อยากรู้เรื่องจักรวาลคู่ขนาน

ขอความอนุเคราะห์จากผู้รู้ทั้งหลายค่ะ
อยากให้บรี๊ฟ / อธิบาย ความหมายคำว่า
" จักรวาลคู่ขนาน" ให้ดิฉันเข้าใจอย่าง่ายๆหน่อยเถอะค่ะ
เพราะสิ่งที่ดิฉันอยากเทียบเคียงกับสิ่งที่ดิฉันพบเจออยู่เนี่ยมันคืออะไรแน่น่ะค่ะ


เพราะเจอตั้งแต่โตพอจะรู้ภาษา เริ่มจำความฝันได้เนี่ย
ในความฝันของดิฉัน.....
ดิฉันจะฝันว่าได้ใช้ชีวิตดำเนินไปอย่างปกติในโลกที่อยู่ในความฝัน
(เป็นชีวิตเหมือนอยู่ในโลกจริงตอนเรายังไม่หลับ)


โลกในความฝันของดิฉัน ก็เป็นเมืองๆหนึ่ง
มีตึกรามบ้านช่องผู้คนเหมือนคนเราบนโลกนี้
แล้วดิฉันก็เป็นเหมือนสมาชิกคนนึงในเมืองนั้น
ดำเนินชีวิตอยู่ในเมืองนั้น เมืองในความฝัน
เช่นว่า ตื่นนอน ไปตลาด ไปทำงาน
กลับมาทำงานบ้าน ทำกิจกรรมอยู่กับสมาชิกในครอบครัว


สิ่งที่แปลกคือ ....
ปกติคนเรามักจะฝันเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆๆๆๆไม่ค่อยซ้ำ
แต่เมืองในฝันของดิฉันจะเป็นแบบว่า
นอนหลับเมื่อใด ตัวดิฉันก็จะไปสู่โลก(หรือเมือง)ในความฝันนั้นทันที
หมายถึงว่า... สภาพบ้านเมือง ผู้คน สมาชิกในครอบครัวในฝัน
ก็ยังคงอยู่ดังเดิมทุกประการ ไม่ได้เปลี่ยน หรือหนีหายไปไหน
เหมือนๆพวกเขารอให้ดิฉันกลับไปดำเนินชีวิตร่วมกับพวกเขา
ในโลกในเมืองที่อยู่ในความฝันนั้น (ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้)


มีวันนึงดิฉันลองทดสอบตัวเอง
วันนั้นหยุดราชการหลายวันเลยทดลองดูคือ
ใช้ชีวิตในโลกปกติ 12 ชั่วโมง
แล้วตั้งใจนอนหลับต่ออีก 12 ชั่วโมง(ติดต่อกันไป)
สิ่งที่รู้สึกอย่างเห็นได้ชัดคือ
ดิฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า
12 ชั่วโมงแรก ดิฉันใช้เวลาอยู่บนโลก
ต่อมาอีก 12 ชั่วโมงหลัง ดิฉันพาตัวเองไปโผล่อีกโลกนึง(ในฝัน)
ซึ่งดิฉันก็ดำเนินชีวิตร่วมกับครอบครัวในฝันตามปกติด้วยเช่นกัน


คืออารมณ์แบบว่าดิฉันใช้ชีวิต
อยู่ใน 2 โลก ไปมา ไปมา แบบนี้
โลกนึงคือโลกตอนตื่น
อีกโลกนึงเป็นโลกตอนนอนหลับ
เลยทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเอง
ใช้ชีวิตขนานกันไปใน 2 แห่ง (โลกยามตื่น VS โลกยามหลับ)


บางคนฟังดูอาจบอกว่าไม่แปลกก็เป็นได้...อันนี้ไม่ว่ากัน
แต่ที่ดิฉันว่าแปลกก็คือ
สิ่งๆนี้เกิดขึ้นกับดิฉันตั้งแต่วันแรกที่เล่ามาจวบจนปัจจุบันนี้
นับอย่างต่อเนื่องได้ 40 กว่าปีแล้ว
ที่ดิฉันใช้ชีวิตระหว่าง 2 โลก


