ความรู้สึกหลังอ่าน อริยสัจ จากพระโอษฐ์ภาคต้น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย BossTH, 22 กันยายน 2012.

  1. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ความรู้สึกหลังอ่าน อริยสัจ จากพระโอษฐ์ภาคต้น

    - ไม่มีใครจดจำคำสอนของพระพุทธองค์ได้หมดสิ้นแน่ ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน นอกเสียจากพระปัจเจกพุทธเจ้า กับพระพุทธเจ้าในอดีตและอนาคต

    - ผมเข้าใจแล้วว่า ที่พระองค์บอกว่าทรงกำหนดสมาธิทุกครั้งก่อนจะพูดตั้งแต่วันที่ท่านตรัสรู้ จนถึงวันที่ท่านปรินิพพาน เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ความคิดนี้เข้ามาหลังผมอ่านจบเล่มนี้ อ่านมา 4 เล่ม ก็ได้แต่รู้สึกทึ่งว่าทำไมถึงได้สอดคล้อง คล้องจองกัน จนเหมือนกับว่า ทุก ๆ เรื่องที่ท่านพูดถึง บอกสอน สามารถนำมาหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้หมดเลย

    - ผมได้ความคิดว่า หากตัวเราเองยังไม่พัฒนาจาก "คน" ไปสู่ "มนุษย์" มันยากเหลือเกิน ยากจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ จะเข้าใจ และเข้าถึง "โลก" ที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทเจ้า ได้บอกสอนไว้

    - ผมรู้สึกแปลกใจว่ามีความคิดนี้เกิดขึ้นกับผมว่า "ตั้งแต่ เราเด็ก - ปัจจุบัน" เรามีตัณหามาเท่าไหร่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้ยังไงว่า ตัณาหาเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เริ่มที่ไหน และจะหาทางจบได้ยังไง ยิ่งผมศึกษาคำของท่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทึ่งและก็ได้แต่ทำตามคำพูดของท่าน เพราะผมเป็นได้แต่เพียงผู้เดินตามเท่านั้น

    - ผมเพิ่งรู้อีก 1 สาเหตุแล้วว่า ทำไมผมถึงต้องมาศึกษาคำพูดของท่าน นั่นเพราะใจของผมอยากจะพบและอยากจะเจอกับ "โลก" ที่ไม่มีคำโกหก ไม่ต้องหลอกกัน ไม่ต้องโกหกกัน ซึ่งก็คงหาได้แต่ที่นี่เท่านั้นเอง

    - บางทีก็ไม่กล้าเปิดอ่านเพราะว่า "กลัว" กลัวในความเป็นจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สอนเอาไว้ กลัวว่าจะได้รู้ความจริงมากกว่านี้ แต่ก็คงยังอ่านต่อไป ก็แปลกดีเหมือนกัน

    - ในบางครั้งแค่พระสูตร 1/2 หน้า ผมก็ต้องใช้เวลา 1 - 2 ชม. ในการอ่าน ถึงจะเข้าใจ แม้ว่าจะเป็นคำพูดธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง (ก็ยังดีนะที่เข้าใจ)

    - บางพระสูตรใช้เวลาเป็นวัน ๆ ก็จนปัญญาจริง ๆ ก็เลยต้องปล่อยผ่านไป จากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะอ่านให้เข้าใจทุกพระสูตร มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ครับ หากปัญญา(ทางธรรม) ไม่มา ก็ไม่มีทางจะเข้าถึงแน่นอน

    - แปลกนะครับ บางวันจะรู้สึกมีความสุขทั้งวันเลย ตื่นมาก็นึกถึงคำของท่าน แม้วันนั้นจะไม่ได้อ่านเลย มีความสุขได้ทั้งวันโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกเลย มันแปลก สุขแบบแปลก ๆ ผมชอบครับความสุขแบบนี้ ไม่เคยได้พบ ไม่เคยได้เจอ ก็ได้รู้จักซะแล้ว คุ้มจริง ๆ

    - ผมเข้าถึงเรื่องจิตไม่ใช่ของเราแล้ว กว่าเข้าถึงข้อนี้ รวมแล้วใช้เวลาไปเกือบ 9 เดือน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ยากจริง ๆ ก็ขำกับตัวเอง บทจะเข้าถึง ก็มาเองโดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องนึกเลย วันที่เข้าถึงเรื่องนี้ ผมยิ้มทั้งวันเลย (ได้จากสมาธิ-วิปัสสนา) มันแปลก

    - สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างในตัวผม คือ เวลาไปเจอหนังสือธรรมะตามร้านหรือมีใครให้มาก็ตาม ผมอ่าน 1 หน้า 10หน้า 20 หน้าแรก ผมก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่า สมควรจะอ่านต่อไปหรือไม่ มีสิ่งที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าเจือปนมามากน้อยแค่ไหน ก็หลายครั้งครับ ที่ผมทำลายความมั่นใจของคนที่เอาหนังสือธรรมะมาให้ผม เพราะเค้าคิดว่าเล่มนั้น ๆ ดี เล่มนี้สุดยอด ผมก็ได้แต่บอกว่าตรงนี้นะ หน้านี้ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์ แต่ก็แปลกครับ ที่เกือบทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครโกรธผมสักคนเลย

    - ผมเคยสนใจอย่างมากในคำพูดของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นยึดติดเลย ต้องหาคำพูดพระอาจารย์เก่ง ๆ มาอ่าน มาฟัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วครับ ผมยึดแต่คำของพระสมณโคมดอย่างเดียวเลย อย่างอื่นไม่เอาแล้ว เพราะผมมั่นใจว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครเก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว (อ่านมา 4 เล่มเพิ่งจะคิดได้....เฮ้อ....)

