ประสบการณ์อัศจรรย์ในญาณรู้ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย สุโขสุขี, 6 สิงหาคม 2012.

  1. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    914
    ค่าพลัง:
    +1,470
    อาจารย์ถาวร แปงใจ อดีตพระมหาเปรียญ ๕ ประโยค จากสำนักวัดชนะสงคราม ซึ่งมีดีกรีปริญญาโทสาขาปรัชญา จากประเทศอินเดีย ได้กรุณาเล่าถึงประสบการณ์อัศจรรย์ในญาณรู้ของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ให้ฟังดังนี้
    " ในครั้งที่ผมยังบวชเป็นพระ อาศัยอย่ในวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๒๔ เพื่อนพระด้วยกันได้ชวนไปเที่ยวกราลครูบาอาจารย์ทางภาคอีสาน แต่ที่ไปกันนั้นเป็นพระเพียง ๒ รูป นอกนั้นเป็นโยมที่ไปจำศีลภาวนาอยู่ในวัด
    เราไปกันเต็มคันรถตู้ ขึ้นกันไปทางบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครพนม อุดรธานี สกลนคร หนองคาย ขอนแก่นแล้วอ้อมกลับมาทางนครราชสีมา มาพักค้างคืนกันที่วัดป่าสาลวันของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย"

    การเดินทางคราวนั้นใช้ระยะเวลาประมาณครึ่งเดือนได้ มีโอกาสฟังธรรมจากครูบาอาจารย์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ที่ยังมีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นแทบทุกรูปอย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล, หลวงพ่อชา สุภัทโท, หลวงพ่อมหาบัว ญาณสัมปันโณ, พระอาจารย์แบน ธนากโร, หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี, หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้กราบแทบเท้าหลวงปู่ขาว อนาลโย และถ่ายรูปเป็นอนุสรณ์กับท่าน

    การเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ในลักษณะนี้ สมัยเป็นพระในลักษณะนี้ สมัยเป็นพระได้ไปกับเพื่อนพระด้วยกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ไปมาหลายแห่งจนบางครั้งบางคราวก็มีสับสนไปบ้างว่าไปที่ไหน เมื่อไหร่แต่ที่มาค้างที่วัดป่าสาลวันของหลวงพ่อพุธนั้น จำได้แม่นยำว่าเป็นปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๔ อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ได้ประสบยังตราตรึงใจไม่รู้ลืมจนทุกวันนี้
    เล่าถึงความประทับใจในครั้งแรกที่มากราบนมัสการหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่วัดป่าสาลวันว่า
    คืนนั้นคณะไปถึงวัดป่าสาลวันค่ำแล้ว หลวงพ่อได้ให้การต้อนรับที่กุฏิไม้ยกพื้นสูงหลัวเก่า ตอนนั้นกุฏิหลังใหม่ที่ท่านพักอยู่ในตอนนี้ยังไม่ได้สร้าง ท่านยังคงพักอยู่ที่กุฏิหลังเดิมสถานที่ต้อนรับแขกเป็นด้านบน สมารถนั่งกันได้ประมาณ ๑๐ กว่าคนโดยไม่แออัดนัก
    ได้นั่งสนทนากันอยู่กับท่านจนถึงประมาณ ๓ ทุ่ม โดยในขณะที่ท่านนั่งสนทนาและตอบคำถามของคนอื่นๆ อยู่นั้นผมก็อยากจะถามปัญหาความร้อนรุ่มที่ตนเองกำลังประสบอยู่ว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่ก็ยังไม่มีโอกาสจะได้ถาม แล้วก็ไม่กล้าจะถามท่านในตอนนั้นด้วยเพราะอายโยมผู้หญิงในหมู่คณะที่ไปด้วยกัน แม้ว่าแต่ละท่านจะมีอายุเลย ๖๐ ปีไปแล้วทุกคนก็ตาม จึงได้แต่นั่งฟังท่านคุยธรรมะให้ฟังด้วยใจร้อนรุ่มอยากจะถามคำถามของตน

    สนทนากับท่านไปจนกระทั่งเลย ๓ ทุ่ม ไปเล็กน้อย เพื่อนพระด้วยกันได้ขอตัวเข้าห้องน้ำ หลวงพ่อจึงถือโอกาสบอกให้โยมคนอื่นๆไปนอนหลับพักผ่อน ท่านบอกว่าดึกแล้วนะ พวกโยมเดินทางมาไกลคงเหนื่อยกันทุกคน ไปนอนหลับพักผ่อนกันก่อนเถอะ สถานที่เขาจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
    พอท่านว่าอย่างนั้นผมก็ทำท่าว่าจะลุกขึ้น แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินท่านกล่าวต่อไปว่า
    " คนอื่นไปพักผ่อนกันก่อน ส่วนท่านมหายังไม่ต้องไปหลวงพ่อมีเรื่องจะคุยด้วย "
    หลังจากที่โยมลงไปจากกุฏิหมดสิ้นแล้ว คิดว่าแต่ละคนคงไปไกลเกินกว่าที่จะได้ยินเรื่องที่ท่านจะคุยด้วยแล้ว หลวงพ่อพุธท่านจึงเริ่มเรื่องที่ท่านเหนี่ยวรั้งผมไว้เพื่อคุยด้วย ซึ่งตอนนั้นผมก็ใจเต้นตูมตามอย่างใคร่รู้ว่าท่านจะชวนสนทนาด้วยเรื่องอะไรหนอ เพราะตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้กราบนมัสการท่านอย่างใกล้ชิด ยังไม่คุ้นเคยกับท่านแต่อย่างใด