ถ้าดิฉันนอนหลับเมื่อใด
เมืองและผู้คนที่ว่าก็ไม่ได้หนีหายไปไหน
มันก็อยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
แม้จนทุกวันนี้ ใน 7 วันของสัปดาห์
ดิฉันจะฝันว่าไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองในฝันนี้ 5-6วัน/สัปดาห์
และความฝันนั้นไม่สะเปะสะปะนะคะ
เป็นความฝันแแบบว่าดิฉันดำเนินชีวิต
ตามปกติเหมือนตอนอยู่บนโลก
และยังมีเรื่องราว(ในฝัน)ให้จดจำอีก
พอตื่นขึ้นมายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นในฝันนั้นได้
(เหตุการณ์)มันสดใหม่
ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เกิดขึ้นในฝัน


มีข้อแปลกอย่างเดียวคือ สภาพเมืองในความฝันของดิฉันนั้น
ภูมิประเทศจะสวยงามกว่าโลกจริงๆที่เราอยู่กว่ามาก
ที่เป็นภูเขาก็ส้วยสวย
ส่วนที่เป็นทะเลก็สวยกว่าโลกเรามากมาย
มีตึกสูงๆ มีรถเมล์ รถยนต์
มีบ้านคนอย่างโลกเราปกตินี่ล่ะค่ะ


ดิฉันยังคงใช้ชีวิตกับ 2 โลกแบบนี้มาจนทุกวันนี้
และไม่รู้ว่าเมืองที่ตัวเราไปใช้ชีวิตอยู่ในความฝันนี่มันคืออะไร
แต่นอนหลับเมื่อไหร่ ตัวดิฉันก็จะไปโผล่อีกที่นึงทันที(เมืองในฝัน)


มาเล่าแบ่งปันเรื่องที่ตัวเองประสบอยู่ค่ะ
ไม่ทราบว่ามีใครเป็นอย่างดิฉันเจอบ้างมั้ยคะเนี่ย ?

 

ต้องขอตอบตรงๆค่ะว่า
ไม่อาจทราบจริงๆว่า
เมืองที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในความฝันนี่
มันคือที่ไหน หรือ มันคืออะไร

หรือถึงแม้ถ้าไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้
ก็หนีไปจากที่นั่นไม่ได้เช่นกันค่ะ

เพราะนอนหลับเมื่อไหร่...ก็ไปโผล่เมื่อนั้นค่ะ

 

โอ้ยตายแล้ว ... ฟังแล้วน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย


และต้องขอขอบคุณ คุณจำผมได้ไหมด้วยนะคะ
ที่มาชี้ทางให้พอมองเห็นภาพได้บ้างแล้วว่า
สิ่งที่ไปอยู่มา เห็นมา พอจะเทียบเคียงได้กับอะไร


เพราะที่แอบๆแปลกใจหน่อยก็คือตรงที่ว่า
เวลาดิฉันฝันว่าตัวเองไปโผล่ที่บ้านในฝันนั้น
สมาชิกในครอบครัวของดิฉันในฝันนั้น
เขาจะมีท่าทางแบบว่า...รอดิฉันกลับไป...


มันถึงทำให้ดิฉันไม่ค่อยรู้สึกว่ากำลังฝัน
แต่มันรู้สึกเหมือนว่ากำลังไปใช้ชีวิต..
ใช้เวลากับอีกครอบครัวนึงในเมืองในฝันมากกว่า
ทำนองนั้นน่ะแหละค่ะ เฮ้อ

 

INCEPTION!!!.........