    - คำพูดของพระผู้มีพระภาค ที่ผมประทับใจและซึ้งใจที่สุด มี 2 อย่างครับ
    1. สิ่งที่เป็นอดีตก็ละได้แล้ว
    สิ่งเป็นอนาคต ก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้น
    ส่วนฉันทราคะ(ความกำหนัดเพราะพอใจ) ในอัตตภาพอันได้ทั้งหลาย อันเป็นปัจจุบันก็นำออกแล้วหมดสิ้น
    ง่าย ๆ ก็คือ
    อดีต - ละ
    อนาคต - ไม่ให้เกิด
    ปัจจุบัน - นำออกให้หมดสิ้น
    ท่านคิดได้ยังไงกันเนี่ย พระศาสดา ในโลกนี้ใครก็ตามที่ทำได้ ท่านผู้นั้นจะไม่เป็นทุกข์กับอะไรเลย นี่แหละครับที่ทำให้ผมทึ่งสุด ๆ

    2. กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
    อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย
    กิจนั้น เราได้ทำแล้ว แก่พวกเธอ

    นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง
    พวกเธอจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท
    อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย
    นี่แหละ วาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย

    ท่านคือพระศาสดาของผม บอกสอนก็ตั้งเยอะ แต่สุดท้ายก็ยังคงมีพระเมตตาใช้คำว่า มหาเมตตาดีกว่านะครับ ท่านเตือนผมว่า "อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย" (น้ำตาร่วงเป็นทางเลยครับ พอผมอ่านประโยคนี้) จะหาได้จากที่ไหนอีกละครับ ผู้ที่มีเมตตาขนาดนี้ ไม่มีแล้ว

    นิทานจบแล้วครับ จบไปอีก 1 เรื่อง
    ------------------------------------------------------------------
    คำแนะนำก่อนอ่าน
    1. แก้คำผิดก่อนอ่านนะครับ มีที่ท้ายเล่ม หน้าบอกว่า คำผิดชนิดต้องแก้ก่อนอ่าน
    2. ถ้าสมาธิไม่มี จิตหลุดบ่อย ก็ใช้การอ่าออกเสียงก็ได้นะครับ

    ปล. วันนี้คุณมีใจให้กับพระพุทธเจ้าขนาดไหนครับ (ไม่ต้องตอบผมก็ได้ครับ ตอบไว้ในใจตัวเราเองก็พอ ^_^)

    ยินดีเป็นเพื่อนกับทุกคนนะครับ https://www.facebook.com/BossKubPom
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  2. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    อนุโมทนาครับ

    ถ้าเป็นนักอ่านแนะนำ พุทธวจนะในธรรมบท อีกสักเล่มครับ
    เป็นเทศนาประเภทร้อยกรองของพระพุทธเจ้า มีลักษณะพิเศษคือไพเราะเรียบง่าย แต่ลึกซึ้งกินใจ อุปมาอุปไมยได้ชัดเจน สามารถนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติได้ในชีวิตจริง

    ฉบับที่ผมมีอยู่เป็นสำนวนแปลของท่านเสฐียรพงษ์ วรรณปก ครับ
    จะขอยกตัวอย่างมาสักบท

    อปฺปมาโท อมตํปทํ
    ปมาโท มจฺจุโน ปทํ
    อปฺปมตฺตา น มียนฺติ
    เย ปมตฺตา ยถา มตา ฯ ๒๑ ฯ

    ความไม่ประมาท เป็นทางอมตะ
    ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย
    ผู้ไม่ประมาท ไม่มีวันตาย
    ผู้ประมาท ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว

    Heedfulness is the way to the Deathless;
    Heedlessness is the way to death.
    The heedful do not die;
    The heedless are like unto the dead.

    ;)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  3. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ขอบคุณที่แนะครับครับ
     