    เมื่ออยู่ตามลำพัง หลวงพ่อพุธท่านจึงเริ่มเรื่องว่า
    " ท่านมหา...สมัยหลวงพ่อเป็นพระหนุ่มวัยเดียวกับมหา หลวงพ่อก็ประสบปัญหาเดียวกัน คือหลวงพ่อไปหลงรักเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของแม่ชีที่เอาปิ่นโตมาส่งให้แม่ที่วัดเป็นประจำ "
    ท่านขึ้นต้นมาอย่างนี้ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมใจหายวาบระคนด้วยความอัศจรรย์ว่า
    " นี่ท่านรู้ความคิดของเราละเอียดถึงขนาดนี้เชียวหรือ "

    จากนั้นท่านก็เล่าเรื่องของท่านให้ฟังไปเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องราวที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นคล้ายกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับผมมาก ท่านว่า
    ทีแรกหลวงพ่อก็ไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับเขาบ่อยๆ ได้ช่วยนั่นช่วยนี่หรือบางครั้งเขาก็มาช่วยทำนั่นทำนี่ให้ ความรู้สึกมันก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นโดยนึกคิดถึงเขาบ่อยๆ แต่ก็ยังไม่คิดเฉลียวใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับใจเรา มารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อวันไหนที่เขาไม่ถือปิ่นโตเข้าวัด ไม่ได้พบ ไม่ได้เห็นหน้าเขา ไม่ได้พูดจาสนทนาด้วย เราก็ร้อนรุ่มหัวใจมันเหี่ยวแห้งเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง
    ยิ่งช่วงไหนเขาขาดหายไปไม่มาวัดสักสัปดาห์ รู้สึกว่ามันทุกข์ทรมานเหมือนขาดเขาไปเป็นปี หัวใจมันร้อนรุ่มเหมือนใครเอาไฟมาลน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลงเรื่อยๆ

    วันไหนเขามาแต่ถ้าไม่ได้พูดคุยด้วย มันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ต่อเมื่อได้พูดคุยด้วยก็อยากจะบอกให้เขารู้เหลือเกินว่า "ฉันรักเธอเหลือเกินนะ" แต่ก็บอกไม่ได้ ยิ่งเก็บไว้มันก็ยิ่งอึดอัด มันแน่นในหัวอก จิตใจที่เคยสงบเย็นอันเกิดจากรสของการภาวนาก็หายไปสิ้น นั่งก็คิดถึงเขา นอนก็คิดถึงเขา เดินจงกรมก็คิดถึงเขา มันคิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวจนเจ้าตัวไม่รู้ตัว กว่าจะกลับมาก็ไปไกล พอดึงไปเดี๋ยวก็กลับไปคิดถึงเขาอีก

    เมื่อคิดมากๆ มันก็ทุกข์มาก ทำให้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า ความรักนี่เป็นต้นตอของความทุกข์จริงหนอ ทุกข์ที่ไม่มีอะไรมาทุกข์เท่ากว่า พอเรารู้ตัวมันก็กินลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ แล้วนี่จะแก้อย่างไร
    จะไปกราบขอคำแนะนำจากครูอาจารย์ก็กลัวท่านจะตำหนิด่าว่า เมื่อคิดมากเข้าๆ ก็ตัดสินใจใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง เกิดความคิดว่า
    เอาล่ะ...ในเมื่อเรารักเขาก็เอาตัวเขามาเป็นกรรมฐาน เราต้องนึกถึงเขาเท่านั้น นึกให้มันเห็นหน้า

    พอคิดตกลงใจอย่างนั้น จึงอาบน้ำอาบท่าให้ชื่นบาน เข้าห้องปิดประตูทันที นั่งตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า นั่งท่องชื่อของเขาเป็นคำบริกรรมและนึกถึงหน้าของเขา ตั้งใจให้ใบหน้าของเขาผุดขึ้นมาในจิตเหมือนที่เราเพ่งเทียน แก้ว หรือพระพุทธรูป
    หลวงพ่อทำอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยไปกี่นาที กี่ชั่วโมง ก็ไม่รู้ได้ ภาพของเขาก็ค่อยๆ สดใสสวยงามปานเทพธิดา
    จากนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ค่อยๆแปลเปลี่ยนไปทีละนิด จากสาวก็ย่างเข้าสู่วัยกลางคน เป็นคนแก่ แก่จนหง่อม หัวสั่นหัวคลอน เดินยักแย่ยักยัน ในที่สุดก็ล้มตายลงต่อหน้าร่างกายแปรสภาพเป็นขึ้นอืด เริ่มมีหนอนไต่ออกมาตามทวารต่างๆ ร่างกายแตก นัยน์ตาถลน แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆยุบ เนื้อหนังหายไปเหลือแต่โครงกระดูกที่นอนเหนือแผ่นดิน จากนั้นก็กระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่าง
    พอมาถึงจุดนี้จิตก็สะทกสะท้านหวาดหวั่นต่อความแปรเปลี่ยนเห็นชัดแจ้งถึงความเป็นของไม่สวยงาม ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่น่ายึดเอามาเป็นเจ้าของ ก็ถามตัวเองว่า
    "ถ้าเขาเป็นเช่นนี้ยังรักเขาอยู่หรือเปล่า"
    ก็มีคำตอบว่า "ไม่รัก"