 

ขอบคุณคุณจำผมได้ไหมอีกครั้งนะคะ
สำหรับข้อมูลดีๆที่มาแชร์มาเล่าสู่กันฟัง

แต่case ของดิฉันคงไม่เหมือนcase ของคุณจำผมได้ไหม
ตรงที่ดิฉันไม่ได้ปฏิบัติสมาธิเคร่งครัดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
หรือเป็นคนมีบุญมากพอที่จะให้ดวงวิญญาณอื่น
มาขอส่วนบุญ แบบอย่างนั้นได้

กรณีที่ดิฉันเจอเมืองในฝันนั้น
มันเป็นอะไรที่เจอมาแต่เด็กจนโต
เลยเข้าใจไปเองว่ามันเป็นเรื่องการฝันซ้ำๆค่ะ
แต่ งงว่า ทำไมมันฝันซ้ำๆอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

 

มีฝรั่งคนหนึ่งก็ฝันว่าไปเป็นอีกคนอยู่ในอีกโลก ไม่ได้มีเทคโนโลยี่เหมือนเรา
--แต่เป็นคนละแบบ
--หลายๆชาติ เชื่อว่า โลกกลวง และมีเมืองใต้โลก เรียกว่า ทวีป ชัมบัลล่า หรือ ชางกรีล่า(ในจีน)
---หลายๆคนเชื่ออย่างนั้นและค้นหาคัมภีร์ที่เกี่ยวกัน เช่น ฮิตเล่อร์พยายามหา "ศาสตร์ที่เปลี่ยนลมฟ้าอากาศได้" โดยตำราฮวงจุ๊ยของละมะทิเบต อันนี้มีข่าวมาหลายกระแส และตอนนี้อเมริกา +รัสเซียทำได้แล้ว
--ฮิตเล่อร์อยากได้ชาวอารยันมาเป็นทหาร เพราะรูปร่างสมส่วน แข็งแรง
--อินเดียเชื่อว่า มีชาวอารยันออกมาจานครใต้โลก และเข้ารุกราน ครอบครองทั้งประเทศ พระกฤษณะ และพระพุทธองค์ก้สืบเชื้อสายมาจากชาวอารยัน
--ชาวอินเดียนแดงบางเผ่าก็บอกว่า บรรพบุรุษอยู่ใต้โลก
--นายพลเรือเบิร์ด ขับเครื่องบินเข้าไปในโพรงขั้วโลกเหนือ พบนครใต้โลกและผู้คน เมื่อเขาเผยแพร่ กลับถูกขัดขวางโดยรัฐบาลอเมริกัน--หลานของเขาที่เป็นทหารบอกว่า มีกานำพชาวต่างดาว 6ศพออกมาจากใต้โลก เพื่อศึกษา
--มีฐานจานบินจอดอยู่ส่วนหนึ่งใต้โลก
--จักรวาลคู่ขนานอาจมีจริง แต่คำนวณความน่าจะเปิด เอกภพจะเดิดอยู่ตลอดเวลา แต่อาจเกิดในมิติอื่นๆที่เรามองไม่เห็น --จึงอาจจะเรียกแทนยูนิเวิร์ส ว่า มัลติเวิร์ส
---โลกนรก สวรรค มนุษย์ อาจจะซ้อกันอยู่ แต่การบดบังตัวของมิติความว่างและเวลา ทำให้มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้
---ถ้าเพิ่มมิติของเราเองไปสู่มิติ 6-7--- ทุกๆสิ่งคือ-ที่ว่างและเวลา-time-space-จะม้วนตัวกลับ ทั้งเอกภพเราจะกลายเป็นเม็ดนิดเดียว ลอยอยู่ในความว่างเปล่า หรือฝุ่นเอกภพนับล้านๆ

---จักรวาลคู่ขนาน คือความคิดที่ว่า มีจักรวาลเราอีกชุดหนึ่ง อยู่ในอีกมิติภพหนึ่ง มีทุกสิ่ง ทั้งตัวเราด้วย แต่อนุภาคกลับกัน เช่น อิเลคตรอนกลับเป็นโพสิตรอน เพราะความเชื่อว่า ธรรมชาติเหมือนตาชั่ง มีมืดมีสว่าง มีขาวมีดำ ดังนั้นถ่้าเรามีเอกภพ เอ ก็มีเอกภพบี กาแลกซีทางช้างเผือก-บี อยู่ ณที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน อาจต้องอีกฟากข้างของหลุมดำ--อันนี้ต้องเข้าใจพื้นฐานดาราศาสตร์บ้าง

