เรื่องของพลังจิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย thanan, 6 มีนาคม 2005.

  1. yut2u

    yut2u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +464
    ธรรมะของพระพุทธองค์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ต้องพิจารณาด้วยจิตของเราโดยโยนิโสนมสิการ<o:p></o:p>
    คือพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย
    ต้องตั้งสติ มีสมาธิ เกิดปัญญา<o:p></o:p>
    ต้องมีจิตบริสุทธิ์ มีเจตนาสะอาด
    จึงจะเข้าใจธรรมะของพระพุทธองค์ได้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พระราชอุดมมงคล(หลวงพ่ออุตตมะ)
    [​IMG]<o:p></o:p>
     
  2. landends

    landends เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +477
    ขอบพระคุณมากครับ
     
  3. kittiy

    kittiy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +17
    D มากค่ะ
     
  4. asid_f5

    asid_f5 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบคุณครับ
     
  5. a5g1

    a5g1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +384
    อนุโมทนาสาธุๆๆๆๆๆๆ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากๆเลย(verygood) (verygood) (verygood) (verygood) (verygood)
     
  6. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ไม่ทราบว่าทำสมาธิมานานแล้วหรือยังครับ...ที่ว่าจิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...
    ถ้ายังไม่นานก็ต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อนค่อยๆ ฝึกไปเป็นการสะสมพลังก่อน...กำหนดจิตให้อยู่ที่ฐานที่ใดที่หนึ่ง...เช่น...
    ที่หน้าผาก...ปลายจมูก...หน้าอก(หัวใจ)...บริเวณเหนือสะดือ...หลังจากเลือกฐานวางแล้วให้สังเกตุดูว่าจุดไหนที่เรานั่งแล้วสงบที่สุดก็ให้เลือกที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว...
    อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา...ต่อจากนั้นก็นั่งสมาธิโดยใช้จุด(ฐาน)นั้นตลอด...อาจจะเริ่มที่ 15 นาที...20 นาที...ค่อยๆ เพิ่มเวลานะครับ...
    อย่าอยากรู้...อยากเห็นอะไรทั้งนั้น...เพราะความอยากก็คือกิเลส...
    ทำใจให้สบาย...ผ่อนคลาย...ปล่อยวาง...ไม่นานครับ...ถ้าทำได้แบบนี้...ยังไม่ต้องรู้ลึกซึ้ง...เท่านี้ก็จิตก็เป็นสมาธิแล้วละครับ...ขอเป็นกำลังใจให้ครับ...โมทนาสาธุ...(verygood)
     
  7. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    ปฏิบัติตามกระทู้ที่ผมตอบไปข้างบนเลยครับ...พลังจิตจะค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้นมาเอง...โมทนาด้วยครับที่สนใจ...สาธุ(verygood)
     
  8. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    เริ่มจากการ ทำบุญ - รักษาศีล - สวดมนต์
    แล้วก็รู้ลมหายใจตัวเองตลอดเวลา
     
  9. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ขอขมาพระรัตนตรัย
    ทำบุญเหมือนเดิม ถือศีลเหมือนเดิม
    สวดมนต์เหมือนเดิม ฝึกสมาธิเหมือนเดิม
    รักษาใจให้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม
     
  10. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ไม่ต้องรายงานผลการฝึกต่อสาธารณะก็ได้จ้ะ
     
  11. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    วัตถุตตะยัสสะ โย ยัตถะ สังวัณเณติ คุณุตตะเม
    ตัสสะ ตัตถะ สุขาโรคฺยะ โสตถิโย โหนติ สัพพะทา

    ณ ที่ใด มีผู้กล่าววาจาสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐของพระรัตนตรัย ด้วยจิตที่เลื่อมใส ณ ที่นั้น ความสุข ความสบาย และความสวัสดี ย่อมมีแก่ผู้นั้นตลอดกาลทุกเมื่อ

    ขอกล่าวคำว่า สาธุ ๆ ๆ
     
  12. doungkamon

    doungkamon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +676
    บางทีถ้าบอกกล่าวกันแล้วมีผู้แนะนำแนวทาง สนับสนุน อาจมีกำลังใจฝึกเพิ่มจนได้ฌานก็ได้นะคะ
     
  13. aerandir

    aerandir Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +60
    อนุโมทนา สาธุ ครับ ขอให้ทุกคนหมั่นฝึกจิต และสร้างบุญกันอย่างสม่ำเสมอนะครับ ^ ^
     
  14. 0896804841

    0896804841 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +55
    ดีมากครับ

