ขอเล่าโดยสังเขป และขอแสดงความเสียใจ กับท่านพลตรี เยาว์ เกิดร่วม ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่ตับ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2554 หลังจากที่ได้ตรวจพบ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ในระยะเพียง 1เดือนเท่านั้น ท่านถือเป็นผู้ทำประโยชน์ รับใช้ชาติด้วยความซื่อสัตย์ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ในหน้าที่การงานของท่าน เพื่อตอบแทนคุณ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรย์ โดยปกติท่านเป็นคนที่แข็งแรง 20 ปีไม่เคยต้องล้มหมอน นอนเสื่อ จนวันนี้ที่ท่านได้จากไป ท่านนาวาอากาศเอกพิเศษ ธีรธัช เกิดร่วม ได้เล่าให้ฟังว่า อาของท่านนั้นโดยปกติไม่ได้ภาวนา แบบเอาจริง เอาจัง แต่ ทาน ศีลท่านมีตามปกติ ในวันที่ท่านป่วยได้รับความเจ็บปวดมาก ท่านมีอาการทรุดลง ลิ้นแข็ง หายใจลำบาก เหนื่อยมาก ในตอนน้ันได้มีผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือ ได้เดินทางมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล และได้นำคาถาบทหนึ่ง กล่าวว่า ระโชหะระนัง ระชังหะระติ ที่พระอาจารย์แสง แห่งวัดมณีชลขันธ์ พระอาจารย์แสง ท่านใช้ภาวนาภาวนา และท่านก็นำมาใช้ภาวนาตั้งแต่วันที่17 สิงหาคม 2554 ในคืนวันที่18 สิงหาคม 2554 ตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือ ตามบันทึกของท่าน ได้เล่าว่า ท่านได้นิมิตเห็นพระสงฆ์ 5 รูป และยังมีผู้หญิงใส่ชุดขาว มานั่งข้างๆเตียงเพื่อฟังท่านภาวนา เมื่อท่านท่องภาวนาถูก ก็จะพยักหน้าและยิ้มให้ สองคืนติดต่อกัน และตลอดเวลาที่ท่านภาวนาประมาณ ตีสองของคืนนั้น ท่านก็ได้เห็นเงาผ่านหน้าท่านและมาหยุดที่ทางขวามือท่าน และได้กล่าวกับท่านว่า เออ! เอ็งท่องผิดๆ ถูกๆ แต่เห็นความพยายามของเอ็ง ข้าจะช่วยเอง แล้วเงานั้นก็หายไป ท่านปลืมใจมากน้ำตาไหลร้องไห้อยู้คนเดียว หลังจากนั้นพยายบาลก็เข้ามาตรวจเช็คตามปกติ พอใกล้สว่างท่านก้ยังไม่หลับนอนภาวนา พร้อมเอามือลูบที่ท้องตลอด ขณะนั้นท่านได้เห็นแสงสีทองพุ่งลงมาจากที่สูง มาสู่บริเวณท้อง พอท่านลืมตาแสงนั้นก็หายไป ท่านร้องไห้อีกครั้งเพราะท่านซาบซึ้งในพุทธคุณ ว่ามีอยู่จริง และท่านได้รับรู้ในวาระที่ท่านต้องทิ้งร่างกายอันเป็นที่รุมทึ้งของโรคร้าย ท่านได้ขึ้นมานั่งและเขียนบันทึกไว้ ให้ได้รับรู้ว่า พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นที่พึ่งของท่านจริงในวาระสุดท้าย ในขณะที่ท่านสิ้น ท่านมองดู ภรรยา และลูก ของท่านก่อน และท่านก็หลับตาพร้อมกับกุมพระไว้ในมือ และหลับตาลงจากไปอย่างสงบ ก่อนที่จะพระราชทานเพลิงศพ ได้เปิดเพื่อดูท่านอีกครั้ง ปรากฏว่าท่านยังตัวนิ่ม เหมือนคนนอนหลับธรรมดา สัปเร่อบอกว่า ท่านไปสุคติ แล้ว มีหลายคนถามว่ารู้ได้งัย