 

สงสัยว่าคงจะเป็นไปในทาง
ที่คุณจำผมได้ไหมว่ามาแหละค่ะ
เพราะดิฉันยอมรับว่าเป็นคนนั่งทำสมาธิยากมากกกก
เพราะจิตไม่ค่อยนิ่งน่ะค่ะ

แต่มีอยู่ช่วงนึงที่มีแรงฮึดหน่อย
พยายามนั่งสมาธิบ่อยๆเท่าที่จะพยายามทำให้ได้
ผลที่เห็นเด่นชัด(ในช่วงเวลานั้น)คือ


เวลาไหว้พระก่อนจะเข้านอน
จะมีเสียงคนมาเคาะกระจกหน้าต่างดังก๊อกๆ(อยู่ชั้นที่4)
ตอนดึกๆราวตี2 ตรงนั้นเป็นหน้าต่างกระจกไม่มีที่ให้ยืนได้แน่ๆ
เข้าใจได้เลยว่าต้องเป็นเสียง..มาขอเคาะขอส่วนบุญ
เพราะจะดังเวลาจะไหว้พระก่อนนอนน่ะค่ะ

ทีนี้ด้วยความกลัวและจิตไม่แข็งกล้าพอ
ดิฉันกลัวเจอดีอีก เลยห่างเหินการนั่งสมาธิไปเลย
แต่หันมาทำบุญทำกุศลทางอื่นแทนดีกว่า
ทำบุญแบบนี้ไม่ต้องกลัวว่า
จะมีอะไรมาส่งเสียงแปลกๆขอส่วนบุญน่ะค่ะ

ดีใจที่ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากคุณจำผมได้ไหม
และท่านอื่นๆที่ช่วยมาแสดงความคิดเห็น
เพราะช่วยต่อยอดความคิดของดิฉันได้เยอะเช่นกันค่ะ

 

เอิ่ม เหมือนหนังที่ พี่โน๊ตอุดมเล่นเลยครับ แบบว่าเป๊ะเลย
จำชื่อเรื่องไม่ได้

อ้อ inception ด้วย

.........................

จักรวานคู่ขนานในทางวิทยาศาสตร์มีอยู่ทฏษฎีนึงครับ
รู้สึกจะค้นพบหรือ เป็นแค่ทิด-สะ-ดี ผมก็จำไม่ได้(แบบว่ามันนานมาก)

แต่ผมพอจะจำรายละเอียดปรีกย่อยได้ครับ

จักรวาลคู่ขนานจะแสดงสิ่งที่คล้ายกับจักรวาลของเราแต่แสดงคุณสมบัติต่างจากเรา

เช่นแสงในจักรวาลของเรานั้น เรามองเห็นแสงเป็นคลื่น และสามารถตรวจจับได้ถึงความเป็นอนุภาค

ส่วนในจักรวาลคู่ขนาน คนที่นั้นอาจจะเห็นแสงเป็นอนุภาคและสามารถครวจจับได้ถึงความเป็นอนุภาค

มีสิ่งนึงที่ยืนยันว่า เราไม่สารถตรวจจับว่าแสงเป็นคลื่นหรืออนุภาคพร้อมกันได้
ทำไมนะเหรอ เพิ่งอ่านมามะเช้า ลืมครับ = =

......
ฝันของท่านเจ้าของกระทู้ งดงามมากครับ ผมอยากฝันแบบนี้มั้ง มันคงจะสนุกน่าดู

 

