เพราะความที่ไม่รู้ธรรมจริงจึงโดนหลอกจนเกือบตาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 29 สิงหาคม 2012.

  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) ใครไม่โดนมันไม่รู้หรอก ใครจะใหญ่กว่าพระพุทะเจ้า พระพุทธองค์ยังโดน ในสมัยที่ท่านเป็น พระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนนั่ง บรรลัง โคนต้น ศรีมหาโพธิ โดนพยามารมากลั่นแกล้ง สารพัด ปลอบแปลง เป็นยักสียักสา สารพัด เอาหอกดาบ ฟาดฟัน จนกายเป็นดอก บัวรองรับ บูชาพระพุทธองค์ และนาง อรดี นางตัณหา นางราคะมายั่วยวนกวน โสตประสาท ของพุทธองค์

    พระองค์ก็มิหวั่น พลั่นพลึง คงนั่งนิ่ง จนได้ ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรชน์ มรรค ตอนที่ พยามารมา ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระแม่ธรณี ได้มาช่วยพระพุทธองค์ บีบมวยผม หลั่ง น้ำสิโนทก จนท่วม มารทั้งหลายจนยอมแพ้ พวกที่ชอบว่าไปอ่านดูให้ดีๆน้อง:cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    [​IMG][​IMG][​IMG]


    :cool:
    :cool:({) ขอบอกเลยนะ ถ้าเรายังทำไม่ได้ หรือทำไม่ถึง ไม่มีมารตัวไหน จะไปลองหรอก เพราะมันไม่มีอะไรจะให้ลอง คนเรียนแค่ ป. ๑ จะไปรู้เรื่อง ของ ป.๔ ไหม และยิ่งคนที่ เรียนจบ ม.๓-๖ และจบปริญญา ไอ้พวกที่ว่าเนี่ย มันก็รู้แค่ ป. ๑ เท่านั้น นี่เขาแค่แชร์ประสพการณ์ เพื่อจดจำเอาไว้ และผู้ตั้งกระทู้ ผมถือว่า เขาทำให้คนอื่น ได้ ปัญญาอีกเยอะ สิ่งใดที่คุณรู้ แต่ผมไม่รู้ นั้นมีอยู่ สิ่งใดที่ผมรู้ แต่คุณไม่รู้เลย ก็ยังมีอีกเยอะนะจะบอกให้:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2012
  3. (JD)

    (JD) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +270
    กระทู้ดีครับ แต่ทำให้กลัวการทำสมาธิไปเลย :boo:
     
  4. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    บทความนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ ที่กำลังฝึกสมาธิ และพบเจอกับนิมิตต่างๆ อยู่ บางคนก็หลงใหลไปในนิมิตเมื่อพบนิมิตที่ดี บ้างก็กลัวนิมิตที่เกิดขึ้นไม่กล้าปฏิบัติต่อไป

    เมื่อพบนิมิตที่ไม่ดีหรือนิมิตร้าย หรือบางคนอาจจะกำลังคิดแก้ไขเรื่องนี้อยู่
    แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านได้แสดงธรรมเรื่องนิมิตนี้พอประเทืองความรู้สำหรับผู้เห็นนิมิตในขณะทำสมาธิ

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมาได้เทศน์แสดงธรรมที่เกี่ยวข้องกับนิมิตในเทปเรื่อง "นิมิตและวิปัสสนา" เมื่อครั้งหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่

    [​IMG]

    นักปฏิบัติบางท่านที่ติดนิมิตจนถอนตัวไม่ขึ้น หลับตาทำสมาธิก็ตกลงในวังวนแห่งภาพต่างๆที่ปรุงแต่งขึ้นในห้วงสมาธิจริงบ้าง ปลอมบ้าง แล้วแต่สภาพของสังขารปรุงแต่งหรือญาณกำเนิด

    ครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน จึงเตือนผู้ปฏิบัติชั้นหลังมาทุกยุคทุกสมัย ในเรื่องนิมิตและความสุขในสมาธิ นักปฏิบัติธรรมบางท่านก็หลงใหล ได้ปลื้มกับนิมิต หรือให้ความสำคัญกับผู้รู้เห็นนิมิตว่าเป็นผู้วิเศษเลิศเลอ ภาพในนิมิตที่ปรากฏและถูกต้องนั้น มีเพียงเล็กน้อย

    นอกนั้น เกิดจากสังขารปรุงแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนิมิตที่ปรากฏขึ้นเองและ นิมิตที่กำหนด จิตเมื่อเข้าสู่สมาธิอ่อนๆ ก็มีนิมิตจางๆ แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น เมื่อสมาธิสงบ จนกระทั่งชัดที่สุด

    ทุกครั้งที่ปรากฏนิมิต ต้องใช้ปัญญาอบรมจิตควบคู่กันไปด้วย (เพราะนิมิตที่ปรากฏอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์) แล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในนิมิต เพื่อพัฒนาการจิตในระดับต่อไป ก็จะออกมาในอีกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นปิติในลักษณะต่างๆ

    รวมทั้งความรู้สึกหลากหลายของความสงบ ก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับ ทั้งนี้ ต้องใช้ไตรลักษณ์เป็นหัวข้อธรรมใหญ่ในการพิจารณาองค์ประกอบของสมาธิ ทุกรูปแบบก็ว่าได้

    เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติทั้งหลายพึงสังวรระวัง เกี่ยวกับเรื่องนิมิตต่างๆ ถ้าท่านภาวนาแล้วเกิดนิมิตต่างๆ ขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มักเกิดขึ้นเพราะอุปาทานที่ท่านคิดว่าอยากรู้อยากเห็น

    ระดับจิตที่สงบลงเป็นสมาธิในขั้นอุปจารสมาธินั้น ถ้าจิตมันปรุงแต่งอะไรขึ้นมาในขณะนั้นมันจะกลายเป็นตัวเป็นตนไปหมด เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นรู้สึกมองเห็นด้วยตาธรรมดา
    ตาท่านหลับอยู่แต่ท่านก็มองเห็นได้

    ทำไมจึงมองเห็นได้ก็เพราะจิตท่านเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง อันนี้พึงสังวร

    ในเมื่อเหตุการณ์ที่กล่าวนี้เกิดมาแล้วควรจะปฏิบัติต่อนิมิตทั้งหลายเหล่านี้อย่างไร

    ๑. ท่านอย่าไปเอะใจ อย่าไปตื่นในการที่ได้พบเห็น ให้ประคองจิตอยู่ในท่าทีที่สงบเป็นปกติ