  4. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เข้าใจเเบบ จขกทก็ถูกเเละอย่างที่บอก เป็นคำพูดที่ไม่เหมือนทางโลก ที่บิดเบือนไปมา
    จนสมองชาวโลกโดนหรอก หลงงมงาย โดนปิดกลั้น โดนบดบังความจริง อย่างสมัยก่อนผมมีความเชื่อว่าพวกใสชุดทหาร นี้เเละเค้าคือ ทหาร
    พวกใสชุด ตำรวจ นี้เเละ เค้าคือตำรวจ โดนหรอกเเบบนี้มาจนเกือบจะถอนตัวไม่ขึ้น พอได้สติก็ถึงรู้ว่า เค้าเป็นเเค่สัตว์โลกธรรมดาๆคน1นั้นเเละเพียงเค้าใสชุดเท่านั้น เเละก็สมมุติกันขึ้นมา เเท้จริง เเก่ตายเหมือนกัน เอาชุดที่ใสไปไม่ได้อยู่ดี
    อย่างพวกโฆษนาชวนเชื่อก็มีอิทธิพลอย่างมาก ทำให้จิตใต้สำนึกของใครหลายๆคน ยังมืดอยู่ การพูดอะไรผิดกัน หรือ พูดอะไรที่เกินความจริงบ่อยๆ พอเค้าจับได้ ก็จบลงที่ พูดคำว่าขอโทษ จนเป็นเรื่องธรรมดาชองโลก เป็นข้อสรุปทางโลก ที่ไม่เป็นระเบียบ
    ในความเป็นจริงมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นเเละ เเต่ถ้าอ่านคำพระพุทธเจ้าก็จะรู้ว่า จะต่างจากคำของทางโลกสิ้นเชิง จะสวนกัน สวนกระเเสทั่งหมด นี้เเละที่เรียกว่าพระธรรมคำสอน ไม่ใช่ภาษาของสัตว์โลกที่พูดให้ดูน่าเชื่อ หรือพูด อะไรลอยๆได้ เเบบหน้าตาเชย ทำหูทวนลมซ้ำๆไปมา จนมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ เเต่การพูดอย่างพระองค์ ไม่มีใครในโลกทำได้อย่างพระองค์จริงๆ
    นับตั้งเเต่ราตรีที่ตรัสรู้ จนถึงราตรีปรินิพพาน 2600 ก่อนพูดไว้ อย่างไร 2600 ต่อมา ก็อธิบายได้ไม่มีการขัดกันเอง อย่างนั้น ดูอย่างเเบบร่างกฏหมายไทย ที่เป็นอย่างนี้ ยังอ่อนเเอเกินที่จะเป็นกฏหมาย กฏหมายยังดูเหมือนว่าไม่ใช่กฏหมาย เพราะอะไร? ก็เพราะยังมีข้อกฏหมายที่เป็นประโยชน์กับคนที่รวย หรือกฏหมายที่บัญญัติขึ้นไม่สมกับความผิดที่ต้องได้รับ ทั่งที่คนร่างเเบบ ไม่ใช่เพียงคนเดียว ช่วยกันทำกันเยอะ ก็ยังมีข้อที่คุมไม่ทั่วถึง ยังทำให้ดูไม่เป็นกฏหมาย ที่อ้างกันขึ้น
    เพราะงั้น ไม่มีใครในโลกที่จะคิดอะไร พูดอะไร รอบคอบได้ทั่งหมด เเต่ถ้าลองไปในพุทธวัจน ดูกันเอง ก็รู้ว่าพระองค์ทำได้จริง คำที่งามตั้งเเต่เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย สมกับที่เรียกว่าพระธรรมจริงๆเลย ถ้าสึกษาคำพระองค์ล้วนๆ อย่างเดียวนะ ที่ไม่ได้ ตัด เพิมเติม เเต่ง ขึ้นเอง เราจะเบื่อคำสาวกไปเลย อาจารย์ไหนๆที่ว่าเก่งๆ หมดความหมายไปเลย ซึ่งสมัยนี้เป็นตรงข้ามกับความเป็นจริงกันเยอะ อย่างร้านหนังสือ ก็มีเเต่คำสาวกที่เเต่งใหม่ คนก็เอาเเต่ศึกษาคำที่เเต่งใหม่ ยังมีความเชื่อผิดๆกันอยู่ อาการเเบบนี้เเละ ผมวิจัยเเล้วว่าน่าจะเหมือนช่วงที่ผม มีอุปทานในสมมุติโลกอยู่ ว่าคนเเต่งชุดนี้ นี้เเละคือตำรวจของโลก
    ต้องข้ามความคิดที่ผิดๆนั้นออกมากันให้ได้ ผมเป็นกำลังใจให้ เเล้วจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง จะเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้เเน่นอน เเละเป็นสิ่งที่พระองค์ให้ทำ ให้ดูถ้าอยากจะเข้าใจอย่าง สัมมาทิฏฐิ จะเป็นบริษัทที่เลิศที่สุด
    เเต่ถ้าเอาเเต่เชื่อตามๆกัน หรือไปดูพระไตรปิฏกส่วนที่เเเต่งใหม่ ซึ่งผมเห็นพระไตรปิฏกบางสูตรที่ไม่ใช่ของบาลีสยามรัฐ มีคำพระพุทธเจ้าขัดเเย้งกันเองในพระโยค เช่น ''เวทนาเป็นอย่างไรเล่า เหตุเกิดเวทนาคือ จักขุสัมผัสฯ''
    ซึ่งไปดูจริงๆเเล้ว พระองค์ต้องอธิบายเวทนาไว้ว่ามีอะไรบ้างเช่น จักขุสัมผัสสชาเวทนาฯลฯ(เวทนาทางตา) ไม่ใช้เหตุเกิดของเวทนานะ ลองดูดีๆ ที่เขียนไว้
    ที่เป็นเเบบนี้เพราะ มีคำผิดเเบบนี้ เกิดจากการเเต่งคำของสาวกใหม่ หรือ คำว่า พยาท ซึ่งไม่เคยได้ยิน เเละไม่รู้ว่าคืออะไร ก็มีเขียนไว้ เหมือนกัน... เเต่เห็นเอามาพูด ก็ไปพูดว่านี้คำพระพุทธเจ้า ทำให้คนอื่นพอไปดู
    คำพระองค์ก็เลยเรียบเรียงกันไม่ได้สักที ก็ทำให้ไม่เข้าใจกันสักทีไง ซึ่งอาการอย่างนี้นะ เป็นเหตุอย่าง1ที่ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายด้วย