    (verygood) ดีมากๆครับ เป็นประโยชน์มากเลยครับ เอาไป 5 คะแนนเลยครับ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]วิวัฒนาการ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    <o></o>
    [FONT=&quot]ทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้พบสัจจะที่ตรงกัน อยู่ประการหนึ่ง คือ ชีวิตทั้งหลายล้วนมีวิวัฒนาการต่อเนื่อง[/FONT][FONT=&quot] มายาวนานชีวิตมิใช่เกิดมาแล้วดับขาดสูญไป แต่มีวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องกัน ขบวนการพัฒนาการที่ต่อเนื่องกันยาวนานนี้ เรียกว่า วิวัฒนาการ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ส่วนบันทึกวิวัฒนาการคือยีน ซึ่งเป็นสารพันธุ์กรรมในร่างกายเป็นผู้สืบทอดวิวัฒนาการ เพราะยีนเป็นตัวกำหนดลักษณะเฉพาะของรูปร่าง ร่างกาย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าพัฒนาการทางกาย มิใช่เป็นหลักประกัน ของการพัฒนาไปสู่ระดับวิวัฒนาการที่สูง เช่น วัว ควาย เป็น สัตว์ตัวโต แต่มีวิวัฒนาการต่ำกว่าลิง ซึ่งตัวเล็กกว่า เพราะลิงมีสติปัญญาดีกว่า มนุษย์ที่ร่างกายกำยำแต่โง่เขลา จะมีประสิทธิภาพในการประกอบกิจน้อยกว่าคนตัวเล็กแต่ฉลาด เพราะมีสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นแกนแห่งวิวัฒนาการคือสติปัญญาแห่งจิตใจ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]พุทธศาสตร์ได้ค้นพบในส่วนของพัฒนาการด้านจิตใจ [/FONT][FONT=&quot] ว่าเป็นตัวยกระดับวิวัฒนาการ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงสอน หลักสูตรในการฝึกจิต และอบรมใจ ของชีวิตทั้งหลายไว้เพื่อยกระดับวิวัฒนาการ<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    ความรู้แห่งวิวัฒนาการ[/FONT]


