สอบอารมณ์ ไม่เข้าใจ ทำไปทำไม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย BossTH, 25 มีนาคม 2012.

  1. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    คนพุทธด้วยกันเองนี่ก็แปลกนะครับ ชอบทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ
    แก้กรรมสารพัดวิธี นับถือโน่น นี่ นั่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันไม่เอา
    ไปเอาพระพุทธเจ้าองค์ที่ยังมาไม่ถึง พิธีกรรมสารพัดก่อนทำบุญ
    พระรุ่นมีแล้วร่ำรวยต่าง ๆ ตระกรุด พระศิวะ พระพิฆเนศ ฯลฯ
    ต้องบูชาเทพ เทวดา บูชาพระกันด้วย ต้องเอาให้หมด
    และหนึ่งในนั้นก็คือ การสอบอารมณ์


    มีในพระไตรปิฏกส่วนไหนหรือครับ คำนี้ วิธีนี้ เห็นชอบกันจังคำนี้ "สอบอารมณ์"
    พระอาจารย์ท่านไหนคิดครับ

    พระอาจารย์ท่านนี้ว่าอย่างงี้ ท่านนั้นบัญญัติอย่างงั้น เละเทะกันไปหมด

    ผมเคยคุยกับพระหลายรูป ต่างสถานที่ฝึกกัน ถาม ตอบ เรื่องสอบอารมณ์กับผม
    คุยไปคุยกันมา ไม่คุยกันเลย มาบอกว่า เนี่ยผมต้องไปเข้ากรรมฐานของจริง
    นั่งเองไปไม่ถึงหรอก นั่งเองจะไปได้อะไร ต้องมีพระอาจารย์นั้นนะ นี้นะ
    โน่นเก่งนะ ต้องผ่านการสอบอารมณ์ทุกวัน ฟังท่านคุย ผมก็งงว่าเดี๋ยวนี้มี
    การให้คะแนนกันด้วยหรือ (นี่ไม่ใช่ข้อสอบนะ) คุยไปคุยมา อ้าว ไปยึดติด
    กับคำว่า "สอบอารมณ์" ซะแล้วนี่ ไปยึดติดกับอาจารย์อย่างหนักเลยที่นี้
    ยึด 2 ยึดและ เลยเถิดไปถึง ต้องสอบอารมณ์ให้ผ่านทุกวัน ๆ แข่งขันกัน
    ในหมู่พระที่ปฏิบัติด้วยกัน เลยเถิดไปถึงการข้ามสำนักกันไปอีก

    ผมไม่เชื่อตามพระอาจารย์ของพวกเค้า เค้าก็เลยไม่คุยกับผมต่อเพราะหา
    ว่าดูถูก (อ้าว ก็ผมบอกแล้วว่า ผมเชื่อพระพุทธเจ้า องค์เดียวเท่านั้นจริง ๆ)

    เลยเถิดไปถึง ฆราวาส โต้เถียงกันว่าพระอาจารย์ของชั้น ดีกว่าของเธอ
    ของเธอนั่นแหละสู้ของชั้นไม่ได้ เพราะของชั้น มีข้อกำหนด (บัญญัติ)
    ดีกว่าของใคร ๆ ทั้งหมด (เอาเข้าไป)

    กว่าพระพุทธเจ้า สมณโคดม จะตรัสรู้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้
    เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่ท่านไม่ได้บัญญัติไว้ แสดงว่า ท่านเห็นโทษ มากกว่าประโยชน์
    แล้วทำไม คนพุทธถึงต้องมีบัญญัติอะไรเพิ่มเติมเข้าไปอีก เป็นการลดทอนอายุ
    พระศาสนา

    ทำไมต้องคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ท่านคือผู้รู้ดีที่สุดแล้วไม่มีใครรู้ยิ่งกว่า

    ทั้งพระอาจารย์และลูกศิษย์พากันหลงทางไปหมด อยากดี อยากเด่น อยากดัง
    หวังดีแปลก ๆ เลยต้องบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ

    การที่มีบัญญัติอะไรเพิ่มเติมเข้ามาแสดงว่าคนหรือพระที่บัญญัติเพิ่มนั้น สงสัยในตัว
    พระพุทธเจ้า ว่าอาจลืมทำหรือครับ พระพุทธเจ้าไม่มีทางลืมหรอกครับ

    คนหรือพระสงฆ์ ที่ทำการบัญญัติอะไรก็ตามนอกเหนือจากที่พระศาสดาของเรากำหนด
    แสดงว่าเค้าขาดศรัทธาอย่างแรงกล้าในตัวพระพุทธเจ้า จึงเห็นว่า มีทางอื่นที่ดีกว่า
    เห็นทางที่จะไปมากกว่า ตัวเค้าเองรู้ดีกว่า จึงกล้าบัญญัติเพิ่ม

    บางคนถึงขั้นบอกว่า ถ้าทำตามแค่ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ยังไม่เพียงพอ ท่านจะยังไม่ลงมาโปรดนะ
    o_O"

    หากกตัญญูกับพระพุทธเจ้ากันจริง ๆ ต้องเชื่อท่านซิครับ พิสูจน์ให้ถึงที่สุด
    แล้วศรัทธาแบบไม่ต้องสงสัยเลยก็จะมาเอง โดยไม่ต้องให้มีใครมาชี้นำได้

    สมัยนี้ การกตัญญูกับพระพุทธเจ้า จึงต้องบัญญัติกันเพิ่มหรือครับ (งง)

    หากทำตามพระพุทธเจ้าบัญญัติโดยครบถ้วน เห็นผลแน่นอนครับ
    ชาตินี้เลยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

    คนพุทธ ทำแต่สิ่งที่ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้ากันเต็มไปหมดเลย ทุกวันนี้
    เจอใครทำผิดคำสอน ก็จะเตือนแต่ไม่เถียงด้วยครับ เพราะจะกลายเป็น
    ไปลบหลู่พระอาจารย์ของท่านนั้น ๆ

    เห็นแล้วก็เศร้าครับ ทุกวันนี้ก็เลยได้แต่ดูจิตของตัวเองไปทุกวัน ๆ

    ทำอะไรไม่ได้เลย ก็เลยได้แต่เป็นห่วง รุ่นลูก รุ่นหลาน ต่อไปในอนาคต
    จะเดินหนีจากคำสอนของพระพุทธเจ้ากันไปอีกมาก และนานแค่ไหน
    ก็ได้แต่ฝากให้ช่วยกันคิดนะครับ
     
  2. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    สำหรับผมนะครับ ......การสอบอารมณ์ ก็คือการดูว่าเราอยู่ ณ จุดไหนของการปฏิบัติ

    เพื่อจะได้รู้ว่าเราเข้าไกลหรือถอยห่างจากพระนิพพาน

    แต่ถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องสอบอารมณ์กับอาจารย์

    อันนี้คงขอแสดงความคิดเห็นไว้ว่า ไม่จำเป็น

    เราสามารถสอบอารมณ์ตัวเองได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยใช้วิปัสสนาญาณทั้งเก้า

    หรือใช้หลักโสฬสญาณ ก็ได้

    เพียงแต่การสอบอารมณ์ด้วยตัวเองนั้น อาจจะมีข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเข้าข้างตัวเอง

    เช่น วิปัสสนูกิเลสบางประการที่จะหลอกว่าเรานั้นสำเร็จขั้นต่างๆแล้ว

    หรือ อาจเกิดข้อผิดพลาดจากการไม่เห็นความผิดของตัวเอง ก็เป็นไปได้

    เพื่อป้องกันความผิดพลาดดังกล่าว บรรดานักปฏิบัติส่วนมาก จึงมักจะขอเมตตา

    จากครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ รู้ทางผิดทางถูกมาอย่างชัดแจ้ง

