การใช้พลังอัคนีรักษาคน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย midias, 22 พฤษภาคม 2006.

  1. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ย้ายไปจัดที่ ห้องประชุมชมรมโลกทิพย์ แล้วนะครับ
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ตอบคุณอัง 05 ครับ กรณีต้องฟอกไต


    การรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบันมีการพัฒนามานานจึงไม่ควรดูถูก
    การรักษาว่าจะไร้ผล หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีทางไสยศาสตร์อื่นใด ขอให้คุณ
    เชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์แผนปกติก่อน และยอมทำทุกอย่างตามคำ
    สั่งแพทย์ที่ต้องการให้น้าของคุณหายป่วย


    จงเชื่อมั่นว่า "ทุกอย่างหายได้ ทุกอย่างดีขึ้นได้ เป็นได้ก็หายได้"


    1. การฟอกไตนั้น ลำบากและทรมานมาก เพื่อนของผมคนหนึ่ง เกือบ
    หมดกำลังใจที่จะบำบัดด้วยการฟอกไต เขาเกือบยอมตายไปแล้ว แต่
    ด้วยกำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง และที่สำคัญตัวเขาเอง ทำ
    ให้เขาฝ่าฟันและพ่านพ้นวิบากกรรมนั้นได้หมดในที่สุด ก็หายปกติ

    2. การรักษาทางการแพทย์แบบนี้ ค่อนข้างต้องอดทนและมีกำลังใจสูง
    ดังนั้น การใช้ "การสะกดจิตสั่งจิตใต้สำนึก" ด้วยตัวเอง สำคัญมาก หาก
    น้าของคุณจิตตกลง คิดตอกย้ำตัวเองว่าไม่หาย หรือมองด้านลบ แรงจิต
    นั้นจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง จำต้องให้การสั่งจิตใต้สำนึกเพิ่มพลังใจเพื่อ
    รักษาต่อไปในระยะยาว ใช้คำบริกรรมว่า "มันจะผ่านพ้นไป ทุกอย่างจะดีขึ้น"
    ระลึกคำบริกรรมนี้เสมอ จิตจะไม่ตก กำลังใจไม่ลด ไม่มองโลกแง่ลบ และ
    จะมีกำลังใจฮึดสู้ ทุกๆ ครั้งที่ใจแย่ลง หรือทุกๆ เวลาก็ได้

    3. การรักษาระยะยาว จำต้องรักษากายทิพย์ด้วย เมื่อกายทิพย์ดีขึ้น อาการ
    เรื้อรังก็ลดลง การรักษาโรคเรื้อรังกลายเป็นย่นระยะเวลาได้มากขึ้น วิธีการคือ


    ให้น้าของคุณ "ฝึกเข้าฌาน" (หาอ่านได้ตามกระทู้ญาติธรรมท่านต่างๆ)
    กำหนดจิตวางไว้ที่ท้องน้อย จุดนี้เป็นจุดรวมพลังวัตร หรือลมปราณที่บริสุทธิ์
    ที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของน้าคุณ


    ให้น้าของคุณเข้าสมาธิแล้วอธิษฐานผลบุญนั้นส่งให้เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อโรคนี้
    แผ่เมตตาให้เขาอโหสิกรรมให้น้าของคุณ จนจิตผ่องใสมีความเมตตาเต็มเปี่ยม


    เมื่อได้สมาธิแน่วแน่ดีแล้ว ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระบริสุทธิคุณ หรือพลัง
    แห่งความบริสุทธิ์แห่งจักรวาล ว่าเป็นดวงทองสดใส (ไม่จำเป็นต้องมองเห็น)
    แล้วเคลื่อนลมปราณจากท้องน้อย ไปยังจุดที่ "ไตมีปัญหา" ให้เป็นเหมือน
    น้ำไปชะล้างความสกปรก หรือปราณที่เสียๆ ออกไป นอกร่างกาย จากท้องน้อย
    ไหลไปไตที่มีปัญหา ทะลุร่างกายออกไป รอบแล้วรอบเล่า ให้ความเจ็บปวด
    ไหลออกไป ให้หายออกไป

    หากน้าของคุณเคยแผ่ฌานแล้วเอาชนะอาการเวทนา เช่น ปวดเมื่อยขบได้
    น้าของคุณ จะรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดบริเวณไตนั้น เบาบางลงอย่างเดียวกัน


    ขอให้น้าของคุณเชื่อมั่นว่าต้องหายได้แน่นอน
    ขอเป็นกำลังใจให้น้าของคุณรักษาตัวต่อไปจนหมดวิบากรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2007
  3. midias

    midias เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +2,191
    กรรมแบ่งได้หลายกรณี ในที่นี้ขอยกไว้2-3กรณี
    อย่างแรก ระดับล่าง
    กรรมที่เกิดจากคู่สัญญาที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างน้อย
    เนื่องจากค่าครูจะเป็นการให้ตามแต่ศรัทธา ส่วนข้อเรียกร้องอื่นๆจะไม่มากเท่ากรณีคู่สัญญาที่เป็นมนุษย์
    อย่างที่สอง ระดับกลาง
    คู่สัญญาที่ทำใหม่เช่น การขายที่-ขายบ้าน ตามหนี้สิน ฯ
    เป็นกรณีที่เกิดจากการตกลงระหว่างเจ้าที่ เจ้าป่าเจ้าเขา เทพเทวาประจำบ้าน-ที่ทำงาน ตามพื้นที่ที่เรียกมา
    และเท่าที่พบมา จะอยู่ระหว่างระดับล่างขึ้นไปถึงระดับกลาง
    อย่างที่สาม ระดับหนัก-หนักมาก
    กรรมที่เกิดจากคู่สัญญาที่เป็นมนุษย์
    ส่วนมากจะต้องใช้ค่าครูที่จะใช้ทำบุญต่างหากเพื่อทบบุญหนักให้เจ้าของกรณี
    จะตกเป็นเงินจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายอื่นๆ คู่สัญญาจะเรียกกับผู้มาขอทำการตกลง
    ส่วนจะมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่ากรรมที่ทำกับมนุษย์ผู้นั้นเป็นผู้มีระดับบุญแค่ไหน
    ยิ่งคู่สัญญาเป็นผู้ทำประโยชน์กับแผ่นดินเยอะ ยิ่งต้องใช้บุญหนักเข้าช่วย
    เพราะฉะนั้นดังกรณีที่สาม ส่วนมากเมื่อเห็นคู่สัญญาแล้วจะไม่ค่อยบอกกับผู้ที่มาขอให้ช่วย
    เรื่องกรรมเป็นเรื่องของมนุษย์เฉพาะคน เป็นการกระทำที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง
    ส่วนที่ผมมาบอกก็เป็นสื่อกลางระหว่างสามโลก ไม่ได้มีส่วนได้หรือเสีย
    และว่าตามจริงก็ไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบกรรมของใคร
    เพราะเมื่อมีการเปิดสัญญาของคู่กรณีแล้ว เหมือนเปิดประตูเชิญให้คู่สัญญาเข้าบ้านคนที่มาขอบรรเทาโรคกรรม
    ต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าคู่กรณีของตนเป็นใคร
    คนที่คิดว่ามาขอให้ดูกรรมเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยไม่จริงจังกับการแก้ จะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้
    แต่คู่สัญญาจะไม่คิดอย่างนั้นกับคุณ
    เมื่อใดที่ผมเปิดทั้งสามโลกให้มารับสัญญา ถือว่าทั้งสามโลกย่อมรับรู้ด้วย


