มติเอกฉันท์ดำเนินคดีกับพระเกษม

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย aubasok, 3 ตุลาคม 2011.

  1. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
    <DD>ที่ห้องประชุมเขาค้อ ศาลากลางจังหวัด เพชรบูรณ์ คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ ได้ร่วมประชุมพิจารณากรณีที่พระเกษม อาจิณุณสีโร ประธานที่พักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ. น้ำหนาว จ. เพชรบูรณ์ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ตามที่สื่อนำเสนอไปอย่างต่อเนื่องนั้น โดยผู้ร่วมประชุมมี นายไพฑูลย์ เจียมวิจิตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.เพชรบูรณ์ นายชิด อินทระนก หัวหน้าศูนย์ประสานงานป่าไม้ จ.เพชรบูรณ์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ พระเทพรัตนกวีเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายมหานิกาย และพระครูวัชรธรรมรองเจ้าคณะจังหวัดฝ่าย(ธ) โดยในที่ประชุมมีมติออกมาเป็นเอกฉันท์คือต้องเข้าดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายของพระเกษมอย่างเฉียบขาดทันที</DD>

    นายอุดร จันธิมา หัวหน้าอุทยานเขาค้อ กล่าวว่า การกระทำของพระเกษม ที่ทำลงไปนั้นทำให้ภาพพจน์ของศาสนาได้รับความเสียหาย จากการตรวจสอบเอกสารข้อมูลของฝ่ายสงฆ์นำมาแสดง พบว่า มีเอกสารการขอเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานนั้นไม่สมบูรณ์ และไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่แต่อย่างใด เป็นเพียงเอกสารที่ทำกันระหว่างการเข้าขอร่วมโครงการเท่านั้น


    http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=531476
     
  2. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
    ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

    พระวัดสามแยก ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจให้กับทุกคนได้ ผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่พวกเราอธิบาย ก็ไปด้วยกันกับพวกเราได้ ก็จงอยู่ศึกษาเล่าเรียนธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยกันกับพวกเรา

    ส่วนผู้ใดเมื่อฟังพวกเราอธิบายธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็ควรไปหาผู้อื่นที่สามารถจะอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ และควรปล่อยให้พวกเราได้ดำเนินไปตามเรื่องของพวกเราซะ

    พระเกษม อาจิณฺณสีโล และพระวัดสามแยก
     
  3. aubasok

    aubasok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +483
    สัญชัยปริพาชก ตอบ อุปติสสะมานพ(พระสารีบุตร).

    “ในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” เมื่อได้รับจากคำตอบ อุปติสสะมานพ ว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย” ก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น คนฉลาดจะไปหาสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาฉัน”
     
