนักหนา นี่ก็ไม่ใช่ของเรา ตามกฎแห่งกรรมแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ไปเบียดเบียนใคร เพื่อพยายามบำรุงรักษา สิ่งที่ไม่ใช่ของเราสิ่งนี้
     
  20. สหพัฒน์

    สหพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +710
    ผมคิดว่า.. จริงๆแล้วคุณยังไม่กลัวบาปกรรมจริงๆหรอก แถมคุณก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่าบาปกรรมมันมีจริงๆไหม นี่คือลักษณะของผู้ที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมะ หรือเพิ่งเริ่มสนใจธรรมะระดับเริ่มต้น หรืออีกนัยนึงก็คือ ยังไม่เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยในโสตปัญญาของคุณอย่างแท้จริง ถ้าคุณยังมีความสงสัยและยังมีความคิดแบบนี้ผมคิดว่ายังอีกนานอยู่กว่าน้ำในตุ่มของคุณจะหายเค็ม จริงๆคุณไม่ต้องมาโพสกระทู้ถามสมาชิกเขาหรอก ยังไงท่านสมาชิกทั้งหลายเขาก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเลิกทำเหอะ เพียงแต่คุณต้องการอยากได้คำตอบที่สนับสนุนความคิดของตัวคุณเองว่าคุณคิดถูกต่างหากล่ะครับว่าจะหลีกเลี่ยงคำถามนี้อย่างไรเมื่อเพื่อนๆหรือคนอื่นถามคุณ คุณอย่าคิดน่ะว่าคุณทำบาปแล้วค่อยทำบุญถวายทานต่างๆตามไป แล้วไม่ต้องพูดถึงศีลเลยสั่งฆ่าทุกวันศีลขาดทุกวัน ภาวนายิ่งแล้วใหญ่ คุณรู้เหรอว่าตอนนี้ในตุ่มของคุณ คุณเติมน้ำหรือเติมเกลือมากกว่ากัน
    แล้วไม่ต้องยกตัวอย่างบริษัทใหญ่ๆเขายังทำกัน ถ้าเขาต้องชดใช้กรรมในนรกแล้วเขาชวนคุณไปด้วยได้ ผมถามว่าคุณจะไปกับเขาไหม แล้วถ้าผมถามคุณว่าถ้าในชาตินี้คุณร่ำรวยเงินทอง คุณและครอบครัวมีหน้ามีตาในสังคมเพราะเงินจากการมีโรงเชือดแต่อีก 100 ชาติข้างหน้าคุณต้องเกิดมาเป็นคนพิการหาเลี้ยงตัวเองลำบากคุณจะเอาไหม ถ้าคุณคิดจะทำต่อก็สิทธิ์ของคุณไม่มีใครห้ามคุณได้ พวกเราชี้แนะได้แค่แนวทาง คุณเดินเอง เลือกเอง กรรมใครกรรมของคนนั้น
    นี่แหละเขาเรียกสถานการณ์เช่นนี้ว่า...บ่เห็นโลกศพ บ่หลั่งน้ำตา
     

แชร์หน้านี้

Loading...