    แม้กระทั่งการรักษาต้องทำตามระบบให้เรียบร้อยก่อนถึงจะรักษาได้
    ไม่เกี่ยวกับการเข้าฌาน หรือ สมาธิ
    อาการเจ็บป่วยบางอย่างเกิดจากกรณีของกรรม และเป็นเรื่องซับซ้อนละเอียดอ่อน
    ส่วนใหญ่ที่เคยรักษามา จะแนะนำให้ทำบุญขนาดใหญ่มากๆ ทับกับเจ้ากรรมนายเวร
    ก่อนเสมอเพื่อให้ยอมความกันก่อนถึงจะทำการรักษา

    วิธีการรักษาแบบ โยเร หรือ ออร่า ฯลฯ ส่วนมากจะไปได้ดีครั้งแรกใน สามปี หลังจากนั้น บุญจะหมด
    ส่งผลให้กิจการที่เคยรุ่งเรืองร่วงลงอย่างไร้สาเหตุ
    ระยะแรก ๆ มนุษย์จะมันส์ในการรักษา
    แต่ช่วงหลังเงินเริ่มฝืดเคืองลงเรื่อยๆ เนื่องจากบุญของเรานั้นเอาไปชำระหนี้กรรมแทนเขาซึ่งทำให้บุญของเราหมดลง
    ซึ่งหลังๆ คนเคยมาปรึกษากับผมว่าทำไมหลังจากฝึกวิชานี้ไปแล้ว เริ่มรักษาคนเจ็บป่วยไปได้ระยะหนึ่ง
    หลังจากนั้น ชีวิตเขาแทนที่จะดีขึ้นกลับตกต่ำลงเรื่อยๆ
    ผมบอกเขาไปว่า

    "บุญกรรมไม่สามารถใช้แทนกันได้เลย เมื่อรักษาแบบวิธีนี้แล้วส่วนมากต้องทำบุญใหญ่ทับเสมอ"

    "การรักษาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องสนุก ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถหลบหนีจากระบบเจ้ากรรมนายเวรได้"

    "คุณจงรักษาตามวิธีของคุณไปเถอะครับ"
     
  4. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    การทำบุญสูงสุดคือบุญใหญ่ที่มีอานิสงค์มากที่สุดคือการปฏิบัติกรรมฐาน

    การเข้าฌานแล้วส่งผลบุญจากการเข้าฌานจึงเป็นบุญใหญ่ให้เจ้ากรรมนายเวร


    ขอย้ำว่า "บุญใหญ่สร้างได้ด้วยตัวคุณ โดยไม่ต้องจ่ายเงินอะไรให้ใครเลย"


    ****อย่าจ่ายเงินแก้กรรม****
    ขอย้ำ ปฏิบัติที่จิตคุณเอง คือ บุญใหญ่อานิสงค์สูงสุด
    เงินมีค่าบนโลกนี้ แค่ชาตินี้ แต่อดีตมา เงินเพิ่งมีมาไม่นาน
    แต่สำหรับโลกทิพย์แล้ว ความสุขสงบสูงสุดแห่งจิตมีค่าสูงสุด



    ***อย่าใช้เงินแก้ปัญหา ธรรมทุกอย่างสำเร็จที่ใจ***
     
  5. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ไม่มีใครหนีกรรมได้ ขอให้อดทนรับกรรม กรรมจะค่อยๆ
    เบาบางลงอย่างมาก เมื่อคุณปฏิบัติกรรมฐานส่งผลบุญ
    ให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ


    ที่สำคัญ "ไม่มีผู้วิเศษตนใด เหนือกฎแห่งกรรม และช่วยคุณพ้นกรรมได้"


    ****อย่าเสียเงินให้ผู้วิเศษ****




    จงใช้ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ปฏิบัติด้วยตัวคุณเอง คุณได้เอง รู้เอง
     
  6. ang

    ang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +183
    ขอบคุณมากครับ สำหรับคำแนะนำ
     
  7. midias

    midias เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +2,191
    ตอบเป็นข้อๆ

    - ถามว่าใส่เงินซองผ้าป่าเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ได้หวังว่าจะว่ากรรมจะเบาบางลง แล้วใส่เงิน ค่าซองผ้าป่าหรือกฐิน ทำไมครับ

    - เวลาที่เราอธิษฐานต่อหน้าซองผ้าป่าหรือปัจจัยถวายวัด ต่างๆ นั้น จะเป็นถุงเงินขึ้นไปข้างบนเมื่อใดก็ตามเราทำบุญแล้วอธิษฐานเพื่อตัวเอง จะถูก เจาะ ครั้ง ละ 1 รู เสมอ และหลายๆ รู บางคนใส่เงิน 20 บาท อธิษฐานให้ตัวเองยาวเป็นหางว่าว จะติดลบซะส่วนใหญ่ ตามบัญชีที่ถูกขอ แล้วคุณเองก็เช่นกัน เคยทำแบบนี้หรือเปล่าครับ
     
  8. โคมฉาย

    โคมฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    3,058
    ค่าพลัง:
    +26,744
    ฤาษี ปะทะ เทพ
    มนุษย์เดินดินอย่างโคมฉายต้องคอยติดตามอ่าน
    สนุกดีพระเจ้าข้า
    ข้อมูลแน่นดี
    (f)
     
  9. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ถึงสหายธรรมทุกท่น

    แต่แรกความรู้ที่มีอยู่ก็เป็นเช่น ทุกท่าน(ฤๅษีฯ) บุญที่อุทิศแล้วไม่มีวันหมด ยิ่งอุทิศยิ่งเพิ่ม บูญจากการภวนาเป็นบุญใหญ่ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
    ผมใช้ความรู้ที่มีบรรเทาความป่วยใข้ให้ผู้คน ไม่เคยสนใจกับญาติกรรมของผู้ใด ถือในอำนาจที่มี โรคภัยไข้เจ็บหายในพริบตา และยังใช้ความรู้นี้ดูแลตนเองด้วยอิทธิบาทสี่ ด้วยหวังความเป็นผู้มีอายุยืน

    แต่ในช่วงหลังๆผมกลับพบว่า มนุษย์สมบัติที่หล่อเลี้งตนอยู่ลดลง รวมถึงสุขภาพด้วย ถามว่าแล้วพลังในการรักษาโรคให้ผู้คนลงลงด้วยหรือไม่
    เปล่าเลย พลังยิ่งสมบูรณ์ การรักษายิ่งเร็วขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเฝ้าถามตัวเองอยู่ แต่ไม่ได้คำตอบ

    และแล้วผมได้พบคุณ Midias ท่านกล่าวว่า บุญที่มีอยู่(มนุษย์สมบัติ)กำลังจะหมด เหลือไม่มากแล้ว ให้ระวังตัวไว้ เหล่าเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่เรารักษา รอคอยขอแบ่งบุญจากตัวเราเองอยู่จำนวนมากสุดคนานับ ผู้ที่เป็นนายเวรเหล่านั้น ไม่อาจต้านอำนาจได้ต้องยอม และรอคอยการแจกบุญ เข้าแถวกันยาวเหยียดเหมือนกับที่มารอรับการโยนทานตามมูลนิธิต่างๆ และเมื่อของกำลังจะหมด ทุกคนกลัวไม่ได้รับ การแย่งกัน การรุมทึ้งย่อมปรากฏ ผู้เป็นเจ้าของบุญกระอักแน่ๆ