จักรวาลคู่ขนาน

เราเคยถามหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม เชียงราย
ท่านบอกว่า ผี หรือ เทวดา ท่านมาหาเฉพาะคนที่มีดี มีบุญ เหมือนคนมีเงินมีทรัพย์ เขามาขอ ไม่งั้นไม่มานะคะ
เรื่องเสียงดัง หรือเคาะหน้าต่างกระจก เราก็พบเช่นกัน ฝันก็ด้วยค่ะ มาให้เห็นเป็นกายแบบเราๆก็มีค่ะ
หากกลัว ควรสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิเช้า หรือกลางวัน และบอกท่านที่เคาะว่า โปรดอย่าทำให้กลัว หรือตกใจ ท่านไม่ทำค่ะ ถ้าเรารับรู้แล้ว และแผ่กุศลออกไปให้ท่านโมทนานะคะ
เราก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกันว่ามีใครอยู่ใกล้ๆเรา พระท่านว่าอย่าอยากเห็นเลยเดี๋ยวจะตกใจ

โมทนานะคะ

 

คิดว่าคงมีส่วนตามที่คุณmanojit พูดมาเช่นกันค่ะ
เพราะสังเกตแล้วว่า
พอดิฉันไม่(กล้า)นั่งสมาธิ เพราะว่ากลัวจะเจอ..
เวลาไหว้พระก็จะไม่มีเสียงเคาะกระจกหน้าต่างตอนไหว้พระ

แต่ช่วงไหนมีศรัทธาแรงมากๆพยายามนั่งสมาธิบ่อยๆ
ไม่นาน...ก็เจออีกค่ะ
มาเลย...มาเคาะขอส่วนบุญ..ตามเคย

แต่ด้วยความกลัวมีมากกว่าความกล้า
เลยขอเลือกที่จะทำบุญทางอื่นรูปแบบอื่นแทน
เพราะกลัวเจอ...น่ะค่ะ

 

ได้ความรู้มากเลยครับ

 

......
ฝันของท่านเจ้าของกระทู้ งดงามมากครับ ผมอยากฝันแบบนี้มั้ง มันคงจะสนุกน่าดู[/QUOTE]


ขอเล่าเพิ่มนิดนึงนะคะ ตามที่คุณเบทร์พูดมา
ใช่ค่ะ ... สิ่งที่ปรากฎอยู่ในเมืองในฝันของดิฉันนั้น
มันสวยงาม(กว่าโลกของเรา)จริงๆ

ขอยกตัวอย่างสักเรื่อง..
ครั้งนึงในห้วงเวลาที่ดำเนินไปอยู่ในความฝัน
คราวนั้นดิฉันกับครอบครัว(ที่อยู่ในความฝัน)
พากันขึ้นไปเที่ยวบนภูเขา


พอเดินไปถึงบนเขาสูงชันนั้นแล้ว
สิ่งที่ดิฉันพบคือ.....
ทะเลสีน้ำเงินเข้มกว้างสุดลูกหูลูกตา
ใช่ค่ะ เป็นทะเลที่อยู่บนเขาสูงชันนั้นได้อย่างไร ?
มันเป็นภาพที่สวยงามมากๆๆๆๆๆๆ
มากเสียจนจำติดตราตรึง
อยู่ในหัวอยู่ในความคิดดิฉันตลอดมา

ภาพทะเลกว้างไกลที่เห็นนั้น
ยังมีคนเล่นเจ็ตสกี
มีคนเอาเรือลงไปพาย
มีคนลงไปว่ายน้ำเล่น
เหมือนๆอยู่ริมทะเลโลกเราแบบนั้น

แต่ที่มันสวยผิดโลกเราก็คือ
มันเป็นทะเลสีน้ำเงินเข้มกว้างไกลตาที่อยู่บนเขาสูง !