สัปเร่อบอกว่า คนตายถือเป็นหน้าที่ผม บางศพตายแต่ไม่ยอมตาย พาศพตัวเองหนีจากโรงไปนั่งข้างล่าง ต้องใช้คาถามากำกับ จึงยอม จิตสุดท้ายของผู้ได้ ภาวนา และได้ภาวนาอย่างจริงจังนับได้ไม่ถึงเดือน ผลที่ได้รับคือ ได้พบพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก บทความจากการบันทึกของพลตรี เยาว์ เกิดร่วม ที่ได้นำมาโพสนี้ หากสามารถสร้างคุณประโยชน์ ใดๆ ข้าพเจ้าขออุทิศบุญทั้งหมดนี้ให้กับ ท่านพลตรี เยาว์ เกิดร่วม เพื่อเป็นกำลัง เป็นปัจจัย ตราบท่านเข้าสู่นิพพานเทอญ
อนุโมทนาครับ การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง การมีชีวิตอยู่ และ ใช้ชีวิต เป็นทุกข์อย่างยิ่ง การต่อสู้ดิ้นรน แสวงหา เป็นเหตุแห่งความทุกข์ ที่สุดแห่งความเป็นทุกข์ คือ หยุด
อนุโมทนาครับ มีภาษิตอีสานกล่าวไว้ว่า อันว่าการกินเข่า ( ข้าว ) ผู่ได๋ ( ผู้ได )กิน ผู้นั่นอิ่ม มันบ่อไปอิ่มท้อง ไผนั่น ผู่บ่อกิน พระธรรมเป็นปัจัตตัง ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา เป็นอกาลิโก สิ่งเหล่านี้มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้หนึ่งผู้ได พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ ก็ประกาศสัจจะธรรมนี้เหมือนกัน เป็นสิ่งที่ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตน ผู้ปฏิบัติเท่านั้น ถึงจะรู้รสแห่งธรรม สาธุ สาธุ สาธุ
สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่ เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O></O> <O>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O>
ในนามของพลตรีเยาว์ เกิดร่วม ซึ่งดิฉันเป็นลูกสาวของท่าน ขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าของกระทู้ที่ได้นำเรื่องราวของคุณพ่อก่อนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตมาเผยแพร่ และขอบพระคุณเพื่อนๆ สมาชิกทุกท่านที่ได้มาร่วมอนุโมทนาด้วยในกาลนี้
อนุโมทนา สาธุครับ พลตรีเยาว์ เกิดร่วม ท่านสร้างบุญสร้างกุศล ของท่านมา เมื่อจะถึงวาระสุดท้าย ท่านจึงได้พบกับกัลยาณธรรม มาชี้ทางสว่างให้ท่าน ...นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ของอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่ใช่ว่าคนทุกคนจะโชคดีแบบ พลตรีเยาว์ เสมอไป เพราะช่วงเวาลาที่ใกล้จะสิ้นลม ทุกขเวทนาจะรุนแรงมาก ถ้าคนที่ไม่ได้ฝึกฝน หรือปฏิบัติกรรมฐานมาก่อน ก็คงยากที่จะกำหนดเวทนาได้ เมื่อกำหนดไม่ได้ ปล่อยให้จิตเร่าร้อนไปตามอารมณ์ ทุกคติภพ จึงเป็นที่หมาย ... คนเราทุกคน ยังไงก็หนีความตายไม่พ้น ดังนั้น ก่อนที่ทุกคนจะตาย ควรจะฝึกตายก่อนตายให้เป็น เมื่อเวลาตาย จริงๆมาเยือน จะได้มี สุขคติภพ เป็นที่หมาย ... วันนี้ ท่านเริ่มฝึก ตายก่อนตาย กันหรือยัง ?
ครอบครัวเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้ ...ก่อนท่านจะจากไปท่านมีจิตตั้งมั่นในการภาวนาอย่างมาก และสามารถนึกถึงบุญได้ (โดยลูกๆทบทวนในทุกๆบุญให้ท่านระลึกถึง ถึงแม้ท่านจะพูดไม่ได้แล้วในตอนนั้น แต่เราโต้ตอบกันทางกายคือการกระพริบตาและบีบมือ) และสวดมนต์ให้ท่านฟังจนท่านหลับไป
ขออนุโมทนา สาธุ กับคุณจุลเนตร ในความกตัญญู ที่มีต่อคุณพ่อ ตลอดจนท่านจากไป และขอแสดงความเสียใจ กับการจากไป ของอา ท่านพลตรี เยาว์ เกิดร่วม ด้วย ได้คุยกับ พี่เสธอาท เรื่องของอา ตั้งแต่ตอนที่ท่านป่วย จนท่านจากไป และก็ขออนุญาติ คุณเนตร เกิดร่วม ที่่่ได้นำมาโพส เพื่อประโยชน์ แก่บุคลทั้งหลาย หากผิดพลาดประการใด กราบขออภัยมาณ.ที่นี้
โมทนาสาธุด้วยครับ "ระโชหะระนัง ระชังหะระติ" ขอน้อมจิตกราบนมัสการถึง เจ้าขรัวแสง แสงแห่งบูรพาจารย์ พระผู้เป็นบูรพาจารย์ของหลวงปู่เจ้าประคุณสมเด็จฯโต กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ คาถานี้ เป็นของท่านพระอรหันต์ จูลปันถก ซึ่งพระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็นเลิศ ทางมโนมยิทธิ สมัยพุทธกาล ท่านได้บวชพร้อมกับพี่ชาย แต่ท่านจูลปันถกปัญญาทึบ พี่ชายให้คาถาบทหนึ่ง ท่องอยู่4เดือนก็จําไม่ได้ จึงถูกพระพี่ชายโกรธโมโหขับไล่ออกจากวัด ด้วยความน้อยใจท่านคิดจะสึก จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขอสึก พระพุทธองค์ทรงถามถึงสาเหตุ เมื่อรู้แล้วพระองค์ท่านก็เข้าใจว่า เกิดจากอะไร จึงปลอบใจไม่ให้สึก แล้วมอบผ้าขาวบริสุทธิ์พร้อมคาถา ระโชหะระนัง ระชังหะระติ ไปภาวนาและลูบผ้าขาวด้วย ท่านจูลปันถกบริกรรมคาถาพร้อมกับลูบผ้าขาวทุกวัน จนผ้าขาวหม่นหมอง ท่านจึงได้สติเข้าใจในธรรมว่า ผ้าขาวทีแรกก็ขาวดีต่อมาหม่นหมอง เปรียบเหมือนชีวิตคนเราเป็นของไม่เที่ยง ท่านจึงยกจิตพิจารณาวิปัสนาญาณจนบรรลุธรรมปฏิสัมภิทา เป็นพระอรหันต์ พระคณาจารย์สมัยก่อนท่านเติมคําว่าโลกะวิทู หมายถึงผู้รู้แจ้ง เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น จึงเป็น ระโชหะระนัง ระชังหะระติ โลกะวิทู นิยมใช้ภาวนาดูนิมิตต่างๆ เป็นคาถาเปิดจิตให้มองเห็นสิ่งต่างๆที่ต้องการจะเห็น (copy มาจาก internet)
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ และขอขอบคุณ คุณpsombat ด้วยนะคะ ที่ได้ให้ความรุ้เพิ่มเติม กำลังสงสัยเลยคะว่าที่มา ที่ไปเป็นอย่างไร
ด้วยความยินดีครับ ต้องขอขอบคุณท่าน จขกท. ที่นำบทความมาลง ทำให้พวกเราสงสัยเหมือนกัน และได้ขอมูลที่มีประโยชฯยิ่งด้วย สาธุ