    สิ่งที่คุณ Midias กล่าว ไม่น่าเป็นไปได้ ผิดจากที่เคยรู้เคยได้ยินจากคูรบาอาจารย์ จะไม่เชื่อ หรือเชื่อ ก็เป็นความประมาททั้งสิ้น นั่งตรึกนอนตรึกเรื่องนี้อยู่นาน แล้วก็มาถึงบางอ๋ออออออออ ที่ว่า

    เมื่อเราทำบุญ ว่าโดยรวมสี่งที่ตั้งความปรารถนาคือ "มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ" เป็นที่ตั้ง สภาพสมบัติทั้งสามมีความแตกต่างกันมากในรูปธรรม นามธรรม
    สมบัติทั้งสามสามารถถอยพืดกลับเปลี่นกันได้ "ตามความปรารถของเจ้าของบุญ" ทว่าการปรับเปลี่ยนนั้นต้องใช้พลังงานที่มากอยู่และตัวแปรที่สำคัญคือระยะเวลา จึงจะถอยจากหยาบสู่ละะเอียด หรือจากละเอียดสู่หยาบ (สายธรรมกายรู้จัการกลั่นธาตุธรรมแบบนี้ดี ผู้ได้วิชชานี้สามารถกลั่นบุญจากบุญละเอียดสู่ความหยาบเป็นมนุษย์สมบัติได้ง่าย จะสังเกตุได้ว่าผู้ได้ธรรมกายที่ปรารถนาดูแลเลี้ยงญาติธรรม จะมีสมบัติมากทุกคน)

    เจ้ากรรมนายเวรที่ยอมละการผูกเวรยอมให้เรารักษาให้หายโดยง่ายเป็นเพราะเขาพบสี่งที่ดีกว่า ที่จะได้จากเรา ไม่ใช่จากคนใข้ เขาจึงยอมปล่อยมือแล้วมารอรับจากเราแทน ถ้าเรายังงี่เหง้าเหมือนเดิม ไม่ได้ทำของให้เขาใหม่(หยาบละเอียดเหมาะกับความต้องการของเขา) เขาจึงขอสิ่งที่เรามีอยู่เดิม ซ้ำความปรารถนาเดิมของเราที่ฝังอยู่ในใจ คือการแบ่งบุญให้ผู้เดือดร้อนอยู่ตรอดเวลา โดยเขาขอไปใช้ก่อนเพิ่อการเปลี่ยนภพภูมิของเขา ที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม(ไม่ใช่ไปเกิดใหม่แล้วแย่กว่าเดิม)

    และบุญส่วนหยาบที่เขาจะเอาโดยง่ายคือบุญใกล้ตัว คือมนุษย์สมบัติ ที่หล่อเลี้ยงตัวเองอยู่ ซึ่งจะถอยพืดลงมาเป็น สิ่งที่ใช้ในการดำรงค์ชีวิต เช่นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม อาหาร และท้านสุดก็คือโภคทรัพย์ทั้งปวง และชีวิตที่ดำรงกายขันณ์ความเป็นมนุษย์นี้อยู่ และนี่คือสาเหตุที่ตัวเองต้องต้องตกที่นั่งลำบากในทุกวันนี้

    ขอบคุณ คุณ Midias ที่กรุณาชี้แนะ

    บุญใดที่ได้กระทำดีแล้ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    คุณจงเป็นผู้ที่มีส่วนในบุญเหล่านั้นโดยสมบูรณ์พร้อม และอยู่เย็นเป็นสุขในกาลทุกเมื่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2007
  10. CHAYA MARUTY

    CHAYA MARUTY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +10,787
    (verygood) ผมว่าน่ะ ทำจิตให้สงบ ด้วย ทานเป็นเงินด้วย 50-50 ก็คือทำบุญให้ครบทุกอย่างล่ะดี โรคน่ะน๊ะ บางครั้งปวดท้อง ให้กินแต่ยาแก้ปวดหัว (เพราะมียาอยู่ชนิดเดียว คือทำบุญชนิดเดียว คือบำเพ็ญสมาธิอย่างเดียว) ปวดท้องมันก็ไม่หาย ทำบุญทำให้ครบทุกประเภท อันนี้ดีแน่นอน ส่วนใครจะเสียเงินให้ใคร อันนั้นขึ้นกับความศรัทาครับ แม้แต่เราไปวันแค่เราไปเวียนเทียนที่วัดธรรมดา ยังนึกอยากจะควักเงินบริจากเลย ยังไม่ได้แก้กรรมเลยน่ะ แล้วความอยากจะบริจากมาจากไหน ..... ก็ความศรัทานั้นเอง ทำบุญให้ครบทุกอย่างดีที่สุดครับ ..............................(f) วิหารทาน.....อภัยทาน.....ธรรมทาน ......สังฆทาน........ผ้าป่า......กฐิน..........กรรมฐาน........ฯลฯ เอาให้ครบ ดีที่ซู๊ด ๆๆๆๆๆๆๆๆ ทุก ๆ ท่าน ดีๆ กันทั้งนั้นน่ะ..............(bb-flower (bb-flower (bb-flower
     
  11. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    "ใครจะเสียเงินให้ใคร อันนั้นขึ้นกับความศรัทธาครับ"

    คุณชยา มารูตี้ พูดตลกดี เห็นด้วยละ
    ใครรักใครชอบใครก็ให้ไปเถอะ ตามศรัทธาท่านละกัน

    ๕๕๕๕๕
     
  12. โคมฉาย

    โคมฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    3,058
    ค่าพลัง:
    +26,744
    มนุษย์เดินดินอย่างโคมฉาย
    เชื่อว่าบุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป
    ไม่สามารถหักล้างกันได้
    เมื่อใดเราสร้างบุญ
    เมื่อนั้นเรามีกองบุญตั้งให้
    เมื่อใดสร้างบาปเมื่อนั้นกองบาปเพิ่มให้
    ไม่มีผู้ใดหรืออำนาจใดมาทำลายกองบุญได้
    รักษาคนเป็นบุญ
    ช่วยชีวิตคนมีคุณค่าอนันต์
    ส่วนเจ้ากรรมนายเวร ก็คือเจ้ากรรมนายเวร
    ไม่เกี่ยวกัน
    คุณกับคุณจองเวรกัน จะมาเกี่ยวอะไรกับผู้รักษา
    ตัวอย่าง
    ผู้รักษา(โคมฉาย)ได้รับมอบสิทธิให้มารักษาคนในนามของบรมครูผู้เป็นครูบาอาจารย์
    เมื่อผู้รับการรักษาขึ้นครู บูชาครู ครูท่านลงมารักษาในนามท่าน
    ใครจะจองเวรกับผู้รักษาอย่างโคมฉายไม่ได้ ถ้าผู้รับการรักษาไม่บูชาครู
    โคมฉายก็ไปขมาแล้วขึ้นขันครูให้ครูเอง ครูท่านก็ยังรับทราบว่าทำในนามท่าน
    ถ้าจะจองเวรต้องไปจองกับครูบาอาจารย์ น้องโคมไม่เกี่ยว
    ถ้ามายุ่งกับน้องโคมเดี่ยวน้องโคมดูดไปใส่หุ่นหมดนะจะบอกให้....)