    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][FONT=&quot]มนุษย์คนใดก็ตามที่ยังมีคุณสมบัติแห่งทุกข์ ยังถูกแรงกระทบจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ทำให้เกิดอารมณ์ได้ มีความไม่สบาย[/FONT][FONT=&quot] กาย ใจ เศร้าโศก แสดงว่าความรู้ยังไม่เพียงพอที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์โดยปราศจากทุกข์ จำต้องหาความรู้เพิ่มเติมอีกเพื่อวิวัฒนาตนเองให้พ้นจากสภาวะทุกข์ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างอิสรสุข[/FONT]
    [FONT=&quot] ในโลกอันไพศาลทุกสิ่งย่อมสอนตนได้เสมอ[/FONT]
    [FONT=&quot] โลกคือตำราที่แท้จริง<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้แต่ตัวเองก็คือตำรา ที่ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย ดูเถอะมันเรื่องอะไรจะต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตายเล่า เราไม่ได้[/FONT][FONT=&quot] ปราถนาเลยมิใช่หรือ สภาวะอื่นนอกจากนี้มีอีกไหม ที่ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย หากมี เราจะไป[/FONT][FONT=&quot]ถึงสภาวะนั้นได้อย่างไร[/FONT][FONT=&quot] เหล่านี้คือสัจธรรมที่ต้องศึกษา ค้นหาให้พบ[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้น วิชาแรกที่ทุกชีวิตต้องเรียนรู้คือปรัชญาชีวิตหรือปัญญาแห่งชีวิต บุคคลผู้มีชีวิตอยู่ [/FONT][FONT=&quot] แต่ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร บุคคลนั้นย่อมไร้ประโยชน์ในการมีชีวิตอยู่ ประหนึ่งลอยคอ อยู่กลางทะเลด้วยดวงตาอันมืดมิดเป็นเวลานับล้านปีมาแล้ว ตั้งแต่มนุษย์ยังเป็นสัตว์ เดรัจฉานก็พบกับความทุกข์นานัปการ ผจญกับความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่มิรู้จบ จึงกระเสือกกระสนที่จะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงวิวัฒนาตนเองเรื่อยมาตามอำนาจวิวัฒนาการด้วยปัญญา จนกระทั่งเป็นสัตว์ชั้นสูงเรื่อย ๆ เป็นมนุษย์ - เทวดา - พระเจ้า - พรหม กระนั้นก็ยังไม่พบสภาววะนิรันดร์กาลสักที พรหมสัตว์ประเสริฐสุด ครั้นหมดอายุแล้วก็อาจลงมาเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำกว่าภูมิเดิมของตนได้อีก ครั้นทำตนดี ชำระจิตให้อิ่มเอิบ ในพรหมวิหารธรรมก็ขึ้นไปเป็นพรหมได้อีก หมุนเวียนอยู่เช่นนี้ เป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้างสลับกันไป จนกระทั่งมีผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ มีอำนาจใจกล้าแข็ง เรียกว่าพระโพธิสัตว์ค้นพบสภาวะ ๆ หนึ่งที่มีแต่วิมุติสุขอันไม่ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นทุกข์แม้ละอองธุลี สภาวะนั้นคือพระนิพพาน ศาสนาพุทธจึงเกิดขึ้นเป็นประมวลความรู้เกี่ยวกับ ชีวิตโลกและสภาวะอมฤตอันบริสุทธิ์กว่าโลก ศาสนาพุทธนำคนให้พ้นจากความเป็นสัตว์ พ้นจากทุกข์อย่างตัดเยื่อขาดใย ปราศจากความเศร้าหมองแม้เพียงละอองไอของอารมณ์ ดำรงอยู่อย่างไม่ต้องตายในสภาวะวิสุทธิทิพย์[/FONT]
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]หลักสูตรพุทธศาสตร์[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลักสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงสอน มีกว้างขวางสำหรับทุกระดับชน เป็นความจริงว่าเราไม่สามารถพามนุษย์ทุกคนไป[/FONT][FONT=&quot] พระนิพพานได้เพราะแต่ละคนมีลักษณะต่าง ๆ กันตามลำดับ วิวัฒนาการของเขาซึ่งมีหลายระดับ เมื่อทุกคนไม่สามารถไปพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าจึงจำแนกธรรมออกเป็น 3 ระดับคือ<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 1.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ระดับครองเรือนสำหรับผู้ที่ครองเรือน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 2.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ระดับสังคม สำหรับพวกบริหารสังคม หรือประกอบกิจการต่าง ๆ [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทีเกี่ยวข้องกับสังคม[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 3.