    ให้ช่วยเมตตาสอบอารมณ์กรรมฐานให้ครับ
     
  3. LungKO

    LungKO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    590
    ค่าพลัง:
    +925
    การสอบอารมณ์ ก็มีในครั้งพุทธกาล
    เช่น ตอนพระพุทธบิดาจะสวรรคต เช่น พระวักกลิปฏิบัติธรรม เพื่อจะนิพพาน พระติสสะ ก็เช่นเดียวกัน และอื่น ๆ ซึ่งเป็นการตรวจสอบสภาวจิตขณะนั้นว่าอยู่ในระดับใด โดยผู้รู้จริง (ไม่ใช่ผู้คาดคะเน หรืออนุมานเอา) เพื่อช่วยชักนำให้ไปถูกทางที่จะไปสู่พระนิพพาน อย่างถูกต้องตามขั้นตอน และเหมาะสมกับจริตของแต่ละท่าน ฯ

    จะสังเกตเห็นได้จากเมื่อมีกรณีเร่งด่วน เช่นพระ หรืออุบาสกบางท่าน ท่านเหล่านั้นต้องการบรรลุธรรม แต่ร่ายกายไม่อำนวยเพราะป่วยหนัก (หรือท่านเหล่านั้นไม่รู้วิธีแก้สภาวะจิต ติดอยู่ตรงนั้น วนอยู่ตรงนั้น ในปัจจุบันก็มีคุณลุงหวีด บัวเผื่อน เป็นตัวอย่าง)
    พระพุทธองค์ ทรงโปรดผู้นั้นด้วยพระองค์เอง หรือแนะให้ผู้อื่นไปแทนก็มี
    (ในพระไตรปิฎกมีเยอะครับ)
    ตรวจสอบเพื่อให้ได้ความจริงที่มีในขณะจิตนั้น ข้อนข้างเอาจริงเอาจริงเอาจัง จึงต้องเรียกว่าสอบ ผ่านก็ผ่านเลย ตกก็ตกจริง ทำนองนี้ครับ
    ก็มีเยอะเยะที่นักบวชนอกศาสนาอวดรู้ แต่พอสอบเอาเข้าจริง ๆ ไม่รู้เรื่อง คือว่ากัน คือสอนกันตามครู ตามอาจารย์ เท่านั้น

    ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎก และอรรถกถา (คำอธิบาย) เราจะหายสงสัยในปัญหาระดับความรู้ที่เป็นสัญญาได้หลายอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มีนาคม 2012
  4. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ใช้คำว่าปรึกษา และขอคำชี้แนะ มันจะถูกกว่า การสอบอารมณ์ นะครับ

    นั่นแหละครับคือปัญหา การสอบอารมณ์ ที่เป็นผู้รู้จริง สมัยนี้ทำไมถึงมีกันเยอะจริงๆ เกลื่อนเลย

    สอบอารมณ์ อะไร ๆ ก็สอบอารมณ์ จนมันเฟือไปหมดแล้ว
     
  5. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ตามท่านทั้งสองว่า นั่นแหละครับ
    คำว่า สอบอารมณ์ ไม่ใช่เหมือนกับไปทำข้อสอบ ให้คะแนน
    แต่เหมือนกับไปถามผู้รู้ ที่เดินเส้นทางเดียวกัน มาก่อนหน้านี้แล้ว ถามว่า ตัวเราเอง เดินถูกทางอยู่หรือเปล่า จะได้ไม่หลงเสียเวลาไปนาน บางคนอาจจะติดสภาวะธรรมบางอย่าง นานมาก ถ้าจะให้ปฏิบัติเองจนหลุดสภาวะ อาจจะใช้เวลานาน แต่หากมีผู้ที่เคยผ่านสภาวะนั้นมาก่อนแล้ว ชี้ทางให้ ก็จะก้าวหน้าไปต่อได้ง่ายกว่าครับ
     