  4. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    พระเทวทัตปรารถนาจะเลี้ยงชีพด้วยโกหัญญกรรม การหลอกลวงสืบไป เพื่อจะแสดงว่าตนเป็นผู้เคร่งครัด ได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เพื่อให้พระบรมศาสดาบัญญัติให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ
    ให้อยู่ในเสนาสนะป่า เป็นวัตร
    ให้ถือบิณฑบาต เป็นวัตร
    ให้ทรงผ้าบังสุกุล เป็นวัตร
    ให้อยู่โคนไม้ เป็นวัตร
    ให้งดฉันมังสาหาร เป็นวัตร
    ในวัตถุทั้ง ๕ ภิกษุรูปใด จะปฏิบัติข้อใด ให้ถือข้อนั้นโดยเคร่งครัด คือให้สมาทานเป็นวัตร ปฏิบัติโดยส่วนเดียว
    พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า
    “ไม่ควร ควรให้ปฏิบัติได้ตามศรัทธา”
    ด้วยทรงเห็นว่า ยากแก่การปฏิบัติ เป็นการเกินพอดีไม่เป็นทางสายกลางสำหรับบุคคลทั่วไป
    พระเทวทัตโกรธแค้น ไม่สมประสงค์ กล่าวโทษพระบรมศาสดา ประกาศว่า คำสอนของตนประเสริฐกว่า ทำให้ภิกษุที่บวชใหม่ มีปัญญาน้อยหลงเชื่อ ยอมทำตนเข้าเป็นสาวก ครั้นพระเทวทัตได้ภิกษุยอมเข้าเป็นบริษัทของตนแล้ว ก็พยายามทำสังฆเภท แยกจากพระบรมศาสดา
    เมื่อพระบรมศาสดาทรงทราบ ก็โปรดให้หาพระเทวทัตมาเฝ้า รับสั่งถาม พระเทวทัตก็ทูลตามความสัตย์ จึงทรงตรัสพระพุทธโอวาทห้ามปรามว่า
    “ดูก่อนเทวทัต ท่านอย่าพึงทำเช่นนั้น อันสังฆเภทนี้เป็นครุกรรมใหญ่หลวงนัก”
    พระเทวทัตมิได้เอื้อเฟื้อในพระโอวาท ไปจากที่นั้น พบพระอานนท์ ในพระนครราชคฤห์ ได้บอกความประสงค์ของตนว่า
    “ท่านอานนท์ จะเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าเลิกจากพระบรมศาสดา ข้าพเจ้าเลิกจากหมู่สงฆ์ทั้งปวง ข้าพเจ้าจะทำอุโบสถสังฆกรรมเป็นการภายในแต่พวกของเราเท่านั้น”
    พระอานนท์ได้นำความนั้นมากราบทูลพระบรมศาสดา เมื่อทรงทราบแล้วก็บังเกิดธรรมสังเวช ทรงพระดำริว่า
    “พระเทวทัตจะกระทำอนันตริยกรรม อันจะนำตัวให้ไปทนทุกข์อยู่ในอเวจีมหานรก” แล้วทรงอุทานว่า
    ...กรรมใดไม่ดีด้วย ไม่เป็นประโยชน์ด้วย กรรมนั้นทำได้ง่าย
    ส่วนกรรมใดดีด้วย มีประโยชน์ด้วย กรรมนั้นทำได้ยากยิ่งนัก
    ในที่สุด พระเทวทัตก็ประชุมภิกษุ ส่วนมากเป็นชาววัชชี บวชใหม่ ในโรงอุโบสถ ประกาศทำสังฆเภท จักระเภท แยกออกจากหมู่สงฆ์ทั้งปวง แล้วพาภิกษุเหล่านั้นไปยังตำบลคยาสีสะประเทศ
    ครั้นพระบรมศาสดาได้ทรงทราบเหตุนั้นแล้ว ทรงดำรัสให้พระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานะเถระ ไปนำภิกษุพวกนั้นกลับ อัครสาวกทั้งสองรับพระบัญชาแล้วไปที่คยาสีสะประเทศนั้น แนะนำพร่ำสอนภิกษุเหล่านั้น ให้กลับใจด้วยอำนาจเทศนาปาฏิหาริย์และอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุอมตธรรม แล้วพาภิกษุเหล่านั้นกลับมาเฝ้าพระบรมศาสดา
    พระโกกาลิกะ ซึ่งเป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของพระเทวทัต มีความโกรธ กล่าวโทษแก่พระเทวทัต ที่ไปคบค้าด้วยพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ให้พระอัครสาวกทั้งสองพาภิกษุทั้งหลายกลับไปหมดสิ้น แล้วประหารพระเทวทัตที่ทรวงอก ด้วยเท้าอย่างแรงด้วยกำลังโทสะ เป็นเหตุให้พระเทวทัตเจ็บปวดอย่างสาหัส ถึงอาเจียนเป็นโลหิต ได้รับทุกข์เวทนากล้า
    เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จจากพระนครราชคฤห์ ไปประทับยังพระเชตวันวิหารพระนครสาวัตถีแล้ว ต่อมาพระเทวทัตก็อาพาธหนักลง ไม่ทุเลาถึง ๙ เดือน กลับหวนคิดถึงพระบรมศาสดา ใคร่จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยแน่ใจในชีวิตสังขารของตนคงจะดับสูญในกาลไม่นานนั้นเป็นแน่แท้ จึงได้ขอร้องให้ภิกษุที่เป็นสาวกของตนให้ช่วยพาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