    ๒. อย่าไปยึดว่าสิ่งนั้นเป็นจริง ถ้าจริงมันจะสงสัย
    สมาธิ อ่อนๆ กระแสจิตส่งออกไปข้างนอกให้ประคองจิตให้เป็นสมาธิไว้นานๆ ภาพนิมิตนั้นจะอยู่ให้ท่านชม

    บางทีท่านอาจจะนึกว่า ภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นเป็นสิ่งที่สนุกเพลิดเพลิน สนุกยิ่งกว่าไปดูหนัง อันนี้แล้วแต่มันจะเป็นไปตามอำนาจกิเลสของใคร

    แต่ถ้าผู้เห็นนิมิตนั้น เคยมีสมาธิดีมีปัญญาดีอาจจะจับเอานิมิตนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติพิจารณาเป็นกรรมฐานในแง่ของวิปัสสนาเลย กำหนดหมายว่านิมิตนี้ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่เสมอ

    ถ้าท่านสามารถกำหนดพิจารณาได้อย่างนี้ ท่านก็จะได้ความรู้ในแง่วิปัสสนา เรื่อง นิมิตต่างๆ นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายโดยถ่ายเดียว เป็นสิ่งที่ให้ทั้งคุณเป็นสิ่งที่ให้ทั้งโทษ

    ถ้าผู้ปฏิบัติกำหนดหมายเอานิมิตเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เป็นอารมณ์ที่จะน้อมนึกพิจารณาวิปัสสนากรรมฐานหรือสมถะกรรมฐานก็แล้วแต่ ย่อมได้ประโยชน์สำหรับผู้มีสติปัญญา สามารถรู้เท่าทันนิมิตนั้นๆ

    แต่ ถ้าผู้หลงว่าเป็นจริงเป็นจัง จิตอาจจะไปติดนิมิตนั้นๆ ชอบอกชอบใจในนิมิตนั้นๆ บางทีก็จะไปเที่ยวกับนิมิตนั้น ฝากเอาไว้ให้นักปฏิบัติได้โปรดพิจารณาเอาเอง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นทางผ่านของผู้บำเพ็ญจิต

    แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับนิมิตต่างๆ ซึ่งเกิดจากการพิจารณากรรมฐาน โดยยกเอากายของเราเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ จะน้อมนึกไปในแง่ไม่สวยงามก็ตาม จะน้อมนึกไปว่ากายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ตาม ในเมื่อจิตสงบลงแล้ว ยิ่งเห็นจริงในอสุภกรรมฐานหรือในธาตุกรรมฐาน

    จนมองเห็นอสุภกรรมฐานว่า ร่างกายนี้เป็นของสกปรก เป็นสิ่งปฏิกูลเน่าเปื่อย น่าเกลียดผุพังสลายตัวไป จนไม่มีอะไรเหลือ ยังเหลือแต่สภาพจิตที่ยังสงบนิ่ง ใส บริสุทธิ์ สะอาด
    สิ่งที่รู้เห็นทั้งหลายหายหมดไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ

    แต่เมื่อจิตถอนออกมาจากความเป็นสภาพ เช่นนั้นแล้ว มาสู่ปกติธรรมดาร่างกายที่มองเห็นว่าสาบสูญหายไปนั้นก็ยังปรากฏอยู่ จะปรากฏว่า สูญหายไปหรือปฏิกูลเฉพาะในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่รู้เห็นอันนี้เป็นเพียงนิมิต ซึ่งหลักของการปฏิบัติสมถะกรรมฐาน
    เมื่อจิตเพ่งจดจ่ออยู่ในสิ่งที่รู้แน่วแน่ นิมิตย่อมเกิดขึ้น

    อันดับ แรกเรียกว่า "อุคคหนิมิต" ในอันดับต่อไปเรียกว่า "ปฏิภาคนิมิต"

    อุคคหนิมิตจิตจดจ่อรู้ในสิ่งๆ เดียวอย่างแน่วแน่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นิมิตนั้น ก็อยู่ในสภาพปกติ จิตก็อยู่ในสภาพปกติ แต่รู้เห็นกันอย่างติดหูติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น อันนี้เรียกว่า "อุคคหนิมิต"

    ทีนี้ ถ้าหากว่า จิตสามารถปฏิวัติความเปลี่ยนแปลงของ นิมิต ให้มีอันเป็นไปต่างๆขยายให้ใหญ่โตขึ้นหรือย่อให้เล็กลง หรือถึงขนาดสลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ จิตก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิของ
    "ปฏิภาคนิมิต"

    ถ้าหากว่า นิมิตมีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตสำคัญมั่นหมายในการเปลี่ยนแปลงของนิมิต โดยกำหนดอนิจจสัญญา คือความจำหมายว่าไม่เที่ยง เข้ามาแทรกความรู้เห็นในขณะนั้นโดยอัตโนมัติ จิตของท่านจะกลายเป็นการเดินภูมิวิปัสสนากรรมฐาน

    และนิมิตที่ปรากฏนั้น ก็ปรากฏในขณะที่อยู่ในสมาธิเท่านั้น ในขั้น นี้เรื่องราวหรือนิมิตอะไรที่พึงเกิดขึ้นภายในจิตของผู้ปฏิบัติอยู่ก็ตาม ให้สังวรระวังรักษาความรู้สึกนึกคิดเอาไว้ว่า
    สิ่งนี้คือจิตของเราปรุงแต่งขึ้นในขณะที่จิตของเรามีสมาธิ เอาความรู้สึกอันนี้มาสกัดกั้นเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของเราหลงหรือรู้ผิด นี่คือหลักการปฏิบัติที่เราพึงสังวรระวัง

    [​IMG]
     
  5. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    นั้นเป็นคำสอนของพระเดช พระคุณหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน และขอยกเรื่องที่หลวงพ่อพุธ ตอบปัญหาคำถามเรื่องนิมิต ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ ทรงถามหลวงพ่อ มาให้ได้อ่าน เพิ่มความเข้าใจในเรื่องนิมิตอีกหน่อย

    ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพ่อพุธเดินทางจากวัดป่าสาลวัน เพื่อไปเข้าเฝ้า
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่พระราชวังไกลกังวล
    ท่านมีรับสั่งนิมนต์หลวงพ่อพุธไปแสดงธรรมโดยเฉพาะ
    พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ :

    นิมิตมีหลายอย่างบางอย่างแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง
    อย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งก็ให้เห็นเหมือนฝัน
    และอีกอย่างหนึ่งก็แสดงให้เห็นเหมือนทิพย์ เป็นนิมิตความหมาย
    ขอท่านอาจารย์ได้อธิบายให้ฟัง

    หลวงพ่อพุธ :
    นิมิตก็มีความหมายตรงตัวอยู่แล้วว่าเป็นเครื่องรู้ของจิต
    นิมิตจะเกิดขึ้นได้ในจิตสมาธิ เช่นผู้ภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ
    เมื่อจิตมีอาการเคลิ้มๆ ลงไปจิตสงบสว่าง กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก
    แล้วก็เกิดขึ้นมาในลักษณะต่างๆ เช่น ภาพคน ภูตผี ปีศาจ เทวดา


    และ อีกอย่างหนึ่งในการพิจารณาอสุภกรรมฐานหรือธาตุกรรมฐาน
    ในขั้นต้นผู้ปฏิบัติอาศัยการน้อมนึกพิจารณาน้อมไปสู่การเป็นอสุภกรรมฐาน
    ความไม่สวยไม่งามน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย น้อมไปสู่ความเป็นธาตุ ๔ ดิน
    น้ำ ลม ไฟ คือเป็นองค์ประชุมของธาตุ ๔ ด้วย ความตั้งใจก็ดีเมื่อ จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว
    จิตอยู่ในระดับอุปจารสมาธิก็จะเกิดนิมิตภายนอกขึ้นมา

    เมื่อผู้ปฏิบัติพิจารณาดูนิมิตภายนอกกาย
    นิมิตภายนอกกายจะย้อนกลับเข้ามาภายใน หมายถึงจิตนั้นน้อมเข้ามาภายในกาย
    ในขณะที่จิตรู้อยู่ภายในตัวนั้น จิตจะมีลักษณะตั้งอยู่ระหว่างกลางของกาย
    แล้วจิตจะไปรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งภายในกาย


    เมื่อจิตมองดูสิ่ง ที่รู้เห็นอยู่ภายในกายนั้น
    จิตจะพิจารณากายต่อไปจนกระทั่งจิตละเอียดลงไปจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ
    เมื่อจิตถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จิตจะมีลักษณะคล้ายๆ
    กับถอนตัวออกจากร่างกายแล้วจิตจะมาลอยเด่นอยู่
    แล้วจิตจะย้อนกลับไปมองดูกายเดิม
    ในเมื่อจิตย้อนกลับไปมองดูกาย เดิม
    จิตก็มองเห็นกายในลักษณะที่นั่งหรือนอนอยู่ก็ตาม
    แล้วกายนั้นจะแสดงอาการขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายไป
    ในที่สุดก็ยังเหลือแต่โครงกระดูก ก็หลุดออกไปเป็นชิ้นๆ
    และแตกหักเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่

    ในที่สุดกระดูกก็หลุดละเอียดลงไปและหายไปในที่สุด
    อันนี้เป็นนิมิต ซึ่งเกิดขึ้นในจิตโดยปราศจากสัญญาใดๆ ที่น้อมนึก
    นิมิตอันนี้เรียกว่า อุคคหนิมิต ในขณะที่จิตมองเห็นนั้น
    จิตยังไม่บอกว่าเป็นอะไรเรียกว่าอะไร

    คือเมื่อกายที่จิตมองเห็นนั้นมีอาการต่างๆ ผิดแปลก เช่นขึ้นอืด
    เน่าเปื่อย ผุพังลงไปดังที่ได้บรรยายมานั้น
    อันนี้จิตอยู่ในขั้นปฏิภาคนิมิต เป็นอุบายฝึกฝนอบรมจิตในขั้นสมถะ
    เมื่อจิตมองดูนิมิตนั้นนิมิตนั้น อาจจะหายไป เมื่อนิมิตนั้นหายไป
    ก็ยังเหลือแต่สภาวะจิต ผู้รู้ นิ่ง สดใส สว่างชั่วขณะหนึ่ง

    ก็จะเกิดภูมิรู้ขึ้นภายในจิต คือมีแต่เกิดขึ้น ดับไป อยู่ภายในจิต
    จิตของผู้ปฏิบัติก็จะจดจ้องมองดูจิตที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
    โดยปราศจากเจตนาสัญญาใดๆ ทั้งนั้น
    สิ่งที่มองเห็นนั้นเรียกว่าอะไร เรียกไม่ถูก
    ไม่มีความหมายในสมมติบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธัมมจักกัปวัตนสูตร

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
    สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่นี้หมาย ถึงอะไร จะเรียกชื่อตามสมมติบัญญัติไม่ถูก
    พระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    อันนี้เป็นความรู้ของจิตที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรมขั้นสูง

    ถ้าหากว่าจิตมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นดับไป
    เกิดขึ้นดับไปแล้วก็ถอนออกมาจากสภาวะรู้อย่างนั้นจิตของผู้ปฏิบัติดีในขั้นนี้ก็เรียกว่าจิตอยู่ในขั้นสมถะกรรมฐาน

    แต่ ถ้าหากสิ่งที่จิตมองดูนั้นเกิดอนิจสัญญาความสำคัญมั่นหมายว่า
    สิ่งที่รู้เห็นนั้นเป็นของไม่เที่ยงแล้วก็เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    จิตของผู้ปฏิบัติก็จะวิ่งเข้าสู่ภูมิวิปัสสนา ในขณะที่จิตรู้อย่าง นั้น ไม่มีอะไรปรากฏ คือมีแต่จิตผู้รู้นิ่งเด่นอยู่
    และสิ่งที่ผู้รู้ก็ปรากฏอยู่ คือจิตกับความรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิต
    และมีสติตามรู้จิตคือสิ่งรู้อันนั้น

    อันนี้เรียกว่าการปฏิบัติอยู่ในภูมิจิตภูมิธรรมขั้นสูง
    และอีกอย่างหนึ่งในลักษณะเช่นนี้ไปตรงกับพุทธสุภาษิตที่ว่า
    ในกาลใดก็ดีเมื่อธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏอยู่แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร
    ในกาลนั้นความสงสัยย่อมสิ้นไป