แม้ว่าการไปเที่ยวกับครอบครัวที่อยู่ในความฝัน
ณ ที่แห่งนั้น กับเหตุการณ์คราวนั้น
จะดำเนินผ่านมา(เกิดขึ้นในความฝัน)นาน 20 ปีแล้ว
แต่จนถึงเดี๋ยวนี้...สถานที่แห่งนั้นที่ดิฉันได้ไปมา
ภาพยังติดอยู่ในหัว ในสมองดิฉันอยู่จนบัดนี้

 

เพราะประตูลับสู่ทุกภพภูมิและทุกจักรวาลอยู่ในจิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตนี่เอง[/QUOTE]



อ่านประโยคนี้แล้วก็อดขนลุกไม่ได้
เพราะเห็นด้วยกับคุณจำผมได้ไหม เช่นกันค่ะ
ว่าจิตใต้สำนึกของคนเราเนี่ย
มันมีความซับซ้อนมาก
มนุษย์เรายังต้องค้นหา
ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตใต้สำนึก
กันอีกมาก

 

ยินดีน้อมรับฟังหลายๆความคิดเห็นที่คิดแตกต่างกันค่ะ


ขอบคุณความคิดเห็นของคุณเล่าปังนะคะ
อย่างน้อยก็ช่วยเติมช่องว่างความรู้
ในส่วนที่ดิฉันเองก็"ยัง"ไม่รู้ ซึ่งมีอีกเยอะ

แน่นอนว่าดิฉันยังคงต้องวนเวียน
อยู่ในวัฏสงสารนี้ต่อไป
ถ้าตราบใดยังพาตัวเอง
หลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ยังไม่ได้น่ะค่ะ

แต่ก็ต้อง....พยายาม....ต่อไป

 

mamboo อ่านเรื่องของคุณ Andromeda แล้ว

ก็เกิดคำถามว่า.........

ในโลกความฝันอ่ะ คุณฝัน ไหมคะ??

ในโลกความฝัน คุณ หลับไหม ?? ><

แล้วตอนฝัน ฝันเห็นโลกนี้ไหม ?? ><

-----------

เรื่องนี้ มันก็เป็นไปได้ 2 ทางคือ

โลกในความฝันของคุณ เป็นโลกๆหนึ่ง ที่ดวงจิตของคุณไปเกิดอยู่(มันมีอีกหลายโลกนะคะ แต่นี่เป็นแค่ 1 ในล้าน) 1 ในล้าน ที่คุณดัน มองเห็นได้ในความฝัน

หรือ......

อาจไม่ใช่ โลกๆหนึ่งที่ดวงจิตไปเกิด.. แต่.. เป็นโลกความฝัน ที่จิตดวงนี้ สร้างขึ้นมาหมดเลย ><

------

ถ้าอยากรู้ว่า มันเป็น 1 ในล้านของชีวิตที่คุณไปจุติหรือไม่.. หรือเป็นเพียง ความฝันที่กำลังของจิต(ในชาติภพนี้)สร้างขึ้นมา

คุณ Andromeda ก็ลองสังเกตุผู้คนรอบข้างสิ่ ว่าเขามีตัวตนอยู่ไหม ?? ><

เวลาที่เราอยู่ในความฝันเนี่ยนะคะ.. ถ้าเรา เข้าไปจ้องหน้าคนในฝัน ไปคุยกับเขาแบบใกล้ๆ แล้วก็จ้องหน้าเขา.. เขาจะไม่ขยับปาก >< (ที่เขาไม่ขยับปาก เพราะจิตของเรา มันเริ่ม มีสติ เริ่มจะไปจับผิดความฝันตัวเองแระ ><)

แต่ถ้าคุณไปจ้องหน้าเขา.. แล้วเขายังโต้ตอบ ยังขยับปาก ยังขยับร่างกายเหมือนคนปกติ แสดงว่า เขาเป็นคนจริงๆ(ไม่ใช่สิ่งที่จิตของเราสร้างขึ้นมาเอง)

ถ้าคุณ ไม่รู้ตัว ไม่ไปจ้องหน้าเขา คุณจะไม่รู้นะคะ.. เพราะว่า เวลาที่พวกเราฝัน เราจะหลงๆไปกับความฝัน เราจะเข้าใจไปเองว่า ผู้คนเหล่านั้น เป็นคน ขยับตัว ขยับปาก พูดคุยอะไรเหมือนคนปกติ (เพราะจิตของเรา สร้างโลกความฝันขึ้นมาเอง)