    เจ้ากรรมนายเวรจะมายุ่งกับโคมฉายเมื่อไร
    คำตอบ เมื่อโคมฉายไปหลอกเอาเงินเค้า
    เมื่อโคมฉายไปใช้เหลี่ยมกับเค้า
    แต่มันก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรคนละรายกับเจ้ากรรมนายเวรเดิม
    นั้นคือเจอกรณีผิดครู เข้าให้
    ----------------------------------------------------------------
    พุทธองค์ทรงเมตตาชี้แนะ
    "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
    พระโมคคัลลา พระอรหันต์ที่ได้รับการรับรองว่าเปี่ยมไปด้วยบุญฤทธิ์
    ไม่หนีเจ้ากรรมนายเวร
    มานั่งรอให้ขุนโจรรุมตีจนร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ
    พระพุทธองค์ยังโดนกลิ้งหินเข้าใส่
    ยังไม่สามารถจะดื่มน้ำได้เมื่อตอนใกล้ปรินิพานเพราะน้ำขุ่นอันเป็นเศษกรรม
    มนุษย์มีอะไรเปรียบกับพุทธองค์ได้
    กรรมใครคนนั้นรับ
    วัวใครเข้าคอกคนนั้น
    โคมฉายก้มหน้ารับกรรมเก่า
    จนกว่าเจ้ากรรมนายเวรจะเลิกจองเวร
    แต่จะไม่จองกรรมเจ้ากรรมนายเวรต่อ
    เพื่อเป็นการระงับเวร
    ตามคำสอนของพุทธองค์
    เพราะมันเป็นเช่นนั้นแล
    บางครั้งอาจไปถามคนโน้นคนนี้
    เพราะต้องการรู้ว่า รู้จริงเปล่า หุหุ
    แต่ไม่เชื่อว่า จะหยุดเจ้ากรรมนายเวรได้
    ---------------------------------------------
    การหยุดเจ้ากรรมนายเวร
    1.ทำความดีจนเจ้ากรรมนายเวรยอมแพ้
    2.ใช้อำนาจที่เหนือกว่าไปบังคับเจ้ากรรมนายเวร
    ข้อแรกไม่ต้องอธิบาย
    ข้อสองอธิบายหน่อย
    อำนาจที่เหนือกว่าในความหมายนี้คือตบะที่เกิดจากการบำเพ็ญ
    ผู้มีอำนาจในฝ่ายนี้มีได้ทั้งฝ่ายเทพ ฝ่ายมาร ฝ่ายสัมภเวสี
    ถ้าบำเพ็ญญาณมา ที่เรียกว่าสายดำ สายขาว ถ้าผู้มีอำนจเหนือกว่าไปบังคับเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรต้องถอย เช่นกัน แต่ถ้าอำนาจของผู้มีอนาจเหนือกว่าเสื่อม มันจะเข้ามาอีก หรือถ้าร่างดวงตกมันจะแทรกเข้ามาอีกในรูปใดรูปหนึ่ง เพราะที่มันยอม นั้นยอมเพราะอำนาจที่เหนือกว่า จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุพระโมคคัลลา จึงไม่ใช้อำนาจที่เหนือกว่า เพราะท่านไม่ต้องการที่จะใช้ ท่านยอมรับในผลกรรมที่อดีตชาติเคยทุบตีบิดามารดา ซึ่งต่างกับพระอดีตนักฆาอย่างองค์คุลีมาน ที่ท่านใช้อำนาจที่เหนือกว่าหรืออาจเพราะอีกเหตุผลหนึ่งคือบุคคลที่ท่านเคยฆ่าเมื่อตอนเป็นจอมโจรนั้นคือผู้ที่เคยฆ่าท่านมาก่อน ซึ่งอันนี้เกินความสามารถที่จะบรรยาย ท่านเลยไม่ต้องรับกรรมทั้งปวงที่เป็นกรรมใหญ่ รับแต่ก้อนหินที่ญาตพี่น้องของบุคคลต่างๆขว้างเข้าใส่ พอประมาณ
    ----------------------------------------------------------------------

    อำนาจคือความดี
    เพราะโลกนี้อำนาจอยู่ที่ความดี
    มิใช่เงินตรา
    ผู้มีความดีสูงสุดคือพระอรหันต์
    ผู้มีความดีรองลงมาคือพระอริยเจ้า
    ตั้งแต่ชั้นโสดาเป็นต้นไป
    ผู้ที่เข้ากระแสความดีคือ
    ผู้ทียึดมั่นในพระรัตนตรัย
    ยึดมั่นในศีล สมาธิ ปัญญา
    พวกนี้ลงนรกไม่ได้ครับ
    ลงนรกเมื่อไรนรกแตก
    เพราะเป็นพวกมีอำนาจที่แท้จริง

    ผู้มีอำนาจสูงสุดในโลกนี้ต้งแต่อดีตถึงปัจุปันและอนาคต คือพระพุทธองค์ เพราะพระพุทธองค์ทรงถึงพร้อมซึ่งความดี และข้ามพ้นไปสู่การบรรลุสุดยอดแห่งความดี คือดับเพลิงกิเลสโดยสิ้นเชิงเป็นครูของมนุษย์ และเทวดาทั้งปวง
    ท่านยังมีหมอประจำตัวเลยครับ ก็คือองค์บรมครูปู่ชีวกโกมารภัทร์
    -------------------------------------
    ถ้าหากว่า เงินสามารถแก้เจ้ากรรมนายเวรได้
    คนอย่าง ทักษิณ คงทำไปแล้วครับ
    จะได้ไม่ต้องถูกเจ้ากรรมนายเวรยึดอำนาจและไล่ออกนอกประเทศและไม่ต้องบอกว่าเพราะทักษิณไม่รู้จักคุณ
    เพราะคุณก็คือคุณไง
    ยังไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริงในความดี
    ยังไม่เข้ากระแสพระอริยะ
    แม้แต่โคมก็เช่นกัน
    ทักษิณรู้จักพระมหาเถรที่มีคุณวิเศษมากมาย
    จนไม่สามารถอรรถาธิบายได้หมดว่ามีใครบ้าง
    แต่ไม่สามารถใช้อำนาจเงินแก้กรรมได้
    -------------------------------------------
    ใครมีกรรมมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ใครมีเจ้ากรรมนายเวรมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
    จงเร่งปฎิบัติ
    ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
    ให้เข้ากระแสอริยมรรค อริยผล เสียเถิด
    อย่าแสวงหาเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มอีกเลย
    ------------------------------------------
    ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับใคร
    แต่วันนี้อารมณ์ดี
    เลยเทศนาให้ฟังสัก 1 กัณฑ์
    เรื่อง..............อะไรหว่า หุหุ
     
  13. ประสงค์.