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ :
    สำหรับนิมิตนี้ถ้าเป็นถึงอุคคหนิมิตหรือปฏิภาคนิมิต
    ทำให้สามารถที่จะเห็นได้จากการที่เราดู
    หมายความว่าภาพที่เห็นนิมิตอีกอย่างหนึ่งคล้ายๆ กับฝันมีความจริงเพียงใด
    กายหยาบหรือนิมิตในฝัน ตัวเองมีนิมิตว่าอย่างนั้นแล้วไปถามว่าแปลว่าอะไร

    บางทีก็มีความจริงหรือบางทีก็ไปถามพระอาจารย์
    อธิบายว่ามีนิมิตว่ากระไรบ้าง และท่านก็บอกว่านิมิตอย่างนั้นๆ
    ที่แปลนิมิต เรื่องนิมิตนี้มีความจริงอย่างไร

    หลวงพ่อพุธ :
    นิมิตนี้บางครั้งก็มีความจริง บางครั้งก็ไม่มีความจริง
    เหมือนๆ กับความฝัน คือนิมิตหรือการฝันในขั้นนี้เป็นเรื่องพื้นๆ
    โดยทั่วไป

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ :
    แต่เรื่องนิมิตนี้เคยนำไปถามท่านผู้ทรงศีลหรือพวกหมอดู เคยไปถามท่าน
    อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ได้ไปถามหลวงปู่ขาวว่าจะเป็นอย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้
    ท่านมีนิมิตหรือเปล่า หลวงปู่ท่านก็บอกว่ามีนิมิต

    เห็นแปลกก็ตีความหมายว่าไม่มีอะไรมาก แต่ท่านก็ตีความว่าไม่ค่อยจะดี
    อย่างนี้นิมิตของผู้ทรงศีลจะเป็นความหมายได้อย่างไร
    และอีกอย่างหนึ่งถ้าท่านแปลมาจะมีวิธีการอย่างไร

    หลวงพ่อพุธ :
    นิมิตของผู้ทรงศีลก็อาศัยความมีศีล
    และอาศัยความคิดที่เกิดขึ้นของความรู้ เมื่อเกิดนิมิตขึ้นมา
    โดยพิจารณาในนิมิตสมาธิภาวนา ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นจริง

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ :
    คำว่าอุคคหนิมิตมีความหมายมาจากคำว่า
    การทำจิตใจให้มีสติ ไม่ให้หลงในความสวยความงามในทางตรงใช่ไหม

    หลวงพ่อพุธ :
    ความมีสติ ความไม่หลงติดในความสวยความงาม
    เป็นผลเกิดจากการพิจารณาทำอุคคหนิมิตให้เกิดขึ้นได้แล้ว
    แต่อุคคหนิมิตหมายถึงสิ่งที่มองเห็นติดตา
    เกิดจากการเพ่งกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งจนเกิดสมาธิแน่วแน่ มองเห็นเป็นนิมิต
    ลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็นเรียกว่า อุคคหนิมิต

    อีกอย่างหนึ่งเมื่อ โยคาวจรมาพิจารณาอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    เป็นต้น โดยน้อมไปสู่ความเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด สกปรก โสโครก
    จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ สว่างไสว มีปิติสุข เอกัคคตาเป็นหนึ่งแน่วแน่
    แล้วเกิดนิมิตมองเห็นอาการใดอาการหนึ่งในอาการ ๓๒ เช่น กระดูกเป็นต้น

    หรือเกิดนิมิตมองเห็นสิ่งปฏิกูลภายในร่างกายก็ดี หลับตาก็มองเห็น
    ลืมตาก็มองเห็นติดตา เรียกว่า อุคคหนิมิต มีผลเพื่อบรรเทาราคะให้เบาบางลง
    หรือขจัดราคะให้หมดไปตามกำลังแห่งสมาธิและสติปัญญา

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ :
    การพิจารณาความไม่สวยไม่งามนี้
    มันเป็นสมมติบัญญัติ ไม่มีความหมาย หรือแล้วแต่จะคิดไปใช่หรือไม่

    หลวง พ่อพุธ :
    แล้วแต่จะคิด ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเกิดความจริงขึ้นมา
    ต้องอาศัยความเป็นจริงที่ปรุงแต่งขึ้นมา
    เพื่ออบรมจิตของตัวเองให้มีความคล้อยตาม
    และเกิดความเชื่อถือว่าเป็นอย่างนั้น

    ถ้าหากจะพิจารณาในปัจจุบัน นี้ ให้พิจารณาน้อมไปถึงอดีต
    หากร่างกายนี้แตกสลายไปแล้ว ผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี หนังก็ดี ฟันก็ดี
    ล้วนแต่แตกสลายไป

    ให้น้อมไปพิจารณาเพื่อให้จิตเกิดความรู้ความจริงเห็นจริง
    แม้จะไม่เกิดความเห็นอย่างนี้
    แม้จิตจะไม่น้อมเข้าไปสู่พระธรรมวินัยที่ถูกต้องดังกล่าวก็ตาม

    [​IMG]

    ที่มา http://www.dhammajak.net

    http://onknow.blogspot.com/2009/07/blog-post_3042.html
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) fu8iy[8iy[muj86I r^f,kvpjk'ouh8iy[ ดีครับที่คุณพูดมาแบบนี้ การเป็นอย่างนี้ มันก็เฉพาะของใครของมันเท่านั้น หรือ กรรม ดี กรรมชั่ว ของคนๆนั้นๆครับ มาพูดถึงในกรณี ปีติมี ๕ ตัว บาง คนไม่ผ่านเลยครับ กระโดดข้ามไปเลย บางคนผ่าน แค่ ๑ อย่างบ้าง ๒-๓ อย่างบ้าง บางคนต้องผ่านครบ มีพวกเดียวครับ พวกพระโพธิ สัตว์ ต้องผ่านหมดครับ ต้องไปเป็นครู อาจารย์เขา แต่ผมน่ะเคยผ่านมาแค่ ๔ อย่าง อีกตัว ที่ ๕ ไม่เคยผ่าน อุเปกคาปิติ ตัวลอย ครับ มรรคผลก็เหมือนกัน ที่เคยไปกราบ

    ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ ท่านบอก บางที คนที่เป็นพระอริยะ เขาตีทีเดียว กระโดดข้ามไปเลย โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ก็มีครับ ไปอยู่สูงแล้ว ถึงจะรู้ พวกที่ที่รู้แล้ว ท่านจะไม่พูดฟุ้งเฟ้อ เหมือนเราๆท่านๆ ฉนั้น พวกเราที่ ยังมีความรู้น้อย ก็ยังต้องมาแชร์กันอยู่ บารมีคนเรานั้น มันไม่เท่ากัน ยิ่งพระอริยะด้วยแล้ว ท่านจะมีแต่ความเมตตา มากๆเลย ไปตามขั้นภูมิธรรมของท่านเท่าที่สัมผัสมาครับ ทำไปเถอะครับ อย่างน้อย ชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าก็ต้องได้ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่างานการใด หรือการปฏิบัติ ไม่มีอุปสรรค ถือว่างานนั้น ไม่มีความสำคัญเลยครับ:cool:
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ช่วยไม่ได้นะขอรับ

    คุณ มาผิดห้อง

    ถ้าจะมาหา ลูกค้า พาไปดูดวง พึ่งการดุดวง เชื่อการดูดวง ฮวงจุ้ย ทำฮวงซุ้ย

    ก็อาจจะเจออะไรแปลกๆ ที่มัน ขัดผลประโยชน์ ขัดศรัทธา ไม่สามารถมาจูงจมูกได้ง่ายๆ

    มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ของ ห้องกระทู้ ที่โพสไม่ถูกที่ถูกทาง

    นี่ถ้าโพสแบบเดียวกัน โฆษณาขายยา เช่าพระเครื่อง ในอีก ห้องกระทู้ ก็ไม่เจออะไร
    แบบนี้หลอก

    ************

    ส่วน เจ้าของกระทู้ เขาก็เห็นว่า เหมาะแล้วที่จะโพสใน ห้องนี้ อีกทั้ง ผมกับเขา
    ก็เคย ฉะ กันมาบ้าง

    เลยเชื่อมั่นได้ว่า เขาไม่ได้มาขัดขวาง คนทำสมาธิ

    แต่เข้ามาเพื่อ ส่งเสริมการทำสมาธิ เล่นอภิญญา

    แต่ มีอะไรที่เป็น สัมมาทิฏฐิ ควร สำรวม สังวรณ์ ระวัง เขาก็ แชร์ กันตรงนั้น

    ซึ่งมันต่างจากที่คุณเข้ามา แชร์ อันมี ประเด็น แฝง ในทางประโยชน์ตน


    ***********

    นี่ถ้าเสวนาต่อ ไอ้จุดที่ จะถอดจิต อั้นๆ อะไรนั่น มันจะมันส์เลยนะ

    เพราะ ความแตกต่างระหว่าง ที่ใช่ กับ ที่ไม่ใช่ อยู่แค่ ตรงปลาย
    จมุกนิดหน่อยเท่านั้นเอง

    คือ

    สัมมาทิฏฐิ จะเอาคำว่า อาศัยระลึก มาแก้ในทางปฏิบัติ

    หากผลิก เป็นอื่น มันจะพุ่งเข้าไปเป็น จุด เป็น ต่อม เป็น ช่อง จี้ลงไป

    ซึ่งถ้าเป็น จุด เป็นต่อม จี้ลงไป ในทางสัมมาทิฏฐิ เราจะอาศัยระลึก
    ทันทีว่า มีเผลอ แต่ ไม่ห้าม เพราะ มันยังเป็นองค์ประกอบของการ ตามระลึก

    เว้น แต่จมลงไปทั้งตัว จนกระทั่งเห็นว่า จุด และ ต่อม หรือ ดวงๆ อะไรนั่นคือ ตน
    ก็เรียบร้อยโรงเรียน มิจฉาทิฏฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  8. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ผมเห็นด้วยกับ จขกท. นี่แหละรู้ได้เฉพาะตน บางอย่างเหล่านี้ยิ่งเล่ายิ่งเข้าตัว
    เมื่อเล่าแล้วไครเข้าใจไม่ได้เขาก็หาว่าเราบ้า ผมเองประสบการณ์เช่นนี้มีเยอะ
    แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง (แต่เมื่อก่อนเล่านะแต่หาคนเข้าใจไม่ได้)
    ว่างๆ จะมาแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นธรรมทานบ้าง
    เพราะประเภทที่ชอบสมาธินี่แหละหลงง่ายๆ เพราะขาดหลักความรู้ในขั้นต้น
    ฝึกเองเอาที่บ้าน โดยไม่มีครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบอารมณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2012
  9. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    จขกท. น่าจะมาปฏิบัติสมาธิแบบถุกวิธี นะ เพราะมีบทเรียนที่เคยฝึกเป็นพื้นฐานบ้างแระ ถึงแม้ดูเหมือนว่า จะฝึกผิดวิธี แต่ก้เปนอุบายทำให้จิตสงบ แต่ยังไม่ทันสงบจริงถุกหลอกไปก่อนซึงการถุกหลอกแบบนี้ ถือเปนเรือ่งดีสำหรับนักปฏิบัติ คนที่เหนจริง แล้วรู้ทีหลังว่าไม่จริงเมื่อต่อไปจะทำไร จะเกิดสติ เกิดความคิดตามมา แบบนี้ใช้ได้แล้วหรอ ใช่หรอ สติตัวต้นจะเปนตัวบอกคุนเอง แต่ที่นำมาเล่าถือว่ามีประโยชน์ดี สำหรับผู้ที่รักการปฏบัติแบบเน้นปาฏิหาริย์
     
  10. areramboy

    areramboy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +12
    อืม อวิชนี้ มันลึก มาก ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก ขอบคุณครับที่เตือน :cool:
     
  11. TenBalll

    TenBalll สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    ไม่เห็นจาเช็คยากเลย ไม่เห็นจะกลัวเลย ก็ถามหวยมันซิ ขอแค่ 2 ตัวเท่านั้น ถ้ามันบอกถูก ถึงจะมารหรือไม่มาร ก็เอา เพราะมันก็เก่ง ก็เหมือนร่างทรง ทรงเทวดาก็ดี สัมพเวสีก็ดี ถ้ามันให้หวยแม่นก็เคโอแล้วไม่ต้องไปซีเรียสหรอก
     
  12. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อย่าทำเป็นเล่นไป แล้ววิจารณ์ด้วยความคะนองนะครับ

    พวกนี้ให้จริง ให้หมดทุกอย่างนะครับ

    ถ้าตามกิเลสไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีก็ติดกับพวกเขาแล้วครับ...