แต่พอเรา เริ่มมีสติ ไปจับผิดเขา.. มันจะไม่เหมือนเดิมแระ >< (ที่ไม่เหมือนเดิม เพราะเขาไม่มีจริง เราสร้างเขาขึ้นมาเอง)

 

จิต กิเลส โลก

เห็นด้วยค่ะ
พระที่แนะนำเราเช่นนี้มีอยู่ ท่านให้พิจารณาให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ ให้เราหาทางหลุดออกมาไม่ยึดไม่ติด
กองทุกข์ สาเหตุที่เราทุกข์ ท่านให้มองย้อนไปย้อนมา ไม่ได้ให้ติดในสิ่งใด เพราะไม่มีอะไรที่จะยึดถือได้
การวางลง มองให้เห็นว่าที่เราเห็น รับรู้ เป็นอะไร แล้วก็วางลง มารับรู้ปัจจุบัน
ลมหายใจเข้าออก คือปัจจุบัน มิได้มีสิ่งใดที่หนัก ทั้งดี ไม่ดี ไม่มี

ขอบคุณมากค่ะ โมทนานะคะ

 

คิดอยู่นานเหมือนกันค่ะว่าจะมาเล่าต่อดีไหม
หรือว่าปล่อยกระทู้ให้มันตกไป
พร้อมกับความสงสัย(ในใจคนที่อ่าน)


สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนใจกลับเข้ามาเล่าต่อ....ให้จบ
เพราะคนอ่านเขาจะได้ไม่คาใจในเรื่องที่เล่ามา


จริงๆดิฉันอยากจะเล่าเชิงพรรณาแบบใส่รายละเอียดมากๆ
แต่ด้วยนิสัยเป็นคนไม่ชอบพิมพ์อะไรมากๆยาวๆ
เลยขอเลือกเล่าต่อนะคะ
แต่เป็นการเล่าแบบสรุปใจความสำคัญ
เอาแบบเนื้อๆอย่างเดียวไปเลยค่ะ

 

ตอนดิฉันเกิดมาใหม่ๆผู้ใหญ่ที่บ้านเขาเล่าให้ฟัง(ในตอนที่โตแล้ว)
ว่าหลวงพ่อองค์หนึ่ง(ที่ครอบครัวดิฉันเคารพท่านมากๆ)
ได้ดูดวงชะตาของดิฉัน(ตอนแรกเกิด)หลวงพ่อท่านเจริญในธรรม
ในระดับนึงที่สามารถหยั่งรู้ได้ด้วยจิตหรือนิมิตร(ขอโทษค่ะเรียกไม่ค่อยถูก)


ท่านบอกว่าเจ้าดวงชะตาของดิฉันนั้น
ยังไม่ถึงเวลามาเกิดเลย แต่ดันหนีพ่อแม่(ในภพภูมิที่อยู่จริงๆ)
แอบหนีเขาลงมาเที่ยวที่โลกนี้(ซะก่อน)
พอเที่ยวเพลินก็กลับ(ไปยัง)ที่ๆจากมาไม่ทัน
พลันก็ได้เกิดมาเป็นดิฉันนี่แหละค่ะ


หลวงพ่อพูดคล้ายๆให้ครอบครัวดิฉันทำใจล่วงหน้าไว้ว่า
หากดิฉันต้อง"จากครอบครัว"นี่ไป"อย่างกระทันหัน "
ก็ขอให้ทำใจเพราะพ่อแม่ทางโน้น...เขาตามมารับกลับคืน...
หลวงพ่อท่านพูดประมาณนี้ ผู้ใหญ่เขามาเล่าให้ดิฉันฟังต่ออีกที