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ระดับโลกุตตระ สำหรับพวกต้องการหลุดพ้นหลังการทำงานมานาน [/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]พัฒนาตนเป็นที่ยิ่งแล้วจนเบื่อหน่ายต้องการเข้าสู่ อมตธาตุ [/FONT][FONT=&quot] อันไม่แปรปรวน <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ฉะนั้นธรรมในพุทธศาสนาจึงเป็นธรรมสำหรับทุกชนชั้น [/FONT][FONT=&quot] เมื่อพูดถึงพุทธธรรมไม่ได้หมายความว่าต้องไปพระนิพพานหมด แต่หมายความว่าคนทุกระดับ ควรมีศิลปะในการดำรงชีวิตอยู่ในระดับของตนอย่างมีความสุข และสามารถยกระดับวิวัฒนาการของตน ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือคำสอนทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าสอน<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]กระนั้นในทุกระดับก็มีวิธีการร่วมอยู่อย่างหนึ่ง [/FONT][FONT=&quot] คือการยกระดับวิวัฒนาการ ซึ่งอาศัยการพัฒนาจิตใจด้วยเหตุนี้ทั้ง 3 ระดับ ก็ต้องฝึกจิตอบรมใจทั้งสิ้นแต่ลักษณะการฝึกฝนอบรมจะต่างกันไปตามจุดมุ่งหมาย เมื่อเราต้องการให้ต้นไม้งอกงามเราต้องหมั่นรดน้ำพรวนดินและใส่ปุ๋ยให้รากต้นไม้ฉันใด เมื่อเราปรารถนาให้ชีวิตของเรางอกงาม เบิกบานแจ่มใสเราต้องหมั่นดูแลรักษาจิตใจของเราให้สมบูรณ์เช่นกัน<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]ความสำคัญของจิตใจ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก[/FONT][FONT=&quot] สำคัญสูงสุดในบรรดาธรรมชาติทั้งปวง อาจกล่าวได้ว่าโลกทั้งโลกถูกปรุงแต่งด้วยจิตใจเคลื่อนไปคล้อยตามอำนาจจิตใจ แต่เป็นอิสระจากจิตใจ การทำงานของจิตใจหลายดวงของแต่ละชีวิต รวมกันเป็นจิตสำนึกรวมของประชาชาตินั่นแหละที่กำหนดความเป็นไปของโลก<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตสำนึกรวมที่สับสน ก็จักสร้างโลกที่สับสน<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตสำนึกรวมที่ผ่องใส ก็จักสร้างโลกที่โสภา<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จิตสำนึกรวมที่เศร้าหมอง ก็จักนำโลกสู่ความหายนะ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อคิดว่าบางสิ่งบางอย่างแห่งโลก [/FONT][FONT=&quot] อยู่ในอำนาจมนุษย์อยู่ภายใต้การกระทำของมนุษย์ และจิตใจก็คือรากฐานของการกระทำทั้งปวง เพราะพฤติกรรมของมนุษย์จะเป็นไปตามค่านิยม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ค่านิยมจะเป็นไปตามโลกทัศน์ และชีวทัศน์<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] ทรรศนะจะเป็นไปตามสภาวะจิตใจ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] จะเห็นได้ว่าจิตใจมีความสำคัญยิ่งนัก เป็นรากฐาน ของชีวิตของการสรรค์สร้างและ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การทำลายสิ่งทั้งปวง[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตกับใจ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตกับใจนั้นเป็นคนละอย่างกัน แต่เกิดต่อเนื่องกันและทำงานสัมพันธ์กัน [/FONT][FONT=&quot] จิตคือธาตุรู้ธาตุรู้เป็นธาตุสากลมีสภาพเป็นอรูป ไม่มีตัวตนแต่แทรกในทุกสิ่งที่มีการปรุงประกอบกันที่เรียกว่าสังขาร เวลาใครเข้าวิญญาณัญจายตน ฌาณที่เจ็ด เพ่งวิญญาณเป็นอารมณ์จะเห็นจิตแทรกซ้อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์เป็นธาตุสากลมีอยู่ในทุกสิ่ง แม้แต่ในร่างกายทุกส่วน ก็มีจิตอยู่ คือ ที่ใดมีการรับรู้ ที่ใดมีความรู้สึก ที่นั่นมีจิต เช่นเส้นผม ปลายเล็บ จิตเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้รับรู้การสัมผัส หรือรู้การกระทบกับสิ่งเร้า เมื่อรับรู้แล้วเกิดการบันทึกการรับรู้เหล่านี้ไว้ การบันทึกก็จะบันทึกความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ประสบ และความรู้ที่ได้จากเหตุการณ์นั้นสิ่งที่บันทึกไว้ทั้งหมดเรียกว่า