    ประสงค์. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +793
    12กค.ผมไปให้อ.ตาที่3ดูว่าทำไมชอบเจ็บแถวชายโครงอาจรย์บอกว่ากระดูกผมงอผิดปกติโดยงอเข้าถูกเส้นประสาท ผมเคยตกจากที่สูงตอนอายุ17คุณsuwiอยู่แถวนั้นพอดีเลยช่วยรักษาให้ โดยใช้มือทาบไปที่ผมเจ็บสักครู่เดียวก็หายเจ็บ ระหว่างรักษา อ.ตาที่3มองเห็นว่ามีพลังทำให้กระดูกผมอ่อนแล้วคุณsuwiจีงดัดกระดูกให้เข้าที่ ทำให้ผมเวลานั่งนานๆไม่เคยเจ็บอีก ต้องขอขอบคุณอย่างมาก โดยคุณsuwiรักษาให้ผมในครั้งนี้ไม่ทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรแอบไปเกาะคุณsuwiแทนหรือเปล่า ขออภัยด้วยครับ
     
  14. Bajang

    Bajang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +1,268
    อิ อิ วันนี้ ท่านพี่มาชุดใหญ่เลย โมทนาบุญด้วยครับ
     
  15. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    เรียนคุณโคมฉาย

    เมื่อก่อนผมก็เชื่อเหมือนกับคุณว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ลดทอนหักล้าง
    กันไม่ได้ ตราบเมื่อได้อ่านเทศนา "หลวงพ่อจรัล" เรื่อง "กรรมฐานแก้กรรม"
    จากนั้น ก็มีสหายธรรมแนะนำให้ผมแก้กรรมที่ได้รับอยู่ แล้วก็สามารถทำได้
    สำเร็จจริงๆ คือ เหลือเศษกรรมอยู่ไม่มากที่ต้องรับ จึงเริ่มเปิดใจเชื่อคำเทศนา
    ของ "หลวงพ่อจรัล"


    เรียนคุณประสงค์

    กรรมและวิบากกรรมนั้น ไม่อาจทำนายได้แน่ชัด เป็นอจิณไตย ดังนั้น เมื่อ
    คุณได้รับการรักษา หาใช่ว่าคนรักษาจะต้องรับเคราะห์แทนเสมอไป เนื่อง
    จากอาจเป็นเพราะว่าคุณหมดวาระรับวิบากกรรมนั้นพอดี แล้วจึงได้พบคน
    ที่ให้การช่วยเหลือได้


    ในการช่วยเหลือคนนั้นต่างกัน

    ๑. เทวดาสะสมบุญ ก็ช่วยสารพัดช่วย แต่ไม่เดือดร้อนตนเอง
    ๒. พรหมองค์เล็กๆ ช่วยทั่วไป เฉพาะที่ไม่เดือดร้อนตนเอง
    ๓. พรหมองค์ใหญ่ๆ ช่วยเฉพาะคนที่บุญสัมพันธ์ นับถือตน
    ๔. พระโพธิสัตว์ ช่วยหมด แม้นว่าตนเองจะต้องเดือดร้อน
    ๕. พระอรหันต์ ช่วยโดยใช้สติปัญญาพิจารณาว่าควรช่วย
    ๖. พระพุทธะ ช่วยโดยไม่ละเมิดกฎแห่งกรรม (เช่น พระพุทธเจ้า)


    ระดับความสามารถในการช่วย การหวังผลตอบแทนหรือไม่
    และขอบเขตในการช่วยของแต่ละท่านจะแตกต่างกัน ประมาณนั้น
     
  16. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    <CENTER>กฎแห่งกรรม โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัล) </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->กฎแห่งกรรม


    ปัจจุบันคนเริ่มสงสัยในเรื่องกฎแห่งกรรม และบางคนก็ไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ ถึงกับมีคนเขียนเป็นคำกลอนว่า คนทำดีได้ดีมีที่ไหน คนทำชั่วได้ดีมีถมไป

    ในเรื่องกฎแห่งกรรม ได้กล่าวถึงอันตรายที่เกิดแก่สัตว์โลก ๕ อย่างคือ

    ๑. กิเสสันตราย อันตรายอันเกิดจากกิเลส

    ๒.กัมมันตราย อันตรายอันเกิดจากความชั่วที่ทำในปัจจุบัน

    ๓. วิปากันตราย อันตรายอันเกิดจากวิบาก คือ ผลของกรรมที่ทำในอดีต

    ๔. ทิษฐันตราย อันตรายอันเกิดจากทิฐิที่ผิด

    ๕. อริยูปวันตราย อันตรายที่เกิดจากการจ้วงจาบพระอริยเจ้า

    พระพุทธศาสนาสอนว่า บุคคลจะได้ดีหรือชั่ว ได้รับสุขหรือทุกข์ ก็เพราะกรรม หรือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น หากเราไม่ดำเนินตาทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ แม้จะสวดมนต์หรือวิงวอนขอร้อง ก็ไม่อาจจะช่วยให้เราพบความดีและความสุขได้ ถ้ามนุษย์จะมีความสุขได้ด้วยความภักดีและวิงวอน มนุษย์เราก็คงไม่ต้องทำอะไร



    ความเชื่อในเรื่องกรรม

    ตามคำสอนในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธควรมีศรัทธา ๔ อย่างคือ

    ๑.ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือเชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้จริง เป็นผู้ประกอบด้วยพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคณ และพระมหากรุณาธิคุณ

    ๒. กัมมสัทธา เชื่อเรื่องกรรม คือเชื่อว่ากรรมมีจริง

    ๓. วิปากสัทธา เชื่อเรื่องผลของกรรม คือเชื่อว่ากรรมที่บุคคลทำไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมให้ผลเสมอ

    ๔. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือเชื่อว่าผลที่เราได้รับ เป็นผลแห่งการกระทำของเราเอง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติ

    จะเห็นได้ว่าความเชื่อหรือศรัทธา ๔ อย่าง เป็นความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับกรรม กฎแห่งกรรมจึงเป็นคำสอนที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนจึงควรเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ควรพยายามศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม ชาวพุทธที่ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมหาใช่ชาวพุทธที่แท้จริงไม่ เขาเป็นเพียงชาวพุทธแต่เพียงในนาม ศาสนาพุทธมีประโยชน์แก่เขาเพียงใช้กรอกแบบฟอร์ม เพื่อไม่ให้ถูกว่าเป็นคนไม่มีศาสนาเท่านั้นเอง

    คนที่เชื่อในเรื่องกรรม ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เชื่อ คนที่เชื่อเรื่องกรรมย่อมสามารถอดทนรับความทุกข์ยากลำบาก ความผิดหวัง ความขมขื่น และเคราะห์ร้ายที่เกิดแก่ตนได้ เพราะถือว่าเป็นกรรมที่ทำมาแต่อดีต ไม่ตีโพยตีพายว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำดีแล้วไม่ได้ดี คนที่เชื่อในเรื่องกรรมจะยึดมั่นอยู่ในการทำความดีต่อไป จะเป็นผู้สามารถให้อภัยแก่ผู้อื่น และจะเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ

    คนที่ประกอบกรรมทำชั่วทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนใหญ่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด คนพวกนี้เกิดมาจึงมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติและความสุขสบายให้แก่ตัว โดยไม่คำนึงว่าทรัพย์สมบัติหรือความสนุกสนานที่ตนได้มาถูกหรือผิด และทำให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อนหรือไม่