    ภิกษุพวกนั้นกล่าว
    “ท่านอาจารย์เป็นเวรอยู่กับพระบรมศาสดาหนักนัก ข้าพเจ้าทั้งหลาย หาอาจพาไปเฝ้าได้ไม่”
    พระเทวทัตจึงกล่าวว่า
    “ท่านทั้งปวงอย่าให้เราพินาศฉิบหายเสียเลย แม้เราจะได้ทำเวรอาฆาตในพระผู้มีพระภาค แต่พระผู้มีพระภาคจะได้อาฆาตตอบเราแม้แต่น้อยหนึ่งก็มิได้มี เราจะไปขมาโทษ ขอให้พระองค์อดโทษให้สิ้นโทษ ด้วยน้ำพระทัยพระผู้มีพระภาคเปี่ยมด้วยพระกรุณา ทรงพระการุญในพระเทวทัตก็ดี ในองคุลีมาลโจรก็ดี ในช้างนาฬาคีรีก็ดี ในพระราหุลผู้เป็นพระโอรสก็ดี เสมอกัน”
    เหตุนั้น พระเทวทัตจึงขอร้อง วิงวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ให้ภิกษุผู้เป็นศิษย์ ช่วยนำตัวไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.. บรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์มีความสงสาร จึงพร้อมกันยกพระเทวทัตขึ้นนอนบนเตียงแล้วช่วยกันหามมา ตั้งแต่เมืองราชคฤห์ จนถึงเมืองสาวัตถี ครั้นพระสงฆ์ทั้งหลายรู้ข่าว จึงเข้าไปกราบทูลพระบรมศาสดา พระองค์ตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย พระเทวทัตได้ทำกรรมหนัก ไม่อาจเห็นตถาคตในอัตตภาพนี้ได้เลย”
    แม้ภิกษุทั้งหลายจะได้เข้ากราบทูลให้ทรงทราบเป็นระยะ ๆ หลายหน ถึงครั้งสุดท้าย พระเทวทัตได้ถูกหามมาใกล้พระเชตวันวิหารแล้ว พระผู้มีพระภาค ก็ยังทรงรับสั่งเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นอีกว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย แม้พระเทวทัต จะเข้ามาในพระเชตวัน พระเทวทัตก็จะไม่ได้เห็นตถาคตเป็นแน่แท้"
    เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลาย หามพระเทวทัตมาถึงสระโบกขรณี ซึ่งอยู่นอกพระเชตวันวิหาร จึงวางเตียงลงในที่ใกล้สระ แล้วก็ชวนลงอาบน้ำในสระนั้น
    ส่วนพระเทวทัตก็ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ห้อยเท้าทั้งสองถึงพื้นดิน ประสงค์จะเหยียบยันกายขึ้นบนพื้นปฐพี ในขณะนั้น พื้นปฐพีก็แยกออกเป็นช่อง สูบเอาเท้าทั้งสองของพระเทวทัตลงไปในแผ่นดินโดยลำดับ พระเทวทัตได้จมหายไปในภาคพื้น ตราบเท่าถึงคอ และกระดูกคาง วางอยู่บนพื้นปฐพี
    ในเวลานั้น พระเทวทัตได้กล่าวคาถาสรรเสริญบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    “พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศรีษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ..."
    พอสิ้นเสียงแห่งคำนี้เท่านั้น ร่างพระเทวทัตก็จมหายลงไปในแผ่นพื้นปฐพี ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ด้วยบาปไม่เคารพในพระรัตนตรัย ประทุษร้ายในพระบรมศาสดา ทำสังฆเภทอันเป็นอนันตริยกรรม ข่าวพระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ เป็นข่าวใหญ่เกรียวกราว ได้แพร่สะพัดไปในนครสาวัตถี
    ไม่นานก็รู้กันทั่วกรุง โจษจันกันไปทั่วชุมนุมชน ด้วยเพิ่งจะรู้จะได้ยิน เพิ่งจะปรากฏ ผู้หนักในธรรมก็สังเวชสลดใจ คนใจบุญก็สะดุ้งต่อบาป เห็นบาปเป็นภัยใหญ่หลวง คนที่เกลียดชังพระเทวทัต ก็พากันดีใจโลดเต้นสาปแช่ง สมน้ำหน้าพระเทวทัตหนักขึ้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    “บัดนี้ พระเทวทัตไปบังเกิดในที่ไหน?”
    พระบรมศาสดาตรัสว่า
    “ไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ภิกษุทั้งหลาย คนทำบาป ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป ก็ย่อมทวีความเดือดร้อนยิ่งขึ้น"
     