    ''''พวกภิกษุเล่าเรียนสูตร อันถือ
    กันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันผิด; เมื่อบทและ
    พยัญชนะใช้กันผิดแล้ว แม้ความหมายก็มีนัยอันคลาดเคลื่อน.
    ภิกษุ ท. ! นี้เป็น มูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำให้
    พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.''''

    เพราะงั้นที่เพราะองค์เคยพูดอย่างนี้ไว้คงไม่ผิดเลยว่า ตถาคตย่อมบอก ย่อมเเสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำเเนกเเจกเเจง จะเห็นเเล้วว่า หน้าที่การบัญญัติคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สาวก อะไร เพราะสาวกยังเป็นผู้เดินตามมรรคเท่านั้น เเต่พระองค์ฉลาดในมรรค เป็นสัพพัญญู รู้โลกอย่างเเจ่มเเจ้ง เป็นผู้ที่พูดอะไรไม่มีขัดกันเอง

    จะทำให้เข้าใจว่า ถ้าขืนยังเรียนสูตร หรือ คำที่เเต่งขึ้นใหม่กันผิดๆอยู่ ทิฏฐิอะไรก็ตามที่อาศัยเชื่อตามกันเเบบผิดๆไม่มีทางที่จะเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้เเน่
     
  5. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^

    คิดถูกเเล้ว ที่หันมาศึกษาคำของพระพุทธเจ้า ยากอยู่ที่จะมีคนคิดอย่างนี้ ช่วงเเรกที่ผมศึกษาก็คิดเพียงว่า ขอเเค่คำพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่มีอะไรมาก ไม่ได้มีใครเเนะนำผมด้วย ดูจากในบอร์ดนี้ได้เอาเอง อย่างอาศัยพูดตามสิ่งที่พอใจจะพูดกัน ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ไม่มีที่อ้างอิงว่ามาจากบทไหน
    การที่คนส่วน1 พูดอะไรตามๆกัน หรือ คิดอะไรตรึกตึกตามๆกัน อุปทานหมู่ขึ้น ผมไม่เข้าใจใช้อะไรเป็นมาตรฐานวัดกัน ว่านี้เเละของจริง เป็นความจริง เป็นธรรม คำพูดที่จะนำไปใคร่ครวญหลุดพ้นได้ บทสรุปนี้ คือข้อความที่เรานั่นจะหลุดพ้นได้
    ผมมองไม่เห็นเลยว่า เค้ามีความเชื่อเรื่องนี้กันอยู่หรือเปล่า ข้อสรุปที่พวกเค้าให้กันเเละกัน ดูว่าใครเป็นคนที่พูดถูกต้องที่สุด อาศัยจากอะไร? 1.พูดดูน่าเชื่อถือ 2.คิดเอาเองว่าใช่ คิดว่านี้พูดสวยดูถูกใจ 3.พอใจที่จะรับฟัง คนอื่นเราไม่ชอบ 4.เชื่อตามๆกันมา ฯลฯ ผมมองไม่เห็นทางที่เค้าจะเข้าใจธรรมกันได้เลย เค้าจะเรียบเรียงกันยังไง นี้เเละปัญหา ไม่ใช่ อาศัยอาจารย์หลายๆท่านรวมกัน เพราะถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ให้อธิบายของสัก1อย่าง10คน ก็อธิบายไม่เหมือนกันทั่ง10คน

    เเละพระองค์บอกว่าอย่าเป็นคนที่หูเบา เชื่ออะไรที่ได้ยินมาได้ง่ายๆ เเต่อย่าพึงรับรอง อย่าพึงคัดค้านให้ดูว่าเทียบเคียงลงกับสูตรได้ไหม เคยได้ยินคำนี้มาบ้างไหมจากที่เคยอ่าน

    เเละผมบอกอะไรให้คุณสำหรับเป็นผู้ที่คิดถูก ผมขอเตือนว่าอย่าไปศึกษา อภิธรรมปิฏกเด็ดขาด ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นได้เเน่นอน พอนำไปเทียบเคียง ไม่มีคำพระพุทธเจ้าเลยสักคำ มีเเต่คำเเต่งล้วนๆ เเละจะถูกเรียกว่า เป็นนักเรียนได้

    ผมอางอิงจากคำสอนในส่วนของ อริยสัจ ปฏจสมุปบาท ซึ่งเป็นพระสูตรเพื่อความหลุดพ้นทั่งหมด ไม่มีให้ดู โลภะมูลจิตอะไรต่างๆไม่มี อุปโลนขึ้น