    พอจำได้ไหมครับ เรื่องพระยันตระ หนะครับ?
     
  13. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    อนุโมทนาที่มาแชร์ประสบการณ์ ดีนะที่ผ่านมาได้ พวกนี้เขาเก่งจริงๆ อาศัย ราคะ โทสะ โมหะ ของเราแล้วมาชักไปทางของเขา ร้ายที่สุดก็ปลอมเป็นครูอาจารย์ หรือผู้ที่เรานับถือ ก็ยากจริงๆที่จะผ่านมาได้ ต้องอาศัยกุศลและปัญญาและเวลาพอสมควร ผมเคยรู้จักอยู่คนหนึ่ง ทิพจักษุ หรือญาณอื่นๆเขาเก่งแต่ก็โดนพวกมารสวมรอยหลายชั้น มาเป็นพระ เป็นคนที่นับถือ เป็นเทพ ประมาณนี้
    ก็เจอไปหลายปีกว่าจะมีสติและรู้ว่าเขาเล่นงานซะแล้ว ที่ผ่านมาหลายปีก็รู้เขามาหลอกตลอดแหละ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นเขามีการหลอกซ้อนหลอกหลายชั้น
    เพราะเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่สัมผัสมากเกินไป
    พระอาจารย์สอนเมื่อมีนิมิต ให้มีสติสัมปชัญญะ กำหนดเห็นหนอที่ตาที่สามเท่านั้น กำหนดไปเรื่อยๆ ป้องกันพวกนี้ทางหนึ่ง นิมิตหายไปและเกิดขึ้นอีกก็กำหนดซ้ำๆ มีสติสัมปชัญญะ มาทางหูก็กำหนดเสียงหนอ

    เจ้าของกระทู้ รออ่านตอนจบครับ
    อนุโมทนา
     
  14. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    ภาวนา นะมะพะธะ แบบของหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ซิคะ แล้วจะเห็นชัดแจ๋วเหมือนกลางวันเลยคือถ้าเห็นคนก็เห็นเค้าใส่เสื้อสีต่างๆด้วย มารก็ไม่มาแทรก
    ถ้าอยากเห็นมารที่เป็นคนจริงๆ เป็นๆ หาดูได้ที่วัดแถวคลองหลวง ปทุมธานีค่ะ
    ใครหลงเข้าไปนั่งสมาธิกับพวกเค้าหรือดูรายการทางทีวีของพวกเค้า จะโดนเค้าเอากายละเอียดมาซ้อนเอาบุญเราไปหมด แล้วจาหมดเนื้อหมดตัวหมดตังค์ ถ้าหนักๆ แล้วยังไม่รู้ตัวไม่รีบแก้ไข อาจบุญหมดถึงขั้นเสียชีวิตเพราะหมดบุญ แล้วก็ไปอบายภูมิ ไม่เชื่อก็ลองได้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2012
  15. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ผมก็ไม่รู้หรอกเพราะผมยังปฏิบัติได้ไม่ถึงท่าน แต่ผมรู้ว่าถ้าท่านผ่านมันไปได้ท่านจะแข็งแกร่งและเก่งขึ้นมากเลยครับ
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ได้มโนมยิทธิ แล้วโดนหลอกตกเหว ก็มีเยอะเหมือนกันครับ ถ้ากำลังใจไม่นิ่ง ไม่ยึดทางพระพุทธองค์จริงๆ

    หลวงพ่อฤาษี ท่านก็คอยเตือนเสมอ ว่าอย่าใช้ไปในทางดูหมอ ทางกิเลส ให้ใช้มโนมยิทธิเพื่อดูความไม่เที่ยงต่างๆ ในโลก ดูเพื่อให้ปล่อยวางร่างกาย ไม่ใช่ดูเพื่อให้ยึด ให้มี ให้ได้
    ลูกศิษย์หลายๆ คนหลงผิดทางไปกันใหญ่ ก็เลยพลาดจุดประสงค์ที่ท่านสอนแต่แรก กันไปอย่างน่าเสียดาย
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ขณะรอ เจ้าของกระทู้มาเล่าต่อ
    ก็ขอ นำคำแนะนำของหลวงปู่พุธ ฐานิโย
    มาเพิ่มเติ่ม

    สำหรับผู้ยังไม่เคยได้สดับรับอ่าน ​


    เกล็ดธรรม...หลวงปู่พุธ ฐานิโย





    การภาวนาเห็นภาพนิมิตต่างๆ นี่ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เพียงพอ หรือรู้ไม่ทัน..อันตราย

    เมื่อเราไปเข้าใจผิด ว่านิมิตนั้นๆ..ภาพนั้นๆ เป็นภาพท่านผู้วิเศษ หรือเป็นผู้วิเศษทั้งหลาย เสด็จมาจะมาช่วยสมาธิ ช่วยญานของเรา..ช่วยฌานของเรา ให้ดีวิเศษยิ่งขึ้น

    แล้ว เราเผลอไปน้อมเอาสิ่งเหล่านั้น เข้ามาในจิตในใจของเรา ถ้าหากสิ่งเหล่านั้นเข้ามาแล้ว เราจะกลายเป็นคนทรง ถ้าใครเคยเป็น เคยปฏิบัติอย่างนั้น ลองสังเกตุดูทีซิว่า ขณะจิตสงบลงไปสว่างมีปีติ มีความสุข และมีความสงบ แต่ยังบริกรรมภาวนา กายยังปรากฏอยู่ แสงสว่างยังทอดออกไปข้างนอก มองเห็นภาพนิมิตต่างๆ เพียงแต่เห็น รู้สึกกายเบา..จิตเบา กายสงบ..จิตสงบ

    นอก จากนั้น ยังมีปีติ มีความสุข จิตปลอดโปร่งเบิกบานอย่างเต็มที่

    จริงมั๊ย..สังเกตุดูให้ดี…

    จิตสงบนิ่ง สว่าง มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง สบายมั้ย..กายเบา จิตเบา กายสงบ..จิตสงบ รู้ ตื่น เบิกบาน ปลอดโปร่งดี หายใจก็คล่อง บางทีรู้สึกว่าไม่หายใจแต่อยู่ได้ ใจไม่ขาด

    แต่ เมื่อมีภาพนิมิตขึ้นมาในอันดับต่อไปนั้น ถ้าจิตกำหนดรู้ภาพนิมิตอยู่เฉยๆ
    ปลอด โปร่ง สบายมั๊ย...ยังปลอดโปร่ง สบาย จิตรู้ตื่น เบิกบาน สบายมาก