    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมนั้นย่อมเป็นของเราโดยเฉพาะ และเราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้ เช่น เราทำกรรมชั่วอย่างหนึ่ง เราจะต้องรับผลของกรรมชั่วนั้น จะลบล้างหรอโอนไปให้ผู้อื่นไม่ได้ แม้ผู้นั้นจะยินดีรับโอนกรรมชั่วของเราก็ตาม กรรมดีก็เช่นเดียวกัน ผู้ใดทำกรรมดี กรรมดีย่อมเป็นของผู้ทำโดยเฉพาะ จะจ้างหรือวานให้ทำแทนกันหาได้ไม่ เช่นเราจะเอาเงินจ้างผู้อื่นให้ประกอบกรรมดี แล้วขอให้โอนกรรมดีที่ผู้นั้นทำมาให้แก่เราย่อมไม่ได้ หากเราต้องการกรรมดีเป็นของเรา เราก็ต้องประกอบกรรมดีเอง เหมือนกับการรับประทานอาหาร ผู้ใดรับประทานผู้นั้นก็เป็นผู้อิ่ม

    มนุษย์เรามีภาวะความเป็นไปต่าง ๆ กัน เช่น ดีหรือชั่ว รวยหรือจน เจริญหรือเสื่อม สุขหรือทุกข์ ก็เนื่องจากกรรมของตนเองทั้งสิ้น และกรรมใดที่ทำลงไปจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมให้ผลตอบแทนเสมอ และย่อมติดตามผู้ทำเสมือนเงาติดตามตน หรือเหมือนกับล้อเกวียนที่หมุนตามรอยเท้าโคไปฉะนั้น ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย หากเราทำกรรมดีเราก็ได้รับความสุขความเจริญ กรรมดีจึงเหมือนกัลยาณมิตรที่คอยให้ความอุปการะ และส่งเสริมให้เราประสบแต่ความสุขและความเจริญ แต่ถ้าเราทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็คอยล้างผลาญเราให้ประสบแต่ความทุกข์และความเสื่อม



    ความหมายและชนิดของกรรม

    คนส่วนมากเข้าใจว่ากรรมคือการกระทำ ความเข้าใจนี้ไม่ผิด แต่เป็นความเข้าใจที่ยังไม่รัดกุมและถูกต้องทั้งหมด เพราะมีการกระทำบางอย่างที่ไม่นับว่าเป็นกรรม กรรมแท้จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการ คือ ผู้ทำมีเจตนา และการกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ที่ว่าผู้ทำมีเจตนา มีหลักการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ใน นิพเพธิกปริยายสูตร ฉักกนิมาต อังคุตตรนิกายว่า

    เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม

    เจตนาก็ได้แก่ ความตั้งใจหรือความรับรู้ ซึ่งแบ่งไว้เป็น ๓ อย่างคือ

    ๑. บุรพเจตนา เจตนาก่อนทำ

    ๒. มุญจนเจตนา เจตนาในเวลาทำ

    ๓. อปราปรเจตนา เจตนาเมื่อได้ทำไปแล้ว

    การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรม เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม

    ส่วนหลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนยังมีความยึดมั่นในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอ กรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญ ส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป

    คนบางคนเข้าใจว่ากรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ ทั้งนี้เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงการกระทำตามที่กล่าวมาแล้ว จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ ถ้าเป็นกรรมดี เราก็เรียกว่า กุศลกรรม ถ้าเป็นกรรมชั่ว เราก็เรียกว่า อกุศลกรรม

    กรรมอาจจะจำแนกออกได้เป็นหลายประเภท หากแบ่งตามทางที่ทำก็แบ่งเป็น ๓ ทาง ได้แก่

    ๑. กายกรรม กรรมที่ทำทางกาย

    ๒. วจีกรรม กรรมแสดงออกทางวาจา

    ๓. มโนกรรม กรรมทางใจ

    ในกรรมบถ ๑๐ แบ่งกรรม ๓ ทางนั้นเป็นฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล แต่ละฝ่ายมีรายละเอียดของกรรมหรือการกระทำดังนี้

    กายกรรมหรือกรรมทางกาย แบ่งเป็นฝ่ายละ ๓ คือ

    ๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และผิดประเวณี

    ๒. ฝ่ายกุศล คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ และเว้นจากการผิดประเวณี

    วจีกรรม แบ่งเป็นฝ่ายละ ๔ คือ

    ๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

    ๒. ฝ่ายกุศล ได้แก่ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

    มโนกรรม แบ่งเป็นฝ่ายละ ๓ คือ

    ๑. ฝ่ายอกุศล ได้แก่ เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น ปองร้าย และเห็นผิดจากคลองธรรม

    ๒. ฝ่ายกุศล ได้แก่ ไม่เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น ไม่ปองร้าย และเห็นชอบตามคลองธรรม

    ตามที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าแม้แต่การนึกคิดก็จัดว่าเป็นกรรมแล้ว เช่นเราคิดจะลักทรัพย์หรือทำร้ายคนอื่น แม้จะยังไม่ลงมือทำก็ถือเป็นกรรมชั่วแล้ว ซึ่งจะต้องมีผลตอบแทนแล้ว ผิดกับการลงโทษตามกฎหมายอาญา ซึ่งจะลงโทษได้ก็ต่อเมื่อผู้กระทำ ได้เตรียมการหรือลงมือกระทำแล้วเท่านั้น ลำพังความคิดที่จะกระทำความผิดยังหามีโทษไม่ ตามที่กฎหมายอาญาไม่เอาโทษการคิดที่จะกระทำความผิด ก็เพราะเป็นการยากที่จะพิสูจน์ความนึกคิดของบุคคล และเห็นว่ายังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่หลักของกรรม ถือความคิดชั่วเป็นความผิด ก็เนื่องจากว่าแม้ว่าคนอื่นยังไม่เสียหาย ผู้คิดเองก็เสียหาย ฉะนั้นจึงต้องมีวิบากติดตามมา จะเห็นได้ว่า การสนองผลของกรรมมีขอบเขตกว้างขวางกว่าการลงโทษของกฎหมายบ้านเมืองมาก



    กรรม ๑๒ ประเภท

    ในหนังสือวิสุทธิมรรค ซึ่งแต่งโดยพระพุทธโฆษาจารย์ พระเถระชาวอินเดีย ได้แบ่งกรรมไว้ ๑๒ ประเภท ตามกาลเวลา ตามหน้าที่ และตามความหนักเบา



    กรรมให้ผลตามเวลา

    ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาตินี้

    ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติหน้า

    ๓. อปราปรเวทนียกรรม กรรมให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป

    ๔. อโหสิกรรม กรรมที่เลิกให้ผล คือให้ผลเสร็จไปแล้ว หรือหมดโอกาสจะให้ผลต่อไป



    กรรมให้ผลตามหน้าที่

    ๕. ชนกกรรม กรรมที่แต่งมาดีหรือชั่ว

    ๖. อุปถัมภกกรรม กรรมที่สนับสนุน คือ ถ้ากรรมเดิมหรือชนกกรรมแต่งดี ส่งให้ดียิ่งขึ้น กรรมเดิมแต่งให้ชั่ว ก็ส่งให้ชั่วยิ่งขึ้น

    ๗. ปุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้นหรือขัดขวางกรรมเดิม คอยเบียนชนกกรรม เช่นเดิมแต่งมาดี เบียนให้ชั่ว เดิมแต่งมาชั่ว เบียนให้ดี

    ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน เป็นกรรมพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เช่นเดิมชนกกรรมแต่งไว้ดีเลิศ กลับทีเดียวลงเป็นขอทานหรือตายไปเลย หรือเดิมชนกกรรมแต่งไว้เลวมาก กลับทีเดียวเป็นพระราชาหรือมหาเศรษฐีไปเลย



    กรรมให้ผลตามความหนักเบา

    ๙. ครุกรรม กรรมหนัก กรรมฝ่ายดี เช่น ทำสมาธิจนได้ฌาน กรรมฝ่ายชั่ว เช่นทำอนันตริยกรรม มีฆ่าบิดามารดาเป็นต้น เป็นกรรมที่จะให้ผลโดยไม่มีกรรมอื่นมาขวางหรือกั้นได้

    ๑๐. พหุลกรรม กรรมที่ทำจนชิน

    ๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่ทำเมื่อใกล้ตาย หรือที่เอาจิตใจจดจ่อในเวลาใกล้ตาย อาสันนกรรม ย่อมส่งผลให้ไปสู่ที่ดีหรือชั่วได้ เปรียบเหมือนโคแก่ที่อยู่ปากคอก แม้แรงจะน้อย แต่เมื่อเปิดคอกก็ออกได้ก่อน

    ๑๒. กตัตตากรรม กรรมสักแต่ว่าทำ คือ เจตนาไม่สมบูรณ์ อาจจะทำด้วยความประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็อาจส่งผลดีร้ายให้ได้เหมือนกัน ในเมื่อไม่มีกรรมอื่นจะให้ผลแล้ว



    เหตุที่คนคิดว่าทำดีไม่ได้ดี

    มีคนบางคนที่ทำกรรมชั่ว แต่กลับปรากฏว่าเป็นคนร่ำรวย มีอำนาจวาสนา มีคนเคารพยกย่อง ส่วนคนบางคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันขันแข็ง กลับยากจน มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก หรือคนบางคนไม่ค่อยทำงานอะไร คอยประจบสอพลอและรับใช้เจ้านาย กลับได้ดี ได้เลื่อนเงินเดือนและตำแหน่ง ส่วนคนบางคนตั้งใจทำงานแต่ไม่ประจบเจ้านาย ไม่ค่อยรับใช้คุณหญิงคุณนายของเจ้านาย กลับไม่ได้ดี จึงทำให้คนคิดไปว่ากฎแห่งกรรมจะไม่จริง คำสั่งสอนที่ว่า

    กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    คงจะไม่เป็นความจริงเสียแล้ว การที่บางคนเห็นว่าทำดีไม่ได้ดี หรือทำชั่วไม่ได้ชั่ว เนื่องจากไม่เข้าใจ ๒ ประการ

    ประการแรก ไม่เข้าใจในเรื่องการให้ผลของกรรม

    ประการสอง ไม่เข้าใจในความหมายของคำว่าได้ดีและได้ชั่ว



    การให้ผลของกรรม

    การให้ผลของกรรมมีสองชั้น คือ การให้ผลของกรรมชั้นธรรมดาอย่างหนึ่ง และการให้ผลของกรรมในชั้นศีลธรรมอีกอย่างหนึ่ง การให้ผลของกรรมชั้นธรรมดา เป็นการให้ผลโดยไม่คำนึงถึงว่าถูกหลังความชอบธรรมหรือไม่ เช่นนาย ก. โกงเงินหลวง หรือขโมยทรัพย์มา นาย ก. ก็จะได้เงินนั้นมา และถ้านาย ก. ใช้เงินซื้อบ้าน นาย ก. ก็จะได้อยู่บ้านนั้น นี่เป็นการให้ผลของกรรมชั้นธรรมดา แต่การให้ผลของกรรมหาได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นไม่ กรรมที่ทำลงไปยังจะให้ผลในชั้นศีลธรรมอีก คือ ถ้าทำดีจะต้องได้รับผลดีอย่างแน่นอน และถ้าทำชั่วก็จะต้องได้รับผลชั่วอย่างหลีกไม่พ้น

    กรรมบางอย่างอาจจะให้ผลในชาตินี้ เรียกว่า ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม กรรมบางอย่างอาจจะให้ผลในชาติหน้า ที่เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมบางอย่างอาจจะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป ที่เรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม

    การปลูกพืชหรือต้นไม้ ไม่ใช่พอวางเมล็ดลงไปในดิน พืชหรือต้นไม้จะขึ้นและให้ผลทันที พืชบางอย่างก็ให้ผลเร็ว พืชบางอย่างก็ให้ผลช้าเป็นปี ๆ เช่นข้าว เพียง ๔-๕ เดือนก็ให้ผล แต่ต้นมะพร้าวหรือทุเรียน กว่าจะให้ผลก็ใช้เวลาถึง ๕ ปี

    การที่คนทำความชั่วยังได้ดีมีสุขอยู่ จึงเป็นเพราะกรรมชั่วยังไม่ให้ผล กรรมดีที่เขาเคยทำยังเป็น อุปัตถัมภกกรรม คอยสนับสนุนอยู่ เมื่อใดที่กรรมดีอ่อนกำลังลง กรรมชั่วก็จะมาเป็น อุปฆาตกรรม ทำให้ผู้นั้นต้องเปลี่ยนสภาพไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เช่นเศรษฐีอาจจะต้องเป็นยาจก เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจวาสนา อาจจะถูกฟ้องร้องต้องโทษจำคุก หรือต้องเที่ยวหลบหนีเร่ร่อนไม่มีแผ่นดินจะอยู่

    คนที่ไม่เชื่อเรื่องของกรรม มักจะมองเห็นผลของกรรมชั้นธรรมดา เป็นผู้มีสายตามืดมัว มองไม่เห็นการให้ผลของกรรมชั้นศีลธรรม บุคคลเหล่านี้มักจะเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องตายแล้วเกิด คิดว่าคนเราเกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียว ก็สิ้นสุดลง คนพวกนี้เมื่อทำความชั่วและความชั่วยังไม่ให้ผลก็คิดว่าตนเป็นคนฉลาด ดูถูกพวกที่เชื่อเรื่องกรรมว่าเป็นคนโง่ งมงาย คนพวกนี้เหมือนคนที่กินขนมเจือยาพิษ ตราบใดที่ยาพิษยังไม่ให้ผลก็คิดว่าขนมนั้นเอร็ดอร่อย สมตามพุทธภาษิตที่ว่า

    มธุวา มญฺญติ พาโล ยาว ปาปํ น มุจฺจติ คนโง่ย่อมจะเห็นบาปเป็นน้ำผึ้ง ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล

    การให้ผลของกรรม อาจแบ่งเป็นการให้ผลทางจิตใจ และการให้ผลทางวัตถุ

    การให้ผลทางจิตใจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ทำโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น เมื่อทำไปแล้วก็ได้รับผลทันที คือเมื่อทำกรรมดี ก็จะได้รับความสุขความปีติ แต่ถ้าทำกรรมชั่ว ก็จะทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นทุกข์ ส่วนการให้ผลทางวัตถุเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น จะทำให้ได้ดียากมาก