ความทรงจำหรือสัญญา สัญญานี้ เมื่อเราบันทึกอะไรไว้ ก็จะหล่อหลอมรวมตัวกันเป็นลักษณะจำเพาะตามรูปแบบของประสบการณ์ที่บันทึกไว้เรียกว่าใจ มีธรรมชาติเหมือนพยับแดดคือจะส่งไอยิบ ๆ พริ้วออกมาเนื่อง ๆ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมักจะมีความนึกคิดอันเกิดจากสัญญาเนือง ๆ ความนึกคิด มักจะทำให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ นานา ดังนั้น ณ จุดนี้เราควรเข้าใจจิต และ ใจ จิต คือธาตุรู้ที่มีสมรรถนะในการรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้การรู้สัญญา สัญญาโดยธรรมชาติ ไม่เป็นสภาวะรู้โดยตัวมันเอง แต่เป็นแหล่งข้อมูล ดังนั้นการจำได้และการระลึกรู้ได้ จึงต่างกันถ้ารับรู้สิ่งใดอย่างชัดเจนก็จำสิ่งนั้นได้แม่นยำ แต่เมื่อจำแล้ว บางที่ก็ระลึกได้ บางที่ก็ระลึกไม่ออก เพราะฉะนั้นตัวสัญญาไม่ได้รู้โดยตัวมันเองแต่ตัวที่ไประลึก คือตัวจิต จิตเข้าไปล้วงเอาสัญญาออกมา นั่นคือ จิตเข้าไปล้วงเอาใจออกมาระลึกรู้ เพราะฉะนั้น จิตและใจ จึงทำงานร่วมกันตลอดเวลา การที่จิตและใจทำงานร่วมกันตลอดเวลา ทำให้ บุคคลมีความรู้สึกเสมือนว่า มีตัวตน มีฉันผู้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่เสมอเนื่อง ๆ[/FONT]
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]คุณสมบัติของจิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตที่มีประสิทธิภาพโดยธรรมชาติมีคุณสมบัติสาม[/FONT][FONT=&quot] ประการคือ เป็นผู้ รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใครก็ตามที่ชำระจิตจนหมดจดผ่องใสอยู่ภายในแล้ว จิตนั้นจะเป็นธาตุรู้ที่ตื่นพร้อมอยู่เสมอ มีความเบิกบานอยู่ตลอดเวลา<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เรามาดูคุณสมบัติทั้งสามประการของจิต [/FONT][FONT=&quot] ประการ แรกคือ การที่จิตเป็นผู้รู้นั้น รู้อะไรบ้าง สิ่งแรกที่จิตรู้คือ รู้จิตเอง คือความรู้ตัวของจิตหนึ่ง เมื่อจิตรู้ตัวเอง แล้วมีความพร้อมที่จะ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]รู้สิ่งอื่นได้ด้วยเพราะสภาพอันเป็นธาตุรู้ของจิตนั้น เมื่อรับการกระทบสิ่งใดแล้วก็จะ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สามารถรู้สิ่งนั้นได้ เมื่อจิตรู้สิ่งอื่นด้วยจิตจะรู้ความรู้ที่เกิดขึ้นมีองค์ประกอบขบวนการคือ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 1.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ผู้รู้[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 2.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]สิ่งที่ถูกรู้[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    <!--[if !supportLists]--> 3.[FONT=&quot] [/FONT]<!--[endif]--> [FONT=&quot]ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้คือความรู้ ถ้าจิตรู้ทั้งสามประการทั้งผู้รู้[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งที่ถูกรู้ และความรู้ที่เกิดขึ้น จิตนั้นจะไม่หลงจิตบริสุทธิ์ นั้นจะเป็นผู้ตื่นพร้อมอยู่เสมอ มีความสงบเย็น มีความคล่องแคล่วควรแก่การงาน พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่หวาดไหว ไม่เสียวสะดุ้งพร้อมที่จะที่จะเผชิญปัญหาของชีวิต พร้อมประกอบกิจการงาน โดยไม่อ่อนเพลีย ไม่เมื่อยล้าหรือง่วงเหงาหาวนอน นี้คือความเป็นผู้ตื่นของจิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คุณสมบัติประการที่สามของจิต คือ มีความเบิกบานอยู่ภายใน จิตที่มีความเบิกบานนั้นหมายความว่ามีความหมดจดผ่องในอยู่ภายใน มีความบริบูรณ์ [/FONT][FONT=&quot] ด้วยจิตที่หมดจดมั่งคงนั้นไม่มีส่วนพร่องใดที่เกิดขึ้นภายใน จิตก็ไม่ปรารถนาแสวงหาสิ่งอื่นใดภายนอกมาเติม เพราะสบายอยู่แล้ว จึงเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอก แต่ในขณะเดียวกันจิตนี้สามารถแผ่อิทธิพลสู่สิ่งต่าง ๆ รอบทิศ จิตนี้จึงมีความเบิกบาน มีความสมบูรณ์ภายในไม่เพรียกร้องหาสิ่งใด