  5. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    ผมไม่ได้ว่าใครนะครับ
     
  6. yummysushi

    yummysushi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +6
    อนุโมทนา สาธุ กับคุณ tumsokpho ด้วย

    พระพุทธองค์ยังทรงมีพุทธพยากรณ์ไว้ด้วย
    จากคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า แม้พระเทวทัตจะตกมหาอวจีนรก แต่ด้วยการที่ท่านเคยบำเพ็ญบารมีมาบ้างในอดีต และการสำนึกผิดด้วยการถวายคางเป็นพูทธบูชาในขณะถูกแผ่นดินสูบนั้น ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า เมื่อพระเทวทัตชดใช้กรรมในนรกหมดสิ้นแล้ว จะมาเกิดเป็นพระอัฏฐิสระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเทวทัตเป็นพระปัจเจกโพธิสัตว์ผู้ได้รับพยากรณ์แล้วนั่นเอง (พระนิยตปัจเจกโพธิสัตว์)


    เข้าใจว่า ตอนนี้ ล่วงพ้นมาสองพันห้าร้อยกว่าปี พระเทวทัตคงยังชดใช้กรรมในนรกไม่หมด คงจะยังไม่ได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์
    หรือ นี่จะเป็น "สัญชัยปริพาชก" กลับชาติมาเกิดต่างหาก
    อนาถใจหนอ เกิดใหม่ชาตินี้ หาได้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ จิตใจยังคงมืดบอดเช่นเดิม มีที่ไปที่ใดนั้น แน่นอนแล้ว หากยังไม่คิดกลับตัวกลับใจ
     
  7. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    อืมจะได้จบ ๆกัน ความเศร้าหมองในศาสนาจะได้คลี่คลายลง เป็นเรื่องที่ดีครับ
     
  8. yummysushi

    yummysushi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +6
    คิริมานนทสูตร
    ผู้รู้การละกิเลส

    ดูกร อานนท์ บุคคลผู้ไม่มีศีล ปราศจากการรักษาศีล ไม่ควรกล่าว ซึ่งคำประมาทแก่ท่านผู้มีศีล
    ตัวตั้งอยู่ภายนอกศีลแล้ว มาเข้าใจว่า ตัวเป็นผู้ดีกว่าท่านผู้มีศีล แล้วกล่าวคำสบประมาทดูหมิ่นในท่านผู้มีศีล บุคคลจำพวกนั้นชื่อว่าเป็นเจ้ามิจฉาทิฏฐิใหญ่ ชื่อว่าเป็นคนหลงทาง เป็นผู้ห่างจากความสุขในมนุษย์และสวรรค์

    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ตั้งอยู่ภายนอกศีลนั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในกิเลส ยังเป็นผู้หนาแน่นอยู่ด้วยกิเลส
    แม้จะเป็นผู้มีความรู้ความฉลาดมากมายสักปานใดก็ตาม
    ก็ไม่ควรถือตัวเป็นผู้ยิ่งกว่าผู้มีศีล เหตุว่าผู้ที่ไม่มีศีลนั้นยังห่างจากพระนิพพานมาก ผู้ที่มีศีล ชื่อว่าใกล้ต่อ พระนิพพานอยู่แล้ว ถึงจะไม่รู้อะไร มีเพียง ศีลเท่านั้น ก็ยังดีกว่าผู้ไม่มีศีลอยู่นั่นเอง เพราะท่านเป็น ผู้บางจากกิเลส
    บุคคลผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส แม้จะเป็น ผู้รู้มากแตกฉาน
    ในข้ออรรถและข้อธรรม ประการใดก็ตาม ก็ควรจะทำความเคารพยำเกรงในท่านที่มีศีล จึงจะถูกต้องตามคลองธรรมที่เป็นทางแห่งพระนิพพาน
    ถ้าให้ผู้มีศีล เคารพยำเกรงในผู้ที่ไม่มีศีลและเป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นความผิดห่างจากทางพระนิพพานยิ่งนัก