    ทางเดียวเท่านั้นคือสติปัฏฐาน4 ก็จริง การดูจิตตาม จิตตานุปัสสนา ไม่ได้บอกให้ดูว่ามีกี่ดวงเเละ ปฏจสมุปบาทนั้นจะลงลายระเอียดของ โพชฌวค์7ไว้ ถ้าไปเรียนส่วนของอภิธรรมปิฏกด้วย คำไม่มีทางสอดรับได้เเน่ จะหลงทางได้
    เพราะโพชฌงค์7 ทำให้วิชา วิมุตติ บริบูรณ์ ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
     
  6. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ภิกษุ ท. ! บริษัทชื่อ ปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา เป็น
    อย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้คือ ภิกษุทั้งหลายในบริษัทใด,

    เมื่อสุตตันตะทั้งหลาย ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน
    มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของ
    สาวก อันบุคคลนำมากล่าวอยู่, ก็ไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อ
    จะรู้ทั่วถึง และไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วน สุตตันตะ
    เหล่าใด อันเป็นตถาคตภาษิต อันลึกซึ้ง มีอรรถอันลึกซึ้ง เป็นโลกุตตระ
    ประกอบด้วยเรื่องสุญญตา,

    เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านี้มากล่าวอยู่ พวกเธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง
    ย่อมเข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
    พวกเธอเล่าเรียนธรรมที่เป็นตถาคตภาษิตนั้นแล้ว ก็สอบถามซึ่งกันและกัน
    ทำให้เปิ ดเผยแจ่มแจ้งออกมาว่า ข้อนี้พยัญชนะเป็นอย่างไร อรรถะเป็นอย่างไร ดังนี้.

    เธอเหล่านั้น เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เปิดเผย ได้หงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้นได้ บรรเทา
    ความสงสัยในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย มีอย่างต่าง ๆ ได้.

    ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่าปฏิปุจฉาวินี-ตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา.

    ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล บริษัท ๒ จำพวกนั้น. ภิกษุ ท. ! บริษัทที่เลิศในบรรดาบริษัททั้ง
    สองพวกนั้นคือบริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา
    (บริษัทที่อาศัยการสอบสวนทบทวนกันเอาเองในคำตถาคตเป็น
    เครื่องนำไป:ไม่อาศัยความเชื่อจากคำของบุคคลภายนอกที่แต่งขึ้นใหม่เป็นเครื่อง
    นำไป) แล.
     
  7. Tanyong03

    Tanyong03 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +343
    ขอบคุณค่ะ ที่สรุปบางตอนมาให้ได้อ่าน ลึกซึ้ง กินใจ ธรรมมะพระพุทธองค์ ได้ตรัสไว้ดีแล้วจริงๆ อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  8. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ก็ถ้าอ่านบทนี้ บทเดียว เเล้วเข้าใจเหมือนกันก็คงจะดี
    พระองค์ก็บอกอยู่ บริษัท ที่เลิศในบรรดาทั่ง2คือ
    บริษัทปฏิปุจฉาวินีตาปริสาโนอุกกาจิตวินีตา

    สอบสวนทบทวนกันเองในคำตถาคตเป็นเครื่องนำไป
    ไม่อาศัยความเชื่อจากคำของบุคคลภายนอก

    ถ้าคนมีความเชื่อมั่นอยู่ว่า ไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถเเสดงธรรมโปรดสัตว์ได้ หรือ สอนธรรมเพื่อความหลุดพ้นให้เราได้หรือ คิดค้นธรรมใหม่ๆได้นอกจากพระพุทธเจ้า ปัญหาอย่างที่มีบริษัทเกิดขึ้น อย่างพวกนักคิดที่เเสดงธรรมอะไรให้ชาวบ้านอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนกันบ้าง กี่อาจารย์รวมกันบ้าง เปรียบเหมือนน้ำที่ผสมกันมันก็จะเปลียนสีไปเรื่อยๆ เเละก็เป็นสิ่งที่ไม่ให้ทำ ตรงข้ามกับที่สอนไว้อีก เพราะให้จบปัญหาอย่างนี้ จึงต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าเกิดเราไปศึกษาคำใหม่ จะสอบสวนไม่ลงสูตรเเน่นอน เมื่อผิดไป1ครั้ง มันก็จะผิดไปเรื่อยๆเหมือนโดมีโน่ เพราะคำพระองค์จะเชื่อมรับกันอยู่ จะทำให้เสียเวลาเเละก็จะไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ
    ''เค้าเเก้ปัญหากันยังไง? ไปเเก้ปัญหากัน อย่างผิดๆ มันก็เลยตรึกเอาเองไง เอาไปรวมกับสิ่งที่เชื่ออยู่ก่อนเเล้ว จากที่อาจารย์สอนบ้าง หรือ บทสูตรที่ผิดบ้าง จึงคิดเเต่งคำใหม่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้มาลงกับที่ตัวเองไปเอามาจากที่อื่น '' นี้เเละเหตุเกิดของความเสื่อม (สมุทัย)