จิตอยู่นิ่ง อารมณ์ทำให้จิตแกว่ง จิตเปรียบเทียบเหมือนใบไม้ ลมทำให้ใบไม้แกว่ง เช่นเดียวกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้จิตแกว่ง<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ฝึกล้างขยะออกจากใจ[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]โมหะหรือความหลงนั้นละเอียดหนักแน่น โลภะกลาง ๆ โทสะนั้นหยาบและรุนแรง แต่โทสะโกรธง่ายหายเร็ว โลภะนั้นเกิดต่อเนื่องยาวนาน โมหะนั้นเป็นฐาน ถ้าเราไม่มีเศษเสี้ยวของ โลภะ โทสะ โมหะอยู่ในใจ เราจะไม่เร่าร้อน ไม่ทุรนทุราย ไม่วุ่นวาย แต่ถ้าตราบใดที่มียังอยู่ในใจ เรายังมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แม้ไม่มีใครมาทำให้เราทุกข์ใจมันก็วุ่นว่ายอยู่คนเดียว เราจะต้องเขี่ยเศษขยะนั้นออกไป โดยการเข้าไปสู่จิตที่ละเอียดประณีต โดยการบริกรรมอะไรก็ได้ที่เป็นที่สบาย เพื่อให้เกิดสมาธิพิจารณาดูใจของเราจนมีกำลังพอที่จะจัดการล้างใจให้หมดจดจากการยึดถือเพราะความหลงผิดได้[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เป้าหมายของชีวิต[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]สภาวะของความเป็นพุทธะที่มีอยู่[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]​
    [FONT=&quot]ในคนเราทุกคน[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ผู้ที่เข้าถึงสภาวะของความเป็นพุทธะ[/FONT][FONT=&quot] (ผู้ที่เข้าถึงสภาวะนิพพาน) คือ ผู้ที่สามารถพัฒนาจิตใจตนเองจนเข้าถึงจิตใจระดับที่ลึกและละเอียดอ่อนที่สุดของคนเรา จิตใจระดับนี้เป็นแหล่งของพลังงานความรู้ทั้งหลายทั้งมวล และความปิติสุขที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ ผู้ใดที่สามารถพัฒนาจิตใจตนเองได้จนเข้าถึงสภาวะนี้ จะพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต[/FONT][FONT=&quot](Eternal happiness) จะมีความรัก ความเมตตาที่ยิ่งใหญ่แก่ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot](Universal love) คนที่เข้าถึงสภาวะนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีความสุขตลอดเวลา[/FONT][FONT=&quot] ไม่ว่าเขาเหล่านี้จะมีอาชีพใด หมอ ชาวนา นักกีฬา นักศึกษา ศิลปิน ผู้ครองเรือนหรือนักบวช งานต่าง ๆ ที่บุคคลเหล่านี้ลงมือกระทำ จะกระทำด้วยจิตใจที่เบิกบาน อิ่มเอิบ เต็มไปด้วยความรักความเมตตา ความรู้สึกแบ่งแยกว่าของฉัน ของเธอ [/FONT][FONT=&quot] พวกฉัน พวกเธอ (อัตตา หรือ ego)จะไม่มีอยู่ในจิตของบุคคลเหล่านี้ ความรู้สึกแบ่งแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก รังเกียจ จะหมดไปจากใจ ของผู้ที่เข้าถึงสภาวะของความเป็นพุทธะนี้ มนุษย์และสัตว์ เปรียบเสมือนพี่น้องที่มาจากครอบครัวเดียวกัน เพื่อที่เราจะได้รู้จักสภาวะของความเป็นพุทธะ หรือระดับจิตใจส่วนลึกที่สุดในตัวเราให้ดีขึ้น เราควรที่จะมาศึกษาส่วนประกอบของมนุษย์เราให้ละเอียดก่อน เราได้อธิบายธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักของพุทธศาสนาไว้ด้วยภาษาของนักจิตวิทยาในปัจจุบันไว้ดังนี้ มนุษย์เราประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ หลายส่วนที่ไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ส่วนประกอบชั้นนอกสุดของคนเราเรียกว่า ร่างกายที่ประกอบด้วยอวัยวะภายนอกที่เราสามารถมองเห็นได้ อวัยวะภายในและต่อมไร้ท่อต่าง ๆ ส่วนประกอบที่ลึกเข้าไปเรียกว่าจิตใจ ซึ่งมีสามระดับใหญ่ ๆ คือ จิตสำนึก จิตใต้สำนึก จิตใจส่วนลึก และส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของชีวิต ซึ่งเป็นขุมพลังที่สูงที่สุด เป็นที่รวบรวมความรู้ทั้งหลายทั้งมวล ความรักความเมตตาที่ยิ่งใหญ่และความปิติสุดเรียกว่าสภาวะของความเป็นพุทธะ (จิตใจส่วนลึกที่สุดของคนเรา)[/FONT]
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]จิตสำนึก[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    จิตสำนึกของเรามีหน้าที่สำคัญ 3 ประการ คือการรับความรู้สึก (Sensing)