  6. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ก็ธรรมดาที่ท่านจะทดสอบเราเพิ่อจะสอนขั้นต่อไป
    หรือจะมีคำแนะนำอะไรให้เรา ถ้าท่านสอบหวังเพื่อให้เราเจริญก็น่ายินดีแล้ว
    ในบรรดาครูที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ อ่านใจคนได้ มีไม่น้อย แค่ถามคำถามเดียว
    หรือแค่มองหน้าเราก็รู้แล้วเราไปถึงไหนบ้าง
    ระดับคนเราไม่เท่ากันวิธีการสอนนั้นก็ต้องแตกต่างกันไปเป็นขั้นเป็นตอนตามภูมิปัญญาของเราตอนนั้น นี่จึงเป็นเหตุให้มีการสอบอารมณ์ เปรียบบัว4เหล่านั้นไง ความรู้แค่อนุบาลจะให้ไปอ่านหนังสือ ป.ตรี หรือจะให้เอาเนื้อหาป.ตรีไปสอนอนุบาล มันก็เสียเวลานาน
    หรือไม่เกิดประโยชน์เลยก็ได้ มันต้องเป็นขั้นเป็นตอน
     
  7. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    @324850406021 นี่แหละครับ ข้อเสียของการยึดติดในพระอาจารย์ทั้งหลาย
    จึงมีบัญญัติที่เพิ่มเติมมานอกเหนือคำสอนของพระพุทธเจ้า
    จึงทำให้พระธรรม ถูกเบี่ยนเบนและถูกเพิ่มเติมออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    บัวมี 3 เหล่าเท่านั้นครับ เหล่าที่ 4 ที่เพิ่มเข้ามา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน

    ผมถึงบอกไงครับ ชาวพุทธ สมัยนี้ทั้งฆราวาสธรรมและพระสงฆ์ร่วมด้วยช่วยกัน
    บั่นทอนอายุพระศาสนา

    พระอาจารย์ดี ๆ ก็มี แต่จะมีซักกี่คนละครับ ที่จะไม่เอาความคิดเห็นส่วนตัว
    เ้อ้าไปข้องเกี่ยวหรือเติมเข้าไป จะมีสักกี่รูปที่พอได้ลาภยศ ชื่อเสียง ผู้คนสรรเสริญ
    แล้วจะไม่ยึดว่านี่เป็นของตน ยึดมั่นถือมั่นกันทั้งนั้น

    ถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะเป็นเหมือนสมัยนี้มั้ยครับ สมัยพระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    ก็เดินทางไปเผยแพร่ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยคำสอนมิได้ผิดเพี้ยนไป
    เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์เหล่้านั้นยึดคำพระพุทธเจ้าเป็นหลักมิได้แต่งเิติม
    และเข้าถึงคำสอนของพระศาสดาว่า พวกท่านเป็นแค่ผู้เดินตามเท่านั้นเอง
    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้ากระจายกว้างไกลไปทั่วโลก
    โดยไม่ผิดเพี้ยน

    แล้วทำไมทุกวันนี้ ชาวพุทธ ไม่ทำตามพระอรหันต์ในยุคพุทธกาลกันละครับ
     
  8. Allymcbe222

    Allymcbe222 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ถ้าอาจารย์มีเจโตปริยญาณ ก็ไม่จำเป็นต้องสอบอารมณ์ศิษย์
    และสามารถแนะแนวทางปฏิบัติให้ศิษย์ได้ โดยไม่หลงทาง

    แต่ถ้าอาจารย์ไม่มีเจโตปริยญาณ ประโยชน์ก็จะบังเกิดแก่ศิษย์น้อยเต็มที
    เพราะไม่รู้ว่าศิษย์ไปถูกทางหรือหลงทางไปแล้วกันแน่
    การสอบอารมณ์จึงถูกกำหนดขึ้นมายังไงละครับ

    แต่อีกมุม
    การวัดผลจากการสอบอารมณ์
    ก็จะเป็นการเปิดช่อง ให้ศิษย์ทำการโกหกครู
    โดยที่ครูบางครั้งก็ไม่รู้เท่าทันศิษย์
    จนทำการรับรองศิษย์ว่าสำเร็จธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เช่น สำเร็จญาณ 16
    แล้วต่อมาศิษย์ก็กลายไปเป็นโจร เป็นต้น