    ไม่ใช่ว่าบริษัทที่พระองค์บอกยังไม่เคยมีอยู่ในโลกเลย เคยมีอยู่เเต่ก็เริ่มหายไปเรื่อยๆเพราะไม่ค่อยเห็นกันสักเท่าไร ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยเห็น เเต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี เเต่จำนวนที่น้อยมาก ถ้าได้คุยได้ถามคำถามอะไรกันอย่างที่พระองค์ให้ทำ ก็ไม่ผิดหวัง เค้าก็ตอบคำถามผมได้ออกมาถูก ก็ตอบตรงในส่วนที่อ่านเเละเข้าใจมา เเละตรงกับในพระสูตรที่มีอยู่ (คือพระองค์ยืนยันด้วย)
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .......................บางที ผู้คุมกฎก้ทำลายกฎเสียเอง...ถ้าโยนิโสมนสิการในพระพุทธพจน์...ก็คงต้อง ชี้หรือ ยกพระพุทธพจน์มา..แต่การชี้สิ่งอื่นเช่น อย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้ไม่ทราบว่า นี้ไม่ใช่การบัญญัติใหม่ หรือ ขอรับ ท่านเจ้าคุณ!!!!!:cool:
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ....การ ทรงจำ เรื่อง "อาณิกสูตร"(เนื้อไม้ของกลอง) นั้นแหละ คือ การไม่ลืมเลือนแล้ว..!!!:cool:
     
  11. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337


    คุณนิ อ่านข้อความของผม งง ตรงไหนก็บอกได้นะ

    ผมไม่ได้มาชี้ผิด ชี้ถูก เเต่ผมมายืนยันสิ้งที่เคยอธิบายไปอย่าระเอียดไว้

    ผมก็บอกตัวอย่าง ที่พระองค์สอนเเล้วไงว่า อย่าหูเบา
    (๑) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    ฟังตาม ๆ กันมา (อนุสฺสว)
    (๒) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    กระทำตาม ๆ กันมา (ปรมฺปร)
    (๓) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร)
    (๔) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    มีที่อ้างในปิฎก (ปิฎกสมฺปทาย)
    (๕) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ)
    (๖) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ)
    (๗) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก)
    (๘) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ)
    (๙) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา)
    (๑๐) อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า
    สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณ โน ครุ)

    ติก. อํ. ๒๐/๒๔๒/๕๐๕.


    ถ้าไม่ให้หูเบาให้ทำอย่าไร?


    เธอทั้งหลายยังไม่พึงรับรอง ยังไม่พึงคัดค้านคำกล่าว
    ของผู้นั้น เธอพึงกำหนดเนื้อความเหล่านั้นให้ดี ล้วนำไป
    สอบสวนในสูตร นำไปเทียบเคียงในวินัย ถ้าบทและพยัญชนะ
    เหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
    พึงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำรัสของพระผู้มีพระภาค
    พระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้นจำมาผิด” เธอทั้งหลาย
    พึงทิ้งเหล่าคำนั้นเสีย
    ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงใน
    สูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้พระ
    ดำรัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และภิกษุนั้น
    รับมาด้วยดี” เธอทั้งหลายพึงจำมหาปเทส...นี้ไว้.
    (มหาปเทส ๔ พระไตรปิฎกแปลไทย มจร. ๑๔/๕๓/๔๑,
    มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที่. ๑๐/๑๔๔/๑๑๒



    เพราะงั้นผมถึงบอกไงว่า โลภะมูลจิต หรืออะไรต่างๆ นั้น ไม่มีในพระสูตรเเล้วจะบอกว่าเป็นคำของพระพุทธเจ้าได้ยังไง เอาอะไรมาวัด
    เเต่พระอาจารย์ท่านได้ไปหาในภาษาบาลีเเล้วลองเทียบเคียงในภาษาไทย จากบาลีสยามรัฐข้อมูลที่เก่าที่สุดในโลก
    โดยอาศัยการแปลอักษรตัวต่อตัว สรุปทำทั่งหมด 37 เล่ม รวมกับของท่านพุทธทาสอีก5เล่มเป็น 42เล่ม ที่เเยกอรรถกถาออกมา ไม่เอาส่วนขยายหรือคำเเต่งเสริม เอาออกไป ปรากฏว่าในอภิธรรมปิฏก12เล่มหลัง ไม่ใช่คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย เเต่งขึ้นใหม่ทั่งกองนั้น จะเป็นในส่วน สกวาที ปรวาที คุยกันเเต่งขึ้นเอง
    ในความหมายอภิธรรมเเท้ๆของพระพุทธเจ้าจริงๆคือ อย่างเช่น โพธิปักขิยธรรม 37
    หมายถึง ธรรมที่เป็นหลักการ เรียงร้อยกัน เข้ากันได้ นี้เเละ ถึงเรียกว่า อภิธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ม่ายม่าย ม่าย ช่าย อย่างนั้น ผมไม่ได้ว่าอะไร....ผมเข้าใจ...แต่ทีนี้ เวลาใครคิดว่าเป็นผู้คุมกฎออกแอคชั่น ยืดอกรับ...มันจะเป็นการกระทำอย่างนึงที่มีผล(อย่างไรสุดคาดคิด).....ทีนี้พอโยนิโสมนสิการตรงนี้....ได้....ใบไม้ทั้งป่า ก็ สู้ใบประดู่ลายในมือไม่ได้อยู่ดี...แต่เราคงไม่ไปเผาทำลาย ใบไม้ทั้งป่าที่อยู่ นอกมือ!!! เป็นผม ต้อง คิด คิด ก่อน ทำ หรือไม่ทำ ดีกว่า อ่ะ:cool:ดีสุดคือ เอาใบไม้ในมือมาแสดง
     