    เอ้า..ถ้าเผลอ ไปนึกว่า..ภาพนิมิตนั้นจะเป็นรูปพระ พุทธเจ้าก็ตาม พระสาวกก็ตาม ใครก็ตาม ตอนที่เรารู้ ดู เห็นอยู่เฉยๆ เขายังไม่ก้าวเข้ามาเหยียบในหัวใจเรา พอเรารู้สึกเบา สบาย ปรอดโปร่ง เบิกบาน มีปีติ มีความสุข

    ถ้าเรานึกว่า อ้อ..ผู้วิเศษจะมาช่วยจิต ช่วยใจของเรา ให้ได้สมาธิ ให้ได้ฌาน..ให้ได้ญานอันวิเศษ..ให้ได้ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ จะมานำเราไปสู่พระนิพพานได้ง่ายๆ

    พอ เราน้อมเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามา ภาพนิมิตที่มองเห็นอยู่ต่อหน้า จะเคลื่อนย้ายดำเนินเข้ามา ..เข้ามาประชิดตัวเรา ทำให้เรารู้สึกชาตามตัว พอหายชานิดหน่อย ก็รู้สึกว่า จิตของเราเปลี่ยนสภาพไปทันที

    รู้ ตื่น เบิกบาน ปลอดโปร่งของในตน หายไปหมด มีแต่ความอึดอัด ความแน่น ในจิตในใจ ความหนักหน่วงในร่างกายเข้ามาแทนที่

    ต่อนั้น เราไม่เป็นตัวของตัวแล้ว จิตไม่ได้เป็นไปตามอำนาจของตัวเอง แต่มีอำนาจของสิ่งหนึ่งเข้ามาแทรกสิง คอยบีบบังคับ ให้เป็นไป ..เป็นไปด้วยความแสนยากลำบาก ..เป็นไปด้วยความหนักหน่วงเหน็ดเหนื่อยอย่างเต็มที่ ความรู้สึกในกายในใจ หัวใจเหมือนกับถูกบีบ ร่างกายหนักหน่วงเปรียบเหมือนมีสิ่งมาทับให้หนัก ที่เป็นเช่นนั้น..ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า มีสิ่งมาประทับทรงที่กายที่ใจของเรา จึงทำให้เราหมดสมรรถภาพที่จะเป็นตัวของตัวเอง...

    ถ้าสิ่งนั้น เป็นรูปภาพเทวดา เข้ามาสิงสู่ในตัวของเรา เราก็ไปรับเอาศาสนาเทพเจ้าเข้ามาแล้ว
    ถ้านิมิตที่มองเห็นเราสำคัญว่าเป็นพระพรหม เมื่อพระพรหมเข้ามาอยู่ในตัวเรา ก็กลายเป็นศาสนาพระพรหม
    ถ้าหากเป็นภูติผีปีศาจ หรือผู้ยิ่งใหญ่พญามารทั้งหลาย เช่นอย่าง มารมารังควาญพระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์จะตรัสรู้ ถ้าเรารับเอาสิ่งนั้นเข้ามา เราก็เอาศาสนามารมาไว้ที่หัวใจของเรา

    นี่ตรงนี้ ..ตรงเรื่องนิมิตๆ นี่ ระวังๆ ให้ดี ถ้าเราเข้าใจผิดในนิมิตต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น แล้วไปยึดเอานิมิตเป็นสาระสำคัญ เราจะกลายเป็นผู้เปลี่ยนศาสนาพุทธ ให้ เป็นศานาอื่นทันที นี่คืออันตรายของนักปฏิบัติที่เราควรระมัดระวังอย่างยิ่ง >>

    ถอดเทปโดย เพื่อนสมาชิก พลูโตจัง
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อีกหนึ่ง คำแนะนำ จาก หลวงปู่พุธ ฐานิโย


    เกร็ดธรรม


    หลวงปู่พุธ ฐานิโย


    วัดป่าสาละวัน
    อ.เมือง จ.นครราชสีมา



    เมื่อมีโอปะปาติกะ


    อาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ที่ล่วงลับไปแล้ว มา เรียก
    โดยเห็นในสมาธิ
    ได้สัมผัสรับรู้ ได้กลิ่นหอม ตลอดเวลาที่ทำสมาธิ
    การที่จะติดต่อพูดคุยกับท่าน ควรปฏิบัติอย่างไร ??




    อันนี้ไม่มีทางที่จะควรปฏิบัติอย่างไร
    และก็ไม่ควรคิดที่จะไปพูดคุยกับท่าน


    เพราะสิ่งเหล่านี้


    จิตของท่านปรุงแต่งขึ้นมาเอง
    อย่าไปเข้าใจว่าสิ่งอื่นมาแสดงให้ปรากฎ


    ถ้าหากว่า ท่านภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ


    ท่านนึกอย่างเห็นพระพุทธเจ้า
    หรือจิตของท่านผูกพันอยู่ที่พระพุทธเจ้า


    จิตสงบสว่างลงไปแล้ว จะเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จ ดำเนินมา


    ถ้าหากท่านยึดอยู่ที่ครูบาอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว


    พอจิตสงบลงเป็นสมาธิ ระหว่าง อุปจาระสมาธิ สว่างขึ้นมา
    กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก
    จิต ยึดมั่นอยู่ในสิ่งใด
    สิ่งนั้นจะปรากฎเป็นตัวขึ้นมาให้ท่านเห็น
    จงทำความเข้าใจว่านิมิตทั้งหลายแหล่ ที่ปรากฎนั้น
    มันเป็นเพียงมโนภาพที่จิตของท่านสร้างขึ้นมาเอง


    อย่าไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งอื่น


    หลวงพ่อนี่นั่งภาวนาจนมองเห็นกายของตัวเองนี่แหลกเป็นผงไปแล้ว
    ลืมตาขึ้นมา กายก็ยังอยู่
    ถ้ามันเป็นจริงแล้วก็
    ทำไม ถึงจะมานั่งเทศน์ ให้โยมฟังอยู่ได้


    อันนี้คือข้อเท็จจริง


    เราอย่าไปหลงว่าเป็นสิ่งอื่นมา


    ถ้าหากว่าเป็นสิ่งอื่น
    มาแสดงตัวให้ปรากฎกันจริงๆ นี่


    ไม่จำเป็นจะต้องนั่งอยู่ในสมาธิ
    บางครั้งนี่ อาตมานั่งอยู่เฉยๆ นี่
    ผีมันวิ่งผ่านไปอย่างงี้
    อันนี้มันถึงเป็นของจริง