    ความรักที่หลวงพ่อมีต่อเด็กสาวคนนั้นก็หายไปด้วยอาการอย่างนี้ นี่คือวิธีแก้ปัญหาของหลวงพ่อ
    หลวงพ่อพุธท่านเล่าจบก็หยิบหมากป้ายปูนใส่ปาก นั่งเคี้ยวอย่างอารมณ์ดี ไม่ถามหรือแสดงข้อคิดเห็นอย่างอื่นอีก จนกระทั่งพระเพื่อนของผมโผล่ขึ้นมา ท่านจึงชวนคุยเรื่องอื่น ไม่หวนกลับมาพูดถึงเรื่องเก่าที่ท่านเล่าให้ผมฟังขณะอยู่ตามลำพังอีก
    เล่ามาถึงช่วงนี้อดีตมหาเปรียญหลายประโยคกล่าวสรุปว่า นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ประสบกับจิตรู้อันอัศจรรย์ของพระมหาเถระเป็นประสบการณ์จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระที่ผมแน่ใจว่าท่านเก่งจริง เก่งทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสได้กราบท่านจึงรู้สึกเย็นกาย เย็นจิต อย่างไม่เคยเกิดกับครูบาอาจารย์ท่านใดมาก่อน

    จากส่วนหนึ่งของหนังสือ ญานทิพย์ อภิญญา รู้ฟ้ารู้ดิน...แม้สวรรค์ก็มิอาจปิดบัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2012
  2. จินตภัทร

    จินตภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +396
    เรื่องที่นำมาให้อ่านนี้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะหลวงพ่อท่านสอน ให้ปลงในสังขารว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรทนอยู่ในสภาวะเดิมได้ ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เหมือนสังขารของเราแม้จะสวยงามแค่ไหน เมื่อเวลาผ่านไป ก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ถ้านำคำสอนของท่านไปใช้พิจารณา จะเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน
     
  3. pummuq

    pummuq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    375
    ค่าพลัง:
    +352
    สาธุๆ ผมเคยได้รีบเหรียญพระสองเหรียญจากหลวงพ่อพุธ ผมจะจำไปจนตาย เป็นครั้งเดียวที่ได้พบท่านที่สจพพระนครเหนือ และเป็นครั้งสุดท้าย แล้วมาตามข่าวท่านอีกทีตอนผมเริ่มแก่แล้วได้ข่าวว่าท่านละสังขารไปตั้งนานแล้ว
     
  4. bj1255

    bj1255 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +44
    เรื่องกามารมย์เป็นสิ่งที่ตัดยากยิ่งนักถ้าตัดได้นิพพานอยู่ไม่ไกลแน่ๆสาธุกับทุกท่านครับ
     
  5. prakan357

    prakan357 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +271
    สาธุครับ ผมเกิดโคราช เคยบวชอยู่ที่วัดนี้ แต่ไม่ทันหลวงพ่อ เลื่อมใสท่านมากครับ
     
  6. อริยะ ชน

    อริยะ ชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +1,042
    ขอส่งข่าวด่วนถึง ญาติธรรมทุกท่าน
    เชิญยาติธรรมทุกท่าน ร่วมลงชื่อ คัดค้านร่าง กสทช . ว่าด้วยการจัดสรรคลื่นความถี่ที่ไม่เป็นธรรม
    ซึ่งหากร่างกฏหมายนี้ผ่าน และมีผลบังคับใช้
    จะทำให้ "วิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน" ( 103.25 Mhz ) ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ทำไว้ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานกลายเป็นแค่หอกระจายข่าว
    ไม่สามารถออกอากาศให้ครอบคลุม ( ถูกลดกำลังส่ง และความสูงเสา )

    ดูรายละเอียดได้ที่ Luangta.Com -

    พ่อแม่ครูอาจารย์มีพระคุณล้นผืนแผ่นดินนี้ ร่วมกันลงชื่อ เพื่อให้สถานีวิทยุเสียงธรรมดำรงอยู่

    รวบรวมส่งไปที่วัดป่าบ้านตาด ภายในสิ้นเดือนนี้ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    หรือร่วมลงชื่อได้ที่นี่ครับ
    https://docs.google.com/spreadsheet/viewform?formkey=dFlvdVdZdUtITzNRaVIzU2JjMERHd2c6MQ
     

แชร์หน้านี้

Loading...