  13. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว กลองศึกของ
    กษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่. เมื่อกลอง
    อานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะได้หา
    เนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น
    (ทุกคราวไป). ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลาย
    คราวเช่นนั้นนานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิมของตัวกลอง
    หมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น;

    ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น
    ในกาลยืดยาวฝ่าย
    อนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย, สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง)
    เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง
    เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,
    เมื่อมีผู้นำ
    สุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ย
    หูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่
    ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่ง
    ขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละ
    สลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าว
    ของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่า
    วอยู่; เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
    และ จักสำคัญไปว่า เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน


    ^

    ในกาลยืดยาวของอนาคต ทำนายไว้เลย พระองค์ยังรู้เลยว่าจะมีเเต่คนที่ไม่ศึกษาคำของพระองค์ จะไม่สนใจ เเละยังจะลดความสำคัญลงด้วย เเต่พอนำ สุตตันตะ ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสเอาไว้ เป็นคำที่เเต่งขึ้นใหม่ ลัดสั้น
    จะเอี่ยงหูลงฟังทันที จะตั้งจิตทันที นี้ไงมันเป็นเเบบนี้ไม่ใช่หรือ เเล้วจะบอกว่าพระองค์ไม่เเม่นได้ยังไง ก็ยังเห็นๆอยู่เนี่ย
     
  14. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ขอ2คำถาม

    1.ที่ผมยกมาคำของใคร?

    2.ผมได้ทำตามพระราชดำรัส เเล้วจะผิดหรือไม่ ที่พระองค์ให้ตรวจสอบเทียบเคียง?
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................ปัญหาคือ...เนื้อไม้กลองเก่าที่ดี และใจความสำคัญแห่งความดีมีพอให้เอาตัวรอดได้.....(เหลือเฟือ)....ปัญหาคือ ผมไม่เก่งขนาดแยกออกชัดเจนว่าอันใหนคือไม้กลองเก่า..และอันใหนคือไม้ใหม่...และโยนิโสมนสิการว่า ไม่ใช่หน้าที่ผมในการแคะ เนื้อไม้ใหม่ออกได้ถูกโดยไม่แคะเอาไม้เก่าออกไปด้วยนะครับ...สรุปแล้วเกิน กำลัง ของผม(ที่จะบอกคืออย่างนี้):cool:และไม่พลอยทำให้กลอง เจ๊ง ไปทั้งใบ
     
  16. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337

    เวลานี้ ถ้าไม่ใช่ส่วนของ พระไตรปิฏกที่เป็นของบาลีสยามรัฐ จะมีคำที่เเต่งขึ้นใหม่จำนวนมาก อย่างที่ผมเห็นชัดๆ ถ้าให้เอามาเทียบดูก็จะรู้เลยว่า คำพระองค์จะพูดขัดกันเองในพระโยคบ้าง หรือ บางสูตรจะอธิบายได้ไม่รู้เรื่อง(เดียวยกตัวอย่างมาให้ดู)
    ปัญหาเเบบนี้ อาจารย์ที่เก่งๆบาลี เค้าก็ชวยแปล กลับมาเเล้ว ก็คือส่วนของพุทธวัจน ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรในด้านแปล เเต่เพราะอ่านคำพระองค์บ่อยๆก็จะจำจังหวะได้ เรื่องนี้นะ สักวัน มันก็ต้องเกิดขึ้น ไม่วันใดก็วัน1 ถ้าเกิดไม่มี? ผู้ทำเเบบนี้นะ นำเเสดงธรรมที่เป็นคำพระองค์ล้วนๆ
    อย่าง ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่
    บอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ
    เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจน ทรงธรรม
    ทรงวินัย ทรงมาติกา

    เมื่อท่านที่ทำได้ เข้าใจจริงไม่ทำไว้ให้ มูลราก
    (อาจารย์)ก็จะ ไม่มีที่อาศัยสืบไป.

    พระองค์บอกนี้เเละเป็นมูลที่ทำให้พระสัทธรรมหายได้เหมือนกัน
     
  17. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    นี่ในส่วนของเเต่งเสริม

    [๖๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
    *บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อเรารู้อยู่ เห็นอยู่ เราจึงกล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เมื่อเราไม่รู้
    ไม่เห็น เราก็มิได้กล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรารู้
    เราเห็นอะไรเล่า ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมี เมื่อเรารู้ เราเห็นว่า
    ดังนี้รูป ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ... ดังนี้เวทนา ... ดังนี้สัญญา ...
    ดังนี้สังขารทั้งหลาย ... ดังนี้วิญญาณ ดังนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับ
    แห่งวิญญาณ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมี ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรารู้ เรา
    เห็นอย่างนี้แล ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมี ฯ


    ^
    อ่านเผินๆ อธิบายประมาณว่า เมื่อเรารู้อยู่เห็นอยู่ เราจึงกล่าวความสิ้นไปเเห่งอาสวะทั่งหมด
    ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่กล่าวว่าจะสิ้นอาสวะได้
    เมื่อเรารู้เห็นอะไรละถึงจะกล่าวความสิ้นไป คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    เมื่อเรารู้เราเห็นอย่างนี้เเล ความสิ้นไปเเห่งอาสวะย่อมมี
     