    [FONT=&quot]การแสดงความต้องการ [/FONT][FONT=&quot] (Desire) หรือความรังเกียจ (Aversion) การลงมือกระทำ (Acting) การรับความรู้สึก หมายถึง การที่ประสาทสัมผัสทั้งห้า (Five sense organs) ของเราได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง รับความรู้สึกจากสิ่งเร้าภายนอกต่าง ๆ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การแสดงความต้องการหรือรังเกียจ หมายถึง [/FONT][FONT=&quot] การแสดงความต้องการที่จะได้สิ่งเร้านั้น หรือความไม่ต้องการที่จะได้สิ่งเร้านั้น การลงมือกระทำ หมายถึง การใช้อวัยวะขับเคลื่อนต่าง ๆ (Five motor organ) ของเราให้ทำงาน ซึ่งได้แก่ มือ เท้า หลอดเสียง อวัยวะเพศ อวัยวะขับถ่าย เพื่อที่จะได้สิ่งที่เราต้องการ อย่างไรก็ตาม มนุษย์เราไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยส่วนของร่างกายและจิตสำนึกเพียงเท่านั้น แต่เรายังประกอบด้วยจิตใจระดับอื่น ๆ ที่มีระบบการทำงานที่ละเอียดอ่อน <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก[/FONT][FONT=&quot] จิตใจระดับต่อไปที่เราน่าจะทำความรู้จักก็คือจิตใต้สำนึก<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตใต้สำนึก[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o:p> </o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตใต้สำนึกของคนเรามีหน้าที่สำคัญ [/FONT][FONT=&quot]2 ประการ คือ บันทึกรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต (ความทรงจำ) คิดอย่างไรไตร่ตรองลึกซึ้ง การทำงานของจิตเปรียบเทียบได้กับตัวเรา (body) เหมือน computer และ computer จะทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีไฟฟ้า ร่างกายของเราถ้าไม่มีจิตก็จะเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีไฟฟ้า ท่านลองใช้ความคิดของท่านไตร่ตรองดู ก็เปรียบเสมือนว่าเราตายแล้วใช่ไหม<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]การบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคนเรานี้ เปรียบได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการรวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในเครื่อง [/FONT][FONT=&quot](Disk) ความรู้ ความคิด ความฝันของเราเกิดขึ้นที่จิตใต้สำนึกนี้เอง เช่น ความรู้ที่เกิดจากความทรงจำ (Intellectual) ความรู้ที่เกิดจากการวิเคราะห์หาเหตุผล (Analytic reasoning) ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific thought) การคิดแก้ไขปัญหาของสังคม และชีวิต<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ประจำวัน [/FONT][FONT=&quot] และที่แตกต่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์กับร่างกายและจิตใต้สำนึกก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในแผ่น Disk[/FONT]
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    [FONT=&quot]จิตเหนือสำนึกชั้นแรก[/FONT][FONT=&quot]<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot](Supramental Mind)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดจากตัวเราเอง [/FONT][FONT=&quot](ความหยั่งรู้เอง)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] <o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] มีสิ่งลึกลับชนิดหนึ่ง ไม่มีที่เริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่มาก่อนสวรรค์ และโลกไม่มีการเคลื่อนที่ อยู่ตามลำพังโดยเดี่ยว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงสามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งและเต็มไปด้วยพลังงานเป็นตัวกำเนิดของทุกสิ่ง เรามองหาแต่ไม่เคยพบเราเงี่ยหูฟังแต่ไม่ได้ยินเราเอื้อมมือไขว่คว้า แต่ไม่เคยได้สัมผัสมีรูปร่างที่อธิบายไม่ได้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุด [/FONT][FONT=&quot]ตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงยุคฟิสิกส์ปัจจุบัน นักปราชญ์ [/FONT][FONT=&quot] (Sages) ได้กล่าวถึง" จิตสำนึกที่ยิ่งใหญ่ " หรือ Cosmic mind ซึ่งเป็นแหล่งที่เก็บรวบรวมความรู้ทุกอย่าง[/FONT][FONT=&quot]ของอดีต ปัจจุบัน อนาคต ผสมผสานกันเป็นเนื้อเดียวจนไม่สามารถบอกว่าเริ่มต้นมาจากที่ใด[/FONT][FONT=&quot] และจะไปสิ้นสุดลงที่ใด ซึ่งจิตเหนือสำนึก (superconscious mind) ของเราก็มีคุณสมบัติ<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]คล้าย ๆ กับ [/FONT][FONT=&quot]Cosmic mind ที่นักปราชญ์โบราณได้กล่าวไว้ ดังนั้น คนที่มีการพัฒนาจิตใจจนละเอียดอ่อนลึกซึ้งจนทะลุผ่านจิตใจระดับแรก ๆ (จิตสำนึกและจิตใต้สำนึก) ของเราแล้ว จะเข้าถึงจิตใจอันละเอียดอ่อนที่เรียกว่า จิตเหนือสำนึก หรือ Superconsious mind