    คนทำดี จะให้ได้ดีทางวัตถุ ต้องประกอบด้วยหลัก ๔ ประการคือ

    ๑. คติสมบัติ ทำดีให้ถูกสถานที่

    ๒. อุปธิสมบัติ ทำดีให้ถูกตัวบุคคล

    ๓. กาลสมบัติ ทำดีให้ถูกเวลา

    ๔. ปโยคสมบัติ ต้องทำดีให้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ

    การที่คนทำกรรมดีและหวังผลดีในทางด้านวัตถุ เช่น หวังลาภ ยศ และสรรเสริญ แต่ไม่ได้รับผลดีตามต้องการ อาจจะเพราะไม่เข้าตามหลัก ๔ ประการข้างต้น คือ ไปทำความดีกับบุคคลที่ไม่มีความดี เช่น เราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่เจ้านายของเราเป็นคนคอรัปชั่น การทำความดีของเราย่อมไม่เป็นที่ชื่นชมของเจ้านายของเรา การทำดีกับบุคคลเหล่านี้ก็ไม่ผิดอะไรกับเอาเมล็ดพืชทิ้งลงไปบนหิน หรือพื้นดินแห้งแล้ง ฉะนั้นการทำความดีเราควรจะหวังผลในทางจิตใจมากกว่าวัตถุ บางคนอาจจะ ทำความดีจริงแต่อาจจะทำไม่ถึงดี คือ ทำดีเพียงเล็กน้อยแล้วก็หวังผลแห่งความดีนั้น เมื่อไม่ได้รับผลตอบแทนก็หมดกำลังใจ แล้วก็บอกว่าทำดีไม่เห็นได้ดี คนพวกนี้เหมือนคนปลูกพืชรดน้ำพรวนดินนิดหน่อย ก็หวังที่จะให้พืชได้ผล

    ความหมายของคำว่าได้ดีและได้ชั่ว ในทางโลกและทางธรรม มีความหมายแตกต่างกัน

    ในทางโลก มักจะมองเห็น การได้ดีและได้ชั่วเป็นเรื่องทางวัตถุ เมื่อกล่าวว่าคนนั้นได้ดีก็มักจะหมายความว่า ผู้นั้นได้ลาภและยศ เช่นได้ทรัพย์สมบัติ ได้อำนาจวาสนา หรือได้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เมื่อไม่ได้สิ่งเหล่านี้ก็เข้าใจว่าไม่ได้ดี

    ในทางธรรม การได้ดีหรือได้ชั่วเป็นเรื่องของจิตใจ การได้ดีหมายถึง การทำให้จิตใจดีขึ้น ทำให้ธาตุแห่งความดีในตัวเองเรามีมากขึ้น ทำให้จิตใจของเราสะอาด สว่าง สงบยิ่งขึ้น ส่วนการได้ชั่ว หมายถึงการทำให้จิตใจต่ำลง เลวลง ทำให้จิตใจมืดมัวยิ่งขึ้น คำว่าได้ดีจึงความถึงความดี และคำว่าได้ชั่ว จึงหมายถึงความชั่ว หากเราจะพูดว่า ทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่ว ก็จะทำให้เข้าใจในเรื่องได้ดีและได้ชั่วดีขึ้น

    บุคคลที่กระทำกรรมอะไรลงไป ย่อมจะได้รับผลในทางจิตใจทันที เมื่อทำกรรมดี เช่น ทำบุญตักบาตร ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ก็จะทำให้จิตใจดีขึ้น มีความปีติ และความสุขในกรรมดีที่ตนทำ ในเมื่อกรรมที่ทำเป็นกุศลกรรมจริง ๆ คือทำด้วยจิตใจที่เป็นกุศล ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ด้วยความโลภหรือด้วยอกุศลเจตนา หรือหวังผลตอบแทน
     
  17. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
  18. โคมฉาย

    โคมฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    3,058
    ค่าพลัง:
    +26,744
    เรียนคุณโคมฉาย

    เมื่อก่อนผมก็เชื่อเหมือนกับคุณว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ลดทอนหักล้าง
    กันไม่ได้ ตราบเมื่อได้อ่านเทศนา "หลวงพ่อจรัล" เรื่อง "กรรมฐานแก้กรรม"
    จากนั้น ก็มีสหายธรรมแนะนำให้ผมแก้กรรมที่ได้รับอยู่ แล้วก็สามารถทำได้
    สำเร็จจริงๆ คือ เหลือเศษกรรมอยู่ไม่มากที่ต้องรับ จึงเริ่มเปิดใจเชื่อคำเทศนา
    ของ "หลวงพ่อจรัล"
    .........................................................
    ผมทำให้เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า
    บุญ บาป กรรม
    กรรมฐานของหลวงพ่อแก้กรรม
    ไม่ได้แก่บาปแก้บุญ แต่เป็นการสร้างกองบุญ
    ที่หลวงพ่อสอนก็คือการทำดีจนเจ้ากรรมนายเวรยอมถอนตัว
    การทำความดีของหลวงพ่ออาจเป็นการสวดมนต์
    หรือนั่งกรรมฐาน
    เป็นการปฎิบัติของผู้ที่ประสงค์จะแก้กรรม
    อาจหาย หาย หรือไม่หาย ก็ได้
    ถ้าเจ้ากรรมนายเวรพอใจ ก็หาย
    หรือมีอำนาจพุทธเกิดขึ้นในตัวถ้าเป็นกรรมเล็กน้อยๆก็หาย
    บางอย่างก็หนีไม่พ้น
    เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อไปประสบมา
    ที่ท่านเล่าให้ฟังนะครับ
    --------------------

    บุญก็คือบุญ
    บาปก็คือบาป
    เจ้ากรรมนายเวรหรือกรรมก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
    ถ้าจะหนีบาปก็ต้องสร้างบุญให้มากและต่อเนื่อง
    แต่หนีกรรมไม่ได้ ยกเว้นสร้างกองบุญที่เกิดจากกรรมฐาน
    หรือกองบุญที่เกิดจากการสวดมนต์ หรือประการอื่นที่
    เป็นที่พอใจแก่เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งส่วนใหญ่คือการสร้างบุญ
    --------------------------
    แต่มิได้หมายความว่าบุญไปลดบาปครับ
    ---------------------------
    ถ้าท่านเป็นภิกษุ
    อย่าได้ถือโทษโกรธกัน
    ถือว่าแลกเปลี่ยนความเห็น
    จากมุมมองปุถุชนคนเดินดิน
     
  19. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    ขอไม่สรุปนะครับ เพราะให้ข้อมูลแล้ว
    ขอเชิญท่านสาธุชนศึกษาด้วยวิจารณ
    ญาณของตนเอง ไม่ขอชี้นำนะครับ


    คำตอบอยู่ที่ตัวท่าน ข้าพเจ้านำข่าวสารมาให้เท่านั้น
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สาธุๆ ขออนุโมทนา กับทุกท่าน
    ทุกคนต่างมีมุมมอง และความเชื่อถือ อาจต่างกันไปบ้าง
    ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก สุดท้ายก็จะมาบรรจบเป็นทางเดินเดียวกัน

    พุทธวิธี แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมเป็นเอก
    กาลเวลาไม่อาจเปลี่ยนแปลงพระสัจธรรมของพระองค์
    ให้คลาดเคลื่อนบิดเบือนไปได้ เพราะธรรม คือความจริง
    อันพิสูจน์ได้ และมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

    (f) ขอความสุข ความเข้าใจอันดีงาม ความรักใคร่กลมเกลียวกัน จงบังเกิดใน พลังจิต.คอม ทุกกระทู้เทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...