  18. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    นี่เป็นส่วนของ พุทธวจัน ที่พระองค์จะอธิบาย ล้วนๆ ไม่มี ไม่ใช่ส่วนข้างบนที่สาวกจะอธิบายเเทนให้
    ซึ่งสูตรนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก​

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย สำหรับ


    บุคคลผู้รู้อยู่ เห็นอยู่
    มิใช่สำหรับบุคคลผู้ไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย


    ! ก็ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ย่อมมีแก่บุคคลผู้
    รู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งอะไรเล่า

    ?
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย


    ! ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ย่อมมีแก่บุคคลผู้
    รู้อยู่เห็นอยู่ว่า

    "รูป คืออย่างนี้ ๆ, เหตุให้เกิดรูป คือย่างนี้ ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งรูป
    คืออย่างนี้ๆ

    ;" และว่า "เวทนา คืออย่างนี้ ๆ, เหตุให้เกิดเวทนา คืออย่างนี้ ๆ, ความ
    ไม่ตั้งอยู่ได้แห่งเวทนา คืออย่างนี้ ๆ

    "; และว่า "สัญญา คืออย่างนี้ ๆ, เหตุให้เกิด
    สัญญา คือย่างนี้ ๆ

    , ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งสัญญา คืออย่างนี้ ๆ"; และว่า "สังขาร
    ทั้งหลาย คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดสังขารทั้งหลาย คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่ง
    สังขารทั้งหลาย คืออย่างนี้ ๆ


    "; และว่า "วิญญาณ คืออย่างนี้ ๆ, เหตุให้เกิดวิญญาณ
    คืออย่างนี้ ๆ

    , ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งวิญญาณ คืออย่างนี้ ๆ"; ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ ๆ แล.

    ^
    อธิบายคือ พระองค์กล่าวความสิ้นไปเเห่งอาสวะ สำหรับคนที่รู้อยู่ เห็นอยู่ มิใช่สำหรับบุคคลผู้ไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ (อริยสัจ4)
    ความสิ้นไปย่อมมีเเก่บุคคลผู้รู้อยู่เห็นอยู่ เช่นรูปคืออย่างนี้ เหตุให้เกิดรูปคืออย่างนี้ ความตั้งอยู่ไม่ได้คืออย่างนี้ (ก็คือการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
    ส่วนในกรณีของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตรัสเหมือนกัน
    ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ ๆ แล
    .
    (สำหรับผู้รู้อยู่เห็นอยู่ เเต่ไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ไม่เห็น) จะเห็นการอธิบายที่ต่างกัน เเต่เป็นบทเดียวกัน



     
  19. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ^

    ที่เข้าใจยากคือตรงวิญญาณ เพราะเป็นเอกภาวะ ที่ต้องศึกษาทั่ง อริยสัจ4 กับ ปฏิจจสมุปบาท ถึงจะทำความเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย

    เเละพระองค์ถึงบอกไง สำหรับคนที่รู้อยู่เห็นอยู่ เท่านั้น ไม่ใช่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ไม่เห็น
     
  20. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337


    ผมถึงบอกเเล้วไงว่า ในบอร์ดนี้ให้คุณไปดูเอาเองได้ มาตรฐาน ในการวัดว่าคำๆนี้เนี่ยเเละ ที่จะนำเราไป เพื่อความหลุดพ้น ทำที่สุดเเห่งทุกข์ได้
    คุณสมบัติ ที่มี
    คือ
    1.พูดดูน่าเชื่อถือ 2.คิดเอาเองว่าใช่ คิดว่านี้พูดสวยดูถูกใจ 3.พอใจที่จะรับฟัง คนอื่นเราไม่ชอบ ตามสังขารเรา 4.เชื่อตามๆกันมาโดยไม่สนใจอะไร 5.ไม่ตรวจสอบเทียบเคียงยึดเเต่ว่า ข้าไม่รู้ ข้าตามเพื่อนฯ

    ที่ผมพูดไปนี่ ไม่คิดว่านี้เป็นปัญหาบ้างหรือ ? หรือว่าไม่สงสัยเพราะทำอยู่?
    เห็นคนนี้พูดดี ก็เลยยึดเป็นธรรมพระพุทธเจ้า? เอามาเป็นธรรมของเราเพื่อการหลุดพ้น ? (ขอถามเเบบภาษาชาวบ้านหน่อย ตัวมันล้างตูดเป็นรึยังไปเอาธรรมที่เเต่งใหม่) ผมก็ไม่ได้บอกให้ศึกษาธรรมของผมใช่หรือไม่?เเต่ให้ไปดูเอาศึกษาเอาในส่วนของพุทธวัจน

    โยนิโสดีๆใครกันเเน่ ที่เป็นปัญหาอยู่ ผมเนี่ยทำตามคำสอนของพระศาสดา
    เเล้วจะมีปัญหาตามมาได้อย่างไร ผมมีตนเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่ได้ให้ใครเป็นสรณะของผม คิดเเบบนี้ ไม่ถูกอีกหรือ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...