ที่จะทำให้เกิดความหยั่งรู้ด้วยตนเองต่าง ๆ Superconsious mind เป็นจิตเหนือสำนึกขั้นแรกสุด ที่เป็นศูนย์แห่งความรู้เองทั้งหลายทั้งปวง (creativity, intuition) ของมนุษย์ ในประวัติศาสตร์มีคนจำนวนไม่มากนัก ที่มีโอกาสสัมผัส Supramental mind ได้บ่อยครั้งในชีวิต จะมีก็เพียงแต่นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ กวี ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์เอก ๆ ของโลกที่เคยสัมผัสกับ Supramental mind มาแล้วบ่อย ๆ ในขณะที่มี ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสูงซึ่งในขณะนั้นพวกเขาจะมีจิตใจที่สงบแน่วแน่เยือกเย็น เพราะไม่ได้รับการรบกวนจากจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก หรือ แต่สามารถ Delete ได้ และ Run ได้ แต่สิ่งที่บันทึกจากจิตใต้สำนึกไม่สามารถลบทิ้งได้ แต่ก็ไม่สามารถ[/FONT][FONT=&quot]เรียบเรียงออกมาได้หมดนอกจากจะสามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะได้ [/FONT][FONT=&quot] คือ ตรัสรู้[/FONT][FONT=&quot] ([/FONT][FONT=&quot]Enlightenment) ถึงจะเรียบเรียงออกมาได้ (การระลึกชาติได้) (reincarnation)<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อ พระศากยมุนี [/FONT][FONT=&quot] พุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พระองค์ทรงแลเห็นดาวประกายพฤกษ์ส่องแสงระยิบระยับในฟากฟ้ายามอรุณรุ่ง ภายหลังจากบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาถึง 6 ปี เต็ม มีบันทึกไว้ว่าองค์ศากยมุนี ทรงดำรัสขึ้นด้วยความปิติอย่างเหลือล้น " มหัศจรรย์หนอ มหัศจรรย์ยิ่งหนอทุกผู้คน ต่างเพียบพร้อมด้วยปรีชาญาณและตถาคตอยู่แล้ว " ดำรัสของพระองค์ก็หมายความว่า "มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายมีความเป็นพุทธติดตัวมาแต่กำเนิดแล้ว" คนซึ่งได้ยินพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเช่นนั้น ต่างหลบหน้า หนีหายไป ไม่มีใครยอมฟัง และไม่มีใครยอมเชื่อ ต่างพูดกันว่า "ช่างไร้สาระเสียจริง พวกเราล้วนแต่เป็นคนใจบาป ละโมบ โลภหลงก็เท่านั้น โทโสโมโหก็เท่านั้น เราจะเป็นผู้รู้แจ้งเหมือนพระพุทธองค์ไปได้อย่างไรอย่ามาหลอกลวงเราหน่อยเลย<o:p></o:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ องค์ศากยมุนี [/FONT][FONT=&quot] จึงทรงหาอุบายในการสั่งสอนธรรมที่เหมาะสมแก่ชาวโลก ดังนั้น ในระยะแรกพระองค์จึงทรงสอนว่า "เธอเป็นคนบาป เกิดมาพร้อมกับกิเลสและความทุกข์ จงหาทางกลับใจและชำระล้างบาป กิเลสของตนเอง จงสะสมความดีเพื่อความสุขในอนาคต เธอ จงสมาทานศีล " (คำสอนในระยะแรกของพระพุทธองค์นี้เป็นคำสอนหลักพุทธศาสนาของฝ่ายเถรวาท) ต่อมาพระองค์ทรงสั่งสอนต่อไปว่า "เธอทั้งหลายต่างคิดว่ามีตัวเธอ และมีโลกมีอวิชชาการรู้แจ้ง แท้ที่จริงแล้วสรรพสิ่งที่มีรูปร่างล้วนเปลี่ยนแปลงไป สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นผลมาจากเหตุและปัจจัย ความสุขในชีวิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้ตระหนักรู้ถึงสิ่งนั้น และจำดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น" สาธุชนต่าง ๆ ปราบปลื้มในธรรมเทศนานี้ ระยะนี้เองที่พระองค์ทรงค่อย ๆ แสดงธรรมที่ลึกซึ้งไปเป็นลำดับ และในที่สุดพระองค์ก็ประกาศ สัจธรรมอันสูงสุด (คำสอนหลักพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน) "ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่เราจะประกาศสัจจะ ขอให้ทุกคน จงตั้งใจฟังให้ดี พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่อุบัติขึ้นในโลกทั้งหลาย ชี้แนวทางให้มนุษย์ให้ทราบว่า มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายมีความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในตัวมาแล้วแต่กำเนิด กิเลส ความชั่วร้ายต่าง ๆ (ความโลภ ความโกรธความหลง ความเห็นแก่ตัว ฯลฯ) เกิดขึ้นมาในภายหลัง และมาห่อหุ้มธรรมชาติของความเป็นพุทธะนั้นไว้ มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายจึงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎและความทุกข์ ผู้ใดที่สามารถขจัดกิเลสความชั่วร้ายต่าง ๆ ได้จนหมดสิ้น ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะก็จะปรากฎขึ้นมาในทันที และผู้นั้นก็จะพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต"…แม้แต่ตัวเราเองก็อาจจะสัมผัสกับสภาวะเช่นนี้มาแล้วบ้างเหมือนกัน เช่น ในขณะนี้เราเอาใจจดจ่อกับงานที่เราสนใจมาก ๆ จนลืมแม้กระทั่งความหิว…… หรือลืมแม้กระทั่งตัวเอง (egoless) เราทำงานด้วยความเบิกบานแจ่มใจ และงานที่เสร็จออกมาเป็นงานที่วิเศษสมบูรณ์ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นงานที่เกิดจากฝีมือของเราเอง[/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...