    หรือดีไม่ดี ก็สอบอารมณ์ศิษย์ ศิษย์ตอบเนียนๆ กิริยาเนียนๆ
    แล้วครูก็บอกว่า บรรลุโสดาบันแล้ว
    ทั้งที่เมื่อวานศิษย์ยังไปกินเหล้าอยู่เลย

    ดังนั้น การจะไปเป็นครูคนอื่นเขา
    ผมคิดว่า ควรมีเจโตปริยญาณ ไม่อย่างนั้นประโยชน์จะเกิดกับศิษย์น้อยครับ

    อย่างประวัติหลวงปู่มั่น ที่หลวงตามหาบัวเล่า
    จะพบว่า หลวงปู่มั่น เจโตปริยญาณท่านแจ่มใสมาก
    ศิษย์ไม่มีทางโกหกท่านได้ผล ทำให้การฝึกของศิษย์ก้าวหน้าดีครับ
    ปิดช่องการเกิดมรรคผลลวง ซึ่งเป็นสิ่งน่าเศร้ายิ่ง
     
  9. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ประวัติหลวงปู่มั่น ถ้าได้เจอผมจะไม่ไปไหนเลย อยู่จนกว่าท่านจะไล่

    แต่ปัจจุับันนี้ ไม่รู้จะไปหาที่ไหน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก็ มรณภาพ ไปซะแล้ว
    เกิดทันแต่ไปไม่ถึง
     
  10. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    ถามแปลก

    เราเรียนหนังสือ เราสอบทำไม

    เรื่องบางเรื่องไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำ หรือ ต้องทำ
    เช่น พระสงฆ์พรากของสีเขียว แต่การตัดหญ้าตัดต้นไม้ในวัด ทำเพื่อพัฒนาวัด ไม่ใช่ปล่อยให้วัดรก งูชุม ไม่มีใครกล้มาทำบุญ ถึงไม่ได้มีบอกในพระไตรปิฎก ก็สมควรทำ

    สมัยนั้นห้าม ศีลข้อ 5 สุราเมรยะ.... สมัยนั้นไม่มียาบ้า ก็เลยไม่มีห้ามในพระไตกปิฎก
    ทีอย่างนี้ไม่เห็นใครมาถามเลยว่า กินยาบ้าผิดตรงไหน พระไตรปิฎกไม่ได้ห้าม ทุกคนก็รู้ว่า ไม่สมควรทำ

    ไม่จำเป็นต้องยึดทุกตัวอักษร โดยคนยึดนั้นไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ

    เช่น ชาวนา ไม่ได้เรียนแพทย์ศาสตร์ มากางตำราแพทย์รักษาคุณ(โดยยึดตามตำราทุกตัวอักษรเป๊ะๆ) คุณกล้าให้รักษาไหมล่ะครับ

    ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่แพทย์จริงๆ กางตำราไปก็ไม่มีประโยชน์

    เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้า ก็ ยึดไปอย่างนั้นแหละ ตนสอนคนอื่นตามตำราเป๊ะ ตนก็ยังไม่บรรลุอะไรเหมือนกัน
     
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ยิ่งเรียนมาก ยิ่งฟุ้งมาก ยิ่งรู้มาก ยิ่งเพี้ยนมาก..สังเกตุกันดู..
     
  12. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ชาวพุทธ สมัยนี้ทั้งฆราวาสธรรมและพระสงฆ์ร่วมด้วยช่วยกัน
    บั่นทอนอายุพระศาสนา

    พระอาจารย์ดี ๆ ก็มี แต่จะมีซักกี่คนละครับ ที่จะไม่เอาความคิดเห็นส่วนตัว
    เ้อ้าไปข้องเกี่ยวหรือเติมเข้าไป จะมีสักกี่รูปที่พอได้ลาภยศ ชื่อเสียง ผู้คนสรรเสริญ
    แล้วจะไม่ยึดว่านี่เป็นของตน ยึดมั่นถือมั่นกันทั้งนั้น

    ถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะเป็นเหมือนสมัยนี้มั้ยครับ สมัยพระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    ก็เดินทางไปเผยแพร่ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยคำสอนมิได้ผิดเพี้ยนไป
    เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์เหล่้านั้นยึดคำพระพุทธเจ้าเป็นหลักมิได้แต่งเิติม
    และเข้าถึงคำสอนของพระศาสดาว่า พวกท่านเป็นแค่ผู้เดินตามเท่านั้นเอง
    ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้ากระจายกว้างไกลไปทั่วโลก
    โดยไม่ผิดเพี้ยน

    แล้วทำไมทุกวันนี้ ชาวพุทธ ไม่ทำตามพระอรหันต์ในยุคพุทธกาลกันละครับ

    สมัยผมเป็นเด็ก วงการสงฆ์และพระพุทธศาสนาในบ้านเกิดเราไม่ได้เป็นกัน
    อย่างงี้ เดี๋ยวนี้มีสำนักเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน แต่ละสำนักก็มีข้อบัญญัติ
    คำสอนของตัวเอง คำพระพุทธเจ้าไปไหน

    สมัยผมอายุ 19 และ 21 บวชเณรและพระ เห็นเณรและพระ ทุกรูปในวัด
    ตั้งกลุ่มของตัวเอง ชูธง พระอาจารย์นั้น พระอาจารย์นี้ แล้วก็มาทะเลาะกัน
    รูปที่อาวุโสสูงสุดในวัด ก็ไม่ยอมลงให้ใคร จะให้ทุกรูปยอมตัวเองให้ได้
    โดยเอาเรื่องปาฏิหาริย์ที่ตัวเองพบมาพูดเพื่อกดหัวคนอื่น ทะเลาะกัน
    จนไม่คุยกันเลย เจอหน้ากันก็ตอนฉันข้าวกันเท่านั้น หลังจากนั้นแยกกันไปเลย
    ความสามัคคีในหมู่สงฆ์หายไปเพราะต่างคน ต่างยึดถึอในคุณวิเศษที่พระอาจารย์
    ของตัวเองยึดไว้

    เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นยิ่งกว่าเดิม เวลาไปวัด ไปถามแบบเจาะลึก ถามองค์นี้ ก็เห็นอีก
    3 องค์ กำลังเถียงกัน โวยวายกัน ก็เรื่องพระอาจารย์ของใครของมันไม่เหมือนกัน
    สภาพที่ผมเห็นก็เหมือนเดิม หนักกว่าเมื่อก่อนอีก เอาหนังสือของพระอาจารย์ที่ตัวเอง
    นับถือมากางใส่กันดู กางว่าใส่กัน เสียงดัง "เรื่องของท่าน" "เรื่องของผม"
    แล้วก็เดินห่างกันหันหลังกันไปคนละทิศเลย (ไอ้เราคนยืนดูและฟังก็ได้แต่อึ้ง)

    ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ

    ขนาดสมัยพระพุทธเจ้า พระยังทะเลาะกันได้เลย พระพุทธเจ้าห้ามที่ไม่ฟังก็มี
    จนวันรุ่งขึ้นต้องให้พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างหนัก นี่ขนาดท่านยังอยู่นะ

    แต่เดี๋ยวนี้ท่านไม่อยู่แล้ว ละเลย เติมแต่ง เสริม เละเลยทีนี้

    ถ้าจิตใจคนไม่เปลี่ยน ศาสนาย่อมไม่เปลี่ยน
    ถ้าจิตใจคนเปลี่ยน ศาสนาก็ต้องไม่เปลี่ยนอีกเหมือนกัน
    เดี๋ยวนี้คนเราเอาจิตใจตัวเองไปเปลี่ยนศาสนาเสียแล้ว

    แล้วอย่างงี้ศาสนาจะพัฒนาได้ยังไง

    จะเหลือพุทธแท้ ๆ ที่ไม่มีอะไรผสม ไว้ให้ชนรุ่นหลังยังไง
     
  13. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ทุกความคิดเห็นที่พิมพ์ลงมา ผมอยากให้มองดูสภาพความเป็นจริงของทุกวันนี้ด้วยนะครับ