    ในสมาธินี่มันเป็นของหลอก


    อ่า ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แม้ว่าเวลาจะยืดยาวหน่อยก็
    ต้องขอ อภัยท่านผู้ฟัง


    จะนำตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง
    ท่านอาจารย์ของอาตมานี่ ท่านหนึ่ง


    ชื่อ อาจารย์ ทอง อโศโก


    ถ้ายังมีชีวิตอยู่เวลานี้
    ก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน กับ
    ท่านหลวงพ่อเทสก์ ท่านอาจารย์เทสก์


    ท่านผู้นี้ ไปนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิเล็กๆ
    ในสำนักอาจารย์มั่น


    เวลาเข้าไปก็ปิดประตูลงกลอนอย่างดี
    พอภาวนาแล้วก็
    พอจิตสงบนิ่งสว่างลงไป
    แล้วก็มีผู้หญิงสาวๆคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ
    แล้วก็มา พูด จา หลวงพี่มาทนทุกข์ทรมานทำไม
    สึกไปอยู่ด้วยกัน จะมีความสุข


    ในตอนนี้ ท่านมีสติอยู่
    ท่านก็กำหนดว่า รู้ จิต เฉยๆ อยู่
    เสียงนี่มันก็ดังออด ออดออด อยู่อย่างนั้นล่ะไม่หยุด
    ลองผลสุดท้าย อีนางผู้หญิงในนิมิตในฝันนั้นก็บอกว่า


    อืม มาพูดจาด้วยก็ไม่อยากพูด ไม่พูดก็อย่าพูด
    เสร็จแล้วมันก็ลุกปุ๊บปั่บไป
    ท่านอาจารย์ทอง ก็ มองเห็น ผู้หญิงคนนั้นเดินออกประตูไป
    เดินด่อม ด่อมด่อมๆ ออกประตูไปจนลับสายตา
    พอมันลับสายตาไปแล้ว


    สมาธิแตก อึ๊ม พูดกับเค้าซะก็ดีเน๊อะ (ฮาๆๆ)


    ทีนี้ ทั้งๆที่ อ่า เค้าเรียกว่า พูดกับเค้าซะก็ดี
    เลยลุกปุ๊ปปั๊บ ออกจากที่นั่งสมาธิ
    พอไปถึงประตูทั้งๆที่ตัวเองเนี๊ยะ


    เมื่อนั่งอยู่ในสมาธินี่
    เห็นผู้หญิงนี่เดินลอดประตูออกไป
    แต่เมื่อตัวไปถึงแล้วต้องถอดกลอนเปิดประตูออกเอง


    ยังไม่ได้ สติ
    อ่า ..วิ่งลงไปยืนๆวนรอบหาอยู่รอบๆกุฏิ
    ส่องมุมโน้นส่องมุมนี้


    ท่านอาจารย์มั่น ท่านอยู่กุฏิ ท่านตะโกนร้องมา


    ทองเอ้ย วัวหายเห็นแล้วหรือยัง (ฮาๆๆ) ได้สติคืนมา


    เนี๊ยะ ข้อเท็จจริง ที่นำมาเล่าให้ฟังเนี๊ยะ
    มันเป็นประสบประการณ์ของนักปฏิบัติจะต้องเจอกันทั้งนั้นแหล่ะ


    เพราะฉะนั้น ให้ระวังเอาไว้


    นิมิตในขั้นนี้ อย่าเพิ่งเข้าใจว่า มันเป็นของเป็นจริงเป็นจัง


    เนี๊ยะ เพราะไปหลงนิมิต ที่มโนภาพของตัวเอง
    จิตของตัวเองสร้างมโนภาพขึ้นมาเนี๊ยะ
    ไปถือว่าเป็นจริงเป็นจังแล้ว
    อย่างสมมุติว่า
    มองเห็น พระ ผู้วิเศษ หรือ อะไรก็ตามเดินเข้ามาหา
    นึกว่ามันเป็นจริง เลยน้อมจิตรับ พอน้อมจิตรับแล้ว
    ไอ้นั่น มันก็เข้ามากลายเป็น เป็นเรื่องทรงไป


    เนี๊ยะ มันเป็นทางที่เขวได้ง่ายที่สุด
    เพราะฉะนั้น
    ควรทำความเข้าใจว่า


    นิมิต หรือสิ่งที่รู้ทั้งหลายนี่


    เป็นจิตของเราปรุงแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น


    ไม่ใช่สิ่งอื่นมาแสดงให้เห็น


    โหลดฟังเสียงได้ที่นี่ เมื่อนักปฏิบัติ มี โอปะปาติกะ มาสอนในสมาธิ. - Buddhism Audio
     
  19. bankbankbank

    bankbankbank เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +885
    ปราบเทวดา
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Nov 2009
    ข้อความ: 2,738
    Groans: 12
    Groaned at 25 Times in 23 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 904
    ได้รับอนุโมทนา 2,390 ครั้ง ใน 798 โพส
    พลังการให้คะแนน: 562

    ขณะรอ เจ้าของกระทู้มาเล่าต่อ
    ก็ขอ นำคำแนะนำของหลวงปู่พุธ ฐานิโย
    มาเพิ่มเติ่ม

    สำหรับผู้ยังไม่เคยได้สดับรับอ่าน


    เกล็ดธรรม...หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    """"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
    ท่าน นี้ ผมเห็น ดัน แต่ เรื่องราว หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย..มายาวนาน

    ก็ สาธุ ธรรม ของ หลวงพ่อด้วยครับ..หาก คุณ เป็นศิษย์ ของหลวงพ่อ พุธ ก็ แสดงว่า คุณ ต้องเป็รน ศิษย์ พี่ น้อง กับ นาย ดังตฤณ ด้วยสิ...
     
  20. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    ขอบคุณ จขกท ที่ช่วยแชร์ครับ โดนมาเหมือนกัน
    "ธรรมใด ที่ปฏิบัติแล้วไม่เป็นทาง ละ สละคืน ไม่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น เราไม่กล่าวธรรมนั้น เราไม่แนะนำให้พวกเธอได้พึงปฏิบัติตาม"
     

แชร์หน้านี้

Loading...