พอโตขึ้นมา ก็เอาคำพูดหลวงพ่อมานั่งคิด
แล้วก็ไม่เชื่อเพราะคิดเองไปตามประสาว่า
ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถ้าพ่อแม่ทางโน้น
เขาอยากจะเอาตัวเรากลับก็สามารถ
ทำให้เราตายตั้งแต่อุแว้คำแรกแล้วนี่นา
... เขาก็น่าจะทำได้ ถ้าอยากมารับตัวเรากลับ...
แต่นี่เราก็อายุยืนยาวมาจนปูนนี้แล้ว
แอบคิดขำๆว่า ไม่เห็นมารับเรากลับไปเล๊ย


ด้วยเหตุนี้เลยมองข้ามคำพูดของหลวงพ่อ
ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับมามาแล้วถึงได้รู้ว่า
(จริงๆแล้ว) คำพูดของหลวงพ่อคือคำเฉลย(ได้มั๊ง)
ว่าทำไมดิฉันถึง(ต้อง)ใช้ชีวิต และใช้เวลา
คู่ขนานไประหว่างโลกใบนี้ กับ อีกแห่งซึ่งเป็นที่ไหนก็ไม่รู้

 

ถามว่าทำไมอยู่ดีๆ
ถึงเกิดได้เชื่อคำพูดหลวงพ่อขึ้นมากระทันหัน ?


ก็ขอตอบแบบคนเพิ่งออกจากกะลาตรงๆค่ะว่า
ในเวลาต่อมาเมื่อได้อ่านเจอเรื่องราวอะไรสักอย่างนึงเข้า
ซึ่งเขาอธิบายในเรื่องของ"เวลา"


เอาแบบสมมุติกับเรื่องของดิฉันเองนะคะว่า
สมมุติว่าดินแดนที่ๆดิฉันจากมานั้น 1 วันของที่นั่น
มันเท่ากับ 100 ปีของโลกที่เราอยู่ (บอกแล้วว่าเป็นเรื่องสมมุติ)
และสมมุติต่อว่า ดิฉันอายุ 40 ปี (ไม่อยากบอกอายุจริงนี่นา)
ซึ่งก็แปลว่า ยังไงๆอายุดิฉันก็ยังไม่ถึง 100 ปี(หรือประมาณนี้)


เพราะฉะนั้นก็แปลว่า ..... ดิฉันได้จากสถานที่ๆจากมานั้น
" ยังไม่ถึง 1 วัน " (ในความหมายของสถานที่แห่งนั้นเลย)
จึงทำให้ดิฉันเข้าใจแล้วว่า

 

1. ทำไมพ่อแม่ดิฉันหมายถึงพ่อแม่ ณ ภพหรือภูมิสถานที่ๆดิฉันจากมา
ไม่ยักกะตามมาเอาตัวเรากลับไป
เพราะว่าดิฉันหายออกจากบ้าน(จาก ณ ที่ตรงนั้น)
ยังไม่ถึง 1 วันเลย เขาก็เลยไม่มีเหตุอะไรต้องตามหาตัวดิฉัน


2. ดิฉันข้องใจมาตลอดว่าทำไมครอบครัวในความฝันของดิฉัน
พวกเขาถึงมีทีท่าให้ดิฉันรับรู้ตลอดเวลา(ในความฝัน)ว่า
พวกเขา"รอ" ดิฉันกลับไปทำกิจกรรมร่วมกับพวกเขา
เช่นรอไปตลาดด้วยกัน รอไปเที่ยวพร้อมกัน
รอทำความสะอาดบ้านด้วยกัน ฯลฯ


3. แน่นอนว่าดิฉันมีความผูกพันกับครอบครัวในความฝัน
ที่ดิฉันใช้เวลาอยู่กับพวกเขา
เท่าๆกับความผูกพันกับครอบปัจจุบันของดิฉันบนโลกนี้
เพราะดิฉันใช้เวลาอยู่กับ 2 ครอบครัวนี้
ในสัดส่วนเกือบจะเท่าๆกัน