    ผมพูดถึงมุมกว้าง ไม่ใช่มุมแค่ของใครคนใดคนหนึ่ง
     
  14. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ปีที่แล้วผมเอา TV 29" ไปบริจาควัด ถวายวัด สิบกว่าเครื่อง
    ไปหลายที่หลายวัดทั้งในเมืองและนอกเมือง

    ผมก็เลยหาโอกาสคุย เรื่องเหล่านี้ ก็เป็นเหมือนกันทุกวัดที่ผมไป

    หากทุกความคิดเห็นที่พิมพ์ลงมา ผมอยากได้ความคิดเห็นของ
    ผู้ที่เข้าไปคลุกอยู่วงใน จริง ๆ ไม่ใช่อยู่แต่วงนอก แล้วจินตนาการว่า
    มันต้องดีอย่างงั้น อย่างงี้ ตอนนี้ผมกำลังพูดถึงความเป็นจริง ณ วันนี้

    อาจจะแรงไปซักหน่อย แต่มันก็คือความจริงครับ
     
  15. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +1,086
    กรรม -_-'

    บริจาค TV สิบกว่าเครื่อง ถือว่าอยู่วงในเหรอครับ

    นี่ไงล่ะครับ ถึงต้อง สอบอารมณ์

    คงจะเข้าใจอะไรยาก ขี้เกียจคุยด้วยละ

    เก่งจริ๊งๆ เก่งเหลือเกินพ่อคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2012
  16. พรพรพรพรพ

    พรพรพรพรพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +1,298
    ที่จริงก่อนจะฝึกให้คนอื่นได้ ก็ต้องผ่านการถูกฝึกซะก่อนเป็นเรื่องธรรมดาย่อมจะรู้ดีว่าตัวเองเคยพลาดอะไรมาก่อน และถ้าจะทำหน้าที่ผู้ฝึก(ไม่ใช่ผู้รับการฝึก) แน่นอนว่าเจโตปริญญาญาณต้องมาก่อนเลย คือรู้โดยไม่ต้องรอศิษย์บอก(หลอก)ครู

    อาทิเช่นครูบาร์อาจารย์หลายๆท่าน รู้สภาวะอารมณ์ของลูกศิษย์ทั้งที่อยู่ไกลกันคนละที่

    แต่สาเหตุที่ต้องมีการสอบอารมณ์ ที่จริงไม่ใช่เพื่อให้ผู้รับการฝึก บอกว่าตัวเองเห็นอะไรรู้สึกอย่างไร

    แต่เพื่อให้ผู้รับการฝึกได้รู้ว่า ตัวเองลดทิฐิเพียงพอที่จะใช้ญาณได้หรือยัง

    เช่นถ้าถามปุ๊บตอบปั๊บโดยไม่กลัวผิด อันนี้ครูผู้ฝึกก็จะบอกเพื่อเป็นการช่วยยืนยันว่าโอเค ลด"มานะทิฐิ"ลงมาในระดับที่พอใช้งานจิตได้แล้ว มานะทิฐิในที่นี้คือความคิดที่ว่า"ฉันจะตอบผิดไม่ได้เด็ดขาด ฉันฉลาด ฉันเก๋ง ขืนตอบผิดอายเค้า"

    ถ้าดุ่มๆจะไปบอกให้ผู้รับการฝึกพิจารณานู่นตัดนี่ จะพลอยทำให้ผู้รับการฝึกมีอาการคล้ายๆคุณเจ้าของกระทู้ คือ เกิดอาการสงสัยว่า จะต้องพิจารณาอะไร ตัดอะไร แค่นี้ยังไม่เรียกว่าฉันตัดอีกเหรอ คิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ
    อะไรทำนองนี้แหละนะ


    ขอเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย การที่เรื่องสอบอารมณ์มีในบันทึกค่อนข้างน้อย คือ คุณลองคิดภาพดูนะ ว่าถ้าระหว่างที่คุณกำลังฝึกกรรมฐานอยู่ดีๆ แล้วอยู่ๆเห็นพระภิกษุรูปงามผ่องใสราศีเจิดจ้า แว๊บมาปรากฎตัวอย่างปาฎิหาริย์ตรงหน้า แล้วมาบอกให้คุณทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นคุณจะรีบเชื่อทันทีหรือยังลังเลว่าจะเชื่อท่านผู้วิเศษนี้ดีหรือไม่ สมัยพุทธกาลก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านอยู่ในฐานะของเจ้าสำนักคือเป็นอาจารย์ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องสอบอารมณ์ภิกษุในสำนักให้เสียเวลามากมาย ท่านบอกแนวทางแบบจี้ตรงจุดไปเลย และภิกษุในสำนักก็เคร่งครัดในคำสั่งของอาจารย์โดยไม่เคลือบแคลงสงสัย

    แต่สมัยนี้ทำไม่ได้แม้จะมีหลายๆท่านทำได้แต่พระท่านสั่งห้ามเว้นแต่เพื่อการสงเคราะห์ในบางครั้ง เพราะคนศรัทธาในวิทยาศาสตร์สูงมาก ถ้าวิทยาศาสตร์บอกว่าไม่ได้ แต่พุทธศาสตร์ทำได้ คนก็จะแห่มาสนใจพุทธศาสน์ในแง่ฤทธิ์ ปาฎิหาริย์ ไม่ใช่ในแง่พระธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2012
  17. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    @จักรราศี อ่านดี ๆ คำว่า "วงใน" คืออะไร TV หรือ ?
     
  18. BossTH

    BossTH Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +89
    ผมพูดในสิ่งที่ประสพพบเจอ และปัญหา ณ ปัจจุบัน เทียบระหว่างผลดีและเสีย ถ้าวิธีนี้ทำให้มีพระอรหันต์ได้หลายรูป แต่พระสงฆ์ทั่วไปทะเลาะกันทั้งประเทศ มันจะคุ้มหรือวิธีนี้

    นี่คืออีก 1 สาเหตุที่ทำให้สงฆ์แตกแยก
     
  19. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    สอบอารมณ์ ก็คือเวลาเราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัตินั่งสมาธิเดินจงกรมแล้วเป็นไงบ้าง เราก็เอาผลที่เราปฏิบัติไป ให้พระอาจารย์รับทราบและช่วยแก้ไขแนะนำ ให้เราควรจะทำอย่างไรต่อไป เพราะแต่ละคนผลการปฏิบัติไม่เหมือนกันบางคนหลงทางเห็นนิมิตรไปยึดติด บางคนทำไปจิตวิปราราส บางคนก็เอาจิตปรุงแต่งไปฟ้งไปคะ ส่วนมากจิตปรุงแต่งไปเรื่อยว่าตัวเองเป็นคนนั้นนคนนี้มาเกิดเป็นพระศรีอารย มาเกิด ไปกันใหญ่ การปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานระยะแรกจึงมีการสอบอารมณ์คะ มันมีขั้นตอนคะ ข้ามขั้นก็ไม่ได้ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของมันเองคะ ต้องถูกวิธี ถูกหลัก และปฏิบัติให้ต่อเนื่องคะ ส่วนมากมักจะเอาจิตปรุงแต่งทั้งนั้นคะ ถ้าไม่มีพระอาจารย์ให้คำแนะนำในขั้นแรกๆคะบุญรักษาคะ
     
  20. พรพรพรพรพ

    พรพรพรพรพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +1,298
    ควรจะง้อพระเลวเพื่อให้อยู่ร่วมกับพระดีได้อย่างปกติสุขหรือเปล่าล่ะ

    เห็นพระหลายๆรูปสอบอารมณ์ไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านการสอบอารมณ์ก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วยังมีร่วมยินดีกับผู้ที่สอบอารมณ์ผ่านก็ถือว่าเป็นกุศล มุธิตาจิตด้วยซ้ำไป

    ส่วนไอ้ที่สอบอารมณ์ไม่ผ่านแล้วโวยวาย ก็ปล่อยไปตามทางของพวกเขาเถอะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...