    ดูกรอานนท์ จะถือเอาความรู้และความไม่รู้เป็นประมาณทีเดียวไม่ได้
    ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นประมาณ
    เพราะว่าผู้จะถึงพระนิพพานต้องอาศัยการละกิเลสโดยส่วนเดียว เมื่อละกิเลสได้แล้ว แม้ไม่มีความรู้มาก รู้แต่เพียงการละกิเลสได้เท่านั้น ก็อาจถึงพระนิพพานได้ ฯ

    ท่านอ่านให้ดีเถิด ธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด คือให้ละกิเลส เพื่อเป็นทางไปสู่พระนิิพพาน หาใช่เป็นการรู้ข้ออรรถ ข้อธรรม มากๆ เพื่อไว้ต่อกรกับคนอื่น หรือเอาไว้เป็นการแยกส่วน กันว่า "พวกข้า" เรียนกับข้า "พวกอื่น" ไปหาที่อื่นเรียน กิเลสในใจที่แท้ของท่าน "เบาบางลงหรือไม่" คำประกาศของท่านเบื้องต้นนั้น สุ่มเสี่ยงต่อ "อนันตริยกรรม" ยิ่งนัก

     
  9. wikonr

    wikonr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +386
    ขณะที่พระเกษมเปิดเผยว่า เป็นผู้นำภาพคลิปวิดีโอดังกล่าวลงในเว็บไซต์ยูทูบด้วยตนเอง แต่ว่าสื่อกลับนำเสนอไม่หมด ขอยืนยันว่า ขณะนี้ได้มีลูกศิษย์ และผู้เลื่อมใส ที่เชื่อมั่นในพระไตรปิฎก ยอมปลดวัตถุมงคล พระดังทุกรุ่นที่ผู้นับถือนำมาฝังในพื้นที่วัด มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยจุดที่ฝังวัตถุมงคล เพราะผิดวินัยสงฆ์ที่ต่อต้านมาโดยตลอด



    น่าจะนำไปให้คนที่เขาอยากบูชา แล้วนำเงินมาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์น่าจะดีกว่าฝังดิน เพราะไม่มีประโยชน์
     
  10. สุวัณโณ

    สุวัณโณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +8
    2000 ล้าน มันโกหก เพราะอยากดัง
     
  11. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    [๒๓๕]....บทว่า เป็นปาราชิก
    ...ความว่า ต้นตาลมียอดด้วนแล้ว ไม่อาจจะงอกอีก ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุ ก็ฉันนั้นแหละ มีความอยากอันลามก อันความอยากรอบงำแล้ว พูดอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริงย่อมไม่ เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
    พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้าที่ 619

    [วิเคราะห์ปาราชิก]

    บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ ว่า ปาราชิกํ เป็นต้น
    มีเนื้อความดังต่อไปนี้:-

    บรรดาบุคคลปาราชิก อาบัติปาราชิก และสิกขาบทปาราชิก
    ชื่ออาบัติปาราชิกนี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว,
    บุคคลผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นย่อมเป็นผู้พ่าย
    คือ ถึงความแพ้ เป็นผู้เคลื่อน ผิด ตก อันความละเมิดทำให้ห่างจากสัทธรรม.
    เมื่อบุคคลนั้นไม่ถูกขับออก (จากหมู่)
    ก็ไม่มีสังวาสต่างโดยอุโบสถและปวารณาเป็นต้นอีก.
    ด้วยเหตุนั้น ปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น
    คือ เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเ จ้าจึงตรัสว่าปาราชิก.

    ก็ในบทว่า ปาราชิกํ นี้ มีความสังเขปดังนี้:-
    บุคคลย่อมเป็นผู้พ่ายด้วยอาบัติปาราชิกนั้น
    เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น ท่านจึงกล่าวว่า ปาราชิก.

    [​IMG]

    จักงอกงามได้อย่างไร ในเมื่อตาลนั้นยอดด้วนไปเสียแล้ว
    มีแต่รอวันพังทลาย......
     
  12. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    จบเสียที เรื่องนี้ ยืดยาวมานานเหลือเกินแล้ว ความมัวหมองในพระศาสนาหมดกันเสียที เจ้าลัทธิบ้าบอนี่
     
  13. tumsokpho

    tumsokpho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    348
    ค่าพลัง:
    +469
    เริ่ดมาก แบบเห็นภาพชัดเจน
     
  14. proofart

    proofart สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +23
    PHP:
    http://